Mistake
[Special] Teach about Mistake –
Sungmin Part (3)
ท่านประธานพาผมกับไอ้คยูไปตรวจที่คลินิกนิรนามแห่งหนึ่ง
ที่เขาว่ากันว่าทางคลินิกจะเก็บเรื่องทุกอย่างไว้เป็นความลับ การตรวจเชื้อ HIV
จะมีด้วยกันทั้งหมดสองวิธี ..
วิธีแรกคือการตรวจหาแอนติ-เอชไอวี
ซึ่งใช้เวลาตรวจไม่นานก็ทราบผลภายใน 1-2 ชั่วโมง
ส่วนการตรวจด้วยวิธีที่สองคือการตรวจแบบแนท วิธีนี้จะรู้ผลภายใน 3 วัน …
ตอนนี้เราสามคนก็เลยนั่งรอฟังผลวิธีแรกด้วยจิตใจที่เป็นกังวล ..
“น้ำ ..”
ไอ้คยูมันเดินไปหยิบน้ำบรรจุแก้วพลาสสติกที่ทางคลินิกมีไว้บริการมาสามแก้ว
จากนั้นก็ทำการแจกจ่ายให้ผมกับพี่อาราคนละแก้ว
“ถ้าเป็นไปได้
กูโคตรรอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้เลยว่ะ” ไอ้คยูมันดูดน้ำจากปลายหลอดอยู่พักใหญ่
จากนั้นมันก็หันมาพูดกับผมเบาๆ
“แต่มันเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นมึงเลิกคิดฟุ้งซ่านเถอะ ..” ผมพูดสวนมันขึ้นมาทันควัน
“สัส เวลาแบบนี้มึงยังจะปากดีใส่กูอีก
..” ไอ้คยูมันทำหน้างอ พลางด่าผมแบบเพลียใจ
“แล้วมึงจะให้กูทำไง ? ร้องไห้เหรอ ?
เวลานี้เนี่ยนะ ประสาท ..” ผมด่ามัน
พลางมองจ้องไปที่ประตูห้องของคุณหมอท่านที่เราเข้าไปพบก่อนจะทำการตรวจอย่างใจจดใจจ่อ
ด้วยเพราะในตอนนี้ใจของผมมันเป็นกังวลมาก
แต่ผมจำเป็นต้องแสดงออกว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ราวกับว่าการมาหาหมอในครั้งนี้มันคือการมาหาหมอเพื่อรอเอาใบรับรองแพทย์เหมือนทุกครั้ง
..
“กูกดดันจะตายห่าอยู่แล้ว เมื่อคืนกูหลับไม่ลงจริงๆว่ะ ..” ผมกับไอ้คยูกำลังนั่งก้มหน้า พร้อมกับขยับหัวเข้ามาใกล้กันเพื่อการพูดคุยที่เป็นส่วนตัวขึ้น
“กูก็เหมือนกัน ..”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วไหว เมื่อภายในจิตใจมันเริ่มเผยด้านที่อ่อนแอออกมา
“สองชั่วโมงของหมอ
มึงว่ามันเหมือนสองปีไหมวะ กูโคตรจะรู้สึกแบบนั้นเลย ..” ไอ้คยูมันถาม
พลางมองตาผมในระยะประชิด ซึ่งคำตอบของผมก็ไม่ได้ต่างกับมันนัก แค่มันมองตา
ผมก็คงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว
หลังจากผลตรวจออกมาแล้ว
ผมก็ยังไม่กล้าเปิดดูอยู่ดี มันยิ่งกว่าลุ้นผลสอบหรือลุ้นรางวัลอะไรทั้งนั้น
เพราะผลตรวจในครั้งนี้มันคือชีวิตผมทั้งชีวิต เพราะหมอบอกว่าปกติแล้วผู้ที่มารับการตรวจ
ส่วนใหญ่เขาจะมาตรวจเมื่อได้รับความเสี่ยงมาแล้ว 2 สัปดาห์ขึ้นไป
ดังนั้นการตรวจในวิธีนี้จึงต้องควบคู่กับการตรวจในวิธีที่สองเพื่อความแม่นยำ
และหลังจากนั้นก็จะต้องมาตรวจอีก 2 ครั้ง ตามที่แพทย์แนะนำ
เนื่องจากเชื้อชนิดนี้มันมีทั้งระยะเฉียบพลันและระยะฟักตัว
ซึ่งของผมมันสุ่มเสี่ยงอยู่ในระยะที่ยังไม่ปรากฏผลที่ชัดเจน
เพราะผมมาตรวจหาเชื้อเร็วเกินไป
แต่เมื่อเร็วๆนี้ทางการแพทย์เพิ่งจะสามารถตรวจหาเชื้อหลังจากได้รับความเสี่ยงมาแล้ว
5 วัน ฉะนั้นผลการตรวจของผมก็สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ..
ส่วนของไอ้คยูหลังจากที่มันนอนกับคู่ขาคนสุดท้ายของมัน
ก็ผ่านมาจนจะครบปีอยู่แล้ว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่เราสองคนเริ่มต้นดูใจกันจนกระทั่งคบหากันแบบคนรัก
และถ้าหากผลออกมาเป็น positive จริงๆ มันก็คงจะเป็นผลตรวจที่แน่ชัดแล้ว และคงไม่ต้องพึ่งการตรวจ 2
ครั้งหลังเหมือนผม เพราะระยะเวลานานขนาดนี้เชื้อ HIV มันคงปรากฏเป็นรูปเป็นร่างให้ตรวจพบได้ง่ายอย่างแน่นอน ..
แต่ถ้าผลของมันออกมาเป็นลบ
ก็เท่ากับว่าผมก็ไม่มีความเสี่ยงของโรคนี้ไปด้วย ..
กระดาษคาร์บอนสองแผ่นถูกยื่นออกมาตรงหน้าของผมและไอ้คยู
จากนั้นคุณหมอก็ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการร่วมรักที่ถูกวิธีและปลอดภัย เพื่อให้เราสองคนระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น
รวมถึงให้คำแนะนำสำหรับการตรวจในครั้งที่สองว่าเราควรจะมาตรวจอีกทีเมื่อไหร่
ทั้งนี้ทั้งนั้นที่หมอให้พวกเรามาตรวจก็เพื่อความแน่นอน ..
หมอให้คำยืนยันกับผมและไอ้คยูเป็นการปิดท้ายว่า
…
เคสของผม หมอจะปิดให้ได้ภายในสามเดือน
ส่วนของไอ้คยูหมอจะปิดให้ได้ภายในหนึ่งเดือน ..
พอได้ยินแบบนั้น ผมก็เริ่มใจเสีย
เมื่อระยะเวลาของผมมันนานกว่าไอ้คยู ผมจึงรีบแกะผลตรวจออกดู
แล้วก็พบว่าผลตรวจของผมคือลบ เท่ากับว่าผมไม่ได้ติดเชื้อ
แต่ถ้าจะให้ดีผมควรกลับมาตรวจอีกครั้งในเดือนถัดไป
ส่วนไอ้คยู
มันยังไม่กล้าแม้แต่จะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู ซึ่งผมก็ไม่สามารถคาดคั้นอะไรมาก
แม้ว่าผมจะอยากรู้ผลของมันมากก็ตาม ..
เพราะไอ้คยูในตอนนี้
มันดูกดดันขึ้น หลังจากที่เห็นผลตรวจของผม ..
“ลบ! ผลของกูเป็นลบ ไอ้มิสเทคมึงเห็นไหม!” ไม่นานนักมือสั่นๆของมันก็พยายามหยิบผลตรวจขึ้นมาดู จากนั้นมันก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
เมื่อการตรวจในขั้นแรกมันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งผมเองก็เบาใจลงมาก
ฉะนั้นการตรวจอีก 2 ครั้งให้หลัง รวมไปถึงผลตรวจในวิธีที่สอง
ผมก็คงไม่ต้องกังวลกับมันแล้วสินะ แต่เพื่อความปลอดภัยและเพื่อความสบายใจ
ผมจะมาตรวจตามที่หมอแนะนำอย่างเคร่งครัด
“…” ผมยิ้ม เมื่อมองผลตรวจของเราที่ตรงกัน
ขณะที่ดวงตาของผมมันร้อนไปหมด เพราะผมกำลังดีใจมากและก็ชื้นใจมากด้วย
ที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้ …
“อีก 3 วัน หมอจะแจ้งผลตรวจแบบ NAT ครับ .. ผมโคตรโล่งใจเลย .. อย่างน้อยการรอคอยของผมก็ไม่ต้องเต็มไปด้วยความกดดันอีกแล้ว
..” ไอ้คยูมันยื่นผลตรวจทั้งของผมและของมันมาให้พี่อาราดู
พลางพูดอธิบายว่ายังมีผลตรวจอีกรูปแบบหนึ่งที่เรายังต้องรอฟังมันอยู่
“มันจะมีโอกาสคลาดเคลื่อนไหม ?”
พี่อาราถามพลางมองหน้าผมกับไอ้คยู
“หมอบอกผมว่าโอกาสคลาดเคลื่อนมันมีน้อยมาก
ซึ่งถ้าผลตรวจมันตรงกัน ก็เท่ากับว่าผมปลอดภัยแล้วครับ
เพราะผมได้รับความเสี่ยงมานานมากแล้ว .. แต่ถ้ายังไม่สบายใจเดือนหน้าจะมาตรวจอีกครั้งก็ได้พี่
ส่วนของซองมินถ้าผลของผมมันออกมาว่าไม่ได้เป็นก็เท่ากับว่ามันก็ใช่ผู้มีความเสี่ยง
แต่ถ้าอยากตรวจเพื่อความสบายใจ หมอก็จะตรวจให้ ..”
“กูตั้งใจจะมาตรวจตามที่หมอแนะนำนะ
อย่างน้อยก็เผื่อๆเอาไว้” ผมตอบพลางยิ้มบางๆ
“แล้วแต่เลยมึง
ถ้ามึงตรวจกูก็จะตรวจเหมือนกัน ..” ไอ้คยูมันตอบ
“ป่ะ กลับกันเถอะ
สบายใจกันแล้วนี่เนอะ .. ทีหน้าทีหลังก็ใช้ชีวิตให้มีสติหน่อยนะคยูฮยอน
พี่บอกตามตรงว่าพี่เองก็รู้สึกแย่ ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
แต่ในเมื่อพวกเธอกำลังอ่อนแอ พี่ก็จำเป็นต้องเข้มแข็งให้ได้
ไม่อย่างนั้นเราคงหาทางออกไม่เจอ ..” พี่อาราบอก
พลางเดินนำผมกับไอ้คยูไปที่รถ จากนั้นก็เริ่มสอนสั่งไอ้คยูด้วยความจริงจัง
“ผมคงขอบายกับชีวิตไม่มีแบบแผนของผมจริงๆแล้วล่ะพี่
ตั้งแต่ซองมินมันบอกว่ามันกลัวคำว่าชอบของผม .. ผมก็เริ่มคิดอะไรได้ขึ้นเยอะ
พอมาเจอพ่อกับแม่โกรธ ผมบอกตรงๆว่าผมพยายามดึงตัวเองกลับเข้ามาได้หลายครั้ง
พี่ครับขอบคุณนะ ..” ผมนั่งมองสองพี่น้องที่นั่งอยู่ด้านหน้าของผมด้วยรอยยิ้ม
เพราะภาพตรงหน้า มันเป็นภาพที่น่ารักมากเลยนะ
ครืด ครืด
“ครับพ่อ .. ครับ .. เดี๋ยวผมไป” ตอนแรกพวกเราทั้งหมดตกลงกันว่าจะไปหาอะไรทานก่อน
ถึงจะกลับบ้านใครบ้านมัน แต่ในเมื่อคุณพ่อเรียกตัวไอ้คยูเป็นการด่วนอย่างนี้
พี่อาราก็เลยต้องเปลี่ยนแผนมาส่งผมที่บ้าน เพราะผมอยากเจอซองจิน
ผมอยากบอกให้น้องสบายใจ
ส่วนไอ้คยูมันบอกว่ามันจะมาหาผมที่บ้านถ้าคุยกับคุณพ่อของมันเสร็จแล้ว
ผมยืนส่งสองพี่น้องอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน
จากนั้นผมก็หันหลังเดินกลับเข้ามาในบ้านที่ผมไม่ได้กลับมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว ..
“ซองจิน ..” ผมยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน
เมื่อเห็นซองจินกำลังนั่งเหม่ออยู่ตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์เพียงลำพัง
“พี่!”
ซองจินหันมามองผมพลางร้องตะโกน แล้วก็รีบวิ่งเข้ามากอดผม
พลางพร่ำถามอย่างห่วงใยว่าผลตรวจเป็นอย่างไร
ผมก็เลยเอาผลตรวจของผมและของไอ้คยูมาให้ซองจินดู
“โชคดีจริงๆ
พระเจ้าคุ้มครองพี่จริงๆด้วย ..” ซองจินยิ้มกว้างกับผลตรวจของผมและของไอ้คยู
“นั่นสินะ พระเจ้าไม่ได้ใจร้ายกับพี่อย่างที่คิดไว้จริงๆด้วย”
ผมเก็บผลตรวจใส่กระเป๋า จากนั้นผมกับซองจินก็เดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา
“ได้เห็นรอยยิ้มของพี่แล้ว ผมมีความสุขจริงๆ”
ซองจินนั่งมองผมแล้วก็ยิ้มอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นสักเท่าไหร่
ผมก็เลยแกล้งแยกเขี้ยวใส่ แต่แล้วบรรยากาศสบายๆระหว่างเราก็ถูกขัดโดยเซอึนที่เดินเข้ามาในบริเวณนี้
“ไม่เจอกันนานนะ ..”
ผมทักเธอเป็นครั้งแรกในรอบเดือน เพราะอคติต่างๆของผมมันจบลงแล้ว ตั้งแต่ที่ซองจินบอกว่าที่เขาทำไปไม่เป็นเพราะเขารักและห่วงแต่เซอึน
“อื้ม ..” เซอึนยกยิ้มอย่างน่ารัก
แต่ท่าทางของเธอก็ยังดูเหมือนเกร็งๆอยู่นิดๆ
“ผมทำมื้อใหญ่เลี้ยงดีกว่า ..” ซองจินเสนอตัว
แล้วก็เดินเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือเพียงแค่ผมกับเซอึน ซึ่งบรรยากาศระหว่างผมกับเธอก็ไม่ได้น่าอึดอัดอะไรนัก
เราสามารถคุยกันได้ แต่ก็แค่ในฐานะเพื่อน
ผมโทรหาไอ้คยูอยู่หลายสาย
เพราะเห็นว่าตอนนี้มันดึกมากแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะนอนที่บ้านหรือว่ายังไง
แต่ไม่ว่าผมจะโทรไปกี่สายๆ มันก็ไม่ยอมรับสายของผมเลย จนกระทั่งมันปิดเครื่องหนีไป
ผมก็ยิ่งเป็นกังวล ผมเดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าบ้าน
พลางมองหน้าจอโทรศัพท์สลับกับโทรหามันอยู่หลายครั้ง
แต่ก็ยังผมกับระบบฝากข้อความอยู่ดี ผมจึงเริ่มกลายเป็นหนูติดจั่น
เพราะผมกลัวว่ามันจะเกิดเรื่อง ..
ครืด ครืด ..
“ครับพี่ ..” ผมรับสายของพี่อาราที่โทรเข้ามาหาผมแทบจะทันทีอย่างคนร้อนใจ
“ซองมินคยูไปถึงที่นั่นหรือยัง ?”
“ยังครับพี่
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ?” ผมถามอย่างสงสัยและร้อนใจ
“พ่อกับแม่รู้ความลับของเราแล้ว
โกรธเป็นฟืนเป็นไฟถึงขั้นตัดขาดเลยซองมิน พี่ฝากดูคยูด้วยได้ไหม
พี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว ใครก็ไม่รู้มาบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้
พวกท่านถึงได้ไม่เชื่อที่คยูฮยอนพูด…”
ผมเหมือนถูกหินก้อนใหญ่หล่นใส่อีกครั้ง
เมื่อได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าที่น่ากลัวของพี่อารา
แต่จากนั้นไม่นานนักเสียงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเข้ามาจอดด้วยความเร็วสูงก็เรียกร้องความสนใจทั้งหมดไปจากผม
เมื่อรถคันนั้นคือรถของไอ้คยู ..
“เซอึน! ออกมา!”
ไอ้คยูฮยอนมันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และเอาแต่ร้องเรียกหาเซอึนเสียยกใหญ่
“ม..มีอะไรคยู ใจเย็นๆ”
ผมคว้าแขนของมันไว้ และเมื่อมันหันหน้ามาหา
ผมก็ต้องตกใจกับดวงตาที่แดงก่ำของมันเพราะผ่านการร้องไห้มาเป็นเวลานาน รวมไปถึงใบหน้าของมันที่ขึ้นเป็นรอยมืออย่างชัดเจน
“…”
“ใจเย็นๆนะคยู ..”
ผมพยายามจะเกลี้ยกล่อม พร้อมกับลูบข้างแก้มของมันด้วยความเป็นห่วง
“กูไม่เหลือใครแล้ว .. เพื่อนของมึง .. ทำไมต้องทำให้กูไม่เหลือใครแบบนี้
เขาเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่กูทำไม .. กูไม่เอาคืนไม่ได้มิสเทค
..”
ไอ้คยูมันสะบัดตัวออกห่างจากผมแล้วก็เดินดุ่ยๆเข้าไปในบ้าน
ส่วนผมก็ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เมื่อทุกอย่างที่ผมต้องเผชิญมาด้วยความยากลำบาก
เป็นเพียงแค่แผนของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ป..ปล่อย!”
เสียงของเซอึนดังลั่นชั้นสองของบ้าน จนผมต้องรีบเรียกสติของตัวเองแล้ววิ่งตามขึ้นไปดูพร้อมๆกับซองจินที่สะดุ้งตื่นและรีบวิ่งออกจากห้องนั่งเล่นเพื่อมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“พี่ใจเย็นๆก่อนดิวะ
ค่อยๆพูดค่อยๆจากันดิ ..”
ซองจินพยายามห้ามปรามและก้าวเข้าไปใกล้ไอ้คยูที่กำลังบีบคอของเซอึนด้วยความโมโห
แต่ยิ่งซองจินขยับเข้าไปหามากเท่าไหร่ ไอ้คยูก็ยิ่งออกแรงมากเท่านั้น
“กูไม่ใจเย็น
ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายกูขนาดนี้ .. ความผิดของกูมันเลวร้ายจนต้องฆ่ากูทั้งเป็นแบบนี้เลยเหรอ
.. ฮึก .. กูไม่เหลือใครแล้ว พ่อ ..
แม่ .. หรือแม้แต่พี่สาวของกู.. ฮึก .. กูก็ไม่เหลือใครสักคนที่เป็นครอบครัวของกู ..
กูไม่ใช่ลูกเขาแล้ว เขาเกลียดกูได้ยินไหม!”
ไอ้คยูมันตะโกนออกมาพลางร้องไห้อย่างไม่อายใคร ส่วนผมที่เห็นมันเป็นแบบนี้
ผมเจ็บจริงๆ เจ็บมากอย่างบอกไม่ถูก เพราะภาพที่เห็นตอนนี้
มันแทบไม่ใช่ไอ้คยูคนที่ผมรู้จักแล้ว คนคนนี้มันเป็นใครก็ไม่รู้
มันอาละวาดเหมือนคนบ้า จนผมพูดอะไรไม่ออกและได้แต่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนี้ ..
“พี่แน่ใจได้ยังไงว่าคนที่ต้องการทำร้ายพี่ด้วยวิธีสกปรกแบบนี้คือ
..” ซองจินยังพูดไม่ทันจบ เซอึนก็พูดแทรกขึ้นมา
และมันก็ทำให้เรื่องทุกอย่างกระจ่างแจ้งในตัวของมันเอง ..
“เหมือนกับฉันไง เพราะนาย พ่อกับแม่ถึงผิดหวังในตัวฉัน
เพราะนายฉันถึงไม่เหลือใคร เพราะนายชีวิตของฉันถึงได้พังจนป่นปี้ .. ไงล่ะลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างแล้ว รู้สึกดีไหม ?”
ไอ้คยูมันทรุดตัวลงและปล่อยเซอึนให้เป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว
เซอึนถึงได้ตะโกนปาวๆทับถมมันแบบนี้ ..
“พอชีวิตของฉันกำลังจะดีขึ้น
นายก็กลับมา .. พอฉันรักใครสักคนได้อีกครั้ง นายก็มาแย่งเขาไป! คนเลวๆอย่างนายทำร้ายฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
.. ไม่ว่าจะคบซ้อน .. ได้แล้วทิ้ง
มีอะไรแย่กว่านี้อีกไหมคยูฮยอน ? พอมาโดนเองบ้างรู้สึกยังไงล่ะ
? เสียใจเป็นเหมือนกันใช่ไหม ก็นั่นล่ะ สิ่งที่ฉันเจอมา …”
“...”
“มันก็ช่วยไม่ได้นะคยูฮยอน
นายมันมั่วเอง แค่ฉันกุเรื่องบอกใครๆ เขาก็เชื่ออย่างไม่ต้องหาหลักฐานให้เหนื่อยเลย
หึ .. จะโทษใครก็ไม่ได้ด้วยนะ เพราะพฤติกรรมของนายมันก็สำส่อนจริงๆ .. สะใจดีนะว่ามั้ย ?” เซอึนมองไอ้คยูอย่างสะใจตามที่เธอพูดไม่มีผิดเพี้ยน
พร้อมกับพูดจาในเชิงดูถูกเสียดสีอย่างชัดเจน ขณะที่ไอ้คยูมันเองก็มองเธอแบบแค้นเคือง
แต่ก็ไม่ได้อาละวาดอะไรไปมากกว่าการมองด้วยสายตาแข็งกร้าว
เพราะคำพูดของเซอึนก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงที่มันไม่อาจหลีกหนีได้
..
“…” จะผิดไหม ถ้าหากผมเห็นใจไอ้คยู
และเข้าข้างมันมากกว่าเซอึน เพราะจากมุมมองของผม เซอึนเสียคนเพราะเธอทำตัวเธอเอง งานการไม่ทำ
ชีวิตไม่มีจุดหมาย พ่อแม่ที่ไหนจะไม่เสียใจกันล่ะ จริงอยู่ที่ไอ้คยูมันทำร้ายเซอึน
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เซอึนเสียไป มันก็เป็นเพราะตัวเธอเองด้วย เหมือนกับไอ้คยูที่ก็เป็นเพราะตัวมันเองถึงได้ทำให้เรื่องมันลงเอยแบบนี้
เพราะถ้าหากตัวมันไม่เคยมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายก่อให้เกิดโรคนี้
ก็คงไม่มีเขาผิดหวังในตัวของมันหรอก
“พอกันทีเซอึน พอ! สิ่งที่เธอทำมันเกินไป .. เธอเอาเรื่อง HIV มาล้อเล่นมันไม่เลวร้ายไปหน่อยเหรอ
?” ผมตะโกนห้ามพลางเดินเข้าไปกอดไอ้คยูไว้แล้วตวัดสายตามองเซอึนอย่างโกรธแค้น
“ไม่เกินไปหรอกซองมิน
ก่อนจะทำฉันคิดดีแล้วว่ามันคุ้มค่า.. ..”
เซอึนตอบผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แผนการนี้ .. มันก็สนุกดีเหมือนกันนะ
แต่มันก็เจ็บมากๆด้วย เพราะฉันทำร้ายเขา แต่เธอกลับเจ็บไปกับเขา .. ซึ่งฉันเองก็เจ็บ .. ลาก่อน
ฉันทนรักเธอไม่ไหวแล้วซองมิน เดิมทีฉันคิดว่ามันจะคุ้มค่าที่จะได้เธอคืนมา ..
แต่เปล่าเลย ทุกอย่างมันตรงกันข้าม
สุดท้ายฉันก็แพ้และเสียเธอไปอยู่ดี ..” เมื่อเซอึนพูดจบ
เธอก็หันหลังเดินกลับเข้าห้องของเธอไปพักใหญ่ จากนั้นเธอก็หอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตออกมาจากในห้อง
คล้ายกับว่าเธอเตรียมการและคิดคาดเดาผลลัพธ์ที่ได้เอาไว้นานแล้วว่ามันจะสามารถออกมาในรูปแบบไหนได้บ้าง
เธอถึงได้จัดเตรียมทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม
“ลาก่อนซองจิน .. ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา
.. เรื่องระหว่างเรามันดีที่สุดแล้ว ถ้าหากเราจะเป็นพี่น้องกัน
..” เซอึนบอกกับซองจินที่ยืนนิ่งอยู่ตรงบันได
จากนั้นเธอก็เดินออกไปจากบ้านของเรา โดยที่ซองจินก็ทำได้แค่มองตามและเดินเข้าห้องและเก็บตัวเงียบไป
คล้ายกับว่าเขาตัดสินใจยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นได้
และคงต้องใช้เวลาสักพักในการทำใจ ส่วนผมก็ได้แต่โอบกอดไอ้คยูเอาไว้
เพราะตอนนี้มันร้องไห้จนแทบจะไม่มีน้ำตาให้ร้องแล้ว เพราะสิ่งที่มันเจอในตอนนี้
ก็แย่มากจริงๆ
ผมจึงได้แต่คอยจูบซับน้ำตาให้มันด้วยหัวใจที่หนักอึ้งอยู่ตรงที่เดิม
..
“กูอยากไปสวนสาธารณะว่ะ .. มึงไปกับกูได้ไหม ?” เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าไอ้คยูมันจะขยับตัว และเลิกร้องไห้
“เอาสิ
แต่มึงไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่ามั้ย สารรูปดูแทบไม่ได้ ..” ผมตอบ พลางพยักเพยิดให้มันเดินลงไปล้างหน้าล้างตาข้างล่าง
ก๊อก ก๊อก ..
พอไอ้คยูมันเดินลงไปข้างล่าง
ผมก็ลุกขึ้นไปเคาะประตูห้องของซองจิน เพราะผมอยากรู้ว่าตอนนี้น้องเป็นยังไงบ้าง
จะโอเคไหมกับเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น …
“เปิดประตูหน่อยซองจิน ..” ผมเคาะประตูพลางร้องเรียก
ไม่นานนักซองจินก็เปิดประตูออกมาด้วยสภาพที่มองดูก็รู้ว่าไม่โอเค ..
“ไม่เป็นไรนะ ..” ผมปลอบพลางลูบหัวซองจินเบาๆ
“พี่ผมขอโทษ ...ผมไม่คิดว่าเรื่องนั้น
มัน …” ซองจินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ผมไม่อยากจะสนใจอะไรแล้ว เพราะตอนนี้เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว
มันคงไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องมาสนใจถึงสาเหตุของมันอีก ..
“ช่างเถอะซองจิน ไม่ว่านายจะรู้เรื่องนั้นมาจากใคร
จะจริงหรือไม่จริง สุดท้ายมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ส่วนคำขอโทษของนาย พี่ก็ได้แค่รับฟังเท่านั้น
.. เพราะสำหรับพี่ ขอแค่นายยังโอเค พี่ก็สบายใจแล้วซองจิน ..” ผมตบไหล่น้องพลางพูดบอกอย่างปลงตก
เพราะตลอดเวลาที่ผมนั่งนิ่งๆอยู่เคียงข้างไอ้คยู มันก็ทำให้ผมคิดอะไรได้อีกเยอะ
ที่คนเขาพูดกันว่า อดีตไม่เคยทำร้ายใคร
ผมเองก็เห็นด้วย แต่คงต้องมีข้อยกเว้นสักหน่อยว่า อดีตที่พูดถึง
มันจะต้องเป็นอดีตที่ขาวสะอาด เพราะถ้าหากมันไม่ขาวสะอาด สักวันอดีตที่ว่านั่นก็จะสร้างความเดือดร้อนได้ในอนาคต
“ผู้หญิงคนนั้นไม่คู่ควรให้นายรักหรอกนะ
หรือแม้แต่จะเสียใจก็ยังไม่คู่ควรเลย ..” ผมบอกซองจินอย่างจริงจัง
“ครับ .. เขาไม่คู่ควรเลย ..
ไม่คู่ควรเลยจริงๆ” ซองจินพูดย้ำซ้ำไปซ้ำมา
คล้ายกับต้องการจะบอกตัวเองให้จดจำเอาไว้ว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
และผลลัพธ์มันออกมาในรูปแบบไหน ..
“ผมฝากขอโทษไอ้พี่มันด้วยนะ ทั้งๆที่ไอ้พี่มันก็ดีกับผมและกับพี่
แต่ผมกลับมองเห็นแค่อดีตที่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว เพราะผมทั้งเกลียดไอ้พี่มันที่ทำร้ายเซอึนและผมก็เป็นห่วงพี่
ผมถึงได้ทำอะไรโง่ๆจนมันเข้าล็อคตามที่เซอึนวางเอาไว้..”
ซองจินบอกอย่างรู้สึกผิด ส่วนผมก็อมยิ้มรับคำขอโทษนั้นมาด้วยความเต็มใจ
“พี่ครับ .. ผมขอเสียใจแค่วันนี้ได้ไหม
.. วันเดียวเท่านั้นที่ผมจะเป็นแบบนี้ ..แล้วผมจะลืมทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา”
“ได้สิซองจิน .. แต่นายไม่จำเป็นต้องลืมมันให้หมดหรอกนะ
จดจำแค่ส่วนที่ดีก็พอ ส่วนไหนไม่ดีก็อย่าไปจำเลย
เพราะพี่ก็จะจำแค่ช่วงเวลาที่เซอึนเป็นเพื่อนที่ดีของพี่เหมือนกัน ..” ผมบอกซองจินอย่างนั้น เพราะผมก็เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่า
ถ้าหากใจของผมมันเต็มไปด้วยความโกรธผมก็คงจะไม่มีวันเป็นสุข ฉะนั้นผมก็ควรจะปล่อยเธอไป
ต่อให้ผมเคืองขุ่นกับพฤติกรรมในครั้งนี้ของเธอและอยากเอาคืนแค่ไหน ผมก็จะขอนิ่งเฉยและจดจำแค่เรื่องดีๆของเธอเท่านั้น
ส่วนเรื่องไม่ดี ผมขอไม่จดจำจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นใจของผมก็คงจะว้าวุ่น
เพราะแค่นี้ผมก็ว้าวุ่นมากพออยู่แล้ว ..
ระหว่างผมกับเธอ แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่เธอทำเอาไว้มันเกินไปในความคิดของผม
แม้ว่าเธอจะทำไปเพราะรักและไม่อยากเสียผมไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจที่มีคนมาทุ่มเทความรักให้ขนาดนี้
เพราะสำหรับผม ความรักมันควรจะอยู่ในปริมาณที่พอดี ..
ซึ่งความรักระหว่างผมกับไอ้คยูมันก็อยู่ในปริมาณนั้นแล้ว
..
ผมถึงได้บอกว่า สำหรับผม
ขอแค่คนที่พอดีก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องดีพอ ..
“นอกจากมึง
กูก็ไม่เหลือใครอีกแล้วมิสเทค” ไอ้คยูมันห้อยหัวกับบาร์เหล็ก
เพื่อห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
เมื่อมันเริ่มจะคิดได้แล้วว่าร้องไห้ไปก็เสียเวลาเปล่า มันก็เลยอยากจะมาที่นี่
มันบอกผมว่าตอนนั้นมันคุมสติเอาไว้ไม่ได้จริงๆ
เพราะไม่ว่ามันพยายามจะอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังยังไง พวกท่านก็ขอร้องให้มันหยุด
ซ้ำยังร้องไห้เสียใจกับพฤติกรรมในอดีตของมันด้วยความผิดหวังอีกครั้ง
เมื่อพ่อกับแม่ของมันก็เพิ่งจะทราบว่าลูกตัวเองในช่วงที่ย้ายไปอยู่ที่คอนโดจะอาการหนักกว่าตอนที่ไม่ได้อยู่ในสายตาขนาดนั้น
พวกท่านก็เลยเสียใจ เมื่อพฤติกรรมพวกนั้นมันทำให้ใครก็ไม่รู้สามารถกุเรื่องHIV มาหลอกลวงทุกคนได้
พวกท่านบอกมันว่าพวกท่านไม่ต้องการผลตรวจยืนยันอะไรทั้งนั้น
เพราะมันไม่จำเป็น ในเมื่อสิ่งที่ทำให้พวกท่านเสียใจและโกรธมากๆ
มันเป็นเพราะพฤติกรรมของมันที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยงจนถึงขนาดที่สามารถเอาเรื่อง HIV เข้ามาเกี่ยวข้องได้
แต่ไอ้คยูมันไม่ยอม มันกลับโวยวายไม่ให้เวลาพวกท่านได้ทำใจ คุณพ่อก็เลยตบหน้ามัน และยังบอกอีกว่า
ถ้าให้เวลาพวกท่านไม่ได้ ก็แค่ให้มันกลับไปทำตัวไม่ใส่ใจคำพูดของพวกท่านเหมือนเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน
ตอนนั้นมันบอกผมว่ามันช็อคมาก หน้าชาจนแทบไม่มีความรู้สึก ยิ่งพี่อาราไม่พูดอะไรสักอย่างเพื่อช่วยมันแก้ต่างเหมือนทุกครั้ง
ไอ้คยูก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมันเคว้งคว้าง มันถึงได้เสียสติขนาดนั้น
เพราะไม่มีใครอยู่เคียงข้างมันเลย ในเมื่อทุกคนต่างก็ต้องการเวลา ด้วยกันทั้งนั้น ..
“คยูใครบอกว่ามึงไม่เหลือใคร .. มึงยังมีพ่อกับแม่และพี่อาราอยู่
แต่ที่พวกท่านพูดออกไปแบบนั้น เพราะมึงไปเร่งรัดท่านเกินไป
มึงต้องเข้าใจนะว่ามันก็ยากที่จะยอมรับได้ ซึ่งกูขอบอกตามตรงว่าตัวกูก็ใช่ว่าจะรู้สึกดีที่มึงเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น
แต่ในเมื่อมันเป็นอดีต กูก็แค่พยายามจะมองข้ามมันไปและโฟกัสที่ปัจจุบัน
คนเรามันมีความคิดไม่เหมือนกัน กูอาจจะมองอีกมุมนึง
พ่อกับแม่ของมึงอาจจะมองอีกมุมนึง .. ก่อนมึงจะมาที่นี่พี่อาราโทรมาหากู
พี่เขาเป็นห่วงมึงนะ แต่ที่พี่เขาไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย และปล่อยให้มึงลอยลำแบบนี้
เพราะพี่เขาก็เข้าใจเหมือนกับมึงว่าพ่อกับแม่โกรธมาก พี่เขาอาจจะกำลังรอให้ต่างฝ่ายต่างใจเย็นหรือเปล่า
.. หรือถ้าไม่ใช่บางทีพี่เขาอาจจะเข้าใจไปแล้วก็ได้ว่าพ่อกับแม่โกรธทั้งพี่เขาแล้วก็มึง
เพราะน้ำเสียงตอนนั้นของพี่อาราดูไม่ค่อยดีเลย พี่เขาพูดเหมือนเขาหาทางออกไม่เจอ .. อย่าลืมนะคยู พี่อาราคือคนที่ให้ท้ายมึงมาตลอด พี่เขาคงจะรู้สึกผิดกับหลายๆอย่าง
มึงต้องให้เวลาพวกเขานะ .. มึงทำได้กูรู้ ..” ผมประกบมือทั้งสองข้างลงบนข้างแก้มของไอ้คยูที่ห้อยหัวกับบาร์เหล็ก
พร้อมกับพูดให้มันฉุกคิดว่าที่จริงทุกอย่างมันก็ไม่ได้เลวร้าย
เพียงแต่ตอนนั้นทุกคนต่างก็ร้อนใจ
ถึงได้ไม่เข้าใจเหตุผลและความต้องการของกันและกันว่าทำไมถึงต้องเร่งรัด
ทำไมถึงต้องการเวลา ..
“มิสเทค ..” ไอ้คยูมันม้วนตัวกลับ แล้วก็นั่งยองๆตรงหน้าของผม
“อะไร ?”
“กูมันอ่อนแอ
ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้มึงได้ กูละอายใจว่ะ มีปัญหาอะไรกูก็ทำได้แค่ร้องไห้
เพราะปัญหาของกูมันติดอยู่ที่อดีต ..”
ไอ้คยูมันพูดพลางจับมือของผมไว้
“มึงไม่จำเป็นต้องเป็นที่พึ่งให้กูฝ่ายเดียว
เป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว กูโอเคถ้าเวลามึงล้มกูจะเป็นหลักให้มึง และเวลาที่กูล้มมึงก็เป็นหลักให้กูเหมือนอย่างตอนนั้น
กูไม่อยากให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องแบกรับความทุกข์อยู่ฝ่ายเดียว
เราแชร์กันแบบนี้มันก็แฟร์ๆแล้ว ..” ผมบอกมันให้เข้าใจ
เพราะผมไม่ได้คิดอะไรมากสำหรับเรื่องนี้
ในเมื่อเราต่างก็เป็นคนที่พอดีด้วยกันทั้งคู่ มันเลยไม่จำเป็นจะต้องกำหนดกฏเกณฑ์ว่าใครจะเป็นที่พึ่งให้ใคร
“กูสบายใจขึ้นเยอะ
ใครบอกว่าการร้องไห้มันไม่ช่วยอะไรวะ อย่างน้อยมันก็ทำให้กูหายอึดอัดได้บ้าง ..”
“กูถึงไม่ห้ามทั้งมึงทั้งซองจินให้ร้องไห้ไง
เพราะมันก็สามารถช่วยได้จริง แม้ว่ามันจะเป็นวิธีระบายความรู้สึกที่ดูจะไม่มีหัวคิดไปหน่อย
.. ไม่อยากบอกเลยว่ากูคิดว่าการร้องไห้มันก็มีประโยชน์ ก็ตั้งแต่ตอนที่มึงบอกให้กูร้องถ้ากูอยากร้องนั่นแหละ
..” ผมยิ้มพลางกระชับมือของมันให้แน่นขึ้น
“หึ .. ไม่อยากบอกแล้วบอกกูเพื่อ
?” ไอ้คยูคนกวนตีนคนเดิมมันกลับมาแล้ว
เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจที่มันมีสติได้เร็วกว่าครั้งแรกที่ทะเลาะกับพ่อแม่
“กูกลายเป็นคนเซนซิทีฟก็ตั้งแต่ตอนที่กูเริ่มแคร์ความรู้สึกพ่อแม่พี่อารานี่แหละ
กูถึงได้เป็นแบบนี้ แต่ก่อนกูเคยโดนมากกว่านี้ อย่างมากก็แค่นอยด์ คิดแต่ว่าจะทำตัวให้ดีขึ้น
แต่สุดท้ายก็ดีแตก .. ตอนนั้นกูยังติดการใช้ชีวิตแบบเด็กๆอยู่มั้ง
อารมณ์รักสนุกด้วยก็เลยไม่ค่อยแคร์ ปกติตอนเด็กๆกูจะเชื่อที่พ่อกับแม่พูดตลอด
มันเหมือนอารมณ์อยากลองของ ยิ่งห้ามคือยิ่งยุ”
“สิ่งนึงที่ทำให้กูยอมรับมึงได้
เพราะมึงยังรู้ว่าตัวเองผิด มึงไม่ได้โทษสภาพแวดล้อมหรือโทษคนอื่น แล้วมึงก็พร้อมที่จะแก้ไขปัจจุบันให้ดีขึ้น
ต่างกับเซอึนกูรู้สึกผิดหวังที่เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด เธอเอาแต่โทษสภาพแวดล้อม
อ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อสนับสนุนความคิดของตัวเองว่ามันดีแล้ว มันถึงยากที่กูจะให้อภัยได้แบบสนิทใจ
อีกอย่างกูไม่ได้ดีใจเลยที่เขารักกูมากขนาดนี้
มันเป็นความรักที่มากเกินพอดีจนกูรู้สึกกลัว .. พอตามตรงที่จริงกูไม่ได้คิดจะปล่อยให้เธอเดินจากไปโดยที่กูไม่ได้เอาคืนหรอกนะ
ความกดดันทุกอย่างที่กูต้องเผชิญ เธอควรได้รับรู้ว่ามันแย่แค่ไหน แต่กูก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร
กูถึงปล่อยไป .. และกูก็อยากให้มึงคิดเหมือนกู
เพราะมันไม่มีประโยชน์จริงๆ”
“มิสเทค .. กูรักมึงนะ ..
”
“มึงเป็นคนที่พอดีสำหรับกู
จำไว้นะ ..” ผมยื่นใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับใบหน้าของมันที่ก็เลื่อนเข้ามาโดยอัตโนมัติ
พร้อมกับบอกให้มันจดจำเอาไว้ให้ดี มันจะได้ไม่คิดมาก
ขณะที่สายตาอันพร่ามัวของผมก็มองไปที่ดวงตาของมันในระยะประชิด
จนจุดโฟกัสมันเลือนหายไป
แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของมันที่บอกว่ารักผมก็ยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึกอยู่ดี ..
“ครับ .. กลับกันเถอะ กูเป็นห่วงน้องมึง ท่าทางก็คงไม่โอเคเท่าไหร่หรอกมั้ง..” ไอ้คยูมันบอกพลางถอยห่างออกจากผมและลุกขึ้นยื่น
พร้อมกับส่งมือมาให้ผมจับยึด
“อืม .. ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะ
..” ผมวางมือลงบนฝ่ามือของมัน
แล้วจากนั้นมันก็ดึงตัวผมให้ยืนขึ้นจนเต็มความสูง
พร้อมกับก้าวเดินไปที่รถโดยที่มือของเราก็ยังคงจับกุมกันเอาไว้อย่างแนบแน่น ..
สำหรับผม แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว …
เพราะฝ่ามือของมัน อบอุ่นสำหรับผมเสมอ ..
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
มาอัพต่อจนเต็มตอนแล้ว หวังว่าจะเบาใจไปได้เยอะ ไม่มีอะไรแล้ว
ทุกอย่าง คือเรื่องที่กุขึ้นมา และด้วยระยะเวลาเกือบปี ดังนั้นถ้าจะเป็นคือก็ต้องตรวจเจอแล้วค่ะว่าเป็นจังๆแน่ๆเพราะมันเข้าสู่ ระยะที่สามของโรคแล้วกับระยะเวลาหลังจากที่เลิกรากับคนเก่าไป
อันนี้เสริม
* ระยะที่ 1 เริ่มตั้งแต่รับเชื้อไปจนถึง 1-2 เดือน ระยะนี้ ผู้ติดเชื้อจะไม่รู้ตัวเลยหากไม่ตรวจเลือดให้
ถูก วิธีและการตรวจเลือดตามวิธีปกติจะให้ผลลบ ทำให้เข้าใจผิดว่าไม่ได้ติดเชื้อ ทำให้ผู้ที่เพิ่งติดเชื้อชะล่าใจและแพร่เชื้อต่อไปได้ โดยทั่วไปในผู้ที่มีผลเลือดเป็นลบและมีพฤติกรรมเสี่ยง หมอจะให้ตรวจหาแอนติบอดีซ้ำอีกครั้งในอีก 6-12 เดือนต่อมา
* ระยะที่ 2 จะเริ่มมีไข้ มีผื่นตามตัว ปวดตามข้อ เบื่ออาหาร หากรักษาตัวในโรงพยาบาลและมีการตรวจเลือด
ก็ จะพบว่าเพิ่งติดเชื้อ HIV ไม่นาน ระยะนี้กินเวลาประมาณ 1-4 เดือนหลังจากติดเชื้อ แต่ว่าก็มีผู้ติดเชื้ออีกส่วนหนึ่งในระยะที่ 1 จะผ่านระยะที่ 2 ไปได้โดยไม่มีอาการ จนเข้าสู่ระยะที่ 3
* ระยะที่ 3 เป็นเวลาที่เชื้อค่อยๆ ทำลายภูมิคุ้มกันนาน 3-10 ปี จนภูมิคุ้มกันบกพร่องเต็มที่ ก็เข้าสู่ระยะที่ 4 ซึ่ง
เป็นเอดส์ ระยะที่ 3 นี้เป็นระยะที่อันตรายสำหรับการแพร่เชื้อ เพราะผู้ติดเชื้ออาจจะไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเนื่องจากไม่มีอาการใดๆ
* ระยะที่ 4 คือ เป็นโรคเอดส์ ผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการจากโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่ไม่ก่อโรคในคนปกติ
หรือป่วยเป็นมะเร็ง เพราะภูมิคุ้มกันชนิดพึ่งเซลล์บกพร่อง
[Fic KyuMin - Special] Teach about Mistake – Sungmin Part (3)