เพาะรัก
✈
33✈
กว่าที่ Rania รุ่นที่ 713 อย่างพวกเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฏีความปลอดภัยบนเครื่องบินประเภท
Airbus และ Boeing รุ่นต่างๆจนครบก็ปาเข้าไปตั้งสองอาทิตย์เหมือนที่คุณลูกเรือรุ่นพี่เขาพูดไว้ไม่มีผิด
กระทั่งการสอบผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการฝึกซ้อมในภาคปฎิบัติ
ซึ่งในคลาสนี้จะมีทั้งอาจารย์ผู้ฝึกสอนและเหล่า crew รุ่นพี่มาร่วมตัดสินการแก้ไขสถานการณ์ของพวกเรา
แถมยังมีข่าวแว่วๆมาด้วยว่า คลาสนี้จะมีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงเข้ามาร่วมดูการฝึกซ้อมด้วย
ทำเอาเพื่อนๆร่วมคลาสต่างพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่
สำหรับคลาสภาคปฏิบัติที่ว่านี้ พวกเราจะต้องย้ายมาเรียนกันที่ห้องจำลองเครื่องบิน
ซึ่งห้องๆนี้ก็เป็นห้องที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เพราะหลังจากสอบภาคทฤษฏีไปเมื่อสามวันก่อน พวกเราทั้งหมดก็มีโอกาสได้ลองฝึกปฏิบัติอยู่หลายคลาส
จนกระทั่งวันนี้จะเป็นวันที่เราไม่มีอาจารย์พี่เลี้ยงมาคอยบอกกล่าวหรือแนะนำอะไรใดๆอีกแล้ว
เพราะชั่วโมงนี้จะมีก็แค่เหล่า Rania อย่างพวกเราที่จะต้องสวมบทบาทเป็นลูกเรือของสายการบิน Royal Etihad Airline ที่จะต้องคอยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่เสมือนจริง
โดยปฏิบัติตามทฤษฏีที่เราได้เรียนรู้มาให้ถูกต้องและแม่นยำ
เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอาชีพในงานด้านสายการบิน
“start!” สิ้นเสียงแห่งการเริ่มคลาส
สัญญาณเตือนภัยที่บ่งบอกว่าเครื่องบินประจำเที่ยวบินนี้กำลังประสบภาวะฉุกเฉินก็ดังขึ้นจนทั่วลำ
อีกทั้งสัญญาณไฟต่างๆก็ไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้กลุ่มควันก็ยังพากันลอยโขมงอบอวลไปทั่วห้องโดยสาร
ซ้ำร้ายตัวเครื่องก็ยังสั่นสะเทือนอย่างแรงด้วยเพราะเหตุเครื่องยนต์ขัดคล่อง ฝ่ายลูกเรืออย่างเราเมื่อพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้
ตามทฤษฎีเมื่อเครื่องจอดสนิท เราจะต้องคอยสังเกตภาวะรอบตัว
เพื่อเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากกัปตัน หากต้องมีการอพยพออกจากเครื่อง
เราจะต้องรีบเปิดประตูฉุกเฉินพร้อมกับปล่อยสไลด์ฉุกเฉินให้เร็วที่สุด
เพื่อให้ผู้โดยสารหาทางหนีออกจากเครื่อง
โดยที่พวกเราจะต้องรอให้ผู้โดยสารหนีออกจากเครื่องจนครบจึงจะสามารถหลีกหนีออกมาจากสถานที่อันตรายแบบนั้นได้
และในบางสถานการณ์ลูกเรืออย่างเราๆก็จะต้องสลัดคราบผู้ให้บริการมาเป็นผู้ผจญเพลิงแทน
ซึ่งหลักการดับเพลิงเบื้องต้น เราเองก็ต้องเรียนรู้ให้ชำนาญ จึงทำให้ในคาบเรียนปฏิบัติเราจะต้องฝึกการใช้ถังดับเพลิงในรูปแบบต่างๆ
ควบคู่ไปด้วย..
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด…
ด่านถัดมาที่พวกเราจะต้องพบเจอ
ก็คือการสาธิตการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยตามที่มีคลิปวีดิโอสำหรับแนะนำผู้โดยสาร
ซึ่งในคลาสเราจะต้องเป็นฝ่ายพูดแนะนำร่วมกับกัปตันฝึกหัด และสาธิตการใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยเพียงคนเดียวจนเสร็จสิ้น
โดยผู้โดยสารที่เราจะต้องทำการแนะนำก็คือเหล่าผู้ตัดสินชะตาชีวิตของเรานั่นเอง
“Ladies and gentlemen, welcome on board. Your
safety is our priority. Please watch this safety demonstration from our flight
attendants carefully (สวัสดีครับ ท่านผู้โดยสาร
ยินดีต้อนรับสู่เที่ยวบินนี้
เพื่อความปลอดภัยของท่านโปรดให้ความสนใจชมสาธิตการใช้อุปกรณ์ต่อไปนี้จากพนักงานต้อนรับของเรา)” กัปตันฝึกหัดอย่างปาร์คชานยอลเริ่มพูดประโยคอันยาวเหยียดขึ้นมาอีกครั้งเพราะเนื่องจากในคลาสเรียนรุ่น
713 นี้มีเพียงแค่ชานยอลคนเดียวที่เป็นนักบินฝึกหัดคนล่าสุด
“Welcome to Royal Etihad Airline.For your safety, please place your
hand luggage in the overhead compartment or under the seat in front of you. (ขอต้อนรับสู่สายการบินรอยัลเอทิฮัต กรุณาเก็บสัมภาระในช่องเก็บเหนือศีรษะหรือใต้ที่นั่งด้านหน้า)” ผมกล่าวข้อความอันยาวเหยียดที่จะต้องพูดด้วยความรวดเร็ว
แต่เพราะความตื่นเต้นจึงทำให้พูดได้ไม่คล่องนัก
“Prior keep your seatbelt, window shades must be pulled up. Please
keep your seatbelt fastened low and tight when seated at all times. To release
your seatbelt, just lift the latch (ท่านผู้โดยสารครับ
ก่อนเครื่องบินขึ้นและลง กรุณาเปิดหน้าต่างทุกบาน เมื่อนั่งประจำที่กรุณารัดเข็มขัดให้กระชับตลอดเวลา
นี่คือวิธีการปลดเช็มชัดที่นั่งครับ)” พอหลังจากที่ผมพูดจบ
ก็เริ่มสาธิตการปลดสายเข็มขัดให้ท่านผู้โดยสารจำเป็นที่ตอนนี้ได้เข้ามานั่งรวมกลุ่มกันอยู่บนเครื่องบินจำลองเล็กๆลำนี้จนครบทุกที่นั่ง
จากนั้นก็ถึงคราวกัปตันฝึกหัดต้องฝึกพูดต่อ
แต่เพราะความที่ชานยอลพูดมาหลายรอบแล้วจึงทำให้เขาพูดได้คล่องมากขึ้น
“Cabin air pressure is controlled for your comfort. In case of
emergency, an oxygen mask will be automatically released from above. Secure the
mask over your nose and mouth with the straps, and breathe normally; continue
wearing it until further notice. (ความดันอากาศในห้องโดยสารนี้
ปรับไว้เพื่อความสบายของท่าน ในกรณีฉุกเฉิน หน้ากากออกซิเจนจะปล่อยลงมาโดยอัตโนมัติ
สวมหน้ากากครอบปากและจมูก ดังสายรัดให้แน่นแล้วหายใจตามปกติ
สวมไว้จนกว่าจะแจ้งให้เลิกใช้)” หลังจากพูดจบผมก็หยิบหน้ากากออกซิเจนครอบปากและจมูกตามหลักทฤษฏีในเรื่องของความปลอดภัยทุกกระเบียดนิ้ว
จากนั้นก็กวาดสายตามองผู้โดยสารเพื่อสื่อสารทางสายตาว่าเขาเข้าใจที่เราแนะนำหรือไม่
จึงทำให้ผมมองเห็นร่างสูงแสนคุ้นหน้าคุ้นตาที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งแถวหลังสุด
โดยผู้ชายคนนั้นเขาสวมใส่เครื่องแบบของลูกเรือประจำสายการบินที่ผมกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับระบบต่างอยู่นี้
คาดว่าลูกเรือคนดังกล่าวคงจะเพิ่ง landing มาแน่ๆ
กระทั่งผมสาธิตจนครบถ้วน
ผมจึงต้องไปนั่งบริเวณแถวหลังสุดแทนเพื่อนคนถัดมาที่จะต้องออกมาสาธิตแทนผม
เลยทำให้ผมต้องพาตัวเองไปนั่งข้างๆคุณลูกเรือของสายการบินอาหรับที่เขาทำเป็นมุ่งความสนใจไปที่การสอบย่อยๆด้านหน้า..
“…” ผมนั่งมองการกระทำของพี่คยูด้วยความงุนงง
เพราะทีแรกพี่เขาทำเหมือนกับไม่สนใจต่อการปรากฏตัวของผมสักเท่าไหร่
แต่พอผมเริ่มตั้งใจดูเพื่อนที่กำลังสาธิตความปลอดภัยบนเครื่องบินคนแล้วคนเล่า
ฝ่ามือหนาของคุณลูกเรืออาหรับเขาก็เลื่อนเข้ามากอบกุมฝ่ามือของผมไว้
แล้วจากนั้นอะไรบางอย่างก็วางอยู่บนมือของผม
“ของฝาก” พี่เขาพูดเพียงเบาๆ
ขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังด้านหน้าสุดของคลาสเรียนนี้
“ตาสีฟ้าของชาวตุรกี” พี่ตอบพลางหันมาจ้องมองผม
“…”
สายตาที่มีแต่คำถามของผมกำลังมองตอบสายตาคมอย่างสงสัยเพราะคำเฉลยที่ว่านั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมคลายความงุนงงได้สักนิด
“สมัยฮิตไทต์เขาเชื่อว่าตาสีฟ้าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้..”
พี่เขาฉีกยิ้มกว้างคล้ายกับเด็กได้ของเล่นเมื่อยามพูดไปถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ตัวเองชื่นชอบ
“ถึงไม่มีตาสีฟ้า แต่เรื่องร้ายๆก็คงไม่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผมอีกแล้วล่ะครับ..”
ผมตอบพลางเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือหนาของคุณลูกเรือที่กำลังใช้มือข้างที่ว่างเกาแก้มของตัวเองป้อยๆ
“…”
“อยู่ที่นี่ถึงจะเหงาไปบ้าง
แต่ผมก็มีความสุขดีนะครับ..”
ผมตอบพลางปล่อยฝ่ามือของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ
จากนั้นผมลุกขึ้นยืนและเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ
โดยที่กระเป๋าเสื้อด้านหนึ่งผมได้เก็บดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกีเอาไว้อย่างทะนุถนอม..
หลังจากมีการแนะนำแลกเปลี่ยนความรู้กับลูกเรือรุ่นพี่ไปกว่าสามชั่วโมง
ก็ถึงคราวที่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายสามารถกลับไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย
ส่วนลูกเรือฝึกหัดอย่างพวกเราก็ต้องอยู่ร่วมกันสรุปความรู้ต่างๆที่ได้รับกับอาจารย์ผู้สอนอีกพักใหญ่
ครอสแรกก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ผมที่ตัดสินใจจะกลับหอพัก จึงออกปากปฏิเสธคำชวนของชานยอลที่บอกว่าจะไปหาอะไรทานด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์
ตี๊ด---
ผมรีบก้าวยาวๆ เท่าที่ขาสั้นๆของผมจะก้าวได้
จนในที่สุดผมก็มายืนหอบแฮ่กๆอยู่ในห้องชุดขนาดใหญ่ของคุณลูกเรืออาหรับเขาแล้ว
และเมื่อเดินลึกเข้ามา
ผมก็เห็นกระเป๋าเดินทางที่ยังไม่เก็บให้เป็นที่เป็นทางวางอยู่ข้างๆโซฟาสีขาวตัวยาว
กระทั่งปลายเท้าของผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟา
ผมก็มองเห็นร่างสูงของพี่คยูฮยอนที่สวมชุดยูนิฟอร์มของสายการบินอาหรับเอาไว้จนเต็มยศ
เพียงแต่ปลดกระดุมคอไว้สองเม็ดเพื่อความสบายกำลังหลับใหลอย่างอ่อนเพลีย
“คงจะเหนื่อย..” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ
จากนั้นก็ย่อตัวนั่งข้างๆโซฟาและจับจ้องไปยังร่างสูงตรงหน้าด้วยความเอ็นดู
พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไรผมของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทาง
จึงทำให้ผมสังเกตเห็นขอบตาอันดำคล้ำของคุณลูกเรืออาหรับได้อย่างชัดเจน สาเหตุก็มาจากการตรากตรำทำไฟล์ทบินติดๆกันจนขาดการพักผ่อนนั่นแหละ
“ฮาบีคิดถึงพี่เหรอ ถึงเอาแต่นั่งมองแล้วก็ยิ้มหวานใส่กันแบบนั้น?”
จู่ๆคนที่ผมคิดว่าเขาหลับก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ซ้ำยังถามคำถามจี้กลางใจเข้าอย่างจัง
“ครับ..” ผมยอมรับแต่โดยดี
เพราะตลอดสองอาทิตย์ที่เราขาดการติดต่อกันไป มันก็ทำให้ผมรู้สึกคิดถึงพี่เขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จูบได้ไหม?” จู่ๆพี่เขาก็ถามขึ้นมาโต้งๆ แต่การกระทำต่อจากนั้นไม่ได้แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังรอคอยในคำตอบ
ก็ทำให้ผมหลีกเลี่ยงความเก้อเขินที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายๆ
เพราะทันทีที่ถามจบพี่คยูก็รั้งท้ายทอยเข้าผมให้โน้มใบหน้าลงมาชิดใกล้กับใบหน้าคมของเจ้าตัวในระยะประชิด
กระทั่งริมฝีปากของเราค่อยๆแตะสัมผัสกันเบาๆ จากนั้นสัมผัสหว่านล้อมชวนเคลิ้มฝันก็พาเอาสติของโบยบินไปไกลแสนไกล
“อ..อื้อ..” ผมร้องประท้วงเมื่ออากาศหายใจมันเริ่มจะเหลือน้อยลงเต็มที
เพราะพี่เขาเล่นเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นหนากับปลายลิ้นเล็กของผมอย่างอ้อยอิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก่อนจะปรับเปลี่ยนจังหวะเป็นเร่าร้อนรุนแรงเมื่อผมเผลอตอบรับสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล
“แฮ่กๆ” ไม่นานสัมผัสอันแสนยาวนานก็จบลง
เราจึงต่างฝ่ายต่างหอบหายใจแข่งกันทั้งๆที่ใบหน้าก็ร้อนเห่อ
“…”
“อ๊ะ!” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ
เมื่อจู่ๆพี่เขาก็ตวัดตัวผมขึ้นมานอนคล่อมทับร่างของเขาไว้
“คุณยังฝันร้ายอยู่ไหม?” ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบข้างแก้มของผมเบาๆ
พลางทอดเสียงนุ่มถามอย่างเป็นกังวล
“ไม่ครับ..” ผมตอบพลางส่ายหน้ายิ้มๆ
“โกหกเอาใจกันหรือเปล่าฮาบี ? พี่คิดมาตลอดการทำไฟล์ทเลยนะ
เพราะก่อนเราจะย้ายมาอยู่ที่นี่พี่ก็โฆษณาเอาไว้อย่างสวยหรู แต่ในความเป็นจริง
พี่ดันต้องทิ้งเราไว้ที่นี่คนเดียว..” พี่เขาย้อนถาม
พลางจูบหลังมือของผมเล่น ทำเอาตัวผมชาวาบเพราะอาการเก้อเขิน
“ไม่ครับ ผมไม่ได้โกหกจริงๆนะ.. ถึงจะเหงาไปบ้าง แต่ก็มีความสุขดีครับ
เจ้าเบดเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนะ” ผมตอบพลางยกยิ้ม
“…”
“ผมไม่ฝันร้ายหรอกครับ
เพราะผมมีตาสีฟ้าที่อยู่ตรงหน้านี้ทั้งคน..” ผมตอบโดยใช้คำพูดเปรียบเปรยอ้างไปถึงดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกีที่พี่เขาบอกว่ามันสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ
กับผู้ชายร่างสูงที่ชอบใช้ชีวิตติดดินและยังชอบทำตัวเป็นอากาศรอบๆตัวผม
ซึ่งการกระทำของพี่เขามันก็ไม่ต่างกับดวงตาที่จะสามารถมองเห็นได้ทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี
“…”
“ตาสีฟ้าของผม ถึงจะไม่ได้เป็นเครื่องรางที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
แต่เขาก็เป็นความอบอุ่นที่ค่อยๆเพาะรักให้เติบโตขึ้น จนผมค่อยๆเข้มแข็ง..”
ผมกลั้นใจจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมอันสั่นไหวที่ค่อยๆแน่วแน่ของร่างสูง
“…”
“พี่รู้หรือเปล่าครับ..”
“…”
“ตั้งแต่ผมมีตาสีฟ้าที่ชื่อโจวคยูฮยอน จากฝันร้าย
ก็ค่อยๆกลายเป็นดีแบบนี้ไง..”
The end ✈
* Rania (ชื่อเรียกนักเรียนฝึกหัดในเรื่อง) ภาษาอาราบิกแปลว่า การใส่ใจ
*ดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกี (Evil eye หรือ Nazar Boncugu นาซาบองชุก) เป็นของที่ระลึกที่นิยมในตุรกีค่ะ เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่คนตุรกีนิยมแขวนเอาไว้ตามบ้าน โดยเฉพาะตามทางเข้าบ้าน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ความเชื่อในเรื่องดวงตาแห่งความชั่วร้ายมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์และฮิทไทต์ โดยเชื่อว่าถ้าปักลวดลายคล้ายกับดวงตาบนฉลองพระองค์ของกษัตริย์จะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้หมดไป (ตามเรื่องเป็นของฝากที่ไม่มีอะไรมาก แต่ก็เป็นของฝากที่ละเอียดอ่อนเพราะคยูเลือกซื้อในสิ่งที่ตัวเองสนใจให้กับฮาบีและมันก็สอดคล้องกับฮาบีเคยเจอแต่เรื่องร้ายๆ คนรักกันก็หวังอยากจะให้ฝันดีขึ้นบ้าง)
เราขอปิดเรื่องที่ตรงนี้นะจะได้ตรงกับคอนเซปเพาะรัก
เพราะตอนนี้ความรักของทั้งคู่ได้ก่อตัวขึ้นจนสำเร็จแล้ว
และขั้นต่อไปจะกลายเป็นเพราะรักแทน ซึ่งในส่วนพิเศษต่อๆไป
จะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของคยูในคราบของลูกเรือนะคะ
เพราะต่อไปฮาบีจะต้องได้ฝึกงานบนเครื่องด้วย สำหรับข้อมูลหากผิดพลาดประการใดบ้างต้องขออภัย
พยายามหาให้ละเอียดแล้วแต่ได้ประมาณนี้เอง ที่เรียนๆมาก็เริ่มลืมแล้ว 555
หลายคนอาจจะยังไม่สะใจกับบทเข้าพระเข้านางที่มันไม่ค่อยจะมี
แต่จะมีมากขึ้นในตอนพิเศษนะคะ อิอิ
[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 33 [End]