วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เพาะรัก
http://cdn2.stylecraze.com/wp-content/uploads/2014/04/Top-10-Symptoms-And-Home-Remedies-For-Evil-Eye.jpg 



33



กว่าที่ Rania รุ่นที่ 713 อย่างพวกเราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฏีความปลอดภัยบนเครื่องบินประเภท Airbus และ Boeing รุ่นต่างๆจนครบก็ปาเข้าไปตั้งสองอาทิตย์เหมือนที่คุณลูกเรือรุ่นพี่เขาพูดไว้ไม่มีผิด กระทั่งการสอบผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการฝึกซ้อมในภาคปฎิบัติ ซึ่งในคลาสนี้จะมีทั้งอาจารย์ผู้ฝึกสอนและเหล่า crew รุ่นพี่มาร่วมตัดสินการแก้ไขสถานการณ์ของพวกเรา
แถมยังมีข่าวแว่วๆมาด้วยว่า คลาสนี้จะมีกลุ่มผู้บริหารระดับสูงเข้ามาร่วมดูการฝึกซ้อมด้วย ทำเอาเพื่อนๆร่วมคลาสต่างพากันตื่นเต้นเสียยกใหญ่

สำหรับคลาสภาคปฏิบัติที่ว่านี้ พวกเราจะต้องย้ายมาเรียนกันที่ห้องจำลองเครื่องบิน ซึ่งห้องๆนี้ก็เป็นห้องที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะหลังจากสอบภาคทฤษฏีไปเมื่อสามวันก่อน พวกเราทั้งหมดก็มีโอกาสได้ลองฝึกปฏิบัติอยู่หลายคลาส จนกระทั่งวันนี้จะเป็นวันที่เราไม่มีอาจารย์พี่เลี้ยงมาคอยบอกกล่าวหรือแนะนำอะไรใดๆอีกแล้ว เพราะชั่วโมงนี้จะมีก็แค่เหล่า Rania อย่างพวกเราที่จะต้องสวมบทบาทเป็นลูกเรือของสายการบิน Royal Etihad Airline ที่จะต้องคอยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่เสมือนจริง โดยปฏิบัติตามทฤษฏีที่เราได้เรียนรู้มาให้ถูกต้องและแม่นยำ เพราะความปลอดภัยของผู้โดยสารถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับอาชีพในงานด้านสายการบิน

start!” สิ้นเสียงแห่งการเริ่มคลาส สัญญาณเตือนภัยที่บ่งบอกว่าเครื่องบินประจำเที่ยวบินนี้กำลังประสบภาวะฉุกเฉินก็ดังขึ้นจนทั่วลำ อีกทั้งสัญญาณไฟต่างๆก็ไม่สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้กลุ่มควันก็ยังพากันลอยโขมงอบอวลไปทั่วห้องโดยสาร ซ้ำร้ายตัวเครื่องก็ยังสั่นสะเทือนอย่างแรงด้วยเพราะเหตุเครื่องยนต์ขัดคล่อง ฝ่ายลูกเรืออย่างเราเมื่อพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตามทฤษฎีเมื่อเครื่องจอดสนิท เราจะต้องคอยสังเกตภาวะรอบตัว เพื่อเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งจากกัปตัน หากต้องมีการอพยพออกจากเครื่อง เราจะต้องรีบเปิดประตูฉุกเฉินพร้อมกับปล่อยสไลด์ฉุกเฉินให้เร็วที่สุด เพื่อให้ผู้โดยสารหาทางหนีออกจากเครื่อง โดยที่พวกเราจะต้องรอให้ผู้โดยสารหนีออกจากเครื่องจนครบจึงจะสามารถหลีกหนีออกมาจากสถานที่อันตรายแบบนั้นได้ และในบางสถานการณ์ลูกเรืออย่างเราๆก็จะต้องสลัดคราบผู้ให้บริการมาเป็นผู้ผจญเพลิงแทน ซึ่งหลักการดับเพลิงเบื้องต้น เราเองก็ต้องเรียนรู้ให้ชำนาญ จึงทำให้ในคาบเรียนปฏิบัติเราจะต้องฝึกการใช้ถังดับเพลิงในรูปแบบต่างๆ ควบคู่ไปด้วย..
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ด่านถัดมาที่พวกเราจะต้องพบเจอ ก็คือการสาธิตการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยตามที่มีคลิปวีดิโอสำหรับแนะนำผู้โดยสาร ซึ่งในคลาสเราจะต้องเป็นฝ่ายพูดแนะนำร่วมกับกัปตันฝึกหัด และสาธิตการใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยเพียงคนเดียวจนเสร็จสิ้น โดยผู้โดยสารที่เราจะต้องทำการแนะนำก็คือเหล่าผู้ตัดสินชะตาชีวิตของเรานั่นเอง
Ladies and gentlemen, welcome on board. Your safety is our priority. Please watch this safety demonstration from our flight attendants carefully (สวัสดีครับ ท่านผู้โดยสาร ยินดีต้อนรับสู่เที่ยวบินนี้ เพื่อความปลอดภัยของท่านโปรดให้ความสนใจชมสาธิตการใช้อุปกรณ์ต่อไปนี้จากพนักงานต้อนรับของเรา)” กัปตันฝึกหัดอย่างปาร์คชานยอลเริ่มพูดประโยคอันยาวเหยียดขึ้นมาอีกครั้งเพราะเนื่องจากในคลาสเรียนรุ่น 713 นี้มีเพียงแค่ชานยอลคนเดียวที่เป็นนักบินฝึกหัดคนล่าสุด
Welcome to Royal Etihad Airline.For your safety, please place your hand luggage in the overhead compartment or under the seat in front of you. (ขอต้อนรับสู่สายการบินรอยัลเอทิฮัต กรุณาเก็บสัมภาระในช่องเก็บเหนือศีรษะหรือใต้ที่นั่งด้านหน้า)” ผมกล่าวข้อความอันยาวเหยียดที่จะต้องพูดด้วยความรวดเร็ว แต่เพราะความตื่นเต้นจึงทำให้พูดได้ไม่คล่องนัก

Prior keep your seatbelt, window shades must be pulled up. Please keep your seatbelt fastened low and tight when seated at all times. To release your seatbelt, just lift the latch (ท่านผู้โดยสารครับ ก่อนเครื่องบินขึ้นและลง กรุณาเปิดหน้าต่างทุกบาน เมื่อนั่งประจำที่กรุณารัดเข็มขัดให้กระชับตลอดเวลา นี่คือวิธีการปลดเช็มชัดที่นั่งครับ)” พอหลังจากที่ผมพูดจบ ก็เริ่มสาธิตการปลดสายเข็มขัดให้ท่านผู้โดยสารจำเป็นที่ตอนนี้ได้เข้ามานั่งรวมกลุ่มกันอยู่บนเครื่องบินจำลองเล็กๆลำนี้จนครบทุกที่นั่ง จากนั้นก็ถึงคราวกัปตันฝึกหัดต้องฝึกพูดต่อ แต่เพราะความที่ชานยอลพูดมาหลายรอบแล้วจึงทำให้เขาพูดได้คล่องมากขึ้น
Cabin air pressure is controlled for your comfort. In case of emergency, an oxygen mask will be automatically released from above. Secure the mask over your nose and mouth with the straps, and breathe normally; continue wearing it until further notice. (ความดันอากาศในห้องโดยสารนี้ ปรับไว้เพื่อความสบายของท่าน ในกรณีฉุกเฉิน หน้ากากออกซิเจนจะปล่อยลงมาโดยอัตโนมัติ สวมหน้ากากครอบปากและจมูก ดังสายรัดให้แน่นแล้วหายใจตามปกติ สวมไว้จนกว่าจะแจ้งให้เลิกใช้)” หลังจากพูดจบผมก็หยิบหน้ากากออกซิเจนครอบปากและจมูกตามหลักทฤษฏีในเรื่องของความปลอดภัยทุกกระเบียดนิ้ว จากนั้นก็กวาดสายตามองผู้โดยสารเพื่อสื่อสารทางสายตาว่าเขาเข้าใจที่เราแนะนำหรือไม่ จึงทำให้ผมมองเห็นร่างสูงแสนคุ้นหน้าคุ้นตาที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งแถวหลังสุด โดยผู้ชายคนนั้นเขาสวมใส่เครื่องแบบของลูกเรือประจำสายการบินที่ผมกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับระบบต่างอยู่นี้ คาดว่าลูกเรือคนดังกล่าวคงจะเพิ่ง landing มาแน่ๆ
กระทั่งผมสาธิตจนครบถ้วน ผมจึงต้องไปนั่งบริเวณแถวหลังสุดแทนเพื่อนคนถัดมาที่จะต้องออกมาสาธิตแทนผม เลยทำให้ผมต้องพาตัวเองไปนั่งข้างๆคุณลูกเรือของสายการบินอาหรับที่เขาทำเป็นมุ่งความสนใจไปที่การสอบย่อยๆด้านหน้า..

” ผมนั่งมองการกระทำของพี่คยูด้วยความงุนงง เพราะทีแรกพี่เขาทำเหมือนกับไม่สนใจต่อการปรากฏตัวของผมสักเท่าไหร่ แต่พอผมเริ่มตั้งใจดูเพื่อนที่กำลังสาธิตความปลอดภัยบนเครื่องบินคนแล้วคนเล่า ฝ่ามือหนาของคุณลูกเรืออาหรับเขาก็เลื่อนเข้ามากอบกุมฝ่ามือของผมไว้ แล้วจากนั้นอะไรบางอย่างก็วางอยู่บนมือของผม
“ของฝาก” พี่เขาพูดเพียงเบาๆ ขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังด้านหน้าสุดของคลาสเรียนนี้

“ตาสีฟ้าของชาวตุรกี” พี่ตอบพลางหันมาจ้องมองผม
” สายตาที่มีแต่คำถามของผมกำลังมองตอบสายตาคมอย่างสงสัยเพราะคำเฉลยที่ว่านั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ผมคลายความงุนงงได้สักนิด

“สมัยฮิตไทต์เขาเชื่อว่าตาสีฟ้าจะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้..” พี่เขาฉีกยิ้มกว้างคล้ายกับเด็กได้ของเล่นเมื่อยามพูดไปถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ตัวเองชื่นชอบ
“ถึงไม่มีตาสีฟ้า แต่เรื่องร้ายๆก็คงไม่เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผมอีกแล้วล่ะครับ..” ผมตอบพลางเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือหนาของคุณลูกเรือที่กำลังใช้มือข้างที่ว่างเกาแก้มของตัวเองป้อยๆ

“อยู่ที่นี่ถึงจะเหงาไปบ้าง แต่ผมก็มีความสุขดีนะครับ..” ผมตอบพลางปล่อยฝ่ามือของอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ จากนั้นผมลุกขึ้นยืนและเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ
โดยที่กระเป๋าเสื้อด้านหนึ่งผมได้เก็บดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกีเอาไว้อย่างทะนุถนอม..

หลังจากมีการแนะนำแลกเปลี่ยนความรู้กับลูกเรือรุ่นพี่ไปกว่าสามชั่วโมง ก็ถึงคราวที่แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายสามารถกลับไปพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย ส่วนลูกเรือฝึกหัดอย่างพวกเราก็ต้องอยู่ร่วมกันสรุปความรู้ต่างๆที่ได้รับกับอาจารย์ผู้สอนอีกพักใหญ่ ครอสแรกก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ผมที่ตัดสินใจจะกลับหอพัก จึงออกปากปฏิเสธคำชวนของชานยอลที่บอกว่าจะไปหาอะไรทานด้วยกันเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ 

ตี๊ด---

ผมรีบก้าวยาวๆ เท่าที่ขาสั้นๆของผมจะก้าวได้ จนในที่สุดผมก็มายืนหอบแฮ่กๆอยู่ในห้องชุดขนาดใหญ่ของคุณลูกเรืออาหรับเขาแล้ว และเมื่อเดินลึกเข้ามา ผมก็เห็นกระเป๋าเดินทางที่ยังไม่เก็บให้เป็นที่เป็นทางวางอยู่ข้างๆโซฟาสีขาวตัวยาว กระทั่งปลายเท้าของผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโซฟา ผมก็มองเห็นร่างสูงของพี่คยูฮยอนที่สวมชุดยูนิฟอร์มของสายการบินอาหรับเอาไว้จนเต็มยศ เพียงแต่ปลดกระดุมคอไว้สองเม็ดเพื่อความสบายกำลังหลับใหลอย่างอ่อนเพลีย
“คงจะเหนื่อย..” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ จากนั้นก็ย่อตัวนั่งข้างๆโซฟาและจับจ้องไปยังร่างสูงตรงหน้าด้วยความเอ็นดู พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไรผมของอีกฝ่ายให้เข้าที่เข้าทาง จึงทำให้ผมสังเกตเห็นขอบตาอันดำคล้ำของคุณลูกเรืออาหรับได้อย่างชัดเจน สาเหตุก็มาจากการตรากตรำทำไฟล์ทบินติดๆกันจนขาดการพักผ่อนนั่นแหละ

“ฮาบีคิดถึงพี่เหรอ ถึงเอาแต่นั่งมองแล้วก็ยิ้มหวานใส่กันแบบนั้น?” จู่ๆคนที่ผมคิดว่าเขาหลับก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ซ้ำยังถามคำถามจี้กลางใจเข้าอย่างจัง
“ครับ..” ผมยอมรับแต่โดยดี เพราะตลอดสองอาทิตย์ที่เราขาดการติดต่อกันไป มันก็ทำให้ผมรู้สึกคิดถึงพี่เขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จูบได้ไหม?” จู่ๆพี่เขาก็ถามขึ้นมาโต้งๆ แต่การกระทำต่อจากนั้นไม่ได้แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังรอคอยในคำตอบ ก็ทำให้ผมหลีกเลี่ยงความเก้อเขินที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นได้ง่ายๆ เพราะทันทีที่ถามจบพี่คยูก็รั้งท้ายทอยเข้าผมให้โน้มใบหน้าลงมาชิดใกล้กับใบหน้าคมของเจ้าตัวในระยะประชิด กระทั่งริมฝีปากของเราค่อยๆแตะสัมผัสกันเบาๆ จากนั้นสัมผัสหว่านล้อมชวนเคลิ้มฝันก็พาเอาสติของโบยบินไปไกลแสนไกล
“อ..อื้อ..” ผมร้องประท้วงเมื่ออากาศหายใจมันเริ่มจะเหลือน้อยลงเต็มที เพราะพี่เขาเล่นเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นหนากับปลายลิ้นเล็กของผมอย่างอ้อยอิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะปรับเปลี่ยนจังหวะเป็นเร่าร้อนรุนแรงเมื่อผมเผลอตอบรับสัมผัสของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล

“แฮ่กๆ” ไม่นานสัมผัสอันแสนยาวนานก็จบลง เราจึงต่างฝ่ายต่างหอบหายใจแข่งกันทั้งๆที่ใบหน้าก็ร้อนเห่อ

“อ๊ะ!” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆพี่เขาก็ตวัดตัวผมขึ้นมานอนคล่อมทับร่างของเขาไว้
“คุณยังฝันร้ายอยู่ไหม?” ฝ่ามือหนายกขึ้นลูบข้างแก้มของผมเบาๆ พลางทอดเสียงนุ่มถามอย่างเป็นกังวล

“ไม่ครับ..” ผมตอบพลางส่ายหน้ายิ้มๆ
“โกหกเอาใจกันหรือเปล่าฮาบี ? พี่คิดมาตลอดการทำไฟล์ทเลยนะ เพราะก่อนเราจะย้ายมาอยู่ที่นี่พี่ก็โฆษณาเอาไว้อย่างสวยหรู แต่ในความเป็นจริง พี่ดันต้องทิ้งเราไว้ที่นี่คนเดียว..” พี่เขาย้อนถาม พลางจูบหลังมือของผมเล่น ทำเอาตัวผมชาวาบเพราะอาการเก้อเขิน

“ไม่ครับ ผมไม่ได้โกหกจริงๆนะ.. ถึงจะเหงาไปบ้าง แต่ก็มีความสุขดีครับ เจ้าเบดเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันนะ” ผมตอบพลางยกยิ้ม
“ผมไม่ฝันร้ายหรอกครับ เพราะผมมีตาสีฟ้าที่อยู่ตรงหน้านี้ทั้งคน..” ผมตอบโดยใช้คำพูดเปรียบเปรยอ้างไปถึงดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกีที่พี่เขาบอกว่ามันสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายต่างๆ กับผู้ชายร่างสูงที่ชอบใช้ชีวิตติดดินและยังชอบทำตัวเป็นอากาศรอบๆตัวผม ซึ่งการกระทำของพี่เขามันก็ไม่ต่างกับดวงตาที่จะสามารถมองเห็นได้ทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี

“ตาสีฟ้าของผม ถึงจะไม่ได้เป็นเครื่องรางที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย แต่เขาก็เป็นความอบอุ่นที่ค่อยๆเพาะรักให้เติบโตขึ้น จนผมค่อยๆเข้มแข็ง..” ผมกลั้นใจจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมอันสั่นไหวที่ค่อยๆแน่วแน่ของร่างสูง

“พี่รู้หรือเปล่าครับ..

“ตั้งแต่ผมมีตาสีฟ้าที่ชื่อโจวคยูฮยอน จากฝันร้าย ก็ค่อยๆกลายเป็นดีแบบนี้ไง..


The end

* Rania (ชื่อเรียกนักเรียนฝึกหัดในเรื่อง) ภาษาอาราบิกแปลว่า การใส่ใจ
*ดวงตาสีฟ้าของชาวตุรกี (Evil eye หรือ Nazar Boncugu นาซาบองชุก) เป็นของที่ระลึกที่นิยมในตุรกีค่ะ เป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่คนตุรกีนิยมแขวนเอาไว้ตามบ้าน โดยเฉพาะตามทางเข้าบ้าน  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ความเชื่อในเรื่องดวงตาแห่งความชั่วร้ายมีมาตั้งแต่สมัยอียิต์และฮิไทต์ โดยเชื่อว่าถ้าปักลวดลายคล้ายกับดวงตาบนฉลองพระองค์ของกษัตริย์จะช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้หมดไป (ตามเรื่องเป็นของฝากที่ไม่มีอะไรมาก แต่ก็เป็นของฝากที่ละเอียดอ่อนเพราะคยูเลือกซื้อในสิ่งที่ตัวเองสนใจให้กับฮาบีและมันก็สอดคล้องกับฮาบีเคยเจอแต่เรื่องร้ายๆ คนรักกันก็หวังอยากจะให้ฝันดีขึ้นบ้าง)


เราขอปิดเรื่องที่ตรงนี้นะจะได้ตรงกับคอนเซปเพาะรัก เพราะตอนนี้ความรักของทั้งคู่ได้ก่อตัวขึ้นจนสำเร็จแล้ว และขั้นต่อไปจะกลายเป็นเพราะรักแทน ซึ่งในส่วนพิเศษต่อๆไป จะแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของคยูในคราบของลูกเรือนะคะ เพราะต่อไปฮาบีจะต้องได้ฝึกงานบนเครื่องด้วย สำหรับข้อมูลหากผิดพลาดประการใดบ้างต้องขออภัย พยายามหาให้ละเอียดแล้วแต่ได้ประมาณนี้เอง ที่เรียนๆมาก็เริ่มลืมแล้ว 555
หลายคนอาจจะยังไม่สะใจกับบทเข้าพระเข้านางที่มันไม่ค่อยจะมี แต่จะมีมากขึ้นในตอนพิเศษนะคะ อิอิ

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 32

เพาะรัก





32




หากถามผมว่า ใครสมควรจะได้รับรางวัลบุคคลผู้แสนกวนประสาทที่สุดในโลก ผมจะขอโหวตให้โจวคยูฮยอนลูกเรือของสายการบิน Royal Etihad Airline เป็นคนแรก! ก็พี่เขาน่ะ บ้าชะมัด! มาทำพูดจาสองแง่สองง่ามใส่ แล้วพอผมกลั้นใจดุ อีกฝ่ายก็มาโบ้ยว่าผมน่ะ คิดลึกไปเอง!’ ทั้งๆที่ตัวเองนั่นแหละที่พูดจาชวนให้คิดไปในทางนั้น..
ก็ดูอย่างประโยคพวกนี้สิ!

แต่มันคงจะดีกว่านี้.. ถ้าหากผมได้เห็นคุณ ในมุมมองที่ผมยังไม่เคยได้เห็น.. มากกว่านี้..
ฮาบี.. คุณจะปล่อยให้ผมจินตนาการต่อไปอีกเหรอ?’
ผมน่ะ.. จินตนาการถึงคุณ.. มานานแล้วนะ
ผมต้องบินต่อจนถึงสิ้นเดือน คุณไม่ทรมานเพราะเรื่องในจินตนาการแบบผมบ้างเหรอฮาบี..’

เหอะ!

ใครกันแน่ที่คิดลึกน่ะ!

หลายวันมานี้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับอีฮยอกแจเพื่อนรักบ่อยๆ สอบถามจนได้ความว่าตอนนี้เพื่อนของผมมันหายดีจนสามารถกลับไปทำงานได้แล้ว เลยทำให้ผมมีเวลาได้พูดคุยกับมันไม่นานนัก เพราะฮยอกแจมันต้องเคลียร์งานทั้งหมดให้เสร็จ มันเลยต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านด้วย ผมก็เลยเปลี่ยนจากอ่านหนังสือมาดูหนังแทน แต่ว่าก็ว่าเถอะ คุณลูกเรือเขาชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จนเข้ากระดูกดำ ดังนั้นไอ้หนังที่ผมว่าน่ะ แทบจะไม่มีให้เลือกดูเลยด้วยซ้ำ เพราะในลิ้นชักหน้าตู้วางโทรทัศน์ มันเต็มไปด้วยสารคดีในเชิงประวัติศาสตร์ อีกทั้งหนังฟอร์มยักษ์ที่พี่เขาสนใจก็ยังเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณอีกต่างหาก..
ผมก็เลยดูไปหลับไปเกือบทุกรอบ..

แกร๊ก!

“ซองมินไปอาบน้ำแต่งตัวเลย พี่จะพาไปหาอะไรสนุกๆทำ” พี่สาวคนสวยสแกนคีย์การ์ดและเปิดประตูเข้ามาชักชวนผมที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเบดอยู่บนพรมขนสัตว์ตรงหน้าโทรทัศน์
“ไปไหนครับ ?” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามด้วยความสงสัย

“ไปเถอะน่า~” พี่อาราเดินเข้ามาฉุดแขนผมให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็รุนหลังผมให้เดินไปทางประตูครัวเพื่อเดินลึกเข้าไปด้านในที่เป็นห้องแต่งตัวและห้องนอน ผมก็เลยจำใจต้องอาบน้ำแต่งตัวอย่างช่วยไม่ได้เพราะพี่สาวคอยแต่จะนับถอยหลังเพื่อเร่งเวลาให้ผมรีบๆทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย
“สายจูงเบดอยู่ไหนน่ะซองมิน” พี่อาราตะโกนถามผมอยู่ตรงปากประตูห้องแต่งตัว

“อยู่ในกระโจมตรงห้องเจ้าเบดน่ะครับ” ผมปิดฝักบัว จากนั้นก็ตะโกนตอบพี่สาวกลับไป
“แต่งตัวเสร็จแล้วหยิบมาด้วยนะ” พี่อาราตะโกนตอบกลับมา ผมจึงตอบกลับไป ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จและไม่ลืมจะเดินไปหยิบสายจูงในห้องของเจ้าเบดติดมือมาด้วย

เป็นอีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสนั่งรถของพี่อารา เพียงแต่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่สารถีไม่ใช่ชายหนุ่มเหมือนอย่างครั้งก่อน เพราะทริปๆนี้มีแค่ผมกับพี่อาราเท่านั้น ส่วนคุณชะรีฟป่านนี้คงจะกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องทำงานนั่นแหละ
“พี่ยังไม่ได้บอกผมเลยครับว่าเราจะไปที่ไหนกัน” ผมอุ้มเจ้าเบดที่ดูเหมือนจะชอบนั่งมองวิวข้างทางเอามากๆ ส่วนปากก็สอบถามพี่สาวไปด้วย
training college” พี่สาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่ผมนี่สิ ตกใจมาก เพราะไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าผมจะมีโอกาสได้เห็นโรงเรียนฝึกลูกเรือของสายการบินที่มีชื่อเสียงในแถบตะวันออกกลางอย่างนี้

“ผมเข้าไปได้จริงๆเหรอครับ ?” ผมหันไปถามพี่อาราด้วยความตื่นเต้น
“ได้สิ! เรามากลับใครล่ะฮึ?” พี่อาราตอบพลางยกยิ้มทะเล้นใส่ ทำเอาผมต้องหลุดหัวเราะไปพร้อมๆกับเธอ เพราะผมดันลืมไปว่า หญิงสาวที่กำลังเป็นสารถีให้ผมอยู่ในขณะนี้ ที่จริงเธอดำรงตำแหน่งอันสูงส่งของสายการบินนี้น่ะสิ!

ไม่นานรถยนต์สีดำคันนี้ ที่ไม่ได้หรูหราเหมือนกับรถของคุณลูกเรือ ก็ขับเคลื่อนเข้ามาใกล้โรงเรียนฝึกลูกเรือมากขึ้นทุกทีๆ เพราะโรงเรียนแห่งนี้ที่จริงก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากตึกหลักที่เป็นทั้งหอพักและสำนักงานใหญ่ของสายการบินมากนัก โดยตัวอาคารของโรงเรียนนี้ ทางสายการบินเขาออกแบบให้มีรูปร่างเหมือนเครื่องบิน
“เอาตัวนักเรียนมาส่งแล้วค่ะ” พอเดินเข้ามาด้านในของตัวอาคาร พี่อาราก็เดินตรงไปที่เคาน์เตอร์อันหรูหราจากนั้นก็พูดประโยคชวนให้ใจของผมมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
“นักเรียนเหรอครับ ?” ผมอุ้มเจ้าเบด พลางย้ำถามพี่อาราเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่ผมได้ยินเมื่อครู่ไม่ได้เข้าใจผิดไป

“อื้อ! ไหนๆซองมินก็ว่างๆ พี่กลัวว่าเราจะเบื่อ ก็เลยพามาสมัครเรียนเป็นกรณีนี้พิเศษ.. เผื่อเราจะหลวมตัวมาทำงานกับพี่ไง แต่ถ้าไม่อยากทำก็ไม่เป็นไรนะ พี่ไม่ว่าหรอก แค่อยากให้เรารู้ไว้ ได้ประโยชน์ดีออก” พี่อาราตอบ
“เดี๋ยวตอนเย็นจะมีรถรับส่งของสายการบินพากลับหอพักนะ.. ตั้งใจเรียนล่ะ ส่วนเจ้าเบดเดี๋ยวพี่เอาไปดูแลก่อน เลิกเรียนเมื่อไหร่ค่อยมาทวงคืน!” พี่สาวไม่ปล่อยให้ผมได้โต้แย้งอะไรก็รีบเข้ามาแย่งตัวเจ้าเบดออกจากอ้อมกอดของผม แถมก่อนจะเดินหนีไป ก็ยังขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิงไปหมด ดีหน่อยที่อย่างน้อยเธอก็ยังบอกให้ผมสบายใจบ้าง ว่าหลังเลิกเรียนจะมีรถรับส่ง..
แต่เธอก็น่าจะบอกผมสักหน่อยไหม ว่ามันจะต้องมีการสอบวัดผลหลังจบครอสด้วย!

หลักสูตรสำหรับลูกเรือจะมีด้วยกันสามส่วนใหญ่ๆ โดยส่วนแรกที่ผมจะต้องเรียนก็คือเรื่อง safety emergency procedure หรือก็คือเรื่องความปลอดภัย เพราะหน้าที่ของลูกเรือไม่ได้มีไว้เสิร์ฟอาหารตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เพราะจริงๆแล้ว หน้าที่ของพวกเขาคือการดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกท่านในเที่ยวบินนั้นๆ
ชั่วโมงแรกของการเรียน เราจะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ชิ้นส่วนของเครื่องบินว่ามีอะไรบ้าง เรียกได้ว่าเราจะต้องเรียนรู้ตั้งแต่ล้อยันหางเลยว่ามันใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่าอะไร แล้วเรื่องถัดมาที่เราจะต้องรู้ก็คือ เรื่องระบบเตือนภัยว่ามันมีอะไรบ้างและทำงานอย่างไร ทางออกฉุกเฉินอยู่ตรงไหน ออกซิเจนจะต้องใช้งานอย่างไรเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน นอกจากนี้เรายังต้องรู้ว่าเครื่องส่งสัญญาณวิทยุอยู่ที่ไหนและใช้งานอย่างไร รวมไปถึงถังออกซิเจนและถังดับเพลิงก็ด้วย และที่ยากไปกว่านั้นก็คือว่า เครื่องบินแต่ละชนิดมันจะมีอุปกรณ์และระบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจะต้องค่อยๆเรียนไปทีละชนิดจนกว่าจะครบทุกชนิดที่สายการบินมี สำหรับคลาสแรกฤกษ์งามยามดี อาจารย์จะให้เราได้ทำรู้จักกับเครื่องบิน Boeing 777-300 ก่อนที่จะต้องลงมือปฏิบัติจริงในสถานการณ์จำลองเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย..
แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ผมว่าผมควรจำศัพท์ให้ได้ก่อนจะดีกว่า!

“ผมล่ะนับถือ พวกพี่ผ่านช่วงเวลาแบบนี้มาได้ยังไงน่ะ!” พอคุณลูกเรือเขาโทรมาหา ผมที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่บนที่นอนก็รีบรับสายพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่ผมได้เจอมาในวันนี้ให้พี่เขาฟัง จากนั้นผมก็ลั่นวาจาชื่นชมลูกเรือทั้งหลายที่ผ่านสถานกาณ์อันยากลำบากแบบนี้จนได้มาทำหน้าที่ที่หลายๆคนต่างใฝ่ฝัน
“จิ๊บๆน่า มีเวลาเรียนตั้งสองอาทิตย์..” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“สองอาทิตย์! บ้าไปแล้ว!” ผมตะโกนออกมาอย่างดังด้วยความตกใจ ทำเอาเจ้าเบดที่นอนอยู่บนที่นอนถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ไม่บ้าหรอก มันคือหลักสูตรเร่งรัด เพราะบริษัทเขาถือว่า เรารับคุณเข้ามาแล้ว คุณก็ต้องพยายามสร้างคุณค่าของตัวเองให้ได้ในระดับที่เราคาดหวัง..” พี่เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เห้อ~ กว่าผมจะได้คุณภาพ สมองผมคงพังก่อนแน่” ผมทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง
“หึ” พอผมบ่นออกมาแบบนั้น อีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ

“เอ้อ พี่บอกไปหรือยัง เดือนหน้าพี่ได้หยุดเกือบทั้งเดือนแน่ะ เพราะเดือนนี้ทำไฟล์ทลากยาว”
“พี่ไม่น่าเปลี่ยนมาทำไฟล์ทลากยาวเลย..” ผมย่นจมูกพลางบ่นอุบอิบ

“ก็ไอ้พวกนั้นมันอยากเที่ยว ถ้าจะไป ก็ต้องแลกไฟล์ททำงานลากยาวกันไปข้าง ไม่งั้นพี่ก็คงไปไม่ได้ อีกอย่างพี่อยากพาเราไปดูดาวตามที่เคยสัญญาเอาไว้ด้วย..” พี่เขาอธิบายเมื่อผมเริ่มแสดงอาการงอแงให้เห็น
“อื้อ” ผมตอบรับในลำคอ พลางขยับตัวไปนั่งชิดหัวเตียงพลางเอี้ยวตัวไปหยิบคู่มือการเรียนการสอนมาเตรียมอ่านทบทวน

“ฮาบีพี่ว่าพี่วางสายก่อนดีกว่า เราน่าจะต้องอ่านทบทวนใช่ไหม?” พี่เขาถาม
“ครับ ที่เรียนมาวันนี้ไม่มีอะไรเข้าสมองสักอย่าง รัวแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น” ผมตอบจากนั้นก็ต่างฝ่ายต่างอวยพรให้หลับฝันดีเป็นการล่วงหน้า จากนั้นผมก็เริ่มอยู่กับตัวเองและใจจดจ่ออยู่กับคำศัพท์เกี่ยวกับเครื่องบินเป็นนานสองนาน เพราะผมจะต้องรีบท่องจำให้ได้ ก่อนที่อาจารย์จะเริ่มสอนเรื่องความปลอดภัยอย่างจริงๆจังๆ..

ตึ้ง!

ผมวางหนังสือลงบนตัก จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อมันกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างส่งมาถึงผม และเมื่อผมกดเข้าไปดูในเมนชั่นของแอพพลิเคชั่นที่คุ้นเคย ก็พบกับร่างสูงคนคุ้นหน้าคุ้นตาภายใต้เครื่องแบบนักบิน ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้ดำรงตำแหน่งนั้น แต่อาจจะใช้ภาพโฆษณาของสายการบินมาประกอบ โดยร่างสูงคนดังกล่าวในมือของเขามีเครื่องบินจิ๋วลำหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับแคปชั่นด้านล่างที่ว่า..
GaemGyu : หลักสูตรจำศัพท์แบบรวบรัด @imSMI

ตึ้ง!





GaemGyu : @imSMI > Propeller (ใบพัด)



ตึ้ง!



GaemGyu : @imSMI > Fuselage (ลำตัวเครื่องบิน)



ตึ้ง!


GaemGyu : @imSMI > Vertical Fin (แพนหางดิ่ง)




สัญญาณเตือนดังขึ้นไม่ขาดสาย และเมื่อผมค่อยๆเลื่อนดูทีละอันก็พบว่าคุณรุ่นพี่ลูกเรือเขาโพสรูปชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องบิน โดยเขียนคำเฉลยให้ผมเอาไว้ตรงแคปชั่น ผมจึงค่อยท่องจำไปทีละภาพ พอคิดว่าตัวเองเริ่มจำได้แล้ว ผมก็กดเข้าไปในหน้า wall ของพี่เขา แล้วก็เริ่มทายศัพท์ในแต่ละภาพว่ามันมีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่าอะไร พอตอบได้ผมก็จะกดดูเฉลยว่าไอ้ที่ผมตอบไป มันถูกต้องหรือเปล่า แล้วจากนั้นผมก็ทำแบบนี้อยู่หลายรอบ
จนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน ผมถึงค่อยเข้านอน

การที่ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคลาสฝึกสำหรับลูกเรือของสายการบินอาหรับ มันทำให้ผมได้รู้จักกับผู้คนมากมายหลากหลายชาติ โดยที่เราต่างก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันด้วยภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษากลางของการสื่อสาร และสุดท้ายพวกเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน แต่คนที่ผมสนิทด้วยที่สุดเขาชื่อ ปาร์คชานยอลอาจเพราะเราสองคนสามารถคุยภาษาเดียวกันได้ก็เลยทำให้เราสนิทกันเร็ว เลยทำให้หลังเลิกเรียนในวันแรกผมเลือกจะนั่งรถรับส่งไปลงที่หอพักตึกใหม่ที่สูงที่สุดในบรรดาสิ่งก่อสร้างในระแวกนั้น อีกทั้งด้านล่างก็ยังใช้งานเป็นสำนักงานใหญ่ด้วยจึงทำให้ตึกที่ผมอยู่มีความหรูหราและเข้มงวด
แต่ในวันนี้ผมกำลังนั่งรถรับส่งไปลงที่หน้าปากทางเข้าของสายการบิน Royal Etihad Airline เพื่อไปหาอะไรอร่อยทานตามคำชักชวนของอนาคตกัปตันอย่างปาร์คชานยอล แต่เพราะผมมีเวลาไม่มากเพราะยังมีห่วงอีกหนึ่งตัวที่ต้องกลับไปดูแล ผมจึงเลือกที่จะเดินซื้อขนมมาแบ่งกันกินกับเพื่อนใหม่ที่ผมเพิ่งจะมาทราบ ว่าเขาอายุน้อยกว่าผมแทนการนั่งรอทานมื้อเย็นที่ร้าน

ถ้าหากผมไม่ได้รู้จักกับชานยอล ผมคงไม่รู้ว่าแถวๆนี้มีตลาดเล็กๆอยู่ด้วย แบบนี้ก็สบายหน่อยเพราะผมเริ่มรู้ลู่ทางสำหรับการหาของกิน ของใช้อย่างอื่นแล้ว อ้อ ขนมคาทายาฟ (katayef) หรือแพนเค้กอาหรับเนี่ยมีขายให้เกลื่อนตลาดไปหมด แถมรสชาติก็อร่อยดีด้วย ผมเลยจะซื้อกลับไปให้พี่อาราและเบดทานด้วย
“นายย้ายมาอยู่กี่วันแล้ว ทำไมชำนาญที่ทางจัง ?” ผมถามชานยอลขณะที่กำลังนั่งรถรับส่งของทางสายการบินตรงหน้าปากทางเข้าบริษัท

“ผมเบสอยู่ดูไบมาปีกว่าแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทำสายการบินนี้มาก่อนครับ” ปาร์คชานยอลตอบ
“มิน่าล่ะ” ผมพยักหน้ารับ

“แล้วนี่พักอยู่ตึกไหน ?” พอใกล้จะถึงที่พัก ผมก็ถามชานยอลกลับไป
“ตึกใหม่ครับ” ชานยอลยิ้มพลางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตึกเดียวกันนี่!” ผมตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่อยู่ชั้นอะไรครับ ?” ปาร์คชานยอลอมยิ้มพลางถามต่อด้วยความอยากรู้

“ไม่บอก..” ผมตอบพลางก้าวลงจากรถรับส่งทันทีที่ตัวรถจอดสนิทตรงปากทางเข้าหอพักขนาดใหญ่ จากนั้นผมก็ก้าวขาฉับๆ และสแกนคีย์การ์ดลงบนเครื่องสแกนอัตโนมัติแบบที่สถานีรถไฟใต้ดินเขานิยมใช้ จากนั้นก็รีบกดลิฟต์เพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามยากๆของรุ่นน้องร่างสูงคนนั้น
“ขอไปด้วยสิครับ..” ประตูลิฟต์เกือบจะปิดลงแล้ว แต่ร่างสูงของปาร์คชานยอลกลับรั้งมันไว้ได้ เขาถึงได้มายืนหอบแห่กๆอยู่ด้านในตัวลิฟต์แบบนี้

ครืด ครืด

“ว่าไงครับ ?” ผมรับสายของคุณลูกเรืออาหรับแทบจะทันทีที่โทรศัพท์มันกำลังเรียกร้องความสนใจ
“กระผมอิมราน ขอรายงานตัวครับเพื่อนสะใภ้ ฮ่าๆ” ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อคนปลายสายไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์ แต่กลับเป็นเพื่อนของเขาแทน ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมถึงไปอยู่ด้วยกันได้
“บินไฟล์ทเดียวกันเหรอครับ ?” ผมถามคุณอิมราน
“ใช่แล้ว.. พอดีว่างๆ ระหว่างรอทำไฟล์ทก็เลยโทรมาทักทาย” คุณอิมรานกล่าว ผมจึงดูนาฬิกาปรากฏว่านี่มันเพิ่งจะหกโมงเย็นเท่านั้น ซึ่งเวลาปกติที่ผมจะคุยกับคุณลูกเรือก็คือช่วงเวลาตั้งแต่สามทุ่มเป็นต้นไป แต่ดูท่าทางวันนี้พี่เขาคงจะไม่ว่างในช่วงเวลานั้นแน่ๆ

“อ่ะมึง กูขี้เกียจคุยละ” สักพักคุณอิมรานเขาก็หันไปคุยกับคุณลูกเรือแทน
“ฮัลโหล” ไม่นานปลายสายก็เป็นเสียงของโจวคยูฮยอนได้สักที

“วันนี้ไม่ได้ทำไฟล์ทเดิมเหรอครับ ?” ผมถาม
“อื้อ.. กินข้าวยัง” พี่เขาย้อนถาม

“ยังเลยครับ กินแต่ขนม” ผมตอบพลางยกยิ้ม ส่วนตาก็มองจ้องตัวเลขสีแดงที่ค่อยๆพุ่งทยานมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่อาราเอาอะไรมาฝากเราล่ะ ?” พี่เขาย้อนถาม

“ผมไปซื้อคาทายาฟที่ตลาดข้างๆหอพักมาต่างหาก” ผมตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“ไปเป็นด้วยแฮะ.. พี่กะว่าถ้ากลับไปจะพาฮาบีมาชิมของโปรดของพี่สักหน่อย จบเห่เลย.. เพราะคุณได้ลองชิมไปแล้ว..” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายนิดๆ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ทำเป็นลืมว่าผมเคยลองทานมันแล้วก็ได้นี่ครับ” ผมต่อรองเอาใจคุณลูกเรือเขาทันที

ตึ้ง!

ลิฟต์ส่งเสียงแจ้งเตือนในชั้นที่ 20 จากนั้นเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างปาร์คชานยอลก็ขยับตัวและก้าวเดินออกจากลิฟต์พลางโบกมือร่ำลาผมจนกระทั่งประตูลิฟต์ถูกปิดลง

“เห้อ! ฮาบีคุณนี่น่ารักชะมัด!

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  


สวัสดีค่ะ ไม่ได้อัพสักพักนึงเลย พอดีเราแต่งๆลบๆอยู่หลายหนกว่าจะได้เรื่องราวที่ลงตัว ตอนแรกกะจะให้สกินชีพ แต่คิดไปคิดมาเราว่ายังไม่เหมาะเลยลบใหม่ 55555 แล้วก็จบลงด้วยเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรู้เล็กๆน้อยๆ ตรงตามธีมของเรื่องที่เกี่ยวกับสายการบินสักที 5555 ที่ทำให้ใช้เวลานานเนี่ย ไม่ใช่เพราะลบแต่งใหม่นะ แต่เราหาข้อมูลอยู่นานมันเลยทำให้แต่งไม่เสร็จสักที แล้วอีกอย่างที่ไม่ได้อัพสักทีเพราะเราเกรงว่ามันจะเป็นช่วงที่ไม่เหมาะ แต่เห็นมีคนอัพก็เลยอัพบ้าง แหะๆ  สำหรับคนที่อ่านเรื่องนี้แล้วอยากไปดูไบ ไว้เราจะมีพาไปเที่ยวอีกค่ะ หาข้อมูลเตรียมไว้แล้ว แต่เราอยากจะลงลึกเรื่องการ เทรนอีกสักหน่อย เพราะมันจะต่อยอดไปในอนาคต >.<

คำว่า 'เบส' ที่กล่าวในเนื้อเรื่อง คือ ประจำอยู่ ณ ประเทศ ... นะคะ

 katayef (คาทาเยฟ)


Image result for katayef 
ส่วนประกอบของเครื่องบิน (ลงให้เผื่อใครอยากรู้)
Image result for ส่วนประกอบเครื่องบิน