วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
      






[Special] Dream Date – Sungmin Part


อีกไม่กี่วันผมก็จะต้องกลับเกาหลีเพื่อไปเตรียมตัวสำหรับการลงทะเบียนเรียนในภาคปีการศึกษาใหม่ ดังนั้นเวลาที่ผมจะอยู่ที่นี่ก็เริ่มจะเหลือน้อยลงเต็มทีแล้ว นับได้ว่าถ้าหากผมกลับไปเรียนในครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการรอคอยอย่างแท้จริงสักทีเพราะที่ผ่านมามันอาจเรียกได้ว่าการ ชิมลางเท่านั้น
พักหลังมานี้พอเราเข้าใจกันแล้ว ผมก็เริ่มจะใส่ใจพี่เขามากขึ้น อย่างเช่น เวลาที่พี่เขาไม่อยู่ห้อง ผมก็จะเอาเสื้อผ้าของพี่เขาลงไปซักที่เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ จากนั้นผมก็จะขึ้นมาซักพวกเครื่องชั้นในให้พี่เขา แรกๆพี่เขาก็บ่นไปหูแดงไปว่าผมไม่ต้องทำให้จนถึงขนาดนี้ก็ได้
แต่พอหลายครั้งเข้า พี่เขาก็เริ่มปล่อยเลยตามเลย ..
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเคยชินหรือว่าเป็นเพราะพี่เขาขี้เกียจจะห้ามกันแน่ ..

ผมเริ่มจะคุ้นเคยกับกรุงปารีสมากขึ้น เพราะช่วงเวลาว่างพี่เขามักจะพาผมไปเรียนรู้ความจริงของกรุงปารีส ที่มันไม่ได้สวยงามเหมือนภาพฝันที่ใครหลายคนมองเห็น เพื่อที่ผมจะได้ดูแลตัวเองได้จนสามารถออกไปไหนมาไหนคนเดียว โดยที่ไม่ต้องขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวันเหมือนช่วงเดือนแรกที่มาถึง ..
ขั้นแรกก่อนออกจากหอ พี่เขามีวิธีแก้เผ็ดพวกมิจฉาชีพที่ชอบล้วงกระเป๋ามาให้ผมใช้ด้วย พี่เขาเอาเข็มกลัดชิ้นเล็กกลัดเอาไว้ตรงปากกระเป๋า เพื่อที่เวลามันเอามือล้วงเข้ามา ปลายเข็มแหลมๆก็จะขูดกับฝ่ามือของมันพอดี ซึ่งมันก็ใช้ได้ผล เพราะวันแรกของการทดลองนั้น ผมก็ได้ยินเสียงซู้ดปากดังมาจากทางด้านของผมทันที
เราสองคนจึงแอบยิ้มให้กันอย่างสะใจปนสมน้ำหน้าคนพวกนั้นไปด้วย ..
ทีนี้เวลาจะออกจากหอแต่ละที ผมก็มักจะเอาวิธีการของพี่เขามาใช่ป้องกันตัวเสมอ ..

กว่าผมจะเป็นที่ไว้วางใจของพี่เขาได้ขนาดนี้ ผมจะต้องทนนั่งดูกลุ่มมิจฉาชีพ ทำตามแผนการที่พวกมันเอาวางแผนเอาไว้เพื่อใช้หลอกคนอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนึกสมเพสในการกระทำที่มองดูแล้วช่างโง่เง่าเหลือเกิน ..
มีอยู่วันหนึ่งพี่เขาพาผมมาเดินเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ และผมก็จำได้ดีว่าผมไม่เคยใส่แหวน ดังนั้นแหวนเงินวงนั้นที่มีใครก็ไม่รู้ใจดีถึงขนาดวิ่งไล่ตามเราเพื่อเอาแหวนเงินมาคืน ย่อมไม่ใช่ของผมแน่ แล้วก็ไม่มีทางจะเป็นของพี่เขาด้วย ซึ่งพอเห็นท่าไม่ดี เราก็รีบเดินหนีพวกมันแต่มันก็ยิ่งไล่ตาม เท่านั้นผมก็เข้าใจแล้วว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนดีเด่อะไร
ครั้นพอมันประเมินแล้วว่าพวกเราไม่หลงกล มันก็รีบเดินจากไปในทันที

พอหลังจากประสบพบเจอกับ แก๊งค์เดอะลอร์ดออฟเดอะริงค์ตามที่พี่เขาตั้งฉายาให้แล้ว พวกเราก็ยังจะมาพบปะกับพวกมันที่สวน Jardin des Tuileries  อีก แต่คราวนี้มันไม่ได้ตรงเข้ามาหาพวกเรา เพราะเราสองคนเป็นฝ่ายนั่งมองการกระทำอันทุเรศทุรังของพวกมันอยู่ต่างหาก ..
ผมนั่งดูพวกมันอยู่อย่างนั้นตั้งหลายชั่วโมงจนผมจำวิธีการของมันได้แม่น ขั้นแรกมันจะแกล้งเดินสวนกับเป้าหมาย จากนั้นก็โยนแหวนให้เข้าใกล้กับเป้าหมายมากที่สุด แล้วมันก็ก้มลงไปเก็บแหวน พร้อมกับสะกิดเป้าหมายให้หันมาสนใจมัน แต่ดูเหมือนเป้าหมายของพวกมันจะรู้แกวเข้าให้แล้ว จึงมองพวกมันเป็นอากาศธาตุ มันจึงถอดใจและเดินหาเหยื่อรายใหม่
ซึ่งวิธีการที่มันใช้กับเหยื่อรายใหม่ก็เหมือนกันกับเหยื่อรายแรกทุกประการ ..

“ถ้าเกิดพี่ขโมยหนังสือเดินทางกับวีซ่าน้องแฟนไปซ่อน เราจะทำยังไง ?” พี่เขานอนกอดก่ายผมไว้ พลางใช้เชือกสีแดงที่ครั้งหนึ่งพี่เขาใครใช้มันเพื่อจองตัวผม มาพันรอบข้อนิ้วทั้งห้าเหมือนอย่างที่พวกมิจฉาชีพมันชอบทำ
“ผม .. ก็ .. ต้อง .. ไป .. ทำ ..เรื่อง .. ที่ ..สะ ..ถาน ..ฑูต ..” ผมตอบพี่เขา พลางจ้องมองข้อนิ้วของตัวเองที่กำลังมีเส้นด้ายคล้องไปมาจนยุ่งเหยิง

“พี่ยังไม่อยากให้น้องแฟนกลับเลย .. เราเพิ่งจะอยู่ด้วยกันแค่เดือนครึ่งเองนะ” พี่เขาปล่อยเชือกสีแดงลง แล้วก็ซุกใบหน้าเข้ามาคลอเคลียกับใบหน้าของผม พร้อมกับออกแรงกอดก่ายให้แน่นขึ้น
….

“มาเรียนด้วยกันมั้ยเบ ?” พี่เขาผละใบหน้าออกจากใบหน้าของผมแล้วก็สาดคำถามที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าพี่เขาจะร้องขอจากผม
“ผม ” ผมไม่รู้จะตอบยังไง เพราะเรื่องเรียนต่อต่างประเทศมันไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลย ณ ตอนนี้ผมอยากเรียนให้จบก่อน แล้วเรื่องอนาคตผมจะคิดดูอีกทีว่าผมจะทำงานไปก่อนหรือว่าจะเรียนต่อแบบพี่เขาเลย ..

“แต่ถ้าเบอยากมาเรียนต่อที่ต่างประเทศจริงๆ พี่ว่าเราไปเรียนที่กรุงเวียนนาดีกว่า เพราะที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องการดนตรีมาก ..
“ผม .. ยัง .. ไม่ได้ ..คิด ..เรื่อง .. พวกนี้ ..เลยครับ” ผมตอบพี่เขาพร้อมกับยิ้มบางๆ

“สนใจก็บอกนะ พี่จะได้ไปถามพี่อาราให้ รายนั้นน่ะจบการดนตรีมาจากกรุงเวียนนาเชียวนะ .. เฮ้อ .. พี่ชักจะเข้าใจน้องแฟนแล้วว่าทำไมถึงอยากจะหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้ ..” ขณะที่พูดพี่เขาเอาหน้าผากมาชนกับหน้าผากของผมอย่างออดอ้อน ..

“ไปเดทกันนะ .. พี่สัญญาว่าพี่จะทำให้กรุงปารีสกลายเป็นเมืองในฝันของน้องแฟนอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาพี่ก็ดันพาเราไปดูอะไรก็ไม่รู้ตั้งหลายครั้ง ป่านนี้ขวัญเสียหมดแล้วมั้ง เดี๋ยวปิดเทอมคราวหน้าเกิดกลัวจนไม่ยอมขึ้นมาหาพี่นี่แย่เลย ..” พี่เขาแก้เชือกสีแดงที่พันข้อนิ้วของผมออก จากนั้นก็เขย่าข้อมือของผมราวกับเด็ก
“อื้อ .. ถ้า .. พี่ .. ทำให้ .. ผม ..ถูกใจ .. ผมจะ .. มาที่นี่ .. อีก .. แล้วก็ .. จะใช้เงิน ..เก็บ .. ของ .. ตัวเอง ..ด้วย” ผมบอกกับพี่เขา เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าคราวหน้าผมจะใช้เงินเก็บของตัวเองทั้งหมด ….
กลับไปเกาหลีครั้งนี้ ผมคิดว่าผมจะทำงานไปด้วยแล้วก็เรียนไปด้วยนะ ..

“จัดไป!” พี่เขาลุกขึ้นนั่ง จึงทำให้ผ้าห่มที่ปกคลุมร่างของพี่เขาเอาไว้ล่วงหล่นลงกับพื้นที่นอน ส่งผลให้ผมมองเห็นแผงอกของพี่เขาอย่างชัดเจน
“อาบน้ำกัน ..” พี่เขาลงจากเตียงมายืนฉุดผมที่กำลังนอนหน้าแดงให้ลุกขึ้นจากที่นอน จึงทำให้ผมเห็นทั้งพี่เขาและตัวของผมที่กำลังเปลือยเปล่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่ผมบอกจะก้าวเข้าหาและใส่ใจพี่เขาให้มากกว่านี้
จากนั้นมาพอเราเริ่มจูบกัน มันก็มักจะเลยเถิดขึ้นมาทุกที ..
สำหรับเหตุผลน่ะเหรอ .. พี่เขาบอกว่าพอผมเป็นฝ่ายเริ่มทีไร มันชวนให้ใจซูซ่าจนอดไม่ไหวตลอด ..

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ท้องฟ้าข้างนอกก็ยังคงมืดสนิทอยู่ แม้ว่าเวลามันจะเดินมาถึงหกโมงเช้าแล้วก็ตาม ผมจึงอาสาทำอาหารเช้าทานกับพี่เขาก่อน เผื่อว่าเดินออกไปอาจจะไม่มีร้านไหนเปิดเลย เราจะได้ไม่ต้องหิ้วท้องรอจนไส้ขาด
พอทานเสร็จเราก็รีบออกมากันเลย ส่วนกระทะกับจานเดี๋ยวขากลับพี่เขาจะจัดการเอง เพราะพี่เขาบอกว่าจะพาผมไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวน Jardin des Tuileries..

ตอนนี้ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะยังคงมืดสนิท แต่หลายต่อหลายคนต่างก็พากันออกมาทำธุระและท่องเที่ยวกันตามกิจวัตรของตนแทนที่จะนอนหลับอุตุอยู่แต่ในห้อง ..
แผนการเดทของเราในวันนี้จะเป็นแผนการง่ายๆที่หาเอาได้จากในกูเกิ้ล แต่สไตล์การเดทจะเป็นไปในรูปแบบเฉพาะสำหรับเราสองคน
               
กรุงปารีสในหน้าหนาวท้องฟ้ามักจะสว่างหลังจากหกโมงเช้าไปแล้ว ซึ่ง ณ ตอนนี้ฟ้าเบื้องบนก็ยังคงมืดมิดอยู่ดี แม้ว่านี่มันจะเข้าใกล้เจ็ดโมงเช้าขึ้นมาทุกทีทุกทีแล้วก็ตาม ..
ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าพระเจ้าอาจจะเห็นใจนักรักอย่างพี่เขาขึ้นมาก็ได้ ถึงได้อำนวยให้ทุกอย่างเป็นตามแผนการที่พี่เขาวางเอาไว้เป๊ะๆ

                                เราสองคนเลือกจะขึ้นเมโทรเพื่อมาลงที่สถานี Louvre-Rivoli ใกล้ๆกับพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) ที่ตอนนี้ยังคงประดับประดาไปด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลแลดูงดงามจับตา เมื่อแสงไฟมันตัดกับท้องฟ้าในยามเช้ามืด อีกทั้งตัวอาคารยังโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมในรูปตัวยู ซึ่งแต่ละปีกจะมีทั้งหมดสามชั้นด้วยกัน หากจะเดินเที่ยวให้ทั่วอาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันเลยทีเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้อดีตเคยเป็นพระราชวังมาก่อน จึงใหญ่โตโอ่อ่าสมเกียรติของผู้ปกครองเมือง
ตรงกลางลานของพิพิธภัณฑ์จะมีพีระมิดแก้วตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นซึ่งออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดัง เพื่อใช้เป็นทางเข้าสำหรับเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งปกติแล้ว รอบๆพีระมิดจะมีน้ำพุคอยสร้างความอลังการให้กับสถานที่แห่งนี้เสมอ แต่อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าคงจะเพิ่งปิดมันได้ไม่นาน เพราะเดี๋ยวช่วงเช้าที่ฟ้าเริ่มจะสว่าง อาจจะต้องกลับมาเปิดมันอีกครั้งเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มากกว่าในช่วงเช้ามืดแบบนี้ ..

เราสองคนเดินเลี้ยวซ้ายไปยังสวนตุยเรอรีซึ่งเป็นสวนสไตล์อังกฤษอันเป็นพื้นที่ปอดขนาดใหญ่ของชาวปารีสซึ่งจะอยู่ทางด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นแก๊งค์เดอะลอร์ดออฟเดอะริงค์เที่ยวทำตัวเป็นคนดีกับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ และสวนตุยเรอรีแห่งนี้ก็ยังเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ผมได้เฝ้ามองพฤติกรรมของพวกแก๊งค์เดอะลอดจ์ออฟเดอะริงค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ..
แต่ว่าการมาถึงสถานที่ซ้ำเดิมๆในคราวนี้ พี่เขาจะพาผมเหยียบย่างเข้าสู่ความฝันในมุมมองที่งดงามเพื่อลบภาพกลุ่มคนเก็บแหวนพวกนั้นออกจากความทรงจำของผมให้เหลือแต่ภาพฝันดั่งเทพนิยาย ..

พี่เขาลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆกับบ่อน้ำพุขนาดใหญ่แยกออกจากกลุ่มเก้าอี้เดิมเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวขึ้น จากนั้นเราสองคนก็นั่งมองน้ำพุตรงกลางบ่อที่ตอนนี้เปิดทำการแล้ว เพราะท้องฟ้าเริ่มประดับประดาไปด้วยริ้วลายสีชมพูอ่อนๆทั่วทั้งผืนฟ้าแล้ว ..
เมื่อมันถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะขึ้นทำการเสียที

เหล่านกน้ำพากันโบยบินลงมาเล่นน้ำปะปนไปกับเรือใบขนาดจิ๋วที่ลอยแล่นอยู่เหนือผิวน้ำ สร้างความเพลิดเพลินให้กับผมเป็นอย่างดี ซึ่งภาพเบื้องหลังของเจ้านกน้อยในมุมมองของผม มันคือภาพของ Place de la Concorde ซึ่งเป็นจุตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของกรุงปารีสและก็เป็นจุดสิ้นสุดของสวนสาธารณะแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ..

ครืด

จากที่พี่เขาใช้ขาของตัวเองเกี่ยวกับช่วงขาของผมและยกขึ้นลงเล่นอยู่หลายที ไม่นานพี่เขาก็ถอยหลังเลื่อนเก้าอี้ออก จากนั้นพี่เขาก็ลุกขึ้นมาเหยียบตรงขอบบ่อพร้อมกับขยับตัวมานั่งพิงแผ่นหลังกับหน้าขาของผม ขณะที่มือก็เอื้อมไปเขี่ยเรือใบลำเล็กที่ลอยล่องอยู่ในน้ำมาเล่น ..
ซึ่งมันก็คือหนึ่งในธุรกิจของพ่อค้าแม่ค้าที่เฝ้าหากำไรจากนักท่องเที่ยวนั่นแหละ แต่เผอิญว่าพวกเขาอาจจะเก็บกวาดไม่หมด พี่เขาก็เลยได้เล่นมันฟรีๆโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดง ..

“เบดึงหน่อย พี่จะหยิบเรือใบ ..” พี่เขาส่งมือข้างซ้ายมาให้ผมจับแล้วก็เริ่มเอนตัวไปข้างหน้าจนผมกลัวว่าพี่เขาจะล้มลงไปในน้ำแทบแย่ ก็เลยออกแรงดึงพี่เขาไว้จนหน้าดำหน้าแดง ..
“ฮึบ .. ” พอพี่เขาเอื้อมไปหยิบเรือใบมาได้ พี่เขาก็ยังไม่บอกให้ผมปล่อยมือ แต่กลับเล่นกับเรือใบด้วยมือข้างที่ว่างอยู่อย่างนั้น มันเลยกลายเป็นว่าผมกับพี่เขากำลังจับมือกันในท่าทางที่มันออกจะทุลักทุเลไปหน่อย..

พอฟ้าสว่างจนเต็มที่พี่เขาก็พาผมเดินออกจากสวนสไตล์อังกฤษ และระหว่างทางที่เราเดินผ่าน ผมก็แอบเห็นกระรอกตัวใหญ่กำลังนั่งชมวิวอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ตัวยาวริมทางอีกด้วย ผมจึงชี้ชวนให้พี่เขาหันไปดู ..
จากนั้นเราก็ส่งยิ้มให้กัน ..

“พี่ชอบเห็นน้องแฟนยิ้มทั้งปากและตาแบบนี้จัง .. ถ้าเกิดเรายังเคลียร์กันไม่ได้ ป่านนี้พี่คงยังไม่ได้เห็น ..” พี่เขายกแขนขึ้นมาพาดไหล่แล้วก็พูดในสิ่งที่พี่เขาคิดมาตลอด ซึ่งผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าตลอดเวลาที่ผมเอาแต่คิดหวาดระแวง ผมได้แสดงอาการอะไรออกไปบ้างเพราะต่อหน้าของพี่เขาผมมักจะทำตัวปกติเสมอ ..
พี่เขาพาผมเดินย้อนกลับไปยัง Jardin du Palais Royal ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เราอยู่เมื่อครู่สักเท่าไหร่ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงความสดใสเหมือนช่วงหน้าร้อนได้ดี เพราะดอกไม้ที่ปลูกประดับประดาเอาไว้มันคือดอกไม้เมืองหนาว จึงขลับให้สถานที่แห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาและสดชื่นจนกลบสภาพต้นไม้บางส่วนที่เหลือแต่เพียงกิ่งก้านอันแห้งแล้งเพราะสภาพอากาศอันหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี ..

จากนั้นพี่เขาก็พาผมเดินตรงไปยัง Jardin de l’Oratoire ซึ่งจะมีทางเชื่อมมาจนถึงจตุรัส Cour Carrée ที่อยู่ทางด้านหลังของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่เราเดินผ่านมาเมื่อตอนเช้ามืด ซึ่งที่นี่จะมีเหล่านักดนตรีเปิดหมวกมาจัดการแสดงอยู่มากมาย เราสองคนจึงตกลงกันว่าจะหยุดแวะเพื่อฟังเพลงสักครู่..

จากนั้นเราก็เดินมุ่งตรงมายัง Square du Vert Galant โดยจะต้องข้ามสะพาน Pont Neuf มาก่อนซึ่งมันก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์สักเท่าไหร่
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นสวนสาธารณะขนาดเล็กและสองข้างทางก็ยังขนาบข้างไปด้วยแม่น้ำแซนอีกต่างหาก แถมต้นไม้อันโออ่าที่บัดนี้เหลือแค่เพียงกิ่งก้านสาขาก็ยังบ่งบอกได้ดีว่า ในช่วงฤดูร้อนสถานที่แห่งนี้จะต้องร่มรื่นและบรรยากาศดีมากแน่ๆ..

ตุ้บ! ตุ้บ!

พี่เขาทุบหน้าขาของตัวเองไปมาเพื่อบรรเทาอาการเมื่อยขบจากการเดินเที่ยวจนกลายเป็นจังหวะราวกับตีกลอง เห็นอย่างนั้นผมก็เลยทำตามพี่เขาบ้าง ทีนี้เลยกลายเป็นว่าเราสองคนกำลังเล่นทุบขาตัวเองเป็นจังหวะกลอง คอยรับส่งกันไปมาอย่างลงตัว ..
ซึ่งหลายๆคนที่เดินผ่านเราสองคนไปมา ก็อาจจะพากันสงสัยว่าไอ้พวกนี้มันบ้าหรือเปล่า เอาแต่นั่งหัวเราะแล้วก็ทุบขาของตัวเองไปมาราวกับคนสติไม่ดี ..
แต่ ณ ตอนนั้นเราสองคนกำลังสนุกมาก ก็เลยไม่สนใจสายตาของคนอื่นเลย ..

พอหายเมื่อยพี่เขาก็พาผมเดินลัดเลาะมายังตลาด Marché aux Fleurs ซึ่งอยู่ทางฝั่งตรงข้ามของสวนแห่งนี้ ที่นั่นเป็นตลาดสำหรับขายต้นไม้ ดอกไม้โดยเฉพาะ ซึ่งหน้าหนาวแบบนี้ก็เห็นจะมีแต่พืชไม้เมืองหนาวเท่านั้นที่วางตระการตาเต็มไปหมด
มองดูแล้วมันพาให้ใจสดชื่นจนลืมความเหนื่อยจากการเดินลากขามานานแสนนานเลยทีเดียว ..

“น้ำนั่นกินได้นะ ..” พี่เขาชี้ไปที่รูปปั้นสีเขียวมรกตที่มีผู้หญิงยืนแบกอะไรสักอย่างทั้งหมดสี่ด้าน ซึ่งตรงของรูปปั้นผู้หญิงจะมีหยดน้ำไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่น้ำพวกนั้นมันไม่ได้ไหลลงมาเจิ่งนองที่พื้นนะ เพราะมันโดนตัดกำลังด้วยท่อระบายที่รูปปั้นพวกนั้นวางตั้งอยู่ไว้น่ะสิ ..

“ถ้าจำไม่ผิดพี่อาราเคยบอกว่าแต่ก่อนทหารอเมริกันไม่มีน้ำดื่ม ก็เลยสร้างเจ้านั่นขึ้นมา เห็นว่ามีอยู่ทั่วกรุงปารีสเลยแหละ .. แต่มีอยู่ตรงจุดไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน ..” พี่เขายักคิ้วใส่ผมอย่างทะเล้นๆ จากนั้นพี่เขาก็ยกมือขึ้นมารองน้ำเพื่อล้างมือก่อนจะดื่มแล้วก็ทำเสียง อ๊า~~~~’ ใส่ผม ..
จากนั้นพี่เขาก็รองน้ำใส่มือตัวเองแล้วก็สะบัดหน้าในเชิงออกคำสั่งให้ผมก้มลงดื่ม

“ทำเสียงอ๊าด้วยสิ .. เร็วๆ” พี่เขาสะกิดผมอย่างเย้าแหย่ แต่ให้ตายยังไงผมก็ไม่ทำตามที่พี่เขาบอกหรอก ผมเลยจัดการเดินหนีหน้าพี่เขาเสียเลย
“เดี๋ยวก็หลงทางหรอก” พี่เขาเดินไล่ตามผมมาแล้วก็ยกแขนพลาดคอผมพร้อมกับขู่เบาๆ

พี่เขาพาผมมายัง Shakespeare & Company ซึ่งเป็นร้านหนังสือเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก จากการเดินทางในครั้งนี้มันทำให้ผมคิดได้ว่า อันที่จริงกรุงปารีสมันก็เล็กนิดเดียว แค่เราเดินให้ถูกที่ถูกทางก็เดินได้ทั่วโดยไม่ต้องใช้รถแล้วล่ะ ..
“เบื่อหรือเปล่า ?” พี่เขาหันมาถามขณะที่กำลังเปิดหนังสือดูอยู่นานสองนาน ..
“ไม่ครับ ..” ผมส่ายหน้า

“พอดีหนังสือที่พี่ซื้อไว้มันหมดพอดี เลยอยากจะเลือกซื้อหน่อยน่ะ ..
“อื้อ”

ผมยืนหยิบจับหนังสือเล่มโน้นเล่มนี่ที่อยู่ข้างๆตัวของพี่เขาขึ้นมาดูอีกหลายเล่ม เพราะผมอ่านพวกมันไม่ออกจึงได้แต่ดูรูป ส่วนพี่เขาต้องเลือกโดยการอ่านคร่าวๆว่าเล่มไหนมันน่าสนใจ พี่เขาถึงจะซื้อมันกลับไป
“ป่ะ .. จ่ายเงิน ..” พี่เขาจูงมือผมให้เดินตามกันมา จากนั้นก็จัดการคิดเงินกันสักพักแล้วพี่เขาก็ฝากหนังสือไว้ในกระเป๋าเป้ของผมเพื่อที่จะได้ไม่ต้องถือให้มันเกะกะ ซึ่งเวลาจะเปิดกระเป๋าแต่ละทีก็ต้องระวังกับดักที่ตัวเองทำเอาไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นเราอาจได้เลือดแทนมิจฉาชีพก็เป็นได้ ..

จากนั้นพี่เขาก็พาผมเดินย้อนมาที่สะพาน Pont de l’Archevêché ที่หลายๆคนมีความเชื่อว่าถ้าหากล็อคแม่กุญแจไว้ที่ราวสะพานและโยนลูกกุญแจลงแม่น้ำแซนจะแสดงถึงความรักนิรันดร์ระหว่างคู่รัก แต่พี่เขาบอกว่ามันคือเรื่องงี่เง่ามาก เพราะคนจะรักกันได้นิรันดร์หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับคนสองคนซะมากกว่า พี่เขาเลยบอกว่ามันก็แค่ทางผ่านที่ไม่ได้อยู่ในแผนการเดทของพี่เขา ..
แล้วจากนั้นพี่เขาก็พาผมเดินย้อนกลับมาทางเดินอีกรอบ เล่นเอาผมหัวแทบหมุนเพราะพี่เขาบ่นหิวๆอยู่นั่น ซึ่งผมเองก็หิวเลยไม่บ่นอะไรพี่เขาสักคำ ..

มื้อนี้พี่เขาพาผมไปทานในร้านอาหารที่ดูหรูหราสมกับวันสำคัญของเราสักหน่อย จากนั้นพี่เขาก็พาผมมาเดินหาซื้อไอศกรีมที่เขาว่ากันว่าอร่อยนักหนา แถมยังซื้อมาแค่อันเดียวแล้วก็ชอบแอบมาแย่งผมกินตั้งหลายคำ ..
พอหลังจากเติมพลังเสร็จ พี่เขาก็เริ่มพาผมเดินลัดเลาะมายัง Jardin des Plantes ซึ่งจะเป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับทริปการเดทของเรา และกว่าจะเดินไปถึงที่นั่นคาดว่าก็คงจะห้าโมงเย็นพอดี

สวนพฤษศาสตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนถนน Rue Cuvier ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำแซนซึ่งด้านในจะมีการจัดสวนพืชและดอกไม้กลางแจ้ง รวมถึงพืชในสวนเรือนกระจก
แถมที่นี่ยังมีสวนสัตว์ขนาดเล็กๆสำหรับเด็กๆอีกด้วย ..

“เบรู้ป่ะ พี่เราพาเดินอ้อมด้วย ..” เราสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิโดยหันหน้ามายังพนักพิงเก้าอี้ตัวยาวเพื่อมองดูพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ส่งผลให้ท้องฟ้าทั้งผืนกลายเป็นริ้วสีส้มอ่อนตัดกับความเงียบเหงาของบรรยากาศในหน้าหนาวได้เป็นอย่างดี ..
“รู้ ..” ผมเคียงคอมองไปทางพี่เขาพร้อมกับตอบอย่างหนักแน่น ..

“แถมยังพาหลงด้วย ..” พี่เขาก็เคียงคอมาทางผมบ้าง
” ผมได้แต่มองใบหน้าของพี่เขา เพราะผมไม่ทราบจริงๆว่าพี่เขาพาเดินหลง

“แต่เดทของพี่มันก็โอเคใช่มั้ย ?” พี่เขายื่นหน้าเข้ามาถามผม ราวกับกังวลว่าถ้าหากทริปนี้พี่เขาทำให้ผมรู้สึกไม่ประทับใจ ปิดเทอมคราวหน้าผมก็จะไม่มาหาพี่เขาที่นี่อีก ..
ผมหลับตาพลางยื่นหน้าเข้าไปหาพี่เขา จากนั้นผมก็กดริมฝีปากของตัวเองลงบนกลีบปากของพี่เขาอย่างแผ่วเบาแทนคำตอบที่ว่า ผมพอใจมาก’ …

“สัญญานะว่าคราวหน้าจะเก็บเงินแล้วมาหาพี่ที่นี่” พี่เขาชูนิ้วก้อยยื่นมาทางผม เมื่อผมถอนริมฝีปากออกห่างจากใบหน้าของพี่เขา
“อื้อ” ผมเลื่อนข้อนิ้วก้อยไปเกาะเกี่ยวเพื่อสัญญากับพี่เขา ขณะที่ดวงตาของเรายังคงจ้องมองกันอยู่อย่างนั้น ..

“คราวหน้าถ้าเราเจอกัน น้องแฟนต้องพูดคล่องกว่านี้นะ ..ไม่งั้นพี่จะโกรธแล้วก็ปล่อยให้น้องแฟนนอนตากลมเย็นๆนอกระเบียงคนเดียวเลย ..” พี่เขายกมือขึ้นมายีหัวผม ขณะที่ใบหน้าของเรายังคงเอียงข้างเข้าหากัน
“ครับ” ผมยิ้มให้พี่เขา พร้อมกับมองช่วงใบหน้าของพี่เขาที่ต้องกับแสงตะวันเข้าพอดิบพอดี ..

“สัญญาแล้วห้ามคืนคำ ..” พี่เขาขยับศีรษะเข้ามาโขกกับศีรษะของผมเบาๆ
“อื้อ” ผมจึงส่งเสียงตอบในลำคอแล้วก็ขยับเอาหัวไปโขกพี่เขาคืนบ้าง

“ดื้อนะเบ .. เดี๋ยวคืนนี้พี่จะให้เบกอดพี่บนเตียงเป็นค่าทำขวัญ .. เดทของเราจะได้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบไง .. ป๊ะ! กลับหอกัน ….

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


สวัสดีแฟนฟิคทุกท่าน ในที่สุดฟิคตอนนี้ก็เสร็จหลังจากงมอยู่นาน เขียนไปงงไปเพราะข้อมูลนั้นหายากเหลือเกิน อิพี่โมเมจะหลงก็เพราะคนเขียนงงนี่แหละ 55555 แต่สรุปแล้วทริปเดทในครั้งนี้ก็ค้นพบแล้วว่า ปารีสสวยงามไม่ได้มีแต่มิจฉาชีพ 555555
ตอนหน้าเราจะว๊าบไปอีกสองสามปีข้างหน้าเบย งุงิ แต่จะนำเสนอในช่วงที่น้องแฟนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเน้อ (สปอยทำไม 555)
ตอนนี้หากมีข้อผิดพลาดเรื่องข้อมูลต้องขออภัยจริงๆค่ะ กว่าจะวิเคราะห์มาได้แทบตาย ปวดกบาลมาก -0-