Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[Special] Real Dream (2) – Sungmin Part
บรรยากาศหน้าหนาวกลางกรุงปารีสมันให้ความรู้สึกขมุกขมัวในจิตใจได้เป็นอย่างดี
เพราะวันทั้งวันแทบจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นแสงแดดจากเบื้องบนเลย แต่ก็โชคดีหน่อยที่หิมะมันไม่ตก
ไม่อย่างนั้นคงจะเดินทางไปมาลำบากและอาจจะเที่ยวไม่สนุกไปเลยก็ได้ ..
ช่วงเช้าพี่เขาพาผมไปเลือกซื้อของสดที่ตลาดตรงหน้าปากซอย
ตลาดของที่นี่แปลกมาก พวกพ่อค้าแม่ค้าจะวางตั้งแผงลอยเรียงรายไปตามสองข้างทาง เรียกได้ว่าอยากจะซื้ออะไร
ก็สามารถหาซื้อได้จากตลาดแห่งนี้อย่างครบครันเชียวแหละ ..
และสาเหตุที่ย่านนี้ดูจับจ่ายใช้สอยได้สะดวกสบาย
ก็อาจจะเป็นเพราะ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้มีโรงแรมขนาดใหญ่เปิดอยู่
ดังนั้นเมื่อนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา
ประชากรในพื้นที่ก็จะเริ่มหาหนทางไปสู่รายได้ในอนาคตของตน ..
มันคือเรื่องปกติของสังคมเศรษฐกิจนั่นแหละ ..
“ทำต๊อกสิ ..พี่อยากกิน .. นะเบ” พี่เขาเรียกร้องราวกับเด็ก
ขณะที่ผมกำลังเมียงมองว่าจะซื้ออะไรไปแช่ในตู้เย็นบ้าง
“แต่ .. เรา ..
ไม่ ..มี ..แป้ง .. นะ ..ครับ .. ซอส ..ด้วย” ผมแย้งพี่เขากลับ เพราะกลัวว่าหากซื้อวัตถุดิบไปแล้ว มันจะกลายเป็นการปล่อยให้เน่าคาตู้
ถ้าหากเราหาซื้อแป้งทำต๊อกจากที่นี่ไม่ได้ ..
“ถ้างั้นหลังจากเที่ยวเสร็จก็แวะย่านไชน่าทาวน์ด้วยแล้วกัน
..ที่ตลาดนี่ก็ดูพวกผัก
ผลไม้ อย่างอื่นไปก่อน” พี่เขาเสนอความเห็น ผมก็พยักหน้าเออออห่อหมกไป
เพราะดูเหมือนตลอดเวลาที่พี่เขาอยู่ที่นี่ คงจะไม่มีโอกาสได้ทานเมนูบ้านเกิดของตัวเองสักเท่าไหร่
..
สังเกตได้จากบะหมี่มื้อแรกเมื่อค่ำวานนี้ได้เลย
…
ก็พี่เขาเล่นฟาดเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำสักนิด
..
“น้องแฟนลองทานไส้กรอกดู อร่อยดี ..” พี่เขาคว้าข้อมือของผม
พลางหยุดแวะตรงหน้าร้าน เพื่อเจรจาซื้อขายกัน ไม่นานเราก็ได้ไส้กรอกมาครอบครองคนละชิ้น
“ตกชิ้นละประมาณสองยูโรกว่าๆ ..” พี่เขาก้มลงอ่านใบเสร็จ
แล้วก็ขยำใส่กระเป๋า
พอเราเดินผ่านร้านขายดอกไม้ ก็เริ่มให้ความรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็น
ดอกไม้เมืองหนาวมันสวยราวกับดอกไม้พลาสติกเลยล่ะ
ยังดีที่มีกลิ่นหอมคอยประกาศศักดาว่าพวกมันคือดอกไม้สดจริงแท้และแน่นอน ..
ไม่นานผมก็หยุดแวะเลือกซื้อผัก
ผลไม้ ที่ร้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี้ จริงๆร้านขายผักผลไม้มันมีเยอะมาก
เยอะจนไม่รู้จะแวะซื้อที่ร้านไหนดี เพราะคุณภาพมันก็ดีเหมือนๆกันหมด ..
สรุปแล้วค่าเสียหายทั้งหมด
พี่เขาก็ออกเองทั้งนั้น ..
“พี่ว่าจะไม่เอารถไปนะ เราจะได้ขึ้นรถนำเที่ยวด้วย..
อย่าเอากระเป๋าสตางค์ใส่ไว้ในกระเป๋าเป้เชียว” พอพี่เขาเตือน
ผมก็จัดการพับเงินใส่กระเป๋ากางเกงด้านหน้าในจำนวนเท่าที่จำเป็น
ในส่วนที่เหลือพี่เขาก็เอาไปเก็บไว้ที่ลิ้นชักตรงโต๊ะข้างเตียง
พร้อมกับซ่อนเอาไว้ด้านในสุดและล็อคกุญแจอย่างดี
“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ
?”
พอผมก้าวขาออกจากห้อง พี่เขาก็หันมาถาม ทันทีที่ผมส่ายหน้าประตูห้องก็ปิดลงและตามมาด้วยการคล้องกุญแจอย่างแน่หนา
..
จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่เมโทรสถานี Charles-de-Gaulle-Etoile เพื่อนั่งต่อไปยังประตูชัยฝรั่งเศส ..
สถานีรถไฟใต้ดินในยามเช้า
ผู้คนแลดูบางตา ต่างคนต่างก็เร่งรีบในการก้าวเดินกันเป็นแถว
ซึ่งผมเองก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าพี่เขาก้าวขาเดินเร็วมาก จนผมเกือบจะก้าวขาเดินตามแทบไม่ทัน
และที่เป็นอย่างนั้นก็อาจจะเป็นเพราะ ช่วงขาของเราไม่เท่ากันด้วยก็ได้ ..
“เดิน
.. ช้าๆ .. หน่อย .. ครับ ...”
ผมเอื้อมมือไปยื้อชายเสื้อด้านหลังของพี่เขา
ส่งผลให้จังหวะการก้าวเดินของพี่เขาช้าลงตามคำขอ..
ผู้คนที่นี่ดูแปลกๆ ประตูรถไฟก็มีเสียตั้งมากมาย แต่กลับมายืนออกันอยู่ตรงประตูที่ผมกับพี่เขากำลังจะก้าวเข้าไป
คนพวกนั้นเอาแต่ดุนดันกันเข้ามาจนเราสองคนจำต้องแยกห่างออกจากกัน
แต่แล้วพี่เขาก็ดึงแขนผมให้มายืนซ้อนกัน
พลางมองไปยังคนกลุ่มนั้นด้วยสายตาดุๆ
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาสนใจกระเป๋าเป้ของผมอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ..
“เป็น .. อะไร ..ครับ ?” ผมหันหน้ากลับไปถามพี่เขาอย่างสงสัย
“กระเป๋าเราถูกคนพวกนั้นแอบเปิดน่ะ
.. ดีที่เอาอะไรไปไม่ได้
..” พี่เขากระซิบตรงข้างหูของผมเบาๆ
“ผม
..ไม่ ..เห็น ..รู้ ..เรื่อง ..เลย ?”
ผมหันไปพูดกับพี่เขาอย่างตกใจพร้อมกับงุนงงด้วย
“ช่างเถอะ
..ยังไงก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
พี่เขาตัดบทเพียงเท่านั้น แล้วก็เงียบไป
ส่วนผมก็แอบมองคนกลุ่มนั้นที่ตกเป็นเป้าสงสัยของผมอย่างหวาดระแวง ..
ประตูชัยฝรั่งเศสที่กำลังปรากฏอยู่ในกรอบสายตาของผมตอนนี้ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก
ผิวเนื้อหินสีขาวบริสุทธิ์ของอนุสรณ์สถานแห่งนี้ ตัดกับท้องฟ้าสีเทาขมุกขมัวได้อย่างลงตัว
และเมื่อสาวเท้าก้าวเดินเข้ามาชื่นชมสถาปัตยกรรมนูนต่ำใกล้ๆ ก็จะเห็นภาพหินแกะสลักอันวิจิตรบรรจงอย่างชัดเจน
..
“ประตูชัยฝรั่งเศสอันนี้
ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัสชาร์ลส์
เดอ โกลล์ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อรสดุดีวีรชนทหารกล้า
ที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะช่วงสงครามนโปเลียน” พี่เขาเปิดอ่านข้อมูลจากในโทรศัพท์
แล้วก็พาผมมายืนดูอะไรบางอย่างที่มันดูเหมือนจะเป็นสุสาน ? เพราะผมเห็นมีดอกไม้สดวางประดับอยู่รอบๆ
อีกทั้งตรงกลางนั่นก็ยังมีเปลวไฟไหวเอนไปตามแรงลมอ่อนๆอีกด้วย
“ตรงนี้จะเป็นสุสานของทหารนิรนาม .. ส่วนตรงนั้นข้างในเสาประตูชัยนั่นน่ะ
จะเป็นรายชื่อทหารที่ร่วมทำการรบ”
พี่เขาเดินนำผมไปหยุดยืนดูรายชื่อของทหารผู้สร้างความดีแก่ประเทศ ซึ่งสลักเสลาเอาไว้จนเต็มเสาหินทั้งสี่ด้าน
“ทำ
.. ไม .. บาง .. ชื่อ .. เขา ..ถึง .. มี ..ขีด ..เส้น ..ใต้ ..เอาไว้ ..ด้วย ?” ผมถามพี่เขาอย่างสนใจ
เมื่อสายตาสะดุดไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า ซึ่งเมื่อกวาดตามองดูแล้ว
จะเห็นได้ว่ารายชื่อที่มีการขีดเส้นใต้เอาไว้ก็มีเยอะพอสมควร ..
“ทหารพวกนั้นเสียชีวิตระหว่างทำการรบน่ะ ..”
พอพี่เขาตอบคำถามของผมจบ ก็หันมาเก็บโทรศัพท์ไว้ที่กระเป๋าหน้าของกางเกงยีนส์
หลังจากชื่นชมสถาปัตยกรรมสุดอลังการของเมืองน้ำหอมเป็นที่แรกเสร็จเรียบร้อย
พี่เขาก็พาผมเดินข้ามถนนมาขึ้นรถนำเที่ยวคันสีแดงสดตรงจุดเดิมที่เราเคยเดินผ่าน
และเมื่อขึ้นไปได้พี่เขาก็เจรจาซื้อขายกับพนักงานเป็นภาษาฝรั่งเศส
ซึ่งผมเองก็ฟังไม่เข้าใจหรอก เลยได้แต่ยืนมองพี่เขานิ่งๆ
จากนั้นไม่นานพี่เขาก็ได้ตั๋วและหูฟังมาไว้ในครอบครอง ..
“พี่ซื้อตั๋วแบบวันเดียวนะ”
“อื้อ”
“จะนั่งตัวแข็งอยู่ข้างบน
หรือจะนั่งข้างล่างดี ?”
พี่เขาหันมาถามขณะที่เรากำลังเดินไปเลือกที่นั่งกัน
“ข้างบน
..” สิ้นคำตอบ
พี่เขาก็เดินนำผมขึ้นไปนั่งข้างบน ที่นั่งของเราอยู่ท้ายขบวนเลยทีเดียว
พี่เขาเสียสละให้ผมนั่งชิดริมด้านใน
เพื่อที่ผมจะได้ดูวิวทิวทัศน์ของฝรั่งเศสได้อย่างชิดรอบขอบกำแพง ..
“ความจริงข้างบนยังมีพิพิธภัณฑ์ แล้วก็ขึ้นไปที่จุดชมวิวรอบเมืองปารีสได้ด้วย
.. แต่คนก็เยอะอย่างที่เห็น ..”
พี่เขาบุ้ยใบ้ให้ผมมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวเพื่อขึ้นไปยังด้านบนของประตูชัยแห่งนี้
ขณะที่รถนำเที่ยวกำลังขับผ่าน และดูเหมือนว่าหางแถวก็เริ่มจะยาวๆขึ้นเรื่อยๆ
นี่ขนาดเรามากันเช้ามากแล้วนะ
..
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ผมได้รับมาจากการใช้ชุดหูฟังที่เจ้าหน้าที่ขับรถให้มาอย่างเป็นประโยชน์
บอกเอาไว้ว่า
รูปสลักบนประตูชัย จะมีภาพสลักที่แสดงถึงเรื่องราวของการรบในสมรภูมิต่างๆ และนอกจากนี้ประตูชัยยังเป็นส่วนหนึ่งของ
‘แนวเส้นตรงประวัติศาตร์’ หรือบางครั้งก็จะเรียกว่าเส้นทางแห่งชัยชนะ
…
ซึ่งเส้นทางแห่งนี้จะลากตรงจากชองป์เอลิเซ่ส์
ไปยังทิศตะวันตก ผ่านอนุสาวรีย์และตึกที่มีความสำคัญในปารีส ซึ่งประตูชัยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ..
“หนาวมั้ย ?” พี่เขาถาม
แต่ผมที่กำลังสวมหูฟังอยู่ไม่ได้ยิน
พี่เขาจึงต้องถอดหูฟังของผมออกหนึ่งข้างแล้วจึงกระซิบถาม
“นิด..หน่อย ..ครับ” ผมหันไปยิ้มตอบพี่เขา
เพราะอันที่จริงแล้วผมกำลังเพลิดเพลินกับการบรรยายข้อมูลของรถนำเที่ยวจนลืมความเหน็บหนาวไปเลย
..
สถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญลำดับต่อมาก็คือกร็องปาแล ซึ่งเคยผ่านการใช้งานเป็นโรงพยาบาลทหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่
1 และยังเคยเป็นสถานที่จัดแสดงโฆษณาชวนเชื่อของนาซี ถึง 2 ครั้ง
ในช่วงที่ปารีสถูกเยอรมนียึดครองสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
“นาซี
?”
ผมทำคิ้วขมวดนิดหน่อยเมื่อข้อมูลมันชักกลายเป็นข้อมูลเชิงลึกเกินไป
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพวกลัทธิชาติสังคมนิยมอะไรนี่แหละ
.. ” พี่เขาตอบแล้วก็นั่งกอดอก
พลางก้มหน้าคล้ายกับเตรียมจะงีบหลับเสียอย่างนั้น ..
แสดงว่าพี่เขาคงมานั่งเที่ยวเตร่แบบนี้บ่อยๆล่ะมั้ง …
สถาปัตยกรรมของบ้านเขาดูยิ่งใหญ่อลังการแทบทั้งนั้น
แถมยังมีที่มาที่ไปล้วนแล้วแต่น่าสนใจอีกต่างหาก อย่าง กร็องปาแลตามที่เจ้าหน้าที่เขาให้ข้อมูลไว้บอกว่า
ตัวอาคารมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโบซาร์
ซึ่งปัจจุบันจัดให้มีการเรียนการสอนในสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส ..
โดยมีลักษณะเด่นก็คือ
รายละเอียดโดยรอบบนหน้าบันที่สลักจากหิน และยังมีการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างทันสมัย
รวมทั้งใช้นวัตกรรมใหม่ในการก่อสร้างอีกด้วย ..
อย่างเช่น
โครงหลังคาเหล็กน้ำหนักเบาประดับกระจก และการใช้คอนกรีตเสริมแรงในการก่อสร้างนั่นก็ด้วย
..
“พี่ ..ครับ ..ดู ..สิ .. สวย ..มาก ..เลย ..” เมื่อรถนำเที่ยวเคลื่อนตัวพานักท่องเที่ยวข้ามสะพาน
Alexandre III ผมก็รีบหันไปปลุกพี่เขาที่คงจะหลับลึกไปแล้วอย่างตื่นเต้น
“หือ ?” พี่เขาปรือตามองมายังผม
ขณะที่ฮู๊ดก็เอาแต่จะล่วงลงมาปิดใบหน้าของพี่เขาอยู่ตลอด
จนสุดท้ายคนที่ถูกรบกวนก็จัดการสะบัดเจ้าฮู๊ดนั่นไปไว้ทางด้านหลัง
แล้วก็หันมาสนใจในสิ่งที่ผมกำลังสนใจอยู่ ..
จากข้อมูลเขาบอกว่า
ที่จริงปารีสมีสะพานอยู่หลายแห่ง แต่ว่าสะพานที่เรากำลังข้ามอยู่นี้เป็นสะพานที่หรูหราแห่งหนึ่งในปารีสเลยล่ะ
ซึ่งผมก็เห็นด้วย อีกทั้งสะพาน Alexandre
III ยังเป็นตัวเชื่อมระหว่างปารีสฝั่งซ้ายและขวาเข้าด้วยกัน
“สีทองๆนั่นน่ะ .. ใช้ทองถึงยี่สิบสี่เคเชียว ..” พี่เขาเบียดตัวเข้ามาใกล้ผม พลางชี้ชวนให้ผมหันกลับไปดูอนุสาวรีย์? ตรงหน้าทางขึ้นสะพานอย่างสนอกสนใจ ซึ่งบนยอดเสานั้นจะมีรูปปั้นสีทองตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่
และเมื่อหันกลับมามองหนทางข้างหน้าตามเดิม ม่านสายตาของผมก็จะเห็นรูปปั้นแบบเดียวกัน
และยังใช้ทองเป็นส่วนประสมเหมือนกันอยู่หลายชิ้นเลยทีเดียว ..
นี่แหละ
ผมถึงได้บอกว่าสะพานแห่งนี้หรูหราสมราคาคุยจริงๆ
ไม่นานรถนำเที่ยวก็มาจอดที่ลานจัตุรัสโทรกาเดโร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่นิยมในการถ่ายรูปและชมวิวหอไอเฟล
ดังนั้นผู้คนบนรถจึงทยอยพากันลงไปเดินชมความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมอันใหญ่โตนั่นก็เป็นแถว
“พี่ครับ .. ไม่ ..ลง ..
เหรอ ?” ผมถามพี่เขาที่กำลังนอนหลับตาและดึงฮู๊ดมาปิดหน้าอย่างไม่เข้าใจ
เพราะตั้งแต่ขึ้นรถนำเที่ยวมา เราสองคนไม่แม้แต่จะลงไปเที่ยวชมอย่างที่คนอื่นเขาทำสักนิด
ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่เพราะกลัวตกรถแต่อย่างใด เพราะรถนำเที่ยวแบบนี้
จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่ตลอด หากเราพลาดคันนี้ ก็แค่ยืนรออีกคันมาจอดเทียบท่าเท่านั้น
..
“วันนี้แค่นั่งรถชมรอบเมืองเฉยๆ”
พี่เขาพูดนิ่งๆ ผมก็เลยต้องนั่งนิ่งๆอยู่ตรงที่เดิมตามพี่เขาไปด้วย จากข้อมูลการนำเที่ยว
โทรกาเดโรเป็นสถานที่จัดนิทรรศการในอดีต
แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อย่างเช่น พิพิธภัณฑ์แห่งชาติทางทะเล
มนุษย์วิทยา สถาปัตยกรรมแห่งชาติ หรืออนุสาวรีย์แห่งชาติ แถมยังมีโรงละครแห่งชาติตั้งอยู่ตรงด้านล่างของลานว่างระหว่างสองอาคารอีกด้วย
ในเมื่อผมไม่อาจเข้าไปชื่นชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆข้างในนั้นได้
ผมจึงนั่งท้าวแขนกับราวเหล็กด้านข้าง และสายตาก็มองจ้องไปยังหอไอเฟลที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
…
ความใหญ่โตคลาสสิคสุดแสนจะอลังการของมัน
ตัดกันอย่างลงตัวกับท้องฟ้าสีขะมุกขะมอม และจากสายตาเปล่าเราสามารถมองเห็นแนวควันของเครื่องบินไอพ่นที่บินวนโฉบเฉี่ยวอยู่บนนั้นได้อีกด้วย
..
“แงงงงงงงงงงงง”
ผมที่กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดก็มีอันต้องสะดุ้งอย่างตกใจ
เมื่อจู่ๆเสียงเด็กร้องไห้งอแงก็ดังลั่นเล็ดรอดมาจากด้านล่างของตัวรถ
แต่นั่นก็ยังไม่น่าตกใจเท่าพี่เขาเบียดตัวเข้ามาหาผม แล้วก็จัดการหย่อนเชือกที่ตรงด้านปลายของมันผูกอมยิ้มหลอกเด็กติดเอาไว้
..
พี่เขาชะโงกตัวมาคล่อมร่างของผม
พลางใช้ลูกอมเป็นตัวล่อให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้งอแง ซึ่งพอเด็กน้อยเอื้อมมือออกมาทำท่าจะขโมยลูกอม
พี่เขาก็รีบยกปลายเชือกขึ้นสูง ทั้งๆที่แขนป้อมๆของน้องนั้นสั้นเกินกว่าจะคว้าลูกอมหลอกเด็กที่หย่อนลงมาจากข้างตัวรถทางด้านบนได้อยู่แล้ว
ผมพยายามขยับใบหน้าของผมออกห่างจากใบหน้าของพี่เขา
เพราะตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมาก และก็มากเสียจนผมไม่กล้าจะหายใจแรงๆเอาซะเลย …
“Maman (มามอง)..” พี่เขาตะโกนเรียกใครบางคน
แล้วไม่นานก็มีผู้หญิงที่ในอ้อมแขนกำลังอุ้มเด็กน้อยเอาไว้โผล่หน้าออกมา คาดว่าน่าจะเป็นแม่ของเด็กแขนป้อมที่พี่เขาแกล้งแหย่เมื่อครู่
..
พวกเขาพูดคุยกันอยู่สักพัก จากนั้นพี่เขาก็หย่อนเชือกใส่ฝ่ามือของคุณแม่ชาวฝรั่งเศสพร้อมด้วยรอยยิ้มปิดท้ายให้แก่กัน
แล้วก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป ..
“เวลาออกมาข้างนอกยังไงต้องเตรียมของพวกนี้เอาไว้หน่อย
เผื่อเจอเด็กร้องไห้น่ารำคาญจะได้เอาปิดปากซะ”
พี่เขาหันหน้ามามองผมในระยะประชิดโดยไม่คิดจะเอนตัวกลับไปนั่งที่ของตัวเองให้ดีๆ
“แต่
.. เด็ก ..คน ..นั้น .. น่า ..จะ ..ยัง ..เล็ก .. อยู่ .. เลย ..นะครับ ..” ผมเถียงแก้เก้อ เพื่อให้ดวงตาคมของพี่เขาเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับบทสนทนาของผมแทนที่จะเอาแต่จ้องมองริมฝีปากของผมแบบนี้
..
“ช่างประไร
.. เพราะจุดประสงค์ไม่ได้อยู่ที่เด็กคนนั้น
..” พี่เขาพูดพลางทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งข้างๆผมอีกครั้ง
แล้วก็เอาฮู๊ดลงมาปิดหน้าเหมือนเดิม ..
แล้วไอ้จุดประสงค์ที่พี่เขามันอยู่ที่ไหน ? ผมเหรอ ?
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนั่งรถชมวิวทั่วกรุงปารีสจะกินเวลานานขนาดนี้
แต่ด้วยเพราะอากาศที่มันกำลังพอดีเมื่อเราสวมใส่เสื้อโค้ทอย่างดี
จึงไม่ทำให้การท่องเที่ยวดูน่าหงุดหงิดใจนัก ..
ตอนนี้รถนำเที่ยวกำลังข้ามผ่านแม่น้ำแซน
เพื่อเข้าไปใกล้กับหอไอเฟลซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของเมืองแห่งแฟชั่นและน้ำหอม เหนือผิวน้ำมีเรือนำเที่ยวจัดให้บริการอยู่หลายลำ
บ้างก็จอดอยู่ริมตลิ่ง บ้างก็บรรทุกคนลอยล่องลอดใต้สะพานที่รถนำเที่ยวที่ผมนั่งกำลังข้ามผ่าน
เมื่อมุ่งหน้าไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำสายหลัก ..
เมื่อรถข้ามฝั่งมาได้ ก็เห็นเครื่องเล่นม้าหมุน กับร้านขายอาหารและเครื่องดื่มตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
ซึ่งก็มีเหล่านักท่องเที่ยวแวะเวียนมาใช้บริการกันอย่างไม่ขาดสาย ..
พอตัวรถขับเข้ามาตรงใจกลางเมืองอีกครั้ง ผมก็มองเห็นหอไอเฟลได้อย่างชัดเจน
และเมื่อได้เห็นมันใกล้ๆ ผมก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่อลังการมาก …
“ลงกัน ..” ผมไม่อาจรับรู้ข้อมูลจากการนำเที่ยวของที่นี่ได้อีก
เมื่อตัวผมกำลังปลิวติดมือของพี่เขาไป ขณะที่หูฟังก็หลุดล่วงจากใบหูของผู้เป็นเจ้าของและนอนแอ้งแม้งอยู่บนเบาะนั่งอย่างไร้ความหมาย
เมื่อเจ้าของไม่ได้ต้องการจะใช้งานมันอีกต่อไป ..
คำบรรยายสุดท้ายที่ผมจำได้ก็คือ
Champ de Mars ..
จากม่านสายตาผมมองเห็นหอไอเฟลตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า
โดยที่รอบๆจะมีต้นไม้ปลูกเรียงรายประดับเอาไว้เป็นทิวแถว
เพียงแต่ตอนนี้มันคือหน้าหนาว จึงไม่มีสีเขียวขจีให้เห็น
นอกจากกิ่งก้านสาขาสีน้ำตาลแห้งนั่นเท่านั้น
ด้วยลักษณะอันโดดเด่นของพื้นที่แห่งนี้
ผมคาดว่ามันน่าจะเป็นสวนสาธารณะอันคุ้นหน้าคุ้นตาของผมดี
เพราะส่วนใหญ่ฉากหลังของพี่เขาเวลาที่เราใช้วีดิโอคอลคุยติดต่อกันจะเป็นมุมนั้น
ที่เราเพิ่งจะเดินเลยผ่านมันไป ..
เมื่อย่างก้าวเข้าไปใกล้ๆกับฐานของหอไอเฟล จะสามารถมองเห็นโทรกาเดโรตั้งอยู่ไกลๆ ซึ่งความจริงแล้วเราสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้จากหลายมุมมอง
แล้วแต่ว่าเราจะเลือกมองจากมุมไหน แต่ดูท่าแล้วพี่เขาคงจะชอบมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนี้
ที่นี่ก็เลยกลายเป็นมุมประจำของพี่เขาไป ..
“ไม่ถ่ายรูปหน่อยเหรอ ? โทรศัพท์ก็ได้ ..” พี่เขายืนกอดอกมองยอดของหอไอเฟล
แล้วก็เบนสายตากลับมาหาผมและร้องถามอย่างเย้าแหย่
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะรอบๆตัวของเรา ต่างชาติหลากหลายเชื้อชาติก็พากันหยิบไอแพด
กล้องถ่ายรูป หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายกันให้ควัก
“..”
ผมไม่ตอบแต่ส่ายหน้าให้พี่เขาแทน เพราะผมไม่ค่อยชอบการถ่ายรูปสักเท่าไหร่
“ยิ้มเลย
.. นานๆทีจะได้มา ..” พี่เขาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา พลางบอกให้ผมยิ้ม
ครืด
ครืด ..
“สายเข้า .. เดี๋ยวพี่มานะ .. ยืนอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนล่ะ
..” พี่เขาชักสีหน้านิดหน่อย
เพราะขณะที่พี่เขากำลังจะถ่ายรูปของผมไว้ในเฟรมกล้องจากโทรศัพท์มือถือของตัวเอง
ก็ดันมีสายเรียกเข้าขัดจังหวะขึ้นมาซะก่อน ..
“ครับ ..” พี่เขารอจนกระทั่งผมตบปากรับคำ แล้วก็เดินแยกตัวออกไปคุยโทรศัพท์ตรงจุดที่คนมายืนออกันน้อยหน่อย
เพื่อที่เสียงจากภายนอกจะได้ไม่ดังรบกวนการเจรจาสื่อสาร ..
“สวัสดีครับ .. กระเป๋าของคุณสวยมากเลย
ซื้อมาจากที่ไหนเหรอ ?” ผมที่กำลังให้ความสนใจกับหอไอเฟลสุดยิ่งใหญ่อลังการที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้มาเห็นใกล้ๆเป็นครั้งแรก
จำต้องละสายตาหันกลับมามองชายหนุ่มหน้าตาดีที่เดินเข้ามาทักทายผมด้วยภาษาอังกฤษราวกับสนอกสนใจกระเป๋าเป้ของผมหนักหนา
..
“จาก
..เกา .. หลี ..ครับ ..”
“โอ้
.. คุณคงเป็นคนเกาหลีใช่ไหมครับ
.. ผมมาจากอิตาลี Nice to
meet you”
“Nice ..to .. meet .. you” เขายื่นมือมาให้ผมจับ และด้วยมารยาทผมก็จำเป็นต้องเช็คแฮนด์กับเขา
“คุณช่วยยื่นนิ้วก้อยมาให้ผมหน่อยสิ
..”
“ครับ
?”
“for love”
เขาหยิบด้ายสีแดงออกมาจากในกระเป๋ากางเกง พลางยกขึ้นโชว์ให้ผมดู
“…” ผมทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ยืนเงียบและงงอยู่ตรงนั้น
ชายคนนั้นจึงอาศัยจังหวะทีเผลอ เอื้อมมือมาประครองข้อมือของผม
แล้วก็นำเชือกสีแดงมาผูกที่ข้อนิ้วก้อยทางด้านซ้าย ..
“ป..ปล่อย .. Stop!” เขาเริ่มใช้ด้ายพันข้อนิ้วของผมจากนิ้วก้อยลามมาจนเกือบจะครบห้านิ้ว
พอเห็นท่าไม่ดีผมก็พยายามจะสะบัดและร้องห้ามให้เขาหยุดทำแบบนั้น ..
แต่เขาก็ยังไม่หยุด ..
“Get out!” พี่เขาที่เพิ่งจะกลับมาจากการพูดคุยโทรศัพท์
ตะโกนตวาดใส่ผู้ชายคนนั้นจนเสียงดังลั่น อีกทั้งนัยน์ตาของพี่เขาก็ฉายแววดุดันจนน่ากลัว
…
ทั้งสองคนทะเลาะกันใหญ่โต แต่คนรอบข้างก็ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง และก็ถือเป็นโชคดีของผมที่ผู้ชายคนนั้นมันเผลอเลอจนถึงขนาดรวบเส้นด้ายสีแดงเอาไว้ไม่แน่นพอ
ผมจึงใช้จังหวะนั้นปลีกตัวออกมาทั้งๆที่มือของผมก็ยังพันด้วยด้ายสีแดงอยู่
พอมันหันกลับมาเห็นว่าผมซึ่งก็คือเหยื่อของมันหนีไปได้
มันก็ทำท่าหัวเสียและเดินแยกทางออกไปให้ไกลจากจุดนี้
เพื่อที่มันจะได้ไปหาเหยื่อรายใหม่ …
เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าแท้ที่จริงมันคือมิจฉาชีพที่หวังจะเข้ามาเอาอะไรบางอย่างจากผม
หาได้สนใจกระเป๋าเป้อย่างที่มันยกมาอ้างสักนิด ..
“สันขวานเสือกมาหาว่ากูไปแย่งเหยื่อมึงอีก ”
พี่เขาตะโกนด่ามันด้วยภาษาเกาหลีอย่างโมโหโทโส
ผมจึงจัดการลากพี่เขาให้ออกห่างจากตรงนั้น เพราะผมกลัวว่าถ้าเกิดมันนึกโมโหแล้วย้อนกลับมาทำร้ายพี่เขาขึ้นมา
แล้วทีนี้แหละเรื่องจะยุ่งของจริง …
หลังจากเกิดเรื่องแผนการเที่ยวของเราก็หยุดชะงัก
รวมถึงโปรแกรมการซื้อวัตถุดิบที่ตั้งเอาไว้เมื่อเช้าก็ต้องถูกยกเลิกไปด้วยเช่นกัน ..
พี่เขาพาผมนั่งเมโทรสถานี Trocadéro เพื่อกลับไปยังที่พักของเรา..
ท้องฟ้าเริ่มโรยตัวมืดลงทุกที
ทุกที เนื่องจากหน้าหนาวทางแทบยุโรปจะมืดเร็วกว่าปกติอยู่หลายเท่า
เราสองคนจึงเดินกลับที่พักโดยมีริ้วสีส้มอมม่วงพาดผ่านอยู่บนท้องฟ้า ..
ตลาดสองข้างทางเริ่มทยอยกันเก็บร้านกันเป็นทิวแถว
โชคยังดีที่มื้อเย็นของเราสองคนได้ไก่ย่างมาจากแผงลอยตั้งหนึ่งตัวก่อนที่พ่อค้าจะเก็บร้านพอดี
ไม่อย่างนั้นมื้อนี้เราคงต้องพึ่งบะหมี่ไร้เครื่องเคียงกันอีกมื้อ ..
“เบ
..” พอเข้ามาในห้อง
พี่เขาก็เพิ่งจะเปิดปากพูดคุยกับผมเป็นครั้งแรก
“ครับ
?”
“ต่อไปอย่าไว้ใจใครนักนะ
ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้มัน .. มันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
“….”
“แล้วก็
.. จำไว้เป็นคติเลย ..
ระวังได้แต่อย่าระแวง เดี๋ยวจะอยู่ไม่เป็นสุข”
“อื้อ”
“ด้ายสีแดงนี่
.. for love ของมัน คงหมายถึง
money ของเราด้วย ..ถ้าเกิดพี่เข้าไปห้ามไม่ทัน
เราอาจจะโดนหนักยิ่งกว่านี้ เพราะมันจะเอาพวกมารุมกดดันให้เราต้องยอมจ่ายเงินให้มันหลายยูโรเลย
.. ”
พี่เขาเปิดประเป๋าเป้ที่ผมจัดการแกะด้ายสีแดงออกจากข้อนิ้วแล้วโยนใส่ไว้ในกระเป๋าขึ้นมา
จากนั้นอ้อมแขนของพี่เขาก็โอบล้อมรอบตัวผมที่ยืนอยู่ข้าง
เพื่อนำด้ายสีแดงเส้นนั้นมาพันรอบข้อนิ้วนางข้างซ้ายของผม เหมือนกับที่มิจฉาชีพหน้าตาดีคนนั้นเคยทำ
“For love … BeBe” พี่เขาพูดประโยคเดียวกับมิจฉาชีพคนนั้น
แต่มันกลับแกว่งหัวใจของผมให้เต้นรัว จนหน้าร้อนเห่อขึ้นมาได้ …
“ช่วงนี้งบน้อย .. ขโมยของทำมาหากินของไอ้โจรปากหมานั่น
มาใช้หมั้นแฟนอีกที ก็ไม่เลวดีแฮะ ..”
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ตอนหน้ามาหาความหมายของ bebe กันค่ะ
ส่วนตอนนี้จากที่ลงอินโทลไว้
มีคนเดาถูกด้วยว่าน้องแฟนกำลังเจอดี
ความจริงมันก็ไม่ใช่ว่าจะเจอกันทุกคนนะ แต่คนเอเชียดันเป็นกลุ่มเป้าหมายค่ะ
เพราะชอบแต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น ชอบถือไอแพด ไอโฟนอย่างโจ่งแจ้ง
ชอบลืมที่จะระวังตัวเลยถูกล้วงกระเป๋า เอาง่ายๆคือถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้คนพวกนั้น
เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
ซึ่งนี่คือประสบการณ์ครั้งแรกในฝรั่งเศส น้องแฟนก็ยังไม่ได้ระวังตัวอะไรนัก
สังเกตุได้จากน้องแฟนบอกให้พี่โมเมเดินช้า เพราะถ้าเป็นคนพื้นที่เขาจะเร่งรีบค่ะ
เนื่องจากเมโทรคือตัวดีเลย แหล่งของมิจฉาชีพ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนพวกนี้ไม่ใช่คนฝรั่งเศสนะคะ แต่จะเป็นพวกผิวดำหรือพวกยิบซี ..
ขออธิบายอีกนิด
พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ด้วยแหละ
หลังจากที่นั่งเขียนวันนี้แล้วก็งงเรื่องช่วงเวลาซะเอง
เอาเป็นว่าเขียนไว้เตือนตัวเองและผู้อ่านด้วย
ช่วงปลายเดือนตุลาคือช่วงที่พี่โมเมทำเรื่องไปเรียนต่อ
ตอนที่คุณย่ากับคุณแม่มา
กว่าจะเสร็จก็ต้นเดือนพฤศจิจากนั้นพี่โมเมก็บินมาเลย
ซึ่งเกาหลีจากที่ไปหาข้อมูลจะปิดเทอมใหญ่พฤศจิ
สรุปก็คือพี่โมเมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาเริ่มใหม่ที่ฝรั่งเศส .. เดือน
ธันวาคือช่วงที่คุยกันผ่านวีดิโอคอล มกราคือน้องแฟนบินมาหา
ช่วงเดือนนี้หิมะจะไม่ตก ฝรั่งเศสจะเปิดเทอมเดือนกันยา
เพราะงั้นพี่โมเมช่วงที่น้องแฟนอยู่ก็จะว่าง แต่ก็ต้องไปเรียนภาษาด้วย
ซึ่งภาษาจะไม่ได้เรียนทั้งวันและทุกวัน อย่างที่พี่โมเมเคยพูดไปว่า
ถ้าว่างๆก็จะอ่านหนังสือเพื่อฝึกภาษา
แต่ที่ไม่ค่อยได้โทรหาเพราะเวลามันไม่ค่อยตรงกัน .. โอเคประมาณนี้ จารึกไว้เลย คนเขียนจะได้ไม่งงเอาเองอีก -*-
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [Special by Sungmin 5]