วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [54]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 





[54]


                คำพูดของพี่เขามันทำให้ความคิดของผมเริ่มเปิดกว้างขึ้น จากที่ผมเคยเอาตัวเองมาผูกติดกับพี่เขา ณ ตอนนี้ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะหยัดยืนด้วยสองขาของตัวเอง ผมกำลังมองทุกอย่างให้เป็นความสุข ดังนั้นความกลัวในจิตใจของผมจึงเริ่มลดน้อยลงไป จนเกินครึ่งทาง

                ทุกครั้งที่เรามองตากัน ผมมักจะมองเห็นความห่วงใย ความจริงใจ และความรักส่งผ่านมาทางสายตาของพี่เขาเสมอ อีกทั้งการกระทำของพี่เขาเองก็ส่งผ่านความอบอุ่นมาให้ไม่ต่างกัน ยามที่พี่เขาโอบกอดผมภายใต้ร่างของเขา ผมจะรู้สึกถึงความอ่อนโยนและความทะนุถนอมได้อย่างชัดเจน ..
                แต่สิ่งที่พี่เขาทำให้ผมอุ่นใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็น การที่พี่เขารับฟังคำพูดของผม ไม่ว่าผมจะพูดออกมาได้เชื่องช้าเพียงใด พี่เขาก็มักจะตั้งใจฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข ..
                พี่เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว และผมก็เชื่อว่ามันจะไม่มีวันเปลี่ยนไป หากใจของเราหนักแน่นพอ

            “มึงต้องโดนกำจัดจุดอ่อน!” ผมจำต้องหลุดออกจากวังวนแห่งความคิดของตัวเองในทันที เมื่ออยู่ๆบุคคลที่เกาะกลุ่มกันอยู่กลางสนามบาสก็ส่งเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายจนดังลั่น ซึ่งเมื่อผมเพ่งมองอย่างตั้งใจแล้ว ผมจะเห็นว่าผู้ชายตัวสูงผิวเขาผ่องกำลังถูกล้อมวงจากกลุ่มคนสนิทของตนเอง โดยที่หนึ่งในนั้นกำลังถือลูกบาสเตรียมจะทุ่มเข้าใส่ร่างของผู้ชายผิวขาวคนนั้นอย่างแน่วแน่ ..
                “สติไม่มีเลยไอ้สันขวาน!” ผู้ชายผิวเข้มทุ่มลูกบาสเข้าใส่ผู้ชายผิวขาวไม่เบานัก จากนั้นก็เป็นคิวของคนอื่นๆในกลุ่มที่จะจัดการผู้ชายผิวขาวผู้ซึ่งไร้สมาธิ ตามกฏกติกาในการละเล่นที่พวกเขาตั้งขึ้น

                “ไอ้เชี่ยยยย! ไหล่กู!” ผู้ชายผิวขาวคนนั้นร้องออกมาจนเสียงดังลั่นเมื่อถูกรุมรังแกโดยที่ไม่อาจจะต่อสู้อะไรได้ เพราะมันคือกฎของเกมที่พวกเขาเล่น
                “ไสหัวออกจากสนามไปเลยมึง ขายขี้หน้าชิบหาย!” ผู้ชายผิวขาวคนนั้นโดนผลักออกมาจากกลุ่มพี่ๆเพื่อนๆน้องๆกลางสนามบาสในวินาทีสุดท้าย จากนั้นปลายเท้าทั้งสองข้างของผู้ชายผิวขาวคนนั้นก็เดินก้าวย่างตรงมายังผมที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นริมขอบสนาม ..

                พี่เขาทิ้งตัวลงนอนแผ่กับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หน้าอกแกร่งขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจอันถี่กระชั้น ผมที่เอาแต่จ้องมองท่าทางเหนื่อยล้าของพี่เขาเงียบๆ ก็ถึงคราวสะดุ้งสะเทือนเมื่ออยู่ๆสายตาคมกริบคู่นั้นก็ปราดมองใบหน้าของผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ..
                ฝ่ามือใหญ่คู่นั้นเอื้อมมาจับฝ่ามือของผมไปวางแปะไว้บนศีรษะของตัวเอง จากนั้นดวงตาคู่คมก็ปิดสนิท ราวกับจะซึมซับความอ่อนโยนจากฝ่ามือของผม

                หลังจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่มีพี่เขามาคอยอยู่เคียงข้างผมอีกแล้วใช่ไหม ? จะไม่มีคนมาคอยใช้ไม้เคาะกระจกเพื่อเรียกให้ผมมาคุยด้วย จะไม่มีคนมาฟังผมพูดผ่านโทรศัพท์กระดาษอีกแล้ว  ..
                ผมอยากหยุดเวลาเอาไว้แค่นี้ ผมไม่อยากให้เวลามันเดินต่อไปอีกเลย
                หึ .. แต่ถึงยังไงพี่เขาก็ต้องไป เพราะผมเป็นคนเลือกให้พี่เขาไปเอง ..

            “พรุ่งนี้จะต้องจากกันแล้วนะ ..” พี่เขาหลับตาพูดประโยคที่มันทำให้หัวใจหวิวไหวออกมา แม้ท่ามกลางสนามบาสจะเต็มไปด้วยเสียงอันกึกก้อง หากแต่ผมกลับได้ยินคำพูดของพี่เขาอย่างชัดเจน ..
                “อื้อ” ผมเม้มปากแน่น เพื่อสะกดกั้นอารมณ์อ่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างยากลำบาก

                “พี่มีความจริงอีกอย่างจะสารภาพ ” พี่เขาลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าและมองตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังเล่นบาสกัน อย่างสนุกสนาน
                ….” ผมเหลือบมองเสี้ยวหน้าของพี่เขาอย่างใจจดใจจ่อ ภายในหัวใจมันเต้นตึกตักอย่างควบคุมไม่ได้ ความหวังมันถูกจุดประกายขึ้นมาจนเต็มม่านตาไปหมด
                บางทีผมอาจกำลังฝันไป .. และพี่เขาอาจจะกำลังปลุกผมให้ตื่นจากฝันด้วยความจริงที่ว่า พี่เขาไม่ได้จะห่างจากผมไปไหน ..

                “อันที่จริงที่พี่สอบชิงทุน เพราะพี่อยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสน่ะนะ ..” หัวใจของผมเหมือนกับหล่นวูบลงมาอยู่ที่ตาตุ่มภายในพริบตา เมื่อพี่เขาพูดความจริงไปคนละทางกับที่ผมหวัง ..
                “แต่พอเห็นเราเริ่มเคว้ง พี่ก็เลยตัดสินใจจะไม่ไป ..” ผมเม้มปากแน่นเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของพี่เขา เพราะผมยังจำได้ดี ว่าวันแรกที่ผมทราบเรื่องที่พี่เขาต้องสอบชิงทุน ผมใจเสียแค่ไหน แต่พอพี่เขาบอกว่าที่ที่เขาต้องสอบเป็นเพราะเขาอยากจะพิสูจน์ตัวเอง ผมจึงเริ่มวางใจ

                ….
                “ที่คุณย่าไม่ปลื้มน้องแฟนในตอนแรก ความจริงมันเป็นเพราะพี่ตัดสินใจเลือกน้องแฟนแทนที่จะเลือกความตั้งใจของตัวเองด้วยส่วนนึง ..” พี่เขาหันมามองจ้องผมขณะที่พี่เขาพูดประโยคต่อมาของเขาให้ผมฟัง ซึ่งคำพูดของเขามันทำเอาผมนึกโล่งใจที่ผมตัดใจทำตัวให้เข้มแข็งและยินยอมให้พี่เขาไปเรียนแต่โดยดี เพราะถ้าหากผมขัดขวาง นั่นก็เท่ากับผมเผลอไปทำลายความฝันของพี่เขาโดยไม่รู้ตัว และบางทีผมอาจจะกลายเป็นที่เกลียดชังของคุณย่าขึ้นมาจริงๆก็คราวนี้

                “ทุกครั้งที่พี่พยายามจะให้เราเปิดใจรับคนอื่นเข้ามาในโลกของเรา ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่คิดจะสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศ แล้วพี่เองก็เป็นห่วงเราด้วย ..” พอพี่เขาพูดมาถึงตรงนี้ ผมก็มองเห็นภาพของตัวเองที่กำลังยืนเล่นไวโอลินให้คนที่ผมไม่รู้จักฟัง แล้วก็ยังนึกไปถึงครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับทงเฮด้วย
                ….

                “พอเราทะเลาะกันครั้งนั้น พี่ก็เลยตัดสินใจตอบรับการใช้ทุนทันทีที่ประกาศผล ซึ่งมันแน่นอนว่าทุกคนที่บ้านไม่คิดจะห้ามอยู่แล้ว เพราะมันคือความตั้งใจแรกของพี่ ... แต่พอเรากลับมาคืนดีกัน พี่ก็เกิดอาการไม่อยากจะไปขึ้นมาอีก .. คุณแม่ก็เลยขึ้นมากล่อมพี่ให้ยอมดำเนินเรื่องให้มันเสร็จๆไป ..
                …..

                “แต่พอท่านทราบเหตุผลของพี่ ท่านก็เลยปล่อยเลยตามเลย ..” พี่เขาเอื้อมมือมาจับฝ่ามือของผมไว้
                ….

                “ส่วนคุณย่าท่านไม่เห็นด้วยที่คุณแม่ตามใจพี่ ท่านก็เลยขึ้นมาจัดการเอกสารทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ท่านเดินทางมาถึง .. วันนั้นพี่ก็เลยเครียด เพราะพี่คิดอะไรไม่ออกจริงๆ
                ถ้ามันเป็นความต้องการของพี่ตั้งแต่ทีแรก ผมก็เห็นด้วยกับการกระทำของคุณย่านะครับ ดีแล้วที่ผมไม่รั้งพี่ไว้ เพราะถ้าหากผมรั้งพี่ไว้ พอมาฟังความจริงวันนี้ ผมอาจจะเสียใจยิ่งกว่าตอนนี้ก็ได้ผมเลื่อนฝ่ามือออกจากฝ่ามือของพี่เขาจากนั้นผมก็ใช้ภาษามือในการอธิบายความคิดเห็นของผมบ้าง ..

                “ขอโทษที่โกหก ..” พี่เขาลูบหัวผมเบาๆ
                “ผม ..เข้า ..ใจ ..พี่ ..ครับ” ผมยิ้มบางๆ โดยที่รอยยิ้มนั้นมันออกมาจากใจของผมจริงๆ
               
                ฟิ้วววววววว

                “โทษทีว่ะพี่มึง .. พอดีลูกบาสมันหลุดมือ ..” ผมกับพี่เขาที่กำลังมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน เป็นอันต้องมุดหัวหลบลูกบาสที่จู่ๆก็ลอยมาทางเราสองคน ซึ่งบินเฉียดหัวไปนิดเดียว
                “ไอ้สัส! มึงนี่กวนตีนกูไม่เลิกนะซองจิน” พี่เขาลุกขึ้นไปเก็บลูกบาส จากนั้นก็ไล่วิ่งทุ่มลูกบาสใส่ซองจินอย่างเอาจริงเอาจัง

                “ก็กูหมั่นไส้นี่หว่า ..” ซองจินยังคงวิ่งวนอยู่รอบตัวผม ทำให้พี่เขาไม่กล้าทุ่มลูกบาสเข้าใส่
                “ช่วยไม่ได้ .. ไหนๆกูก็จะอยู่ขวางหูขวางตามึงเป็นวันสุดท้ายแล้ว .. ยังไงก็ยกผลประโยชน์ให้จำเลยอย่างกูเถอะ” พี่เขายักคิ้วใส่ซองจินด้วยสีหน้ากวนประสาท

                “กูก็ยกให้พี่มึงมาตั้งนานแล้วไง .. ถึงเวลาที่กูจะทวงพี่กูคืนแล้วโว้ย ..” อีซองจินยังคงลอยหน้าลอยตา แถมกอดเอวของผมไว้อีกต่างหาก
                “หึ .. อีกเจ็ดปี .. ระวังกูจะมาทวงคืนโดยไม่รู้ตัวนะมึง..” พี่เขาพูดกับซองจินแบบนั้น แล้วก็วิ่งถือลูกบาสเข้าไปหากลุ่มเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ยืนรอลูกบาสกันอยู่

                “ก็เอาไปสิ .. กูไม่ได้หวงสักหน่อย” ซองจินปล่อยมือที่โอบกอดรอบเอวของผมเอาไว้ แล้วก็พูดตอบโต้พี่เขาเบาๆในลำคอ จากนั้นก็วิ่งตามเข้าไปสมทบในสนาม
 ส่วนผมก็ได้แต่ยืนหน้าแดงเพราะคำพูดของซองจินอย่างบอกไม่ถูก ..

                เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่พี่เขาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงมีการจัดงานเลี้ยงส่งผู้ชายผิวขาวอัธยาศัยดีเกิดขึ้น  ผู้คนมากหน้าหลายตาที่ผมไม่รู้จัก ต่างก็พากันตบเท้าก้าวเข้ามาร่วมงานกันมากมาย
                “มึงจะไปเรียนกี่ปีวะ ?” พี่ผู้ชายจากคณะวิศวะเอ่ยถามพี่เขาที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆผมอย่างสงสัยใคร่รู้
                “อาจจะสี่ปีมั้ง ...เพราะกูต้องเรียนภาษาเพิ่มด้วย .. แต่กูว่าจะลองไปคุยเรื่องเทียบโอนดู ถ้าบางวิชามันเทียบได้ กูก็อาจจะใช้เวลาอยู่ที่นั่นน้อยลง” พี่เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ แต่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆพี่เขานี่สิ เอาแต่ขมวดหัวคิ้วจนมันแทบจะพันกันได้อยู่แล้ว

                “ไหนพี่มึงบอกจะไปเจ็ดปี ?” ซองจินถามขึ้นมาทันควัน
                “กูก็พูดไปงั้น .. นึกว่าจะมีคนโอดครวญไม่ให้กูไปซะอีก .. ที่ไหนได้ นั่งเงียบอยู่ข้างๆกูนี่ .. ไม่มีรั้งกันเลย ..” พี่เขาตอบซองจิน พลางปรายตามองมาทางผมที่กำลังก้มหน้านิ่งกับคำตอบของพี่เขา อีกทั้งเสียงโห่แซวจากทั่วทุกสารทิศมันก็ทำให้ผมนึกอาย จนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองใครสักคน ..
               
                “พี่กูไม่ใช่คนงี่เง่าสักหน่อย .. บอกว่าให้ไปก็คือให้ไป ..” ซองจินเถียงแทนผม
                “มึงพูดดี .. เอาไปแดกแทนกูที ยกให้ ..” พี่เขาพูด พลางดันแก้วบรรจุแอลกอฮอล์ส่งให้ซองจิน

                “เฮ้ยๆ นี่มันงานเลี้ยงส่งมึงนะโว้ย ทำไมไม่ดื่มวะ ?” พี่ผู้ชายที่อยู่คณะเดียวกันกับพี่เขารีบออกปากท้วงพลางดันแก้วบรรจุแอลกอฮอล์มาตรงหน้าของพี่เขาตามเดิม ..
                “ปล่อยแม่งไปเถอะ ..” พี่ฮีชอลเป็นฝ่ายออกรับแทน เพราะเข้าใจดีว่าทำไมพี่เขาถึงไม่ยอมดื่มของพวกนี้อีกเลย

                “ไม่ได้เว้ยพี่ .. งานนี้จัดขึ้นเพื่อมัน .. ยังไงมันก็ต้องดื่มให้หมด สักแก้วก็ยังดี ..” เพื่อนพี่เขาดูท่าทางจะไม่ยอมความเอาง่ายๆ แล้วก็เพื่อตัดปัญหา พี่เขาจึงยอมดื่มหยาดน้ำสีอำพันจดหมดแก้วภายในคราวเดียว
                “แน่ะๆ .. เราด้วย อย่ามาเนียน .. เลี้ยงส่งแฟนทั้งทีก็ต้องดื่มด้วย ..” ผมทำหน้าเลิกลั่ก เพราะหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคราวนั้น ผมก็ไม่มีความคิดอยากจะแตะของมึนเมาพวกนี้อีกเลย แถมวันนี้คนก็เยอะด้วย ผมไม่อยากให้มันเกิดเรื่องแบบครั้งนั้นอีก ..

                “ผมดื่มแทนได้หรือเปล่าวะพี่ .. คือพี่ชายผม ..” ซองจินเองก็เข้าใจดีว่าทำไมผมถึงไม่อยากจะดื่ม จึงออกหน้าช่วยพูดให้
                “ครึ่งแก้วเอง .. แค่นี้ไม่เมาหรอก ..” พอพี่ผู้ชายชั้นปีที่สามตอบกลับมาอย่างนั้น ผมจึงเหลือบมองซองจินอย่างขอความคิดเห็น ผลสุดท้ายซองจินที่เป็นเพียงแค่รุ่นน้องก็ห้ามปรามอะไรไม่ได้ จึงพยักหน้าให้ผมดื่มอย่างปฏิเสธไม่ได้

                “หมดหน้าที่ของมึงแล้ว กลับบ้านไปไป๊ไอ้คยู ..” หลังจากที่ผมดื่มจนหมดแก้ว พี่ฮีชอลก็ใช้เท้าเขี่ยๆพี่เขาอยู่หลายที
                “ดีจริงๆ ให้กูออกเงินเลี้ยงส่งตัวเอง พอหมดประโยชน์ก็ถีบหัวส่งกูเลย .. พวกพี่มึงนี่เป็นรุ่นพี่ประสาอะไรวะ” พี่เขาส่ายหน้าใส่พวกพี่ปีสี่ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับส่งสายตาให้ผมลุกขึ้นและเดินตามพี่เขาออกไป

                “มึงจะไปไหนไอ้ซองจิน ” ผมกับพี่เขาเดินออกมาจนจะถึงหน้าประตูบ้านอยู่แล้ว แต่ก็ต้องหยุดการก้าวเดินเอาไว้เสียก่อน เมื่อพี่ฮีชอลกำลังกัดฟันพูดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมนัก
                “ก็ไปนอนไงวะพี่ ” ซองจินยักคิ้วตอบสายรหัสของตัวเองอย่างกวนประสาท

                “มาแดกกับกูนี่ .. ปล่อยๆพี่มึงสักวันไม่ตายหรอก .. แค่อาจจะลุกไม่ขึ้น ” พี่ฮีชอลลากคอซองจินกลับไปนั่งร่วมวงเหมือนเดิมแล้ว แต่ประโยคคำพูดของพี่ฮีชอลนี่สิ ทำเอาผมถึงกับยืนตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที
                “พี่มันก็พูดไปเรื่อย อย่าไปสนใจเลย ..” พี่เขาออกแรงผลักให้ผมเริ่มก้าวเท้าเดินต่อ ส่วนผมก็ได้แต่เดินตามแรงรุนหลังด้วยจิตใจอันล่องลอย ..
               
                “มึง ..” ผมกับพี่เขาเดินขึ้นมานั่งบนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าพี่ชางมินกับพี่จงฮยอนกลับวิ่งถือแก้วแอลกอฮอล์มาด้วย แถมรองเท้าก็ไม่ใส่แล้วยังมายืนเคาะกระจกรถทางฝั่งคนขับอย่างกวนประสาทอีกต่างหาก
                “อะไรวะ ?” พี่เขาเปิดกระจกรถ พลางถามเพื่อนซี้ของตัวเองเบาๆ

                “ใจหายว่ะ พรุ่งนี้มึงก็จะไม่อยู่กับพวกกูแล้ว ..” พี่ชางมินพูดขึ้นมาเป็นคนแรก
                “เดี๋ยวกูก็กลับมา มึงอย่ามาทำเป็นอาลัยอาวรณ์กูหน่อยเลย ไอ้สันขวาน ..

                “มึงรีบไปเลยไป ปากมึงนี่โคตรจะทำลายบรรยากาศอันซาบซึ้งจริงๆ ไอ้เลว!” พี่จงฮยอนเอื้อมมือเข้ามาผลักหัวพี่เขาอย่างแรง แต่แทนที่พี่เขาจะเอาคืนกลับไม่ทำ เอาแต่นั่งหัวเราะอยู่นั่น
                “กูฝากดูซองมินด้วยนะเว้ย ..” คำพูดของพี่เขา ที่อยู่ๆก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีการบอกกล่าวกันล่วงหน้า มันทำเอาผมนึกอุ่นใจขึ้นมาอีกแล้ว
                ก็แค่คำฝากฝังที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่ทำไมมันทำให้ผมอุ่นใจได้ขนาดนี้

                “มึงฝากพวกกูไปก็ไร้ประโยชน์  ไปบอกไอ้ซองจินมันโน่น สันขวาน!..” พี่ชางมินตบหัวพี่คยูอย่างแรง แล้วก็รีบวิ่งแจ้นหนีเข้าไปในบ้านทันที
                “คืนนี้ .. โชคดีนะมึง ..” พี่จงฮยอนที่ยังคงเกาะขอบหน้าต่างรถ ปรายยิ้มบางๆ พลางกล่าวคำอวยพรให้พี่เขาด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ แต่เห็นทีคนที่กำลังถูกอวยพรให้จะไม่ได้สนใจในทันทีแปลกๆพวกนั้นนัก ..

                “ไอ้สัส ตบหัวกูอย่างเดียวไม่พอ เสือกมาทำเหล้าหกใส่กูด้วย ..” พี่เขาบ่นไม่หยุดปาก พลางหยิบทิชชู่มาเช็ดอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนผมก็ได้แต่มองตามร่างของพี่จงฮยอนที่เดินเข้าไปในเขตรั้วบ้านของพวกพี่ฮีชอลอย่างสงสัย
                แปลก .. ท่าทางของพวกพี่เขาแปลกมาก ..
                แถมคำอวยพรก็ยิ่งแปลก ..
               
                “อ๊ะ” ผมสะดุ้งตกใจราวกับโดนของร้อน เมื่อปลายนิ้วของผมกับพี่เขาเผลอแตะสัมผัสกันอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ขณะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปเบี่ยงเครื่องปรับอากาศภายในรถให้หันเข้าหาตัว ส่วนพี่เขาก็คงจะร้อนเหมือนกันล่ะมั้ง สังเกตได้จากหยาดเหงื่อที่มันผุดผาดเต็มใบหน้าของพี่เขาในเวลานี้
                “เอ่อ ....ร้อนเหมือนกันเหรอ.....” พี่เขาขยับปลายนิ้วมาปรับแอร์ให้หันมาทางผม โดยที่พี่เขาก็คอยระวังไม่ให้ปลายนิ้วของเราสัมผัสกันอีก จากนั้นพี่เขาก็ยกมือขึ้นเกาท้ายทอยอย่างเก้อเขิน คล้ายกับทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์เมื่อครู่ ..

                ” ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน จึงทำเนียนหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างรถ หวังจะให้ความรู้สึกแปลกๆมันหดหายไป แต่กลับผิดคาด เมื่อผมได้อยู่กับตัวเอง มันกลับทำให้ผมรับรู้ได้ว่าลมหายใจของผมมันแลดูติดขัด แถมอากาศภายในรถมันก็ยังร้อนระอุอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ทั้งๆที่พี่เขาก็ปรับแอร์ให้มันเย็นที่สุดแล้ว ..
                ที่สำคัญช่วงเวลาที่ปลายนิ้วของมันเราเผลอสัมผัสกันโดยบังเอิญ ผมกลับรู้สึกว่าผมไม่ได้ต้องการให้มันหยุดลงแค่นั้น
                ความคิดชั่ววูบของผม มันน่าอายจริงๆ
               
                ระยะทางจากบ้านของพี่ฮีชอลกับบ้านของผมมันไม่ได้ห่างไกลกันนัก แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยาวไกลเป็นกิโลๆเลยทีเดียว แถมเนื้อตัวของผมยังรู้สึกร้อนรุ่มไม่จางหาย แถมหัวใจของผมเองก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ความต้องการของผมมันเริ่มพุ่งสูงขึ้นๆ แต่ผมกลับไม่กล้าจะออกอาการมากนัก เพราะผมกลัวเกินกว่าจะให้พี่เขารู้ว่าผมกำลังต้องการพี่เขามากมายแค่ไหน ..
                “แฮ่กๆ ..อึก ..” ผมเสียดสีช่วงขาของตัวเองอย่างเนียนๆ เพื่อหวังจะให้อาการแปลกๆพวกนี้มันหมดไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะผมรู้เพียงแต่ว่าผมต้องการอ้อมกอดของพี่เขา ผมอยากให้พี่เขามอบสัมผัสอันร้อนแรงแสนรัญจวนใจมาให้ ..
                ถ้าผมได้ในสิ่งที่ปรารถนา อาการแปลกๆพวกนี้ก็คงจะหาย ..
                แต่ผมอายเกินกว่าจะออกปากขอ ..

               
                “อึก ..” ผมขยับตัวหันข้างให้พี่เขา เมื่อผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะทำอะไรไม่แนบเนียนเข้าให้แล้ว จากนั้นผมจึงใช้มือข้างซ้ายลูบต้นขาของตัวเองผ่านเนื้อผ้าเพียงเบาๆ ขณะที่ริมฝีปากของผมก็ต้องเม้มแน่น เพื่อสะกดกลั้นเสียงอันไม่พึงประสงค์ของตัวเอง แต่แทนที่ความต้องการของผมจะหมดไป มันกลับเป็นการเต็มเชื้อไฟให้โหมกระพือมากยิ่งขึ้น ..
            “ทำแบบนั้น .. มีแต่จะต้องการมากขึ้น ” พี่เขาเอื้อมมือมาจับฝ่ามือของผมไว้ พลางพูดเตือนให้ผมหยุดการกระทำโง่ๆเหล่านั้น

                “แฮ่กๆ .. ทำไม ?” พอพี่เขาพูดแบบนั้น ผมก็ชักจะรู้ตัวแล้วว่าอาการของผม มันอาจจะเกิดจากสารอะไรบางอย่างที่ผมกินเข้าไป

                “ยากระตุ้นไง ..เราสองคนโดนไอ้พวกเวรนั่นแกล้งเข้าให้แล้ว .. มันคงผสมไว้ในเหล้าขวดนั้น .. 
                “พ ..พี่ ” ผมพลิกตัวกลับมานั่งพิงเบาะรถโดยหันหน้าเข้าหาคนขับ พลางบีบฝ่ามือของพี่เขาแน่น ขณะที่ดวงตาปรือปรอยของผมก็เอาแต่มองพี่เขาด้วยความปรารถนา

                “อดทนหน่อย .. พอเจอน้ำเย็น ..ก็น่าจะหาย ..” พี่เขาบอกผมขณะที่พี่เขาเองก็พยายามจะดึงฝ่ามือออกจากการจับกุมของผม อีกทั้งสายตาของพี่เขาก็ไม่ยอมมองสบมาที่ผมด้วย
                “ผมร้อน ” พอพี่เขาชักมือกลับไปได้ ผมก็เริ่มเกิดอาการร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม เมื่อการสัมผัสมันกระตุ้นให้ความต้องการของผมมีแต่จะมากขึ้น .. มากขึ้น .. ผมจึงเอื้อมมือไปเบี่ยงแอร์เข้าหาตัวเอง เพื่อเช็คความแน่ใจว่ามันหันมาหาผมจนสุดทางแล้วใช่ไหม จากนั้นผมก็เริ่มปัดป่ายคอเสื้อให้กว้างขึ้น ..

                พออากาศเริ่มเย็นสบาย ผมก็เริ่มนอนเลื้อยไปทางพี่เขาอย่างออดอ้อน กลิ่นหอมอ่อนๆของพี่เขาทำให้ผมอยากเข้าใกล้พี่เขามากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเริ่มบดเบียดเข้าหาพี่เขาอย่างเป็นต่อ เพราะพี่เขาไม่อาจขยับหนีผมไปไหนได้ นอกจากนั่งเป็นแหล่งซบอิงของผมต่อไป
                “น้องแฟน .. อยากเจ็บเป็นอาทิตย์หรือไง ..” พี่เขากัดฟันขู่ ขณะที่ฝ่ามือของพี่เขาก็เริ่มเป็นฝ่ายเลื้อยเข้ามาลูบไล้ต้นขาของผมผ่านเนื้อผ้าที่สวมใส่

                “ม..ไม่ ..” ผมส่ายหน้า พลางหายใจหอบข้างๆใบหูของพี่เขา
                “ถึงเราจะเป็นแบบนี้เพราะสาเหตุอื่นก็เถอะ .. แต่ยั่วมากๆพี่ก็ไม่คิดจะทน .. เพราะพี่เองก็โดนเหมือนกัน .. คิดให้ดี .. จะรอไปแช่น้ำเย็นที่บ้าน หรือจะรอให้พี่กอดที่บ้าน ....” พี่เขาดับเครื่องยนต์จนนิ่งสนิทแล้ว แต่ฝ่ามือของพี่เขาก็ยังคงลูบไล้ต้นขาของผมไม่ห่าง ส่วนผมในตอนนี้ก็วางศีรษะลงบนลาดไหล่ของพี่เขาไปนานแล้ว ..

                “พรุ่งนี้ไม่มีใครคอยดูแลแล้วนะ .. ถ้าพี่กอดเราวันนี้ คงแย่แน่ ” พี่เขาจูบหน้าผากชื่นเหงื่อของผมเบาๆ ขณะที่ฝ่ามือของพี่เขาก็ยังลูบไล้วนเวียนแถวๆส่วนอ่อนไหวของผมไม่ห่าง
                “ม..ไม่..เป็น ..ไร ” ผมจึงเผลอไผลกระซิบบอกความต้องการกับพี่เขาเสียงแผ่ว และสิ้นคำนั้นริมฝีปากหนานุ่มก็จู่โจมริมฝีปากของผมในทันที พี่เขาขบเม้มราวกับจะดูดกลืนกลีบปากของผมให้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพี่เขาอย่างร้อนแรง ขณะที่ฝ่ามือของพี่เขาก็เริ่มเพิ่มสัมผัสบดคลึงช่วงขาของผมให้หนักหน่วง ส่งผลให้ช่วงล่างเริ่มออกอาการประท้วงมากยิ่งขึ้น เมื่อสัมผัสที่ได้รับยังไม่อาจถึงใจเท่าที่หวัง

                “อ..อื้อ ..พี่ ..” ผมลืมตาขึ้นสบดวงตาคมอย่างโหยหา เมื่อพี่เขาหยุดการจูบสัมผัสอันลึกซึ้งของเราไว้เพียงแค่นั้น อีกทั้งฝ่ามือของพี่เขาก็หยุดการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน
                “น..ใน ..บ้าน ..เดี๋ยวมีคน ..มาเห็น ” พี่เขากระซิบชิดริมหูของผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง อีกทั้งลมหายใจและคำพูดของพี่เขาก็ดูไม่ปกตินัก แต่ว่าพี่เขาก็ถือว่ามีสติกว่าผมอยู่มาก

                ผมหลับตา พลางหอบหายใจถี่อยู่นานหลายนาที จนกระทั่งผมเริ่มจะควบคุมตัวเองได้ ผมจึงลงจากรถตามพี่เขาไป พอเข้ามาในเขตรั้วบ้าน ผมก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูรั้วเหมือนอย่างเคย เพียงแต่คืนนี้ฝ่ามือของผมมันสั่นเทาเสียจน การล็อคประตูรั้วง่ายๆ ดูจะยากเย็นไปเลย ..
                “อื้อ” ผมกำลังจะปิดประตูบ้านเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของกิจกรรมที่กำลังจะดำเนินต่อไป หากแต่ผมก็ไม่อาจทำได้ดังใจหวัง เมื่ออยู่ๆคนในความมืดที่เนื้อตัวก็ร้อนรุ่มไม่ต่างกันกับผม เข้ามาปล้นจูบโดยไม่ทันให้ตั้งตัวเสียตั้งแต่หน้าประตูบ้าน

                พี่เขาล็อคช่วงตัวของผมกับบานประตูไม้ที่เปิดอ้าซ่าเอาไว้ ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขาก็ขบเม้มกลีบปากของผมทั้งบนและล่างอย่างหนักหน่วง จากนั้นไม่นานปลายลิ้นของพี่เขาก็สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมอย่างเชี่ยวชาญ
                พี่เขาไล่กวาดต้อนปลายลิ้นเล็กของผมอย่างสนุกสนาน ยามเมื่อผมตอบสนองรสสัมผัสอันลึกล้ำนั้นอย่างโหยหา แต่คนขี้แกล้งอย่างพี่เขา แม้ว่าความต้องการจะมีมากมายเพียงใด พี่เขาก็ไม่อาจพลาดที่จะกลั่นแกล้งผม ..

                “หึ” เสียงหัวเราะในลำคออย่างถูกอกถูกใจของพี่เขาหลุดรอดออกมาในทันทีที่ผมไม่อาจกวาดต้อนปลายลิ้นหนาให้มาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับผมได้
                “อื้อ ..” ผมส่งเสียงประท้วงอย่างโมโหที่พี่เขาแกล้งผมแบบนี้ และนั่นจึงส่งผลให้ปลายลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดเข้ากับปลายลิ้นอย่างผมอย่างรวดเร็ว สัมผัสรัดรึงอันแน่นหนาทำเอาผมหายใจไม่ทัน แข้งขาเริ่มออกอาการอ่อนแรง หากแต่ความต้องการในรสสัมผัสกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ

                เราสองคนจูบกันครั้งแล้วครั้งเล่าตรงหน้าประตูบ้าน สายลมโชยแผ่วไม่อาจทำให้เรารู้สึกตัวขึ้นมาเลยว่าบทจูบของเราบางทีมันอาจจะกำลังตกต้องอยู่ในสายตาของใครต่อใครที่กำลังเดินผ่านหน้าบ้านของเราก็เป็นได้
ในเวลานี้ .. ความต้องการที่กำลังโหมกระพือ .. ไม่อาจเรียกสติของใครได้สักคน

                เสียงสัมผัสของการแลกเปลี่ยนอากาศหายใจของเราสองคนกำลังดังแข่งกับเสียงร้องของแมลงภาคกลางคืนไม่ยอมน้อยหน้า อีกทั้งร่างกายของเราก็ทำหน้าที่ราวกับผืนผ้าห่มปกป้องความหนาวเย็นในยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี เมื่อ ณ ตอนนี้ร่างของผมภายใต้กรงขังของวงแขนแกร่งกำลังแนบสนิทชิดเชื้อกันจนอะไรก็ไม่อาจมาแทรกแซงได้ ..
                อีกทั้งช่วงต้นขาของพี่เขาก็ยังทำหน้าที่ปลุกปั่นห้วงแห่งอารมณ์ของผมให้เต็มไปด้วยความปรารถนาด้วยการเสียดสีความอ่อนไหวของผมด้วยจังหวะเย้ายวน จนบางครั้งผมเองก็เผลอไผลไปกับความต้องการนั้นอย่างหน้าไม่อาย

                “อื้อ .. อ่า ” ผมโอบกอดพี่เขาไว้ พลางส่งเสียงร้องแห่งความพึงพอใจออกมา โดยที่ปกติหากผมไม่ถูกปลุกปั่นด้วยสารเคมีบางอย่าง ผมมั่นใจได้เลยว่าผมจะไม่มีทางทำตัวไร้ยางอายแบบนี้
                “อืม ” พี่เขาครางครือข้างใบหูของผม ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขาก็จูบเม้มใบหูของผมอย่างที่พี่เขาชอบทำ หากแต่เวลานี้ ช่วงล่างของผมกำลังประท้วงหนัก เมื่อพี่เขาหยุดการปรนเปรอสัมผัสหวามไหวตรงส่วนนั้น ผมจึงต้องโอบกอดพี่เขาไว้ พลางหลับตาแน่น และเป็นฝ่ายก้าวเข้าหาสัมผัสแบบนั้นเสียเอง

                “อึก ..กล้าเกินไปแล้ว .. จะทำให้พี่คลั่งตายหรือไง ?” พี่เขากระซิบถามเมื่อส่วนอ่อนไหวภายใต้เนื้อผ้าของผมกำลังเสียดสีกับช่วงต้นขาของพี่เขาอย่างโหยหา
                “แฮ่กๆ ..” พี่ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่ของพี่เขาอย่างเขินอาย แต่ก็ไม่อาจหยุดการกระทำอันน่าสมเพสนั่นได้

                “พอก่อนเถอะ .... น้ำ .. อืม ..น้ำอาจจะช่วยได้ ..” พี่เขาผละตัวออกห่างจากผม จากนั้นพี่เขาฉุดข้อมือเตรียมให้ผมเดินตามพี่เขาเข้าไปในครัว แต่ก่อนที่เราจะเดินออกไปจากตรงนั้น พี่เขาก็ใช้ปลายเท้าเขี่ยบานประตูให้ปิดสนิทลง
ส่งผลให้ความมืดปกคลุมไปทั่วบ้าน

                “เราดูยั่วแบบนี้ มันก็แลตื่นเต้นดี .. แต่พี่ไม่อยากขาดสติจนเผลอรุนแรงกับเราเลย ” พี่เขารินน้ำใส่แก้ว พลางผลักให้ผมขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทานข้าว จนนั้นพี่เขาก็ยืนเฝ้าผมที่กำลังดื่มน้ำอย่างประหม่า เมื่อฝ่ามือของพี่เขาไม่ได้อยู่นิ่งๆตามคำพูดหวังดีพวกนั้นเลย

                “แค่กๆ ..อื้อ ..” ผมรีบกลืนน้ำลงคอเพื่อให้มันหมดแก้วเร็วๆ แต่เพราะความรีบเร่งจึงทำให้ผมสำลักน้ำ จนเนื้อตัวของผมมันเปียกโชกไปหมด ..
                “ใจเย็นขึ้นมั้ย ?” พี่เขาถามด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ขณะที่ดวงตาของพี่เขากำลังมองสะกดผมให้นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไร้การตอบรับใดๆทั้งสิ้น แววตาของพี่เขามันฉายแววนึกสนุกที่ได้เห็นผมในมุมมองใหม่ๆ

                “ต้องขอบคุณพวกนั้นนะว่ามั้ย ?” พี่เขาเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมกับหยิบเหยือกน้ำอันเย็นเจี๊ยบติดมือมาด้วย จากนั้นพี่เขาก็ยกมันขึ้นดื่ม แต่ท่าทางการดื่มของพี่เขามันกลับกระตุ้นความต้องการของผมอย่างบอกไม่ถูก
                ภาพตรงหน้ากำลังทำร้ายผมอย่างร้ายกาจ เมื่อลูกกลมๆตรงช่วงลำคอของพี่เขาขยับขึ้นลงไปมาเป็นจังหวะ อีกทั้งหยดน้ำจากมุมปากของพี่เขายังหยดย้อยไปตามลำคอจนกระทั่งกลืนหายไปกับเนื้อผ้าที่สวมใส่
               
                “ได้เห็นเราในมุมมองใหม่ๆ มันก็คุ้มกับการทรมานตัวเองดีเหมือนกัน ..”พี่เขาวางเหยือกน้ำลงข้างๆตัวผม ขณะที่สองแขนของพี่เขากำลังกางกั้นช่วงขาของผมไว้
                ….” ผมเอนตัวนอนราบลงกับโต๊ะทานข้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพี่เขาเริ่มคุกคามผมด้วยการเคลื่อนกายเข้ามาแนบสนิท จนบัดนี้แผ่นหลังของผมกำลังแนบชิดไปกับพื้นโต๊ะอันเรียบลื่น ..

                “พี่อยากจะกลืนกินเราตั้งแต่ในรถแล้ว .. รู้ตัวบ้างไหม ?” พี่เขากระซิบชิดริมหูของผมอีกหน พร้อมกับใช้ปลายลิ้นไล้เลียใบหูของผมอย่างยั่วเย้า
                “อ๊า ..” ผมจำต้องเผลอครวญครางออกมาอีกหน เมื่อปลายลิ้นของพี่เขากำลังไล้เลียช่วงหูของผมจนร่างทั้งร่างถึงกับสั่นสะท้านยิ่งกว่าครั้งไหน
               
                “คนดี .. ต้องการพี่ไหม ?” พี่เขาซบใบหน้าลงกับพื้นโต๊ะ ขณะที่ริมฝีปากและดวงตาของพี่เขากำลังฉายรอยยิ้มแห่งความเอ็นดูมาให้ผม หากแต่ฝ่ามืออันซุกซนของพี่เขานั้นช่างใจร้าย เพราะฝ่ามือคู่นั้นกำลังลากไล้ยั่วเย้าความต้องการของผมให้แตกกระพือจากขอบกางเกงเรื่อยมาจนถึงผิวเนื้อตรงช่วงเนินอก
                “แฮ่ก ๆ ..อื้อ ..” ผมตอบพี่เขาอย่างเก้อเขิน ไม่ยอมสบสายตาของคนช่างยั่วแม้แต่น้อย ..

                “นั่นคือคำตอบหรือว่าเรากำลังพอใจ” ผมใจเต้นรัวจนพี่เขาก็คงจะได้ยินอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความเขินอายเกินกว่าจะสู้หน้า ผมจึงหันหน้าหนีไปอีกทาง เพื่อหวังจะทำใจให้มันกล้าเหมือนทีแรกที่รู้ตัวว่าตนเองกำลังโดนพวกรุ่นพี่วางยา
                “ว่าไง หืม ?” แต่พี่เขากลับไม่ยอมให้ผมหนีหน้า พี่เขาจึงใช้ฝ่ามือข้างซ้ายประครองใบหน้าของผมให้หันมามองพี่เขาตรงๆ

                ….
                “พอใจหรือว่าต้องการ ?” พี่เขาลากไล้ฝ่ามือข้างที่ว่างบนผิวเนื้อช่วงบนของผมอย่างแผ่วเบา ความร้อนระอุจากฝ่ามือของพี่เขามันทำเอาผมสะดุ้งกายขึ้นมาราวกับโดนไฟช็อต ยิ่งเมื่อปลายนิ้วของพี่เขาสัมผัสยอดอกของผมอย่างกลั่นแกล้งเพื่อหวังจะเอาคำตอบนั่นอีก เสียงครวญครางของผมจึงดังขึ้นมาอีกระลอก

                “กอด ..ผม ..พี่ ..ครับ .. กอด ” ผมเบียดกายเข้าหาพี่เขาอย่างคนสติหลุด ร่างกายของผมเริ่มสั่นระริกขึ้นมาอีกหน เมื่อความต้องการมันถูกปลุกทีละน้อยละนิด จนบัดนี้มันสุมอยู่ในอกจนแทบระเบิด
                “บนห้องนะ ..” พี่เขาเฝ้าคลอเคลียบริเวณซอกคอของผมด้วยสัมผัสชวนให้ไฟมันสุมอกยิ่งกว่าเดิม จากนั้นพี่เขาก็เริ่มขบเม้มสร้างร่องรอยสีกลีบกุหลาบบนเนินไหล่ของผม ขณะเดียวกันริมฝีปากคู่นั้นก็พึมพำตอบรับความต้องการของผมอย่างไม่เสียเวล่ำเวลา

                พี่เขากระตุ้นผมทุกทาง ไม่ว่าพี่เขาจะกำลังโอบอุ้มผมไว้ในอ้อมแขน ขณะที่ที่เราอยู่ในระหว่างการเดินขึ้นไปบนห้องก็ตาม พี่เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยเวลา ให้มันเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เลยสักนิด
            และเพราะการสัมผัสที่ได้รับมันไม่เคยห่างหาย
จึงส่งผลให้เราสองคนต้องการกันและกันมาขึ้นเรื่อยๆ

                จากนี้ .. ผมขอปฏิญาณตนเอาไว้เลยว่า หากเราสองคนต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้อีก ผมจะไม่มีวันออกปากร้องขอหรือยินยอมเป็นของพี่เขาโดยเด็ดขาด เพราะเหตุการณ์ในวันนี้มันทำให้ผมรู้แล้วว่า ดีกรีความอยากแกล้งของพี่เขามันจะมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว ..
                อีกทั้งความเซ็กซี่ของพี่เขา .. มันก็
                ขยี้หัวใจของผมจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี



<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

 เอาครึ่งที่มีเหตุผลมาลงก่อน ส่วนอีกครึ่งนึงขอเวลายาวๆในการปั่น ไม่รู้หลายคนจะงงมั้ย T^T มัน ซับซ้อน คือแรกเริ่มพี่โมเมแกอยากไปเรียนต่อต่างประเทศงี้ แต่พอเจอน้องแฟนก็เลยไม่อยากไป ครั้งแรกที่พี่แกถามนั่นคือการลองใจ พอเห็นน้องแฟนดูเคว้งๆแกก็เลยตัดสินใจไม่ไป แต่ก็ยังอยากไปสอบ เลยเอาเรื่องคุณย่ามาอ้าง (โกหกน้องนั่นแหละ) พอทะเลาะกันเรื่องมินโฮ พี่โมเมก็เลยตอบรับการใช้ทุน เพราะตอนนั้นพี่แกคิดว่าไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว ทีนี้พอมาคืนดีกันพี่แกก็เลยไม่อยากไปอีก เพราะพี่แกรู้ว่าตัวเองคือโลกทั้งใบของน้องงี้ แต่คุณย่าไม่ยอม เพราะความฝันของหลานชายทั้งคน จะยอมปล่อยให้ทิ้งไปง่ายๆได้ยังไง เอาตรงๆคือถ้าน้องแฟนไม่ยอมให้ไปก็จะมีดราม่าอีกยาวๆ แต่นี่น้องแฟนยอมให้พี่แกไปไง คุณย่าเลยเอ็นดูน้องและเริ่มมองข้ามอคติต่างๆในใจของท่านไป

สรุปพาร์ทนี้คือเหตุผลจริงๆของพี่โมเมค่ะ
ครึ่ง หลังนี่ต้องขอแบ่งส่วนที่เหลือไปไว้อีกตอนแล้วกัน มันยาวเกินไป ไม่ได้ลงลิงค์เหมือนเดิมเพราะเราไม่อยากมีปัญหา ดังนั้นใครอยากอ่านก็ตามหาเอาเป็นการส่วนตัว ตอนนี้ถือว่าสั่งลาก่อนพี่โมเมไปเรียนต่อค่ะ และก็ถือว่าสั่งลาฟิคไปด้วยเลย ยังไงก็อย่าไปโฟกัสกับตอนแบบนี้มาก แม้ว่าเราจะต้องพยายามเป็นสิบเท่าในการเขียนก็เถอะ T^T ไม่เคยมั่นใจเลยว่าตัวเองเขียนสื่อออกมาได้ดีพอกับตอนแบบนี้ ใจไม่อยากเขียนแต่ก็เห็นแก่ผู้อ่าน ถือเป็นกำไรไปเนอะ 55555 จากที่จะดูหวิวๆ มันจะกลายเป็นจิตแทน -___________-
ใครที่บอกว่าเจ็ดปีมันนานไป มาอ่านส่วนที่เหลือคงจะเข้าใจมากขึ้นนะคะว่าพี่โมเมแกสำออยไปอย่างนั้นเอง จริงๆหลักสูตร ป. ตรี ใช้เวลาสามปีค่ะ เรียนภาษาอีกราวๆแปดเดือน ถ้าสามารถเทียบโอนได้ก็จะเร็วขึ้นอีกหน่อย เพราะไม่ต้องไปเก็บตัวเก่า เวลาไม่ใช่ปัญหาค่ะ น้องแฟนรวย แถมยั่วไปเต็มสตรีม พี่โมเมยังไงก็ต้องกลับมาตาคาอกน้องแฟนค่า 5555555
ฟิคเรื่องนี้จะจบแล้วง่า หูยยยยย

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น