วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2560

เพ(ร)าะรัก
 
 


Special by Kyuhyun 6

กว่าการเดินเรื่องวีซ่าจะเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยมาอาทิตย์กว่าแล้ว ด้วยความที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง เราสองคนจึงพากันท่องเที่ยวที่ประเทศโอมานอย่างสนุกสนาน จำได้ว่าในทุกวันเราต่างหันหน้ามาส่งยิ้มให้กันวันละหลายๆรอบ ทั้งๆที่บางทีมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยิ้ม แต่เราสองคนก็ยังอยากจะยิ้มให้กันอยู่เรื่อย..
อ้อ.. แต่ก็มีเรื่องนึงที่มันทำให้ผมต้องยิ้มออกมาอย่างมีสาเหตุ เรื่องที่ว่านั้นก็คือ เครื่องรางตาสีฟ้าที่ผมซื้อมาจากตุรกี เพราะไม่ว่าฮาบีจะไปไหนเขาก็มักจะพกมันติดตัวไปด้วยเสมอ โดยฮาบีจะหย่อนเครื่องรางที่ว่านั่นลงในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายมือและจะนำมันออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก็ต่อเมื่อเขากำลังจะเข้านอน ผมก็เลยอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยเปรียบผมเป็นเครื่องรางที่ว่านี้ เขาบอกว่า ถึงผมจะไม่ใช่เครื่องรางตาสีฟ้าที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามประวัติความเป็นมาของมัน แต่ผมก็เป็นตาสีฟ้าที่คอยสร้างความอบอุ่น จนกระทั่งความรักระหว่างเราค่อยๆเติบโตขึ้น อีกทั้งการเพาะรักระหว่างเราก็ยังสร้างความเข้มแข็งให้อีกฝ่ายด้วย..
เพียงแค่คิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากมันก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว..

“พี่ไปทำงานแล้วนะ..” เวลาแห่งความสุขเคยหมดลงเร็วแค่ไหนก็ยังหมดลงเร็วแค่นั้น เพราะในเช้าวันนี้ก็ถึงคราวที่ผมจะต้องเริ่มทำไฟล์ทได้สักที และก่อนจะลาจากอีกฝ่ายเพื่อไปทำงานผมก็โน้มตัวลงไปหาคนที่กำลังนอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ผ้าห่มพลางจุมพิตริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคนตัวเล็กเพียงเบาๆ ก่อนจะบอกลาอีกฝ่ายเป็นลำดับสุดท้าย ไม่นานคนบนเตียงก็ลืมตาขึ้นมองรอบๆกาย
” ฮาบีกระพริบตาปริบๆอยู่หลายนาที เหมือนเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“พี่ไปแล้วนะ.. เจอกันอีกทีวันพุธ..” ผมลูบแก้มฮาบีเบาๆ พลางบอกเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้อีกฝ่ายทราบว่า ตารางการบินของผมในรอบนี้ ไม่ได้ทำให้ผมหายหน้าหายตาไปเป็นเดือน เพราะผมจะต้องบินกลับมาดูไบในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากไฟล์ทที่ผมได้เป็นเพียงไฟล์ทที่ใช้เวลาในการบินระยะสั้นๆ
“ถ้าฝ่ายบุคคลเขาติดต่อให้ไปรับเล่มใบอนุญาตทำงาน เราไปคนเดียวได้ใช่ไหม?” ผมถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าทางฝ่ายบุคคลจะส่งรถบริษัทมารับฮาบีก็ตามที แต่ว่าตั้งแต่ฮาบีเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยออกไปไหนด้วยตัวเองเลย อีกทั้งผมก็ยังไม่เคยพาเขาไปทัวร์รอบๆดูไบมาก่อน เพราะส่วนใหญ่เราสองคนต่างก็ใช้เวลาไปกับการเดินเล่นในเขตเมืองเก่าอย่างไม่รู้เบื่อ

“เขาบอกจะส่งรถมารับผมนี่ครับ..” ฮาบีตอบพลางยกยิ้ม ผมจึงพยักหน้าเบาๆเพื่อบ่งบอกให้เขารู้ว่าผมเข้าใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ พลางนึกเสียดายเวลาขึ้นมาทันที เพราะถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะเป็นห่วงเขามากขนาดนี้ ผมจะพาฮาบีไปรู้จักทุกซอกทุกมุมของรัฐที่เขาจะต้องอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิต แต่ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆเขาก็ต้องร่ำเรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์อยู่แล้ว เดี๋ยวผมจะบอกให้มูนีร์พาเขาไปทัวร์เมืองแทนก็แล้วกัน
พอนึกถึงมูนีร์แล้วผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่พวกเราจะต้องเดินทางไปทำวีซ่า ท่านอามินเคยบอกผมว่าท่านจะต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องราวระหว่างท่านและมูนีร์ ซึ่ง อะไรสักอย่างที่ท่านว่าก็คือการเปิดตัวมูนีร์ให้ทุกสื่อและทุกฝ่ายรับทราบว่าเธอคือคนสำคัญ โดยทั้งคู่ได้คบหาดูใจกันมาสองปีกว่าแล้ว หลังจากนั้นข่าวคราวดังกล่าวก็แพร่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้มูนีร์กลายเป็นคนที่ถูกเลือกแทนคุณอาเมียร์ แน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ต้องมีทั้งคนที่ยินดีและต่อต้านด้วยเพราะมูนีร์ไม่ใช่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์เหมือนกับคุณอาเมียร์ แต่ด้วยความที่มูนีร์เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา ด้านศิลปะ ด้านดนตรีก็ตาม อีกทั้งธุรกิจเครื่องหอมของเธอก็ยังไปได้สวยด้วยอายุเพียงยี่สิบห้า เธอจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจด้วยกันเป็นอย่างมาก หลายๆคนต่างพากันอยากสานสัมพันธ์กับเธอ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ เพราะเธอมอบหัวใจให้กับ พี่อามินของเธอไปแล้ว

ในวันที่เรื่องราวความลับค่อยๆถูกเผยแพร่ออกไป วันนั้นผมจำได้ว่าเธอหวาดกลัวมาก เธอต่อสายตรงมาหาผมถึงโอมาน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงของคนขวัญเสีย ผมจึงถามเธอออกไปว่า เธอได้ลองสอบถามสถานการณ์จากท่านอามินหรือยัง เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้น่าหวาดกลัวอย่างที่เธอคิดก็ได้ เธอจึงบอกผม ว่าเธอได้คุยกับอีกฝ่ายแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังกังวลกลัวว่าเธอจะไม่ดีพอสำหรับท่าน คืนนั้นผมจึงคอยพูดปลอบประโลมเธอให้คลายความกังวล พลางสาธยายภาพลักษณ์ของเธอที่คนอื่นๆเขามองเห็น หากแต่เธอกลับไม่เคยมองเห็นมันเลย ด้วยเพราะเธอขาดความมั่นใจในตัวเอง เนื่องจากคนรักของเธอไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นถึงอนาคตเชคที่อีกไม่นานก็ต้องดำรงตำแหน่งที่ว่านั้นอย่างเต็มตัว
ส่วนฝ่ายคัดค้าน ต่อให้ท่านอามินไม่เปิดเผยเรื่องราวความรักของท่าน ยังไงแล้วพวกเขาก็ยังคงคัดค้านอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะคัดค้านหรือไม่ ท่านอามินก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าหากมัวสนใจ มันก็มีแต่จะบั่นทอนจิตใจไปเปล่าๆ ผิดกับมูนีร์ที่ไม่ว่ายังไงก็คอยแต่นั่งทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ที่ผมรู้ลึกขนาดนี้ไม่ใช่ว่าเธอบินมาหาผมที่โอมานและเผยผ้าคลุมหน้าออกมาหรอกนะ แต่เป็นเพราะอามินท่านโทรมาบ่นให้ผมฟังต่างหาก ทั้งสองคนน่ะก็เป็นเสียอย่างนี้ พอเห็นต่างกันทีไร ก็มักจะไม่มองหน้ากัน แต่จะแย่งกันโทรมาฟ้องผมแทบทุกครั้ง

“ไม่ต้องออกมาส่งพี่หรอก ฟ้ายังมืดอยู่เลย..” ผมหยุดการก้าวเดินที่บริเวณปากประตูบ้าน และหันไปบอกฮาบีเบาๆพร้อมกับชี้ชวนให้มองดูท้องฟ้าอันมืดมิดข้างนอก

“ส่งแค่ตรงนี้ก็พอแล้ว..” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย พลางเอียงคอบอกให้เจ้าตัวเข้าใจในเจตนารมณ์ของผม
และยกยิ้มบางๆให้กับคนที่ได้แต่มองผมด้วยดวงตาใสแจ๋วที่ไม่มีแววซึมเศร้าปะปนอยู่
“แต่ก่อนเวลาที่พี่ต้องทำไฟล์ท ผมไม่เคยคิดอยากจะงอแงใส่พี่เลยนะ.. แต่พอพี่ใช้เวลาอยู่กับผมแทบทุกวันเป็นเวลาตั้งหนึ่งเดือน จู่ๆผมก็ไม่อยากให้พี่ไปทำงานขึ้นมา.. นิสัยไม่ดีเลยเนอะ..” ฮาบีเขาหลุบตามองพื้นพลางบ่นอุบอิบเบาๆ

“พี่ก็เหมือนกัน อยากโดดงานชะมัด..” ผมยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว แถมยังอดจะรวบตัวคนตรงหน้ามากอดแน่นๆไม่ได้ จากนั้นผมก็กระซิบเบาๆข้างๆหูอีกฝ่าย และค่อยๆปล่อยฮาบีให้เป็นอิสระอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะยกข้อมือขวาที่คาดด้วยนาฬิการาคาแพงที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากพี่สาวขึ้นมาดูเวลา
“จะสายแล้ว..” ผมบอกอย่างใจหาย

“ครับ.. เดินทางปลอดภัยนะ” ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับโลกมันกำลังหยุดหมุน เมื่อฮาบีเขาเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจ้าตัวก็รุนหลังผมที่ยังคงยืนเซ่ออยู่ตรงหน้าเขาให้เดินออกไปนอกบ้าน กระทั่งเสียงประตูถูกปิดลงอย่างดัง ผมจึงได้สติและก้าวเดินออกจากบ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นด้วยรอยยิ้ม แต่จนแล้วจนแล้วจนรอด ผมก็ต้องวิ่งกระหืดกระหอบตรงไปยังซุกเก่าเพื่อไปขึ้นรถรับส่งของทางบริษัทให้ทันเวลา เนื่องจากเป้าหมายของผมไม่ใช่สนามบิน เพราะผมต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อทำการบรีฟและถือโอกาสไปเอากระเป๋าเดินทางที่ผมตั้งใจทิ้งไว้ที่คอนโดด้วยเลยจะได้ไม่ต้องแบกไปแบกมาให้มันลำบาก..
สำหรับการทำไฟล์ทบินในครั้งนี้ ฮาบีเขาเป็นคนจัดกระเป๋าให้ผมเองกับมือ โดยมีผมคอยให้คำแนะนำว่าจะต้องจัดเตรียมอะไรไปบ้าง จำได้ว่าทันทีที่เรากลับมาจากโอมาน เราก็รีบนำหนังสือเดินทางไปให้กับทางฝ่ายบุคคล จากนั้นเราสองคนก็พากันขึ้นไปนอนพักเอาแรงบนห้อง พอตกเย็นผมกับฮาบีก็ช่วยกันจนกระเป๋าเดินทางของลูกเรือไว้ล่วงหน้า เพราะเราสองคนได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านแห่งความลับของเราแล้ว..

“อ้าวไอ้ชางมิน มึงทำไฟล์ทเดียวกับกูเหรอ?” หลังจากผมมารายงานตัวสำหรับการบรีฟงานที่เค้าน์เตอร์เช็คอินน์ที่ตั้งเรียงรายเอาไว้ประมาณห้าเครื่องด้วยกัน จังหวะที่ผมกำลังจะหันไปมองหาเพื่อนร่วมทาง สายตาของผมก็ปะทะกับไอ้ชางมินเข้าเสียก่อน
“เออ.. กูไปหาแลกมา กูขี้เกียจบินยาวแล้วว่ะ.. ว่าแต่มึงเถอะ สบายตัวแล้วดิ เรื่องว่าที่คู่หมั้นมึงน่ะ” ไอ้ชางมินเดินเข้ามาหาผมพลางเอาไหล่ชนตัวจนผมแทบเซ

” ผมได้แต่ทำหน้างงเป็นคำถาม
“งงเชี่ยไรล่ะ ก็ว่าที่คู่หมั้นมึงเขา..” ไอ้ชางมินมันพูดออกมาแค่นั้นแล้วมันก็หุบปากสนิท

“ก็คงจะอย่างนั้นมั้ง ไม่เห็นพ่อเคลื่อนไหวอะไร สงสัยกำลังช็อก..” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
“เชี่ย! เป็นใครๆก็ช็อกทั้งนั้น ขนาดกูยังคิดไม่ถึง.. แต่ก็อย่างว่า เพื่อนกลุ่มเดียวกันนี่เนอะ.. แล้วมึงล่ะตกใจไหม?” ไอ้ชางมินย้อนถาม เพราะตามข่าวที่พูดกันปากต่อปาก หลายๆคนต่างก็บอกว่าเรื่องราวของทั้งคู่ไม่เคยมีใครล่วงรู้เลย แม้กระทั่งคนสนิทก็ยังจับสังเกตไม่ได้

ก็แน่สิ พวกเขาจะไปจับสังเกตได้ยังไง ในเมื่อเวลารวมกลุ่มกันแต่ละที มูนีร์จะเข้ามาคุยกับผมเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้าในวันนั้นผมไม่ได้มารวมกลุ่มด้วย มูนีร์ก็จะพูดคุยกับพี่เขยผมแทน
สำหรับการพูดคุยกับคนรักของเธอน่ะ เวลาที่อยู่ด้วยกันหลายๆคน พวกเขาก็แทบจะคุยกันนับคำได้ แต่พอพวกเราทั้งหมดเริ่มอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ท่านอามินก็จะเป็นฝ่ายหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้มูนีร์ฟังไม่ขาดปาก คล้ายกับว่าท่านต้องการจะชดเชยช่วงเวลาที่เสียไป ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็เพียงแค่ตอนที่แกลอรี่ถึงคราวต้องปิดการเยี่ยมชม เนื่องจากเลยกำหนดการณ์ที่ตั้งไว้ และก็เป็นเวลาเลิกงานของพนักงานประจำด้วย จึงไม่แปลกที่เรื่องราวของทั้งคู่จะอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งยังมีผมเป็นตัวหลอก ทุกคนจึงไม่คิดว่าคดีมันจะมาพลิกเอาแบบนี้..

“ตกใจดิวะ!” ผมตอบตามน้ำไปเพราะขี้เกียจจะพูดเรื่องราวส่วนตัวของทั้งสองคนให้ใครฟัง หากใครจะรู้ลึกหรืออะไรก็ตาม ผมอยากให้เขาไปรู้มาจากที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ผม ส่วนหนึ่งก็เพราะผมเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเพื่อนทางธุรกิจที่เป็นเพื่อนคนสำคัญ และอีกส่วนก็คือผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานที่ผันตัวมาเป็นเพื่อนสนิทรู้สึกไม่ดีที่ผมคิดจะมีความลับกับพวกมัน แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อผมมีเพื่อนสองกลุ่ม ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเลย แถมไลฟ์สไตล์ก็ยังต่างกันด้วย ซึ่งผมก็คิดว่าไอ้อิมรานมันคงจะคิดแบบนี้ มันเลยไม่เคยเปิดตัวว่ามันมีศักดิ์เป็นถึงพระญาติของท่านอามิน เพราะทั้งกลุ่มนี่ มีผมรู้ความลับของมันแค่คนเดียว เนื่องจากสองคนบังเอิญไปเจอกันในเขตรั้ววังของเหล่าราชนิกุลเมื่อครั้งผมไปหาท่านอามินที่วังครั้งแรก..
ระหว่างนั่งรถบริษัทไปที่สนามบิน ผมกับไอ้ชางมินก็คุยกันอย่างออกรส ตั้งแต่เรื่องคะแนนจากเกมประจำกลุ่มของเราที่ตอนนี้ไอ้มินโฮมันขึ้นนำโดยทิ้งห่างจากเพื่อนฝูงไปไกลลิบ จนกระทั่งมาถึงเรื่องแผนการเที่ยวที่ล้มไม่เป็นท่า เพราะช่วงที่ผมไปทำวีซ่า ไอ้มินโฮมันงานเข้าดันถูกเรียกตัวไปทำไฟล์ทด่วน พวกที่เหลือเลยได้แต่นอนแห้งอยู่ที่ห้องดีที่ไอ้ตะวันมันหยุดงานพอดี พวกมันเลยตั้งวงดีดกีตาร์และแดกเหล้ากรอกปากจนหนำใจ แถมยังมีหน้ามาเยาะเย้ยผมด้วยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลามานั่งเอ้อระเหยแบบพวกมัน เพราะถึงเวลาว่างทีผมก็ต้องเอาเวลาวกนั้นไปให้ฮาบี

จากนั้นมันก็ถามถึงความคืบของผมกับฮาบีว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว ผมเลยบอกมันไปตามความจริง ทีนี้ไอ้ชางมินมันบ่นอุบยกใหญ่ หาว่าผมไร้น้ำยาบ้างล่ะ ไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ ทำการบ้านไม่เป็นบ้างล่ะ เหอะ ผมล่ะอยากจะทุบหัวมันจริงๆ เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างที่มันพูด เพียงแต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับผมก็คงจะเป็นวันที่ฮาบีได้รับการยอมรับจากคุณพ่อของผมก่อน ถึงแม้มันจะฟังดูไร้ความหวัง แต่ผมก็ยังไม่คิดที่จะหมดหวังในเรื่องนี้เพราะท่านคือครอบครัวของผม และทั้งๆที่ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่ผมก็เกือบจะยับยั้งตัวเองไม่ได้ไปครั้งนึงแล้ว..
ด้วยความที่ครอบครัวของผมคลุกคลีกับชาวอาหรับขนานแท้มาเป็นเวลานาน พวกเขาจึงซึมซับหลายๆอย่างมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยความเคยชิน แม้กระทั่งแนวคิดหลายๆอย่างก็ด้วย มีก็แต่ผมที่ออกจะผ่าเหล่าไปสักหน่อย เพราะเนื่องจากการทำงานของผม มันทำให้ผมได้พบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย รวมถึงแนวคิดดีๆจากเพื่อนร่วมงานที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันตลอดเวลา ผมจึงยังคงความเป็นตัวเองไว้ได้ไม่มีเปลี่ยน ขณะที่คุณพ่อเริ่มมีแนวคิดที่ว่าการคลุมถุงชนคือทางเลือกที่ดีที่สุดของคนเป็นพ่อและแม่ แต่โชคดีที่การคลุมถุงชนของที่นี่ ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้เลือก ดังนั้นการที่ผมตกอยู่ในสถานะ ว่าที่คู่หมั้นของมูนีร์จึงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่ของมูนีร์เองก็ดูเหมือนจะอยากได้ผมเป็นลูกเขยอยู่เหมือนกัน ผมได้ยินมาหลายครั้งเลยว่า พวกท่านคอยรบเร้ามูนีร์ให้คิดตัดสินใจเรื่องของผมได้แล้ว แต่มูนีร์ก็ยังผ่านสถานการณ์ในตอนนั้นไปได้ โดยที่ผมเองก็ยังไม่ทราบว่าเธอจัดการกับสถานการณ์ในตอนนั้นได้ยังไง เพิ่งมีช่วงหลังนี่แหละที่ฝ่ายผู้ใหญ่เริ่มพูดคุยหารือกันอย่างจริงจังเรื่องของผมกับมูนีร์ เนื่องจากพวกท่านเกรงว่าหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นที่ติฉินนินทาเอาได้ ประจวบเหมาะกับเรื่องว่าที่คู่หมั้นของท่านอามินก็มีตัวตนขึ้นมาพอดี เรื่องราวอันยุ่งเหยิงทั้งหมดจึงคลายตัวลงภายในวันเดียว..

ผมที่สวมชุดยูนิฟอร์มของลูกเรือแห่งสายการบิน Royal Etihad Airline สีน้ำตาลเข้ม ประดับเนคไทแถบสีน้ำตาลขาว กำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางเคียงคู่ไปกับชิมชางมิน ขณะที่มือหนึ่งของผมกำลังกดโทรศัพท์ไปยังคนที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับความเหงา
“อีกหนึ่งชั่วโมงพี่จะบินแล้วนะ ต้องปิดเครื่องแล้วล่ะ” ผมบอกฮาบีทันทีที่เขารับสาย จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก เพราะถึงเวลาที่ผมต้องปิดเครื่องพอดี หลังจากนั้นผมกับชางมินและลูกเรือคนอื่นๆก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมความพร้อมสำหรับเที่ยวบินนี้ รวมถึงส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่นฝ่ายแม่บ้านที่ต้องเข้ามาทำความสะอาด ฝ่ายช่างที่ต้องเข้ามาตรวจสอบเครื่องบินลำโต ฝ่ายครัวที่ต้องมาส่งอาหารและของว่างสำหรับผู้โดยสาร

วันนี้ผมกับชางมินต้องช่วยกันจัดอาหารและของว่างที่ฝ่ายครัวนำมาส่งให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งก่อนที่พวกเราจะนำไปเก็บเข้าชั้นวางให้เรียบร้อยก็ต้องผ่านการตรวจเช็คความถูกต้องจากลูกเรือท่านอื่นเสียก่อน จากนั้นเราถึงจะหันเคลียร์รถ ดริงก์ให้เรียบร้อย ซึ่งทุกครั้งที่ต้องเคลียร์ ผมจะพบกับ แอร์ผู้กองตลอด ซึ่งศัพท์เฉพาะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการลูกเรือคำนี้ ก็หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษในการสั่งเพื่อนร่วมงานให้ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก โดยบุคคลดังกล่าวจะชอบให้เหตุผลว่า กูยุ่งอยู่เสมอ ซึ่งใครที่ว่านั้นก็คือ..
ไอ้ชางมิน..

“มึงอย่าอู้ ไอ้ห่า ทำงานตรงกับกูทีไร มึงเผยสันดานหยาบตลอด” ผมบ่นพลางด่ามันไปด้วย
“กูก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่วะ เนี่ยกูนับของอยู่..” ไอ้ชางมินมันเถียงข้างๆคูๆ กับคนอื่นน่ะมันไม่ทำแบบนี้หรอก มันจะเป็นเฉพาะกับเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะความกวนตีนของมันมีการเลือกเป้าหมายไว้เสมอ..

“นับเชี่ยไรอีก เมื่อกี้ข้างล่างก็นับไปแล้ว” ผมกล่าวอ้างไปถึงลูกเรือท่านอื่นที่ทำการเช็คเมนูอาหารก่อนหน้า ที่จะต้องลำเลียงขึ้นมาเก็บในห้องครัวบนเครื่อง
“โถๆ หัวหน้าแก๊งค์อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย” นั่นไง มันกวนตีนจริงๆ มีอย่างที่ไหนเอามือมาลูบหัวผมที่ถูกเซ็ตเป็นทรงมาอย่างดีวะ

“สัส!” ผมด่าพลางปัดมือมันออกห่างจากตัวพร้อมใบหน้าไม่สบอารมณ์
“เพราะมึงชอบแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ไง กูถึงชอบแกล้งมึง เพราะแกล้งใครก็ไม่สนุกเท่าแกล้งมึงหรอกไอ้หัวหน้าแก๊งค์” ไอ้ชางมินยักคิ้ว จากนั้นก็เริ่มทำงานทำการอย่างตั้งใจ จนกระทั่งผู้โดยสารเริ่มทยอยเข้ามาในตัวเครื่อง ผมกับมันเลยต้องสงบศึกกัน

หน้าที่ของลูกเรือแท้ที่จริงแล้ว คือการดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร หาใช่การบริการ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการสาธิตเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยต่างๆบนเครื่องบิน จนกระทั่งครบถ้วนพวกเราก็เดินนำอุปกรณ์ต่างๆไปเก็บในที่ของมัน และเนื่องจากการบริการก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สายการบินของเราได้รับความไว้วางใจ ดังนั้นผมและลูกเรือคนอื่นๆจึงต้องว้าวุ่นกันจนหัวหมุน
ผมกับคุณจูดี้ลูกเรือสัญชาติยุโรปรีบไปรับรถเข็ญเพื่อทำการเสิร์ฟเครื่องดื่ม ระหว่างที่ลูกเรือหญิงที่ประจำหน้าที่ครัวบนเครื่องบินกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมของว่าง ผมก็ฉีกยิ้มแล้วฉีกยิ้มอีก พลางถามผู้โดยสารว่าต้องการรับชา กาแฟ หรือว่าน้ำเปล่า น้ำอัดลม ซ้ำไปซ้ำมาจนเหมือนกับหุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ กระทั่งผู้โดยสารทุกท่านในโซนที่ตัวเองต้องดูแลได้รับเครื่องดื่มกันครบแล้ว ผมกับคุณจูดี้ก็ช่วยกันออกแรงเข็ญรถดริงก์ที่โคตรจะหนักไปรอรับขนมปังอบและเนยกับแยมที่เจ้าหน้าที่ครัวประจำโซนผมเตรียมไว้ให้ จากนั้นผมก็เริ่มทำเหมือนเดิมคือการคีบขนมปังทีละชิ้นส่งให้กับผู้โดยสารทีละท่านจนครบ ผมดูแลทางฝั่งขวามือของผู้โดยสารประจำชั้นประหยัด ส่วนคุณจูดี้ดูแลผู้โดยสารทางฝั่งซ้ายมือของผู้โดยสารในชั้นเดียวกัน จากนั้นพวกเราพากันเคลียร์รถดริงก์อีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวเก็บขยะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนจะได้นั่งพักอีกหลายชั่วโมง..

“เชี่ย! มึงนี่แม่งเนื้อหอมตลอด” ทันทีที่ผมยื่นกระดาษทิชชู่สีขาวสะอาดที่มีหมายเลขโทรศัพท์ของผู้โดยสารสาวชาวเกาหลีท่านหนึ่งให้ไอ้ชางมิน มันก็สบถเบาๆข้างๆหูผมเหมือนทุกครั้งที่ผมยื่นเบอร์โทรของผู้คนเหล่านั้นให้ โดยส่วนใหญ่ผมจะได้มาจากลูกเรือสาวที่เป็นบัดดี้กับผมอีกที ซึ่งเที่ยวบินนี้คุณจูดี้เป็นคนเอามาให้หลังจากเราเคลียร์รถดริงก์เป็นรอบสุดท้าย ผมจึงให้ไอ้ชางมินไว้ก่อนที่เราจะต้องมานั่งเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
“คนไหนวะมึง ?” ไอ้ชางมินมันพูดแบบไม่ออกเสียง

” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้การส่ายหัวแทนคำตอบ
“คนโน้นค่ะ” แต่คนที่ตอบกลับเป็นคุณจูดี้ จากนั้นเธอก็ชี้ชวนให้ไอ้ชางมินหันไปมองยังที่นั่งทางซ้ายมือ ใกล้กับโซนริมหน้าต่าง โดยเธอนั่งอยู่ในแถวที่สี่สิบสามตามคำบอกเล่าของคุณจูดี้ ผมที่เผลอมองตามไปด้วยจึงสบสายตากับเธอเข้าให้ จึงเปิดโอกาสให้เธอได้ยกยิ้มเป็นการทักทายอย่างเป็นทางการ ผมจึงต้องทำเป็นจ้องมองไปยังทิศทางไกลๆแบบไม่มีจุดหมายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยิ้มตอบเธอกลับไป ผมมักจะใช้วิธีนี้เสมอ เมื่อผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ จนบางทีผมก็ติดนิสัยชอบมองอะไรที่มันอยู่ไกลตัวในตอนที่มีผู้คนมากมายล้อมรอบอยู่รอบตัว..

ด้วยระยะเวลาอันนานพอสมควร ผมเลยต้องนั่งยืดขาออกไปข้างหน้า จึงทำให้ปลายรองเท้าหนังของผมกับไอ้ชางมินแตะชนกันเบาๆ เนื่องจากเราทั้งคู่ต่างก็ขายาวกว่าใครเพื่อน จากนั้นความคิดของผมก็เริ่มดำดิ่งไปหาฮาบี ขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองผมอยู่ แต่ความสนใจของผมกลับถูกดึงดูดด้วยความคิดที่ว่า ตอนนี้ฮาบีจะกำลังเรียนภาษาอาราบิกอยู่หรือเปล่า หรือว่าฮาบีจะกำลังท่องเที่ยวไปรอบๆรัฐดูไบกับมูนีร์กันแน่ จากนั้นผมก็เริ่มขมวดคิ้ว เพราะผมลืมคิดไปว่า ตอนนี้มูนีร์กำลังตกเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย เธอคงไม่อยากออกไปไหนมาไหนหรอก คาดว่าภายในช่วงนี้ฮาบีคงต้องขลุกตัวอยู่แต่ในแกลอรี่ของมูนีร์หรือเปล่า เพราะเธอชอบไปนั่งวาดรูปที่นั่น หรือถ้าหากเธอมีงานที่บริษัทเครื่องหอม เธอก็จะขนกลับมาทำที่แกลอรี่อยู่ดี
สงสัยผมคงต้องพาฮาบีไปทัวร์ดูไบด้วยตัวเองสินะ ผมจะเริ่มคิดแพลนตอนนี้เลยดีไหม หรือว่ากลับไปค่อยคิดดีล่ะ แต่ว่าผมได้หยุดพักแค่วันเดียวเองนะแล้วก็ต้องทำไฟล์ทต่อ โดยที่อีกสามวันข้างหน้าผมก็หยุดพักเป็นช่วงสั้นๆเหมือนเดิม แล้วแบบนี้ผมจะคิดโปรแกรมยังไงดี หรือว่าจะรบกวนพี่อาราดีล่ะ แต่ถ้ารบกวนพี่สาว พื้นที่ส่วนตัวของผมก็จะถูกเปิดเผยน่ะสิ ถ้างั้นผมรบกวนคุณป้าแม่บ้านท่าทางจะดีกว่าเยอะ เมื่อคิดข้อสรุปในใจได้ ผมก็ยกยิ้มบางๆกับตัวเอง พร้อมกับตั้งใจไว้ว่าหากถึงเวลาพักรอขึ้นเครื่อง ผมจะอาศัยไวไฟในการส่งข้อความไปบอกกับคุณป้าแม่บ้านให้พาฮาบีไปทัวร์ดูไบ

ไม่นานเครื่องบินลำใหญ่ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวก่อนที่เครื่องจะลงแลนด์ดิ้ง เพียงครู่ จากนั้นก็เดินไปเปิดที่เก็บสัมภาระให้กับผู้โดยสารในโซนที่รับผิดชอบและเดินหลบมายืนประจำที่ตรงมุมด้านใน เพื่อยืนส่งผู้โดยสารทุกท่านเหมือนที่ทำเป็นประจำ
ซึ่งก่อนจากกัน สาวชาวเกาหลีท่านนั้น ก็ยังไม่วายจะส่งยิ้มให้ผมบางๆเป็นการกล่าวคำอำลาอีกด้วย ส่งผลให้ผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องส่งยิ้มตอบกลับไปเป็นมารยาทแทน
 “เดี๋ยวกูจะฟ้องซองมิน” ทันทีที่ผู้โดยสารทยอยเดินเข้าสู่งวงช้างกันหมดแล้ว ไอ้ชางมินมันก็เดินมาชี้หน้าผมพลางทำขึงขังอย่างเอาเรื่อง

“มึงจะไปฟ้องเขาทำเชี่ยอะไรล่ะ” ผมย้อนถาม
“มึงยิ้มให้เธอเมื่อกี้ กูเห็น!” ไอ้ชางมินมันทำเป็นฉีกยิ้มแล้วก็ถลึงตาใส่ผม

“ก็เขาเดินมายิ้มตรงหน้ากูนี่ แล้วมึงจะให้กูทำเป็นมองไม่เห็นได้ยังไงวะ ขืนทำแบบนั้นโดนคอมเพลนแน่ๆ” ผมปัดมือไอ้ชางมินลง
” พอได้ทราบเหตุผล ไอ้ชางมินมันก็แยกเขี้ยวใส่จากนั้นก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ผมจึงได้โอกาสทำงานในส่วนของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะต้องไปรายงานตัวกับทางด่านตรวจคนเข้าเมืองและเตรียมตัวสำหรับไฟล์ทต่อไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าโดยคราวนี้พวกเราจะต้องค้างคืนที่บาห์เรน จากนั้นวันรุ่งขึ้นผมจะต้องบินไปที่คูเวต และค้างคืนที่ซาอุดิอาระเบีย ส่วนวันถัดมาเราจะบินตรงจากซาอุไปยังสหรัฐเอมิเรตส์และพักค้างคืนที่ดูไบบ้านใครบ้านมัน

ชีวิตลูกเรืออย่างผมมันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ ผมจึงนับวันรอที่จะได้กลับบ้าน ดีหน่อยที่มีไอ้ชางมินมาร่วมไฟล์ทด้วย ผมเลยไม่ค่อยจะเหงาเท่าไหร่ เพราะตกดึกทีไรมันชอบชวนผมไปเดินทัวร์เป็นประจำ เช้ามาพวกเราก็มักจะเหนื่อยล้าเป็นพิเศษเนื่องจากไม่ยอมใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่
ตลอดสามวันมานี้ ผมไม่ได้ติดต่อไปหาฮาบีเลย เพราะเราจากกันเพียงแค่ระยะสั้นๆ ผมเลยไม่ได้เปิดโรมมิ่งหรือเช่าเครื่องใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าผมจะต้องบินข้ามน่านฟ้าไปหลายประเทศ ไม่ได้แวะพักสองวันขึ้นไปเหมือนกับรูทบินอื่น แต่พอบริเวณไหนผมเจอสัญญาณไวไฟ ผมก็จะทิ้งข้อความไว้ให้ฮาบีได้คลายความคิดถึงเสมอ และมันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนนี้

ปกติผมจะดีใจเสมอเมื่อใกล้จะถึงวันสิ้นเดือน เพราะเงินเดือนจะออกมาให้ได้ชื่นอกชื่นใจตามประสาลูกจ้าง แต่กับวันใกล้สิ้นเดือนในเดือนนี้ ผมไม่นึกดีใจเอาเสียเลย เมื่อมูนีร์ส่งข้อความมาหาผมว่าคุณพ่อท่านพบความลับของผมแล้ว แต่เธอบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฮาบีหรอก เพราะตอนที่ท่านไปที่นั่น ฮาบีเขาออกไปเดินเที่ยวแถวๆซุกเก่าเพียงลำพัง
จากคำบอกเล่านั้น แทนที่ผมจะดีใจที่ฮาบีเขาสามารถไปไหนมาไหนได้เองบ้างแล้ว ผมกลับไม่ดีใจเลย เพราะยังไงผมก็ยังกังวลอยู่ดี เพราะตอนนี้คุณพ่อได้หาที่พักใจของผมจนเจอแล้ว..

มูนีร์บอกผมว่าที่คุณพ่อท่านทราบก็เพราะเธอไม่ระวังตัวให้ดี รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้ตัวเธอได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกเรื่องของเธอจึงอยู่ในสายตาของผู้คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณพ่อของผม ท่านคงอยากได้รับคำอธิบายหรืออะไรสักอย่าง ท่านจึงไปดักรอมูนีร์ที่ฐานทัพลับของเธอที่เพิ่งจะถูกค้นเจอโดยนักข่าว และท่านก็บังเอิญไปพบกับคุณป้าแม่บ้านที่ผมจ้างไว้ ซึ่งเธอเป็นญาติกับแม่บ้านชาวอาหรับที่ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าคุณป้าแม่บ้านของผมคงจะเคยไปพบแม่บ้านชาวอาหรับที่ออฟฟิศ คุณพ่อก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาล่ะมั้งถึงได้เข้าไปพูดคุยด้วย
เท่าที่จับใจความได้จากมูนีร์ที่โทรมาเล่ารายละเอียด เธอบอกว่าคุณพ่อท่านตั้งใจจะมาซื้อตัวคุณป้าไปเป็นแม่บ้านที่บ้านของผม เพราะคุณป้าจินฮาท่านได้ลาออกแล้ว เนื่องจากท่านอยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีแทน แต่พอคุยกันไปคุยมา โดยคุณพ่อได้ถามไถ่ถึงค่าจ้างที่เจ้านายของคุณป้ามอบให้ซึ่งก็คือผม เพราะท่านจะได้เสนอจำนวนเงินให้มากกว่านั้น แต่คุณป้าเธอตอบปฏิเสธเพราะเธอเกรงใจผม ซึ่งในตอนที่เธอเกรงใจ เธอก็เผลอหลุดปากพูดชื่อของผมด้วย คุณพ่อท่านก็เลยทราบและถามไถ่จนรู้ว่าคยูฮยอนเจ้านายของคุณป้าคือลูกชายของตัวเอง ด้วยเหตุนี้มูนีร์จึงขอโทษผมอยู่พักใหญ่ เพราะเธอเป็นแรงจูงใจให้คุณพ่อเดินทางมาที่นี่
แต่คนมันจะซวย อะไรก็ช่วยไม่ได้หรอก
ผมไม่โทษใครทั้งนั้นแหละ

วันสิ้นเดือนแบบนี้ เป็นวันที่ผมจะกลับมาหาฮาบีพร้อมกับเงินเดือนที่จะสามารถเลี้ยงมื้อค่ำดีๆให้เขาทานสักมื้อ ผมกะว่าจะพาเขาไปทานดินเนอร์ที่โรงแรมริมน้ำในเขตเมืองเก่าใกล้ๆบ้านของเรา พร้อมกับเลือกที่จะลืมเรื่องราวน่าปวดหัวต่างๆไป เราสองคนจะได้มีความสุขกับการเดทตามประสาคู่รักได้อย่างเต็มที่ แต่ใครจะคิดว่ากลับมาคราวนี้คุณพ่อจะจับได้ว่าผมกับฮาบีเรากำลังคบหากันอยู่ ที่ท่านทราบเพราะว่าท่านมาหาผมที่บ้าน พลางถามไปถึงฮาบีว่าเขาคือใคร จริงๆท่านก็แค่ถามเฉยๆนั่นล่ะ แต่ผมกลับแบไต๋เสียเอง ในเมื่อผมให้คำตอบไม่ได้ว่าฮาบีเป็นใคร ท่านจึงเริ่มเดินสำรวจบ้านและเห็นข้าวของๆเราวางปะปนกัน อีกทั้งเสื้อผ้าก็ยังเอาไว้ในตู้เดียวกัน ท่านจึงทราบความสัมพันธ์ระหว่างผมกับฮาบีได้ไม่ยาก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนผมตั้งตัวไม่ทัน สุดท้ายผมกับคุณพ่อก็จบลงด้วยการทะเลาะกันใหญ่โต โดยที่ไม่มีใครคิดจะห้าม เพราะหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ เขาไม่กล้าสู้หน้าพ่อของผมเลย เขาเอาแต่ยืนเม้มปากนิ่งเมื่อพ่อพยายามจะสั่งให้ผมเลิกกับเขา และเอาแต่ย้ำถามว่าผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
สายตาของท่านที่มองมา มันทำให้ใจของผมเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ผมทราบอยู่แล้วว่าเรื่องของผมกับฮาบีมันยากที่คนรุ่นเก่าจะยอมรับ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงราวกับระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้ อาจเพราะคุณพ่อคุ้นชินกับแนวคิดเดิมๆและซึมซับวิถีปฏิบัติของครอบครัวพี่เขยมาด้วย คุณพ่อจึงไม่ยอมรับเรื่องระหว่างผมกับฮาบี อีกทั้งคุณแม่บุญธรรมชาวอาหรับก็ยังสนับสนุนเรื่องการจับคลุมถุงชนด้วย ท่านจึงไม่สนใจเรื่องความรักของเรา ผมจึงหลุดปากต่อว่าท่านไปว่า แล้วทีพ่อกับแม่ล่ะ ไม่เห็นจะมีใครมาบังคับเรื่องแต่งงานเลย พ่อกับแม่ก็เหมือนพวกเราที่บังเอิญไปพบกัน แล้วจากนั้นก็รักกันถึงได้แต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น แม้ว่าตอนนี้แม่จะจากไปแล้ว แต่พ่อก็ยังรักแม่อยู่ ทำไมพ่อถึงทำตามใจตัวเองได้ แต่ผมกลับทำไม่ได้? ขนาดพ่อยกแม่บุญธรรมมาแทนที่แม่ ผมยังยอมรับได้เลย เพราะมันคือความสุขของพ่อ! แต่กับความสุขของผม ทำไมพ่อถึงยอมรับไม่ได้?’

คำพูดของผมทำให้ท่านไม่พอใจ เพราะท่านไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้ ซึ่งผมเข้าใจดีและก็เข้าใจด้วยว่าพ่อไม่เคยเอาใครมาแทนที่แม่ที่อยู่บนสวรรค์ แต่ด้วยอารมณ์ผมจึงหลุดปากพูดออกไป ส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณแม่บุญธรรมคอยยัดเยียดความคิดในเรื่องการคลุมถุงชนให้พ่อ ทั้งๆที่จริงๆแล้วคุณแม่บุญธรรมท่านก็ดีกับผมและอารามาก จะเสียก็แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แม้ว่าท่านจะบอกว่าหวังดี แต่ผมไม่ได้ต้องการความหวังดีแบบนี้..
เราสองคนพ่อลูกยืนจ้องตากันนานมาก หลังจากผมระเบิดอารมณ์ใส่ท่านเหมือนเด็กๆ จากนั้นท่านก็เดินจากไปเงียบๆ เหลือทิ้งความกลัวไว้ให้มันเกาะกินใจผม และผมก็รู้ดีว่ายังไงท่านก็คงไม่มีวันยอมรับเรื่องของเราได้ เพราะท่านมีความเชื่อในหลักการเดียวกันกับคุณแม่บุญธรรม ว่าความรักในรูปแบบนี้มันคือตราบาป
สิ้นเดือนนี้ แทนที่เราจะนั่งยิ้มให้กันหลังจากการเดทผ่านพ้นไป
เรากลับทำได้แค่ยืนกอดกันเงียบๆ ท่ามกลางบ้านอันอบอุ่นของเรา..

--------------------------------------------------------------------------------------
 

ส่วนใหญ่จะหนักไปทางบรรยายนิดนึง แหะๆ ขอบคุณที่ยังติดตามอยู่นะคะ ช่วงนี้อาจจะเขียนได้ช้านิดนึง อยู่ๆก็ตันเป็นพักๆ


วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

เพ(ร)าะรัก



Special by Kyuhyun 5

ข้อแลกเปลี่ยนที่ผมร้องขอ อันที่จริงมันไม่ได้เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ตัวผมจะได้ประโยชน์เลย เพราะคนที่ได้ประโยชน์จริงๆ คือฮาบีต่างหาก ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนที่ว่านั่นก็คือ ฮาบีจะต้องเรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์อาจจะเรียนเป็น ครอสสั้นๆ หรือจะเรียนเป็นครอสยาวๆก็ได้ อันนี้ผมไม่เกี่ยง เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฮาบีสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้ง่ายขึ้น โดยที่ไม่ต้องคอยพึ่งพาผมอยู่ฝ่ายเดียว
“จะกินอะไรหรือเปล่า ถ้าพี่เสร็จธุระ จะได้ซื้อเข้ามาให้ ?” เมื่อสวมรองเท้าหนังเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันมาถามฮาบีก่อนที่จะต้องเข้าออฟฟิศเพื่อไปดูตารางการบินในเดือนหน้า แล้วก็ต้องเข้าไปคุยกับฝ่ายบุคคลเกี่ยวกับใบอนุญาตทำงานและวีซ่าของผมและฮาบี

จริงๆเรื่องใบอนุญาตทำงานและวีซ่าของฮาบี ผมได้คุยปรึกษากับพี่อาราและพี่เขยมาพักใหญ่แล้ว เพราะการที่ฮาบีจะย้ายมาอยู่ที่นี่อย่างถาวร มันไม่สามารถใช้วีซ่าท่องเที่ยวได้ หรือถ้าจะใช้วีซ่าผู้ติดตาม มันก็มีข้อจำกัดหลายๆอย่าง เช่น ฮาบีมีส่วนเกี่ยวข้องกับผมอย่างไร?
หากบอกว่าเป็นเพื่อนแน่นอนว่ามันไม่สมเหตุสมผล และหากบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักก็ยิ่งทำไม่ได้ไปกันใหญ่ ทางออกที่ดีที่สุดจึงเป็นการทำเรื่องขอวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน ช่วงนั้นพี่อาราจึงให้ฮาบีเข้าเรียนครอสการบินไปพลางๆ

“วันนี้คุณป้าแม่บ้านไม่มาเหรอครับ?” ฮาบีย้อนถาม
“ท่านไม่สบายน่ะเลยขอลาป่วยวันนึง ตกลงจะให้ซื้ออะไรเข้ามาหรือเปล่า?” ผมย้ำถามขึ้นมาอีกครั้ง

“แล้วแต่พี่เลยครับ อาหารของที่นี่ผมไม่ค่อยรู้หรอก” ฮาบีตอบพลางยกยิ้ม
“อื้อ.. พี่ไปนะ แล้วเจอกันตอนบ่ายๆ เอ้อ.. อุ้มเจ้าเบดไว้ด้วย เดี๋ยวมันวิ่งตาม..” หลังจากร่ำลากับฮาบีเรียบร้อย ผมก็ตั้งท่าจะเดินออกจากตัวบ้าน แต่ปรากฏว่าเจ้าเบดมันวิ่งตาม ผมเลยต้องหยุดเดินและหันไปบอกให้ฮาบีอุ้มมันไว้

ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็เดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ของสายการบิน Royal Etihad Airline โดยผมจะต้องแต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มให้เรียบร้อยทุกครั้งที่เข้ามาเช็คตารางการบิน โชคดีที่พอกลับจากทะเลทราย ผมไม่ลืมแวะเข้าไปเอาชุดที่คอนโดก่อน ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมคงเสียเวลาอยู่ที่นี่นานกว่าที่คิด..  
อันดับแรกผมเลือกใช้เคาน์เตอร์เช็คอินน์สำหรับพนักงานตรงมุมขวามือสุด เพื่อเช็คตารางการบินในระบบออนไลน์ โดยล็อคอินน์รหัสพนักงานเข้าไป ไม่นานตารางการบินก็ปรากฏ 

ไฟล์ทต่อไปของผมคือประเทศการ์ตาร์แทนที่จะเป็นอียิปต์แบบที่หวัง ครั้นจะไปหาแลก ผมก็ขี้เกียจไปไล่ถามเพื่อนร่วมงานเหมือนคราวที่ผมตั้งหน้าตั้งตาจะบินไฟล์ทเอเชียให้ได้
ผมใช้เวลาไปกับการเช็คตารางการบินและอ่านข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับไฟล์ทบินนี้สักพัก จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังแผนกทรัพยากรบุคคลเป็นอันดับต่อไป

“สวัสดีครับคุณตัสนีม” ผมกล่าวทักทายหัวหน้าฝ่ายบุคคลและนั่งลงตามคำเชิญของเธอ
“รบกวนเซ็นเอกสารและขอหนังสือเดินทางกับใบอนุญาตทำงานด้วยค่ะ” เธอกล่าวเข้าเรื่องได้อย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน แต่ก็เพราะเธอเป็นแบบนี้ พี่สาวของผมจึงไว้วางใจให้เธอเป็นหัวเรือใหญ่ในการบริหารพนักงานภายใต้การดูแลของสายการบินแห่งตะวันออกกลาง

“ต้องใช้รูปถ่ายด้วยไหมครับ ?” ผมถามเธอพลางหยิบรูปถ่ายปัจจุบันมาวางไว้บนโต๊ะ เพราะครั้งก่อนผมจำได้ลางๆว่าเธอเคยขอรูปถ่ายของผมไปใช้
“จริงๆการต่ออายุใบอนุญาตทำงานไม่ต้องใช้รูปถ่ายนะคะ แต่เก็บเอาไว้ใช้สำหรับการต่ออายุวีซ่าก็ได้ค่ะ..” คุณตัสนีมยิ้มรับพลางอธิบายให้ผมเข้าใจถึงรายละเอียดของเอกสารประกอบการยื่นต่ออายุใบอนุญาตทำงาน

“ว่าแต่มันจะไม่กระทบต่อตารางการบินของผมใช่ไหมครับ มะรืนนี้ผมต้องทำไฟล์ทแล้วด้วย” ผมย้อนถามคุณตัสนีมอย่างเป็นกังวล
“ประมาณวันพุธนี้ก็น่าจะยื่นเรื่องเรียบร้อยแล้วค่ะ.. เดี๋ยวฉันจะนัดเข้ามารับหนังสือเดินทางอีกทีนะคะ ส่วนใบอนุญาตทำงานถ้าเกิดว่าได้รับการอนุมัติแล้วฉันจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งค่ะ ฉันคิดว่าเรื่องน่าจะเรียบร้อยก่อนการเดินทางค่ะ” เธออธิบายอย่างฉะฉานตามความรู้ที่เธอมี จึงทำให้ผมสบายใจมากขึ้น

“ว่าแต่เรื่องวีซ่าของเพื่อนผมล่ะครับ เขาต้องไปทำเรื่องยังไงบ้าง?” ผมถามเมื่อเซ็นเอกสารของตัวเองจนครบแล้ว
“ฉันขอดูหนังสือเดินทางของเขาหน่อยได้ไหมคะ ตามที่ได้คุยกับท่านประธานไว้ ท่านบอกให้ฉันทำวีซ่าประเภท Non-B และขอใบอนุญาตทำงานแบบเดียวกับที่ทำให้พนักงานที่สำนักงานใหญ่ค่ะ ดังนั้นอายุวีซ่าและใบอนุญาตทำงานจะไม่เหมือนกับของคุณนะคะ ของเพื่อนคุณทั้งวีซ่าและใบอนุญาตทำงานจะมีอายุแค่ 1 ปี ส่วนของคุณวีซ่าจะมีอายุ 10 ปี ส่วนใบอนุญาตทำงานจะมีอายุ 5 ปีค่ะ ที่เป็นแบบนี้เพราะด้วยข้อจำกัดของตำแหน่งและลักษณะงานค่ะ” เธอยังคงตอบอย่างฉะฉาน ผมจึงเข้าใจได้ไม่ยาก

“วีซ่าของเพื่อนคุณจะหมดสัปดาห์หน้าแล้วนี่คะ แบบนี้เพื่อนของคุณจะต้องบินออกนอกประเทศไปก่อน ระหว่างนี้ทางฝ่ายบุคคลจะเตรียมเอกสารสำหรับขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่าประเภท Non-B ไว้ให้ค่ะ”
“แล้วมันมีขั้นตอนยังไงบ้างครับ ? เพื่อนผมต้องทำอะไรบ้าง ? แล้วก็.. อันจริงเขาไม่ได้ทำงานที่บริษัทของเราเต็มตัว มันจะไม่มีปัญหาเหรอครับ ?” ผมถามอย่างเป็นกังวลยิ่งกว่าเรื่องของตัวเองเสียอีก

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะท่านประธานแจ้งว่าให้นำรายชื่อของเพื่อนคุณเข้าระบบให้ถูกต้องค่ะ โดยที่เขาจะต้องเข้ามาเรียนรู้งานของสายการบินเป็นครั้งคราวเสมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งของเราค่ะ ส่วนขั้นตอนการยื่นขอใบอนุญาตทำงาน ทางเราจะรีบดำเนินเรื่องให้นะคะ แต่ว่าการขอวีซ่าเพื่อนคุณจะต้องไปดำเนินเรื่องด้วยตัวเองนะคะ ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างกับการขอวีซ่าท่องเที่ยวที่สามารถให้ผู้อื่นดำเนินเรื่องแทนได้ค่ะ”
“ครับ.. ถ้าอย่างนั้นผมอยากให้คุณเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อมก่อนที่วีซ่าท่องเที่ยวของเขาจะหมดอายุ.. ถ้าหากเอกสารเรียบร้อยแล้วเขาสามารถเดินทางไปยื่นเรื่องได้ทันที ไม่ทราบว่าเขาจะต้องไปดำเนินการที่ประเทศไหนครับ?” ผมถามอย่างละเอียดเพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย

“พวกคุณต้องไปทำเรื่องที่ประเทศโอมานค่ะ.. ฉันขอสแกนหนังสือเดินทางของเขาสักครู่นะคะ และทางเราจะรีบเตรียมเอกสารของเขาให้ทันไปยื่นพร้อมกับเอกสารของคุณในวันอังคารหน้า ถ้าอย่างนั้นเพื่อนของคุณจะต้องเดินทางตั้งแต่วันอาทิตย์นี้นะคะ”
“ผมจะได้รับหนังสือเดินทางก่อนวันที่เขาจะเดินทางหรือเปล่าครับ คือผมจะไปเป็นเพื่อนเขาครับ” ผมพยักหน้าตอบตกลง เมื่อคำนวณเวลาในการเตรียมตัวแล้วยังเหลืออีกสองวัน พร้อมกับถามถึงหนังสือเดินทางของตัวเองด้วยว่าจะได้เมื่อไหร่

“ฉันขอติดต่อกับทางแรงงานก่อนนะคะว่าจะยื่นต่ออายุโดยไม่ต้องใช้หนังสือเดินทางตัวจริงได้ไหม” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นคุณตัสนีมก็เริ่มโทรหากรมแรงงานอย่างรวดเร็ว เธอใช้เวลาคุยเพียงไม่นานก็ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ เพราะเธอพอกับอีกฝ่ายว่าผมมีความจำเป็นจะต้องเดินทางในเร็ววันนี้ซึ่งมันประจวบเหมาะกับช่วงที่เธอจะยื่นต่ออายุใบอนุญาตของผมเข้าพอดี ทางนั้นเขาเลยยกเว้นให้ แต่ในตอนที่มาฟังผลจะต้องเอาหนังสือเดินทางตัวจริงมายืนยันด้วย

เมื่อธุระเสร็จสิ้น ผมก็ตัดสินใจเดินไปยังลิฟต์ข้างๆ เค้าน์เตอร์ต้อนรับ เพื่อขึ้นไปยังชั้นที่เก้า ซึ่งเป็นห้องทำงานของหญิงสาวผู้เป็นฝ่ายบริหารของสายการบินนี้ ด้วยความไม่มั่นใจว่าเธอจะอยู่ที่ห้องทำงานหรือเปล่า เพราะปกติแล้วพี่สาวของผมมักจะชอบทำงานที่ห้องของตัวเองมากกว่า เพราะเธอบอกว่ามันสงบและเป็นส่วนตัวดี..
“มาพบคุณอาราครับ..” ผมยิ้มให้เลขาหน้าห้อง
“รอสักครู่นะคะ” เลขาสาวหายเข้าไปทางด้านหลังบานประตูสีน้ำตาลเข้มเพียงครู่ ก็เชิญผมเข้าไปพบบุคคลที่อยู่ด้านใน

“คุยเรื่องวีซ่าของซองมินเรียบร้อยแล้วเหรอ?” ทันทีที่ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน พี่อาราก็สอบถามความคืบหน้าจากผม
“เรียบร้อยแล้วครับ เดินทางวันอาทิตย์นี้” ผมตอบ ฝ่ายพี่สาวก็พยักหน้ารับรู้

“นายคงจะไปกับซองมินด้วยสินะ..
“ไม่เห็นต้องถาม ผมจะปล่อยให้เขาไปคนเดียวได้ยังไงล่ะ” ผมตอบอย่างฉะฉาน

“นั่นสินะ.. แฟนทั้งคนเลยนี่.. เอ้อ แบบนี้ก็ตรงกับนัดทานข้าวของครอบครัวของมูนีร์น่ะสิ?” พี่อาราตบโต๊ะทำงานเบาๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“เหรอครับ.. รอดตัวอย่างหวุดหวิดสินะ..” ผมเอ่ยพลางทำสีหน้าเบื่อหน่าย

“รอดตัว ? เหตุผลไหนล่ะ ? พาแฟนไปทำวีซ่าหรือไง?
“ตลกแล้วพี่ ผมก็ต้องรอดตัวด้วยเหตุผลเรื่องงานไง พี่ก็บอกไปสิว่าผมต้องทำไฟล์ท ยังไงพ่อก็ไม่เช็คตารางการทำงานของผมอยู่แล้ว” ผมขอร้องแกมบังคับ

“มั่นใจขนาดนั้นเลย?” พี่อาราย้อนถาม
“มั่นใจสิ พ่อไม่เคยรุกล้ำผมขนาดนั้น..” ผมตอบ

“อ่าฮะ.. เอ้อ.. ได้ข่าวว่าบ้านนั้นกับคุณพ่อเขาดีใจกันยกใหญ่เลยนะ”
“เรื่อง ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย

“ก็เรื่องที่นายเอาเจ้าเบดฝากกับมูนีร์ไง”
“ทำไมพวกเขาต้องดีใจกันด้วยล่ะ? แปลกตรงไหน?” ผมเกาหัวพลางทำหน้างงๆปนสงสัย

“ก็ปกติเวลานายจะไปไหน นายชอบเอาเจ้าเบดมาฝากพี่ แต่นี่อยู่ๆนายก็เอาไปฝากมูนีร์ จะไม่ให้พวกเขาดีใจกันได้ไง”
“เหอๆ” ผมหัวเราะเฝื่อนๆเมื่อได้ยินเหตุผลที่ทำให้พวกผู้ใหญ่พากันดีใจมากขนาดนี้

“ว่าแต่นึกยังไงถึงเอาเจ้าเบดไปฝากมูนีร์?” พี่อาราวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จรดปลายคางลงบนหลังฝ่ามือและจ้องมองมาที่ผม
” ผมก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้จะบอกเหตุผลยังไงดี เพราะถ้าขืนบอกไป ผมก็กลัวว่าพื้นที่ส่วนตัว มันจะไม่เป็นส่วนตัว

“เอาเถอะ นายโตจนมีแฟนแล้ว ก็คงอยากจะมีพื้นที่ส่วนตัวกับเขาบ้าง..” พี่อาราเอื้อมมือมายีหัวผมเบาๆ
“เหอๆ” ผมได้แต่หัวเราะเฝื่อนๆพลางเกาท้ายทอยตัวเองด้วยความเก้อเขิน

“พี่ต้องไปประชุมแล้ว.. ยังไงก็ฝากบอกซองมินด้วยนะว่าพี่คิดถึง..” พี่อาราส่งยิ้มปิดท้าย จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ผมจึงเดินตามเธอออกมาจากห้องทำงาน
และแยกทางกันบนลิฟต์ชั้นที่สาม

เมื่อไม่มีความเป็นจะต้องอยู่ที่ออฟฟิศอีกต่อไป ผมจึงเดินออกมานั่งรถรับส่งของสายการบินที่มีไว้บริการเหล่าลูกเรืออย่างพวกเราเวลาที่จะเดินทางไปสนามบิน หรือจะแวะลงตรงข้างทางก็ได้ ดังนั้นผมจึงเลือกจะดรอปตัวเองลงตรงหน้าคาเฟ่เล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก
ร้านนั้นมีขนมหวานขึ้นชื่ออยู่สองอย่างคือบาคลาวาและเดทชีสเค้ก นอกจากนี้ยังมีอาหารคาวที่นิยมทานเป็นของว่างอันขึ้นอีกด้วย ซึ่งเมนูเด็ดที่ว่านั้นก็คือฮัมมัส มันเป็นเครื่องจิ้มของอาหารเลบานอนจะนิยมทานกับผักหรือแป้งกรอบ ด้วยความที่มันทานง่าย ผมจึงเลือกสั่งทั้งสามเมนูอย่างไม่ลังเล


“กลับมาแล้ว..” ด้วยความที่ผมเดินทางโดยใช้รถโดยสารสาธารณะ กว่าจะมาถึงบ้านผมจึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ผมเลยรีบตรงดิ่งเข้าไปหาฮาบีที่กำลังนอนเล่นอยู่บนโซฟา จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนเบียดอีกฝ่าย จนสามารถครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งนึงของโซฟาได้สำเร็จ
“อื้อ..จะมานอนเบียดกันทำไมครับ?” ฮาบีส่งเสียงประท้วงพร้อมกับพยายามจะผลักผมให้ลุกขึ้นนั่ง แต่ด้วยเรี่ยวแรงเท่านั้น มันไม่สามารถทำให้ผมกระทบกระเทือนใดๆได้ เนื่องจากอีกฝ่ายขยับตัวได้ไม่ถนัดนัก เพราะร่างของฮาบีกำลังจะจมหายไปกับผนักพิงให้ได้อยู่แล้ว

“ผมปวดขา ปวดตัวไปหมดแล้ว.. คุณอย่าไล่ผมเลย” ผมทำบ่นโอดครวญและไม่ยอมขยับตัวแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไปนอนพักที่เตียงดีๆสิครับ จะมานอนเบียดกันทำไม?” ฮาบีเสนอทางเลือกที่ดีอย่างรวดเร็ว แต่ทางเลือกที่ดีของฮาบีมักไม่ใช่ทางเลือกที่ดีของผมเสมอไป..

“ไม่เอา.. บนเตียงมันไม่มีฮาบี..” ผมยกหัวขึ้นจากโซฟา พลางบอกเหตุผลที่มันฟังขึ้นกว่าข้อเสนอของฮาบีเป็นล้านเท่า
” จากนั้นฮาบีเขาเงียบไปเลย ผมจึงฝังใบหน้าลงกับโซฟาตัวเขื่อง และอมยิ้มเงียบๆคนเดียวจนเผลอหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ฮาบีกำลังขยับตัวพยายามจะตะเกียกตะกายลงจากโซฟาแคบๆนี้ จนกระทั่งคนตัวเล็กได้รับอิสระ เขาก็เดินไปนั่งด้อมๆมองๆมื้อกลางวัน ที่ผมซื้อมาด้วยความสนใจ

“จัดใส่จานสิ เดี๋ยวพี่กินด้วย..” ผมนอนตะแคงและหันไปมองฮาบี พลางบอกให้อีกฝ่ายไปจัดเตรียมอาหารมื้อกลางวันใส่จาน ส่วนผมก็จะไปล้างหน้าและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้มันสบายตัวกว่านี้
“ครับ..” ฮาบียิ้มตอบ พลางรวบอาหารที่ผมซื้อมาทั้งหมดไว้ด้วยมือข้างเดียว แล้วก็เดินหายเข้าไปในครัว ส่วนผมก็เดินแยกไปทางห้องนอนเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำอย่างที่ตั้งใจไว้

หลังจากทานมื้อกลางวันจนอิ่มแปล้ ทางฝ่ายบุคคลก็โทรมาหา ผมจึงเดินออกไปคุยธุระตรงสวนหลังบ้าน ขณะที่ฮาบีกำลังล้างจานอยู่ในครัว ซึ่งธุระที่ว่านั้น ก็เป็นรายละเอียดเพิ่มเติมที่ผมจะต้องรับรู้และรีบเตรียมการภายในคืนนี้ เพราะทุกอย่างจะต้องพร้อมก่อนที่จะถึงวันอาทิตย์

“พี่ว่าจะเข้าไปหาเราพอดี..” หลังจากที่คุยกับฝ่ายบุคคลเรียบร้อยแล้ว ผมก็เตรียมตัวจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่ปรากฏว่าฮาบีเดินออกมาหาผมเสียก่อน ผมจึงเลือกจะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับวีซ่าของฮาบีตรงโซฟาด้านหลังบ้านเสียเลย
“เหลือเวลาอีกสองวันเองนะครับ เราจะจองตั๋วกับที่พักทันเหรอ?” พอฮาบีทราบรายละเอียดทั้งหมด เขาก็ทำหน้าตื่น พลางขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล

“ต้องทันสิ พี่ว่าเดี๋ยวเราออกไปนั่งใช้อินเตอร์เน็ตที่คาเฟ่กันดีกว่า” ผมเสนอ พลางลุกเดินนำเข้าไปในบ้าน
“แล้วเราต้องอยู่กันนานแค่ไหนครับ เขาได้บอกหรือเปล่า?” ฮาบีเดินตามไล่หลังผมมาและถามด้วยความสงสัย

“อย่างเร็วก็เกือบๆสองอาทิตย์น่ะ เห็นทางฝ่ายบุคคลบอกว่าเอกสารอะไรสักอย่างมันต้องใช้เวลาอนุมัติประมาณอาทิตย์นึง” ผมตอบพลางจัดการปิดแอร์และตรวจดูความเรียบร้อยในบ้าน พร้อมกับตัดสินใจทิ้งเจ้าเบดไว้ที่นี่ โดยปล่อยให้มันวิ่งเล่นข้างนอกแทน เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเอาสัตว์เลี้ยงเข้าคาเฟ่
และก็เป็นไปตามคาด ทันทีที่เราสองคนเดินออกจากบ้าน เจ้าเบดมันส่งเสียงร้องกระจองงอแงยกใหญ่..

“ก่อนเดินทางเขาบอกให้เราเข้าไปรับเอกสารบางส่วนสำหรับยื่นขอวีซ่าก่อน ส่วนเอกสารอีกตัวที่เราต้องใช้ เขาจะฝากมากับทางเอเจนซี่อีกที เดี๋ยวเขาจะให้เบอร์ติดต่อกับทางเอเจนซี่ในวันที่เราเข้าไปรับเอกสารน่ะ” ระหว่างเดินทางไปที่คาเฟ่ ผมก็อธิบายให้ฮาบีฟังตามที่ฝ่ายบุคคลบอกอย่างไม่มีตกหล่น

“มันอาจจะยุ่งยากไปสักหน่อย แต่มันจะทำให้ฮาบีอยู่ที่นี่ได้อย่างถูกต้อง” ผมบอกอีกฝ่าย พลางยกยิ้มให้
“ครับ..

ผมพาฮาบีเดินลัดเลาะเข้าซอยแคบๆไปเรื่อยๆ และด้วยความที่บริเวณนั้นไม่มีใครสักคนนอกจากเรา ผมจึงหยุดการก้าวเดินเพียงครู่ จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายที่เดินตามอยู่ข้างหลัง ก่อนจะค่อยๆเลื่อนฝ่ามือลงมากอบกุมกัน พร้อมกับแนบฝ่ามือข้างที่ว่าลงตรงข้างลำตัวและค่อยๆก้าวเดินอย่างเชื่องช้าคล้ายกับเวลาของเรามันมีอยู่มากมาย
กระทั่งเดินพ้นออกมาจากซอยแคบๆ ผมก็ปล่อยให้เราสองคนเป็นอิสระจากกัน พลางหันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายบางๆ เพื่อบอกกลายๆว่าผมมีความสุขมากที่ได้จับมือกับเขาเมื่อครู่นี้..

ผมพาฮาบีมายังแกลอรี่ชื่อดังในย่านนี้ เพราะด้านในของแกลอรี่เขาเปิดเป็นคาเฟ่ควบคู่ไปด้วย เราสองคนจึงสามารถใช้เวลาปักหลักอยู่ที่นี่ ปราบเท่าที่เราพึงพอใจ
หนึ่งเพราะเราสั่งเครื่องดื่มและของว่าง สองเพราะผมรู้จักกับเจ้าของแกลอรี่แห่งนี้เป็นการส่วนตัว โดยเริ่มแรกผมรู้จักกับจิตรกรท่านนี้ผ่านทางท่านอามิน เพราะเป็นจิตรกรคนโปรดของท่าน และที่สำคัญเธอยังเป็นจิตรกรสาวสวยอีกด้วย ซึ่งจิตรกรคนที่ผมกำลังพูดถึงก็คือมูนีร์..

สำหรับมูนีร์ จริงๆแล้ว ผมมารู้จักกับเธอก็เพราะได้มาแกลอรี่แห่งนี้พร้อมกับท่านอามิน และยิ่งรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น ก็ตอนที่ทราบว่ามูนีร์เองก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนทางธุรกิจของพี่เขยที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานในเวลานั้น แต่จะมาสนิทใจกัน ก็ตอนที่ผมทราบว่าท่านอามินตกหลุมรักเธอเข้าให้แล้ว จากนั้นมาผมเลยต้องมาที่นี่พร้อมกับท่านอามินทุกครั้งที่ผมว่างจากตารางการบิน เพื่อนอีกกลุ่มของผมมันเลยเข้าใจว่าที่ผมชอบมาที่นี่บ่อยๆ เป็นเพราะต้องการจะดื่มด่ำกับบรรยากาศเก่าๆ
เพราะอย่างนั้นผมถึงได้คอยเฝ้าดูความสัมพันธ์ระหว่างท่านอามินกับมูนีร์ที่ค่อยๆเจริญงอกงามขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ความสนิทสนมที่ผมมีให้มูนีร์ไปจับตาต้องใจคุณพ่อของผมและครอบครัวของมูนีร์เข้าให้ เราสองคนจึงตกอยู่ในสถานะของ คู่ดูตัวทีแรกผมไม่กล้าจะบอกท่านอามินด้วยซ้ำ แต่มูนีร์กลับไม่เห็นด้วย เธอจึงเลือกที่จะบอกท่านด้วยตัวเธอเอง ซึ่งมันผิดคาดมาก ที่ท่านอามินไม่ได้ไม่พอใจอะไรเลย แถมยังเสนอให้ผมกับเธอยอมรับสถานะนั้นไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่าทั้งผมและมูนีร์ต่างก็ไม่ใช่ คู่ดูตัวคนแรกของกันและกัน เพราะถึงจะปฏิเสธอีกฝ่ายไป สักวันหนึ่งพวกผู้ใหญ่เขาก็คงจะสรรหาคนใหม่ๆ มาให้พวกเราเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังไม่มีใครเป็นตัวเป็นตน แต่ถึงจะมีเป็นตัวเป็นตน หากท่านไม่เห็นด้วยสถานการณ์แบบนี้ก็คงต้องเกิดขึ้นต่อไป ท่านจึงบอกกับพวกเราว่า ท่านยอมให้ผมกับมูนีร์ตกอยู่ในสถานะที่แบบนี้ ดีกว่าเป็นคนอื่น
โดยที่พวกเราต่างก็ลืมนึกไปว่า สถานะแบบนั้นมันสามารถพัฒนาขึ้นได้..

“คุณมูนีร์อยู่หรือเปล่าครับ?” ผมถามหาเจ้าของแกลอรี่กับพนักงานเมื่อเข้ามายังคาเฟ่ที่อยู่ใจกลางอาคารสำหรับจัดแสดงภาพวาด ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงาอยู่หลายต้น จึงทำให้ทุกครั้งที่ผมได้มานั่งเล่นที่นี่ มันเหมือนกับผมมีโอกาสได้ซึมซับกลิ่นไอความเป็นดูไบในยุคเก่าได้เต็มที่ เพราะคาเฟ่ลักษณะนี้ไม่ค่อยจะมีมากนักเพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะทำเป็นห้องแอร์เสียมากกว่า
“วันนี้คุณมูนีร์ไม่เข้าค่ะ” ผมพยักหน้าพลางยิ้มรับและสั่งเครื่องดื่มพร้อมของว่างเสร็จสรรพ ก่อนจะเดินเข้าไปยังโต๊ะไม้สีน้ำตาลตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ฮาบีหมายตาไว้ ส่วนเจ้าตัวกำลังเดินดูภาพวาดอย่างสนอกสนใจ..

“สไตล์การลงสีของจิตรกรท่านนี้เหมือนกับผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก..” ฮาบีพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเดียวกัน
“คุณคงจะเห็นบ่อยๆจากที่บ้านเราไง..

“อ่า.. ใช่จริงๆด้วย” ฮาบียกยิ้มจนตาหยี เมื่อได้คำตอบที่ตัวเองเฝ้าค้นหามานาน
“จิตรกรท่านนี้ ถ้าผมบอกชื่อออกไป คุณจะต้องตกใจแน่ๆ” ผมกล่าวพลางยักคิ้ว

“ใครเหรอครับ?
“มูนีร์น่ะ..” พอผมเฉลยออกไป ฮาบีก็ยกยิ้มค้างขึ้นมาทันที

“บ้านหลังนั้นมันเคยเป็นของท่านอามินมาก่อนน่ะ.. ก็ไม่แปลกที่จะมีรูปพวกนั้น ถูกไหม?” ผมย้อนถามด้วยการพูดแบบไม่มีเสียง เพราะไม่ต้องการให้ใครมารับรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่ยังคงเป็นความลับของทั้งคู่
“ทุกอย่างที่นั่น พี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ตั้งแต่ทีแรก..” ผมอธิบาย พลางยิ้มรับพนักงานที่นำชากุหลาบมาเสิร์ฟ ซึ่งชาของที่นี่มูนีร์ได้นำเข้ามาจากประเทศอิหร่าน

“แต่ถ้าต่อไป คุณอยากจะเปลี่ยนก็ได้นะ..” ผมพูดต่อ พลางรินน้ำชาลงในแก้วชาใบใส

“จริงๆแล้ว พี่ก็แค่อยากให้ฮาบีรู้จักกับเธอไว้” ผมพูดเป็นประโยคสุดท้าย พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเริ่มต้นหาข้อมูลตามที่ตั้งใจไว้

“ทำไมครับ ?” ฮาบีย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะเราต่างก็นับถือกันเป็นพี่น้อง แล้วเธอก็ยังเป็นคนรักของท่านอามินด้วย พี่ก็เลยอยากให้คนที่พี่ชอบสนิทกับทุกคนที่มีความสำคัญกับพี่..” ผมตอบแบบไม่มีเสียงพลางส่งยิ้มให้ฮาบี และหันมาสนใจกับกิจกรรมของตัวเองต่อ

                ครืด ครืด

                “สัส ตกใจหมด!” ผมสบถด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆโทรศัพท์ก็สั่น ขณะที่ผมกำลังใจจดใจจ่อกับการหาที่พักอยู่นานสองนาน
               

                “หายหัวไปตั้งนาน มึงจะโทรมาทำเชี่ยไรวะ?” ผมด่าไอ้ชางมินทันทีที่รับสาย
               

                “พวกมึงพร้อม แต่กูกับซองมินยังไม่พร้อม พอดีต้องไปทำเรื่องวีซ่าว่ะ..” ทันทีที่ผมพูดจบไอ้ชางมินมันก็โอดครวญอย่างเสียดาย
               

                “จะไปทำเชี่ยไร พวกกูไปเรื่องงานไม่ได้ไปเที่ยว..” ผมขมวดคิ้วขณะพูดกับไอ้เพื่อนตัวดี
               

                “กูยังไม่ได้ไป ยังอยู่ดูไบนี่แหละ.. สักที่ที่พวกมึงไม่รู้.. เออ.. จะโกรธกูก็โกรธไป ยังไงกูก็ไม่บอกพวกมึงหรอก ขืนบอกไป เวลาพ่อกูมาเค้นแต่ละที ห่า ความลับแตกตลอด” ผมด่ามันเป็นชุดพร้อมกับบอกจุดประสงค์ที่ผมไม่อยากบอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแบบเนียนๆ พอไอ้ชางมินมันเข้าใจว่าเพราะอะไร มันก็เลิกโวยวายทันที
                “เม้าเชี่ยไรอีก? วันนี้กูจะหาห้องพักได้ไหมสัส.. อืม.. กูจะตกใจทำเชี่ยไร มึงอย่าลืมว่ากูสนิทกับท่านอามิน เรื่องไอ้อิมรานเป็นญาติห่างๆกับท่าน กูไม่รู้สิแปลก.. มึงว่าไงนะ ไอ้อิมรานมันอกหักจากใคร มึงพูดให้ชัดๆ เชี่ยแล้ว..” หลังจากได้ยินที่ไอ้ชางมินมันพูด ผมก็เป็นกังวลขึ้นมาทันที
               
                ไอ้ชางมินมันบอกผมว่า อาเมียร์น้องสาวที่เป็นญาติห่างๆของไอ้อิมรานกับท่านอามิน กำลังจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของท่านอามิน แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ไอ้อิมรานมันแอบชอบอาเมียร์ แต่อาเมียร์กำลังจะเป็นคู่หมั้นของท่านอามินที่คบหาดูใจกับมูนีร์ แถมการหมั้นหมายครั้งนี้ดูเหมือนจะหมั้นกันไว้ไม่นานก็จะตบแต่งกันเลย
ดูเหมือนฤกษ์งามยามดีจะเป็นช่วงหลังจากการสถาปนาท่านอามินอย่างเต็มตัว..
               
                “มีอะไรหรือเปล่าครับ?” หลังจากวางสายกับไอ้ชางมิน ผมก็เอาแต่นั่งทำหน้าเครียดจนฮาบีต้องถามด้วยความเป็นห่วง
                “พี่เครียดบางเรื่องนิดหน่อยน่ะ..” ผมตอบ

               
                “เดี๋ยวกลับไปเล่าให้ฟังที่บ้านนะ..” ผมยกยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน

                ผมแทบจะไม่มีสมาธิทำอะไรเลย เมื่อจู่ๆความกลัวมันก็เริ่มครอบงำขึ้นมา จริงอยู่ที่เรื่องพวกนี้มันไม่เกี่ยวกับผม แต่ถ้าหากทุกอย่างมันลงเอยตามที่ไอ้ชางมินว่า
สถานะระหว่างผมกับมูนีร์ มันคงจะชัดเจนขึ้น..

โชคดีที่พี่อาราโทรมาแนะนำที่พักที่พี่เขยเคยไปพัก มันเป็นที่พักที่ไม่มีชื่อเสียงอะไรมากมาย แต่สภาพห้องเป็นที่น่าพอใจเกินความคาดหมาย ผมจึงติดต่อสอบถามผ่านทางอีเมล์ไป หลังจากนี้ก็ต้องคอยลุ้นเอาว่าห้องจะว่างไหม ถ้าหากยังไม่ว่างอีก ผมคงจะตัดสินใจไปหาเอาดาบหน้า เพราะวันนี้ความตั้งใจของผมมันหมดลงแล้ว
พอเดินออกมาข้างนอก ก็พบว่าท้องฟ้ามืดสนิท แสงไฟตามบ้านเรือนก็แทบไม่มีให้เห็น จะมีก็แต่แสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ผมจึงถือโอกาสอันดีนี้เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฮาบีฟัง รวมถึงไม่คิดจะปิดบังเรื่องความกังวลของผมด้วย

“โจวคยูฮยอนคนนี้มันเห็นแก่ตัวมากใช่ไหมล่ะ แทนที่มันจะเป็นห่วงเพื่อน แต่มันกลับกังวลเรื่องผลกระทบที่จะมีต่อตัวเอง?” ผมถามฮาบี
“ผมคิดว่าบนโลกนี้ คงไม่มีใครไม่เคยเห็นแก่ตัวหรอกครับ..” ฮาบีตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ขณะที่ผมกำลังร้อนรนอยู่ในใจ

“นั่นสินะ..” ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำบอกเล่าของฮาบี จากนั้นผมก็พาอีกฝ่ายเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยเดิมที่ผมพามาเมื่อตอนกลางวัน เราต่างคนต่างก้าวเดินกันเงียบๆ คล้ายกับตกอยู่ในวังวนแห่งความคิด จนกระทั่งมาถึงบ้านพัก ทันทีที่ผมปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ฮาบีก็เดินเข้ามากอดผมจากข้างหลัง และพึมพำเบาๆว่าเขาชอบที่ผมบอกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะมัวแต่กังวลเรื่องระหว่างเรา..

ครืด ครืด

“ครับ..” ผมยังคงยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านเหมือนเดิม ส่วนฮาบีก็ยังคงกอดผมไว้ สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปก็แค่ผมกำลังหยิบโทรศัพท์ออกมารับสายของท่านอามิน
“เราจะไม่ตามใจมูนีร์แล้ว.. ขอโทษนายด้วย ถ้าต่อไปนายจะต้องถูกเรียกไปดูตัวเหมือนเดิมอีก..” ผมหลุดหัวเราะออกมิน เมื่อท่านอามินกล่าวติดตลกเช่นนั้น
ยอมรับเลยว่าผมสบายใจขึ้นมาก ถึงแม้ว่าคู่ดูตัวอาจจะต้องเปลี่ยนไป
แต่ก็คงจะอีกนานกว่าพ่อจะถูกใจใครใหม่..

“แล้วท่านจะเปิดเผยความลับยังไงครับ?” ผมถามอย่างสงสัย
“พรุ่งนี้นายคอยติดตามเอาแล้วกัน.. พร้อมเมื่อไหร่ก็พาเขามาแนะนำกับเราด้วย.. เรื่องอะไรนายถึงบอกแต่มูนีร์คนเดียว.. น่าโมโหชะมัด..” ท่านอามินกล่าว พลางวกเข้าเรื่องของผมเสียอย่างนั้นและไม่วายตัดพ้อใส่อีกต่างหาก

“ใครว่าผมบอกแค่มูนีร์คนเดียว.. ที่จริงผมบอกพี่อาราด้วย แต่พี่เขยมาสังเกตเอาเองทีหลังก็เลยรู้ แล้วก็บอกเพื่อนสนิทอีกกลุ่มด้วย เหลือแค่ท่านนี่แหละที่ผมยังไม่กล้าบอก.. แต่ก็คิดจะบอกอยู่นะครับ ไม่ได้จะปิดบัง” ผมพูดพลางกลั้วหัวเราะ รู้เลยว่าอีกฝ่ายต้องโวยวายแน่
“อะไรกัน ทำไมเราต้องรู้เป็นคนสุดท้าย? ทีเรื่องอื่นนายยังบอกเราเป็นคนแรก แต่พอเป็นเรื่องนี้กลับบอกเราคนสุดท้ายงั้นเหรอ? แฟนนายนิสัยไม่ดีหรือไง หรือว่าค้ายาเสพติด? หรือว่าค้าบริการ? นายถึงไม่กล้าบอก” ผมหัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น ฝ่ายฮาบีที่ได้ยินเองก็ขำไม่หยุด

“ไม่ใช่เหตุผลแบบนี้ท่านพูดมาหรอกครับ เพราะที่จริงเขาเป็นผู้ชายไง ผมถึงไม่กล้าบอก.. ตอนพี่เขยรู้ทีแรก ผมนี่กลัวแทบตายเพราะเขาไม่ใช่คนทันสมัยอะไร ดีนะครับที่เขามารับรู้ช่วงเวลาที่ยากลำบากของซองมิน เขาก็เลยไม่ว่าอะไร” ผมตัดสินใจเฉลย พลางพรั่งพรูช่วงเวลาที่ผมเคยเป็นกังวล และถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่ฮาบีถูกคุณพ่อซ้อมและขอบอกเลิกผมนั่นล่ะ พอดีพี่เขยมาเห็นผมฟูมฟายตอนโดนบอกเลิก และยังมาเห็นรูปที่ฮาบีถูกทำร้าย เขาก็เลยสงสารและพยายามจะมองข้ามเรื่องราวที่เขาไม่ค่อยจะเห็นด้วยนัก จะมารับได้จริงๆก็ตอนที่เขารู้ว่า จากเหตุการณ์ที่ฮาบีถูกทำร้ายมันทำให้อีกฝ่ายต้องคอยพกยาระงับประสาทอยู่บ่อยๆ ถึงแม้อาการจะไม่เคยกำเริบเลยก็ตาม พี่เขยก็ยังรู้สึกว่ามันน่าหดหู่ และมันคงจะน่าละอายเกินไป ถ้าหากเขาเป็นคนสร้างบาดแผลให้กับฮาบีเพิ่มขึ้นอีก..
“เป็นอย่างที่แอบคิดไว้จริงๆสินะ..” ท่านอามินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ฮาบีกำลังกำชายเสื้อของผมแน่น

“ท่านจะเลิกคบผมก็ได้นะ” ผมเม้มปาก และตัดสินใจเสนอความคิดเห็นที่มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“ทำไมต้องเลิกคบด้วยล่ะ อย่าลืมสิ เราจบจากยุโรปนะ เรื่องพวกนี้เราเห็นจนชินตาแล้ว จริงๆมันก็เป็นแค่ความรักในรูปแบบนึงเท่านั้น.. พาเขามาแนะนำให้เรารู้จักเถอะ เราไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น.. อย่าลืมสิ นายไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อจนเรารับไม่ได้เสียหน่อย”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่คงไม่ใช่เร็วๆนี้หรอก ผมต้องพาเขาไปทำวีซ่า..
“เมื่อไหร่ก็ได้ เราไม่ว่าหรอก ยังไงเราก็ต้องรู้จักเขาอยู่แล้ว เพราะเขาจะมาเป็นลูกศิษย์ของมูนีร์ไม่ใช่หรือไง.. ที่จริงนายก็วางแผนจะให้เรารู้เรื่องนี้ตัวเองสินะ..” ท่านอามินกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ผมจึงค่อยๆผ่อนคลายขึ้น ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าความสัมพันธ์แบบนี้ พอถึงคราวต้องพูดก็ดันพูดได้ง่ายกว่าที่คิด..

“ประมาณนั้นแหละครับ..” ผมรับคำพลางบอกลาท่าน และเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับฮาบีที่ปล่อยผมให้เป็นอิสระแล้ว
“เบด..” ฮาบีก้มลงไปอุ้มเจ้าเบดขึ้นมากอด เมื่อจู่ๆเจ้าเบดมันก็วิ่งอ้าวเข้ามาหา เนื้อตัวของเจ้าลูกชายมอมแมมไปหมด ฮาบีเลยบอกว่าเดี๋ยวเขาจะอาบน้ำแปลงโฉมให้

“รอพี่ด้วยสิ..” ผมร้องเรียกฮาบี พลางวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายและเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกันอย่างสบายใจ แต่ก่อนที่ฮาบีจะเดินแยกไปทางห้องน้ำ ผมก็คว้าใบหน้าของฮาบีเข้ามาจูบให้สมกับความดีใจเสียก่อน แต่ก็จูบเพียงไม่นานนักหรอก เพราะผมกลัวจะอดใจไม่ไหว ฝ่ายฮาบีก็หน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที จากนั้นเจ้าตัวก็รีบเดินจ้ำอ้าวหายไปทางห้องน้ำพร้อมกับเจ้าเบด..
โดยทิ้งผมไว้กับรอยยิ้มที่มันหุบไม่อยู่ ตรงหน้าประตูบ้าน..

                --------------------------------------------------------------------------------------

บาคลาวา (Baklava) ขนมหวานโบราณของประเทศตุรกี ซึ่งนิยมทานกันมากในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
Related image

เดทชีสเค้ก
Image result for date cheesecake

ฮัมมัส เครื่องจิ้มของอาหารเลบานอน นิยมทานกับผักหรือแป้งกรอบ สามารถทานเป็นของว่างได้
ส่วนผสมหลักคือถั่วชิกพี บ้านเราเรียกถั่วลูกไก่ 
Image result for ฮัมมูส 
Visa-Non B เป็นวีซ่าประเภทธุรกิจ หากมีวีซ่าประเภทนี้จึงจะสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้

อันนี้เพิ่มเติมเผื่อใครอยากรู้ 
สำหรับอายุวีซ่าของเหล่าลูกเรือ จะเป็นแบบระยะยาว ใบอนุญาตทำงานก็ด้วย ราคาจะสูงกว่าแบบปีต่อปี (พวก office จะนิยมใช้แบบนี้) แต่ละครั้งที่ลูกเรือจะบินออกนอกประเทศไม่ต้องทำเรื่องวีซ่า (เฉพาะกรณีในหน้าที่) เพราะลูกเรือจะมีเอกสารการเข้าประเทศนั้นๆ โดยในเอกสารจะมีชื่อของลูกเรือทั้งหมด หัวหน้าจะเป็นคนถือหนังสือฉบับนี้ แต่ถ้าหากลูกเรือต้องเดินทางเป็นการส่วนตัว อันนี้ต้องขอวีซ่าค่ะ
 
 สำหรับตอนนี้ไม่มีอะไรมาก จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเพื่อนอีกกลุ่มของคุณลูกเรือที่เราไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นกันนัก สำหรับมุมมองนี้จะเห็นได้ว่าเรื่องของมูนีร์กับคยูเป็นไปได้ยากมากถึงแม้ว่าครอบครัวจะอยากให้เป็นไปได้ และด้วยความที่รู้จักกันมานาน อีกทั้งต่างคนต่างก็เคารพเรื่องส่วนตัวของกันและกัน จึงไม่แปลกที่แต่คนละจะยอมรับได้กับความรักในรูปแบบนี้ แม้ว่าที่นี่จะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร สำหรับเรื่องราวของฮยอกแจกับซีวอน เดี๋ยวจะมีกล่าวถึงแน่ค่ะ แต่มันอาจจะน้อยไปหน่อย เพราะเล่าเรื่องราวในมุมมองของคยูที่ไม่ได้สนิทกับทั้งสองคนมากเท่าไหร่ ขนาดเพื่อนๆชาวลูกเรือยังไม่ค่อยได้คุยกันเลย 5555