Special
by Kyuhyun 6 ✈
กว่าการเดินเรื่องวีซ่าจะเสร็จสิ้น
เวลาก็ล่วงเลยมาอาทิตย์กว่าแล้ว ด้วยความที่อยู่ต่างบ้านต่างเมือง
เราสองคนจึงพากันท่องเที่ยวที่ประเทศโอมานอย่างสนุกสนาน จำได้ว่าในทุกวันเราต่างหันหน้ามาส่งยิ้มให้กันวันละหลายๆรอบ
ทั้งๆที่บางทีมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องยิ้ม แต่เราสองคนก็ยังอยากจะยิ้มให้กันอยู่เรื่อย..
อ้อ.. แต่ก็มีเรื่องนึงที่มันทำให้ผมต้องยิ้มออกมาอย่างมีสาเหตุ
เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ‘เครื่องรางตาสีฟ้า’ ที่ผมซื้อมาจากตุรกี เพราะไม่ว่าฮาบีจะไปไหนเขาก็มักจะพกมันติดตัวไปด้วยเสมอ
โดยฮาบีจะหย่อนเครื่องรางที่ว่านั่นลงในกระเป๋าเสื้อด้านซ้ายมือและจะนำมันออกมาวางไว้บนโต๊ะข้างเตียงก็ต่อเมื่อเขากำลังจะเข้านอน
ผมก็เลยอดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยเปรียบผมเป็นเครื่องรางที่ว่านี้ เขาบอกว่า
ถึงผมจะไม่ใช่เครื่องรางตาสีฟ้าที่คอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายตามประวัติความเป็นมาของมัน
แต่ผมก็เป็นตาสีฟ้าที่คอยสร้างความอบอุ่น จนกระทั่งความรักระหว่างเราค่อยๆเติบโตขึ้น
อีกทั้งการเพาะรักระหว่างเราก็ยังสร้างความเข้มแข็งให้อีกฝ่ายด้วย..
เพียงแค่คิดมาถึงตรงนี้
ริมฝีปากมันก็วาดขึ้นเป็นรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว..
“พี่ไปทำงานแล้วนะ..” เวลาแห่งความสุขเคยหมดลงเร็วแค่ไหนก็ยังหมดลงเร็วแค่นั้น
เพราะในเช้าวันนี้ก็ถึงคราวที่ผมจะต้องเริ่มทำไฟล์ทได้สักที และก่อนจะลาจากอีกฝ่ายเพื่อไปทำงานผมก็โน้มตัวลงไปหาคนที่กำลังนอนขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่ใต้ผ้าห่มพลางจุมพิตริมฝีปากนุ่มหยุ่นของคนตัวเล็กเพียงเบาๆ
ก่อนจะบอกลาอีกฝ่ายเป็นลำดับสุดท้าย ไม่นานคนบนเตียงก็ลืมตาขึ้นมองรอบๆกาย
“…” ฮาบีกระพริบตาปริบๆอยู่หลายนาที เหมือนเขายังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“พี่ไปแล้วนะ.. เจอกันอีกทีวันพุธ..”
ผมลูบแก้มฮาบีเบาๆ พลางบอกเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เพื่อให้อีกฝ่ายทราบว่า
ตารางการบินของผมในรอบนี้ ไม่ได้ทำให้ผมหายหน้าหายตาไปเป็นเดือน
เพราะผมจะต้องบินกลับมาดูไบในอีกสองวันข้างหน้า เนื่องจากไฟล์ทที่ผมได้เป็นเพียงไฟล์ทที่ใช้เวลาในการบินระยะสั้นๆ
“ถ้าฝ่ายบุคคลเขาติดต่อให้ไปรับเล่มใบอนุญาตทำงาน
เราไปคนเดียวได้ใช่ไหม?”
ผมถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ว่าทางฝ่ายบุคคลจะส่งรถบริษัทมารับฮาบีก็ตามที
แต่ว่าตั้งแต่ฮาบีเขาย้ายมาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เคยออกไปไหนด้วยตัวเองเลย
อีกทั้งผมก็ยังไม่เคยพาเขาไปทัวร์รอบๆดูไบมาก่อน เพราะส่วนใหญ่เราสองคนต่างก็ใช้เวลาไปกับการเดินเล่นในเขตเมืองเก่าอย่างไม่รู้เบื่อ
“เขาบอกจะส่งรถมารับผมนี่ครับ..” ฮาบีตอบพลางยกยิ้ม
ผมจึงพยักหน้าเบาๆเพื่อบ่งบอกให้เขารู้ว่าผมเข้าใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้
พลางนึกเสียดายเวลาขึ้นมาทันที เพราะถ้าผมรู้ว่าตัวเองจะเป็นห่วงเขามากขนาดนี้
ผมจะพาฮาบีไปรู้จักทุกซอกทุกมุมของรัฐที่เขาจะต้องอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิต
แต่ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆเขาก็ต้องร่ำเรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์อยู่แล้ว
เดี๋ยวผมจะบอกให้มูนีร์พาเขาไปทัวร์เมืองแทนก็แล้วกัน
พอนึกถึงมูนีร์แล้วผมก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่า
ก่อนที่พวกเราจะต้องเดินทางไปทำวีซ่า ท่านอามินเคยบอกผมว่าท่านจะต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องราวระหว่างท่านและมูนีร์
ซึ่ง ‘อะไรสักอย่าง’
ที่ท่านว่าก็คือการเปิดตัวมูนีร์ให้ทุกสื่อและทุกฝ่ายรับทราบว่าเธอคือคนสำคัญ
โดยทั้งคู่ได้คบหาดูใจกันมาสองปีกว่าแล้ว
หลังจากนั้นข่าวคราวดังกล่าวก็แพร่ขยายเป็นวงกว้าง ส่งผลให้มูนีร์กลายเป็นคนที่ถูกเลือกแทนคุณอาเมียร์
แน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ต้องมีทั้งคนที่ยินดีและต่อต้านด้วยเพราะมูนีร์ไม่ใช่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์เหมือนกับคุณอาเมียร์
แต่ด้วยความที่มูนีร์เป็นผู้หญิงที่มีความสามารถหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา ด้านศิลปะ
ด้านดนตรีก็ตาม อีกทั้งธุรกิจเครื่องหอมของเธอก็ยังไปได้สวยด้วยอายุเพียงยี่สิบห้า
เธอจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักธุรกิจด้วยกันเป็นอย่างมาก
หลายๆคนต่างพากันอยากสานสัมพันธ์กับเธอ แต่ก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ
เพราะเธอมอบหัวใจให้กับ ‘พี่อามิน’ ของเธอไปแล้ว
ในวันที่เรื่องราวความลับค่อยๆถูกเผยแพร่ออกไป
วันนั้นผมจำได้ว่าเธอหวาดกลัวมาก เธอต่อสายตรงมาหาผมถึงโอมาน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงของคนขวัญเสีย
ผมจึงถามเธอออกไปว่า เธอได้ลองสอบถามสถานการณ์จากท่านอามินหรือยัง
เพราะบางทีมันอาจจะไม่ได้น่าหวาดกลัวอย่างที่เธอคิดก็ได้ เธอจึงบอกผม ว่าเธอได้คุยกับอีกฝ่ายแล้ว
แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังกังวลกลัวว่าเธอจะไม่ดีพอสำหรับท่าน คืนนั้นผมจึงคอยพูดปลอบประโลมเธอให้คลายความกังวล
พลางสาธยายภาพลักษณ์ของเธอที่คนอื่นๆเขามองเห็น หากแต่เธอกลับไม่เคยมองเห็นมันเลย
ด้วยเพราะเธอขาดความมั่นใจในตัวเอง เนื่องจากคนรักของเธอไม่ใช่บุคคลธรรมดา
แต่เป็นถึงอนาคตเชคที่อีกไม่นานก็ต้องดำรงตำแหน่งที่ว่านั้นอย่างเต็มตัว
ส่วนฝ่ายคัดค้าน
ต่อให้ท่านอามินไม่เปิดเผยเรื่องราวความรักของท่าน
ยังไงแล้วพวกเขาก็ยังคงคัดค้านอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะคัดค้านหรือไม่
ท่านอามินก็จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าหากมัวสนใจ มันก็มีแต่จะบั่นทอนจิตใจไปเปล่าๆ
ผิดกับมูนีร์ที่ไม่ว่ายังไงก็คอยแต่นั่งทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ที่ผมรู้ลึกขนาดนี้ไม่ใช่ว่าเธอบินมาหาผมที่โอมานและเผยผ้าคลุมหน้าออกมาหรอกนะ
แต่เป็นเพราะอามินท่านโทรมาบ่นให้ผมฟังต่างหาก ทั้งสองคนน่ะก็เป็นเสียอย่างนี้
พอเห็นต่างกันทีไร ก็มักจะไม่มองหน้ากัน แต่จะแย่งกันโทรมาฟ้องผมแทบทุกครั้ง
“ไม่ต้องออกมาส่งพี่หรอก ฟ้ายังมืดอยู่เลย..”
ผมหยุดการก้าวเดินที่บริเวณปากประตูบ้าน
และหันไปบอกฮาบีเบาๆพร้อมกับชี้ชวนให้มองดูท้องฟ้าอันมืดมิดข้างนอก
“…”
“ส่งแค่ตรงนี้ก็พอแล้ว..” ผมสาวเท้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
พลางเอียงคอบอกให้เจ้าตัวเข้าใจในเจตนารมณ์ของผม
และยกยิ้มบางๆให้กับคนที่ได้แต่มองผมด้วยดวงตาใสแจ๋วที่ไม่มีแววซึมเศร้าปะปนอยู่
“แต่ก่อนเวลาที่พี่ต้องทำไฟล์ท
ผมไม่เคยคิดอยากจะงอแงใส่พี่เลยนะ.. แต่พอพี่ใช้เวลาอยู่กับผมแทบทุกวันเป็นเวลาตั้งหนึ่งเดือน
จู่ๆผมก็ไม่อยากให้พี่ไปทำงานขึ้นมา.. นิสัยไม่ดีเลยเนอะ..” ฮาบีเขาหลุบตามองพื้นพลางบ่นอุบอิบเบาๆ
“พี่ก็เหมือนกัน อยากโดดงานชะมัด..” ผมยิ้มจนปวดแก้มไปหมดแล้ว แถมยังอดจะรวบตัวคนตรงหน้ามากอดแน่นๆไม่ได้
จากนั้นผมก็กระซิบเบาๆข้างๆหูอีกฝ่าย และค่อยๆปล่อยฮาบีให้เป็นอิสระอย่างอ้อยอิ่ง
ก่อนจะยกข้อมือขวาที่คาดด้วยนาฬิการาคาแพงที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากพี่สาวขึ้นมาดูเวลา
“จะสายแล้ว..” ผมบอกอย่างใจหาย
“ครับ.. เดินทางปลอดภัยนะ” ผมได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่
พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับโลกมันกำลังหยุดหมุน เมื่อฮาบีเขาเขย่งปลายเท้าขึ้นจุมพิตบนริมฝีปากของผมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเจ้าตัวก็รุนหลังผมที่ยังคงยืนเซ่ออยู่ตรงหน้าเขาให้เดินออกไปนอกบ้าน
กระทั่งเสียงประตูถูกปิดลงอย่างดัง
ผมจึงได้สติและก้าวเดินออกจากบ้านหลังเล็กแต่อบอุ่นด้วยรอยยิ้ม
แต่จนแล้วจนแล้วจนรอด ผมก็ต้องวิ่งกระหืดกระหอบตรงไปยังซุกเก่าเพื่อไปขึ้นรถรับส่งของทางบริษัทให้ทันเวลา
เนื่องจากเป้าหมายของผมไม่ใช่สนามบิน
เพราะผมต้องกลับไปที่บริษัทเพื่อทำการบรีฟและถือโอกาสไปเอากระเป๋าเดินทางที่ผมตั้งใจทิ้งไว้ที่คอนโดด้วยเลยจะได้ไม่ต้องแบกไปแบกมาให้มันลำบาก..
สำหรับการทำไฟล์ทบินในครั้งนี้
ฮาบีเขาเป็นคนจัดกระเป๋าให้ผมเองกับมือ โดยมีผมคอยให้คำแนะนำว่าจะต้องจัดเตรียมอะไรไปบ้าง
จำได้ว่าทันทีที่เรากลับมาจากโอมาน เราก็รีบนำหนังสือเดินทางไปให้กับทางฝ่ายบุคคล
จากนั้นเราสองคนก็พากันขึ้นไปนอนพักเอาแรงบนห้อง
พอตกเย็นผมกับฮาบีก็ช่วยกันจนกระเป๋าเดินทางของลูกเรือไว้ล่วงหน้า เพราะเราสองคนได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านแห่งความลับของเราแล้ว..
“อ้าวไอ้ชางมิน มึงทำไฟล์ทเดียวกับกูเหรอ?”
หลังจากผมมารายงานตัวสำหรับการบรีฟงานที่เค้าน์เตอร์เช็คอินน์ที่ตั้งเรียงรายเอาไว้ประมาณห้าเครื่องด้วยกัน
จังหวะที่ผมกำลังจะหันไปมองหาเพื่อนร่วมทาง สายตาของผมก็ปะทะกับไอ้ชางมินเข้าเสียก่อน
“เออ.. กูไปหาแลกมา กูขี้เกียจบินยาวแล้วว่ะ.. ว่าแต่มึงเถอะ สบายตัวแล้วดิ เรื่องว่าที่คู่หมั้นมึงน่ะ”
ไอ้ชางมินเดินเข้ามาหาผมพลางเอาไหล่ชนตัวจนผมแทบเซ
“…” ผมได้แต่ทำหน้างงเป็นคำถาม
“งงเชี่ยไรล่ะ ก็ว่าที่คู่หมั้นมึงเขา..” ไอ้ชางมินมันพูดออกมาแค่นั้นแล้วมันก็หุบปากสนิท
“ก็คงจะอย่างนั้นมั้ง ไม่เห็นพ่อเคลื่อนไหวอะไร
สงสัยกำลังช็อก..”
ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
“เชี่ย! เป็นใครๆก็ช็อกทั้งนั้น ขนาดกูยังคิดไม่ถึง.. แต่ก็อย่างว่า เพื่อนกลุ่มเดียวกันนี่เนอะ.. แล้วมึงล่ะตกใจไหม?” ไอ้ชางมินย้อนถาม เพราะตามข่าวที่พูดกันปากต่อปาก
หลายๆคนต่างก็บอกว่าเรื่องราวของทั้งคู่ไม่เคยมีใครล่วงรู้เลย แม้กระทั่งคนสนิทก็ยังจับสังเกตไม่ได้
ก็แน่สิ พวกเขาจะไปจับสังเกตได้ยังไง ในเมื่อเวลารวมกลุ่มกันแต่ละที
มูนีร์จะเข้ามาคุยกับผมเป็นส่วนใหญ่ หรือถ้าในวันนั้นผมไม่ได้มารวมกลุ่มด้วย มูนีร์ก็จะพูดคุยกับพี่เขยผมแทน
สำหรับการพูดคุยกับคนรักของเธอน่ะ
เวลาที่อยู่ด้วยกันหลายๆคน พวกเขาก็แทบจะคุยกันนับคำได้
แต่พอพวกเราทั้งหมดเริ่มอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว
ท่านอามินก็จะเป็นฝ่ายหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าให้มูนีร์ฟังไม่ขาดปาก
คล้ายกับว่าท่านต้องการจะชดเชยช่วงเวลาที่เสียไป
ซึ่งการกระทำเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็เพียงแค่ตอนที่แกลอรี่ถึงคราวต้องปิดการเยี่ยมชม
เนื่องจากเลยกำหนดการณ์ที่ตั้งไว้ และก็เป็นเวลาเลิกงานของพนักงานประจำด้วย จึงไม่แปลกที่เรื่องราวของทั้งคู่จะอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
อีกทั้งยังมีผมเป็นตัวหลอก ทุกคนจึงไม่คิดว่าคดีมันจะมาพลิกเอาแบบนี้..
“ตกใจดิวะ!”
ผมตอบตามน้ำไปเพราะขี้เกียจจะพูดเรื่องราวส่วนตัวของทั้งสองคนให้ใครฟัง
หากใครจะรู้ลึกหรืออะไรก็ตาม ผมอยากให้เขาไปรู้มาจากที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ผม
ส่วนหนึ่งก็เพราะผมเคารพพื้นที่ส่วนตัวของเพื่อนทางธุรกิจที่เป็นเพื่อนคนสำคัญ และอีกส่วนก็คือผมไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานที่ผันตัวมาเป็นเพื่อนสนิทรู้สึกไม่ดีที่ผมคิดจะมีความลับกับพวกมัน
แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อผมมีเพื่อนสองกลุ่ม
ซึ่งทั้งสองกลุ่มไม่ได้สนิทสนมอะไรกันเลย แถมไลฟ์สไตล์ก็ยังต่างกันด้วย ซึ่งผมก็คิดว่าไอ้อิมรานมันคงจะคิดแบบนี้
มันเลยไม่เคยเปิดตัวว่ามันมีศักดิ์เป็นถึงพระญาติของท่านอามิน เพราะทั้งกลุ่มนี่ มีผมรู้ความลับของมันแค่คนเดียว
เนื่องจากสองคนบังเอิญไปเจอกันในเขตรั้ววังของเหล่าราชนิกุลเมื่อครั้งผมไปหาท่านอามินที่วังครั้งแรก..
ระหว่างนั่งรถบริษัทไปที่สนามบิน
ผมกับไอ้ชางมินก็คุยกันอย่างออกรส ตั้งแต่เรื่องคะแนนจากเกมประจำกลุ่มของเราที่ตอนนี้ไอ้มินโฮมันขึ้นนำโดยทิ้งห่างจากเพื่อนฝูงไปไกลลิบ
จนกระทั่งมาถึงเรื่องแผนการเที่ยวที่ล้มไม่เป็นท่า เพราะช่วงที่ผมไปทำวีซ่า
ไอ้มินโฮมันงานเข้าดันถูกเรียกตัวไปทำไฟล์ทด่วน พวกที่เหลือเลยได้แต่นอนแห้งอยู่ที่ห้องดีที่ไอ้ตะวันมันหยุดงานพอดี
พวกมันเลยตั้งวงดีดกีตาร์และแดกเหล้ากรอกปากจนหนำใจ
แถมยังมีหน้ามาเยาะเย้ยผมด้วยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลามานั่งเอ้อระเหยแบบพวกมัน
เพราะถึงเวลาว่างทีผมก็ต้องเอาเวลาวกนั้นไปให้ฮาบี
จากนั้นมันก็ถามถึงความคืบของผมกับฮาบีว่าไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
ผมเลยบอกมันไปตามความจริง ทีนี้ไอ้ชางมินมันบ่นอุบยกใหญ่ หาว่าผมไร้น้ำยาบ้างล่ะ
ไม่ได้เรื่องบ้างล่ะ ทำการบ้านไม่เป็นบ้างล่ะ เหอะ ผมล่ะอยากจะทุบหัวมันจริงๆ
เพราะผมไม่ได้เป็นอย่างที่มันพูด เพียงแต่ผมคิดว่ามันยังไม่ถึงเวลา
ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับผมก็คงจะเป็นวันที่ฮาบีได้รับการยอมรับจากคุณพ่อของผมก่อน
ถึงแม้มันจะฟังดูไร้ความหวัง
แต่ผมก็ยังไม่คิดที่จะหมดหวังในเรื่องนี้เพราะท่านคือครอบครัวของผม และทั้งๆที่ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น
แต่ผมก็เกือบจะยับยั้งตัวเองไม่ได้ไปครั้งนึงแล้ว..
ด้วยความที่ครอบครัวของผมคลุกคลีกับชาวอาหรับขนานแท้มาเป็นเวลานาน
พวกเขาจึงซึมซับหลายๆอย่างมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วยความเคยชิน แม้กระทั่งแนวคิดหลายๆอย่างก็ด้วย
มีก็แต่ผมที่ออกจะผ่าเหล่าไปสักหน่อย เพราะเนื่องจากการทำงานของผม มันทำให้ผมได้พบเจอกับวัฒนธรรมที่หลากหลาย
รวมถึงแนวคิดดีๆจากเพื่อนร่วมงานที่หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันตลอดเวลา
ผมจึงยังคงความเป็นตัวเองไว้ได้ไม่มีเปลี่ยน ขณะที่คุณพ่อเริ่มมีแนวคิดที่ว่าการคลุมถุงชนคือทางเลือกที่ดีที่สุดของคนเป็นพ่อและแม่
แต่โชคดีที่การคลุมถุงชนของที่นี่ ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้เลือก
ดังนั้นการที่ผมตกอยู่ในสถานะ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ของมูนีร์จึงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยนะ
เพราะคุณพ่อคุณแม่ของมูนีร์เองก็ดูเหมือนจะอยากได้ผมเป็นลูกเขยอยู่เหมือนกัน
ผมได้ยินมาหลายครั้งเลยว่า พวกท่านคอยรบเร้ามูนีร์ให้คิดตัดสินใจเรื่องของผมได้แล้ว
แต่มูนีร์ก็ยังผ่านสถานการณ์ในตอนนั้นไปได้ โดยที่ผมเองก็ยังไม่ทราบว่าเธอจัดการกับสถานการณ์ในตอนนั้นได้ยังไง
เพิ่งมีช่วงหลังนี่แหละที่ฝ่ายผู้ใหญ่เริ่มพูดคุยหารือกันอย่างจริงจังเรื่องของผมกับมูนีร์
เนื่องจากพวกท่านเกรงว่าหากปล่อยไว้นานจะกลายเป็นที่ติฉินนินทาเอาได้
ประจวบเหมาะกับเรื่องว่าที่คู่หมั้นของท่านอามินก็มีตัวตนขึ้นมาพอดี
เรื่องราวอันยุ่งเหยิงทั้งหมดจึงคลายตัวลงภายในวันเดียว..
ผมที่สวมชุดยูนิฟอร์มของลูกเรือแห่งสายการบิน Royal Etihad Airline สีน้ำตาลเข้ม
ประดับเนคไทแถบสีน้ำตาลขาว กำลังเดินลากกระเป๋าเดินทางเคียงคู่ไปกับชิมชางมิน
ขณะที่มือหนึ่งของผมกำลังกดโทรศัพท์ไปยังคนที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่กับความเหงา
“อีกหนึ่งชั่วโมงพี่จะบินแล้วนะ
ต้องปิดเครื่องแล้วล่ะ” ผมบอกฮาบีทันทีที่เขารับสาย จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
เพราะถึงเวลาที่ผมต้องปิดเครื่องพอดี หลังจากนั้นผมกับชางมินและลูกเรือคนอื่นๆก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมความพร้อมสำหรับเที่ยวบินนี้
รวมถึงส่วนอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่นฝ่ายแม่บ้านที่ต้องเข้ามาทำความสะอาด
ฝ่ายช่างที่ต้องเข้ามาตรวจสอบเครื่องบินลำโต ฝ่ายครัวที่ต้องมาส่งอาหารและของว่างสำหรับผู้โดยสาร
วันนี้ผมกับชางมินต้องช่วยกันจัดอาหารและของว่างที่ฝ่ายครัวนำมาส่งให้เข้าที่เข้าทาง
ซึ่งก่อนที่พวกเราจะนำไปเก็บเข้าชั้นวางให้เรียบร้อยก็ต้องผ่านการตรวจเช็คความถูกต้องจากลูกเรือท่านอื่นเสียก่อน
จากนั้นเราถึงจะหันเคลียร์รถ ดริงก์ให้เรียบร้อย ซึ่งทุกครั้งที่ต้องเคลียร์ ผมจะพบกับ
‘แอร์ผู้กอง’ ตลอด ซึ่งศัพท์เฉพาะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการลูกเรือคำนี้ ก็หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถพิเศษในการสั่งเพื่อนร่วมงานให้ทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก
โดยบุคคลดังกล่าวจะชอบให้เหตุผลว่า ‘กูยุ่ง’ อยู่เสมอ ซึ่งใครที่ว่านั้นก็คือ..
ไอ้ชางมิน..
“มึงอย่าอู้ ไอ้ห่า ทำงานตรงกับกูทีไร
มึงเผยสันดานหยาบตลอด” ผมบ่นพลางด่ามันไปด้วย
“กูก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่วะ เนี่ยกูนับของอยู่..” ไอ้ชางมินมันเถียงข้างๆคูๆ
กับคนอื่นน่ะมันไม่ทำแบบนี้หรอก มันจะเป็นเฉพาะกับเพื่อนสนิทเท่านั้น
เพราะความกวนตีนของมันมีการเลือกเป้าหมายไว้เสมอ..
“นับเชี่ยไรอีก เมื่อกี้ข้างล่างก็นับไปแล้ว”
ผมกล่าวอ้างไปถึงลูกเรือท่านอื่นที่ทำการเช็คเมนูอาหารก่อนหน้า ที่จะต้องลำเลียงขึ้นมาเก็บในห้องครัวบนเครื่อง
“โถๆ หัวหน้าแก๊งค์อย่าเพิ่งอารมณ์เสีย” นั่นไง
มันกวนตีนจริงๆ มีอย่างที่ไหนเอามือมาลูบหัวผมที่ถูกเซ็ตเป็นทรงมาอย่างดีวะ
“สัส!” ผมด่าพลางปัดมือมันออกห่างจากตัวพร้อมใบหน้าไม่สบอารมณ์
“เพราะมึงชอบแสดงปฏิกิริยาแบบนี้ไง กูถึงชอบแกล้งมึง
เพราะแกล้งใครก็ไม่สนุกเท่าแกล้งมึงหรอกไอ้หัวหน้าแก๊งค์” ไอ้ชางมินยักคิ้ว
จากนั้นก็เริ่มทำงานทำการอย่างตั้งใจ
จนกระทั่งผู้โดยสารเริ่มทยอยเข้ามาในตัวเครื่อง ผมกับมันเลยต้องสงบศึกกัน
หน้าที่ของลูกเรือแท้ที่จริงแล้ว คือการดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร
หาใช่การบริการ ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการสาธิตเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยต่างๆบนเครื่องบิน
จนกระทั่งครบถ้วนพวกเราก็เดินนำอุปกรณ์ต่างๆไปเก็บในที่ของมัน และเนื่องจากการบริการก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สายการบินของเราได้รับความไว้วางใจ
ดังนั้นผมและลูกเรือคนอื่นๆจึงต้องว้าวุ่นกันจนหัวหมุน
ผมกับคุณจูดี้ลูกเรือสัญชาติยุโรปรีบไปรับรถเข็ญเพื่อทำการเสิร์ฟเครื่องดื่ม
ระหว่างที่ลูกเรือหญิงที่ประจำหน้าที่ครัวบนเครื่องบินกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมของว่าง
ผมก็ฉีกยิ้มแล้วฉีกยิ้มอีก พลางถามผู้โดยสารว่าต้องการรับชา กาแฟ หรือว่าน้ำเปล่า
น้ำอัดลม ซ้ำไปซ้ำมาจนเหมือนกับหุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้
กระทั่งผู้โดยสารทุกท่านในโซนที่ตัวเองต้องดูแลได้รับเครื่องดื่มกันครบแล้ว ผมกับคุณจูดี้ก็ช่วยกันออกแรงเข็ญรถดริงก์ที่โคตรจะหนักไปรอรับขนมปังอบและเนยกับแยมที่เจ้าหน้าที่ครัวประจำโซนผมเตรียมไว้ให้
จากนั้นผมก็เริ่มทำเหมือนเดิมคือการคีบขนมปังทีละชิ้นส่งให้กับผู้โดยสารทีละท่านจนครบ
ผมดูแลทางฝั่งขวามือของผู้โดยสารประจำชั้นประหยัด
ส่วนคุณจูดี้ดูแลผู้โดยสารทางฝั่งซ้ายมือของผู้โดยสารในชั้นเดียวกัน จากนั้นพวกเราพากันเคลียร์รถดริงก์อีกครั้ง
เพื่อเตรียมตัวเก็บขยะในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนจะได้นั่งพักอีกหลายชั่วโมง..
“เชี่ย! มึงนี่แม่งเนื้อหอมตลอด”
ทันทีที่ผมยื่นกระดาษทิชชู่สีขาวสะอาดที่มีหมายเลขโทรศัพท์ของผู้โดยสารสาวชาวเกาหลีท่านหนึ่งให้ไอ้ชางมิน
มันก็สบถเบาๆข้างๆหูผมเหมือนทุกครั้งที่ผมยื่นเบอร์โทรของผู้คนเหล่านั้นให้
โดยส่วนใหญ่ผมจะได้มาจากลูกเรือสาวที่เป็นบัดดี้กับผมอีกที
ซึ่งเที่ยวบินนี้คุณจูดี้เป็นคนเอามาให้หลังจากเราเคลียร์รถดริงก์เป็นรอบสุดท้าย
ผมจึงให้ไอ้ชางมินไว้ก่อนที่เราจะต้องมานั่งเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
“คนไหนวะมึง ?” ไอ้ชางมินมันพูดแบบไม่ออกเสียง
“…” ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่ใช้การส่ายหัวแทนคำตอบ
“คนโน้นค่ะ” แต่คนที่ตอบกลับเป็นคุณจูดี้
จากนั้นเธอก็ชี้ชวนให้ไอ้ชางมินหันไปมองยังที่นั่งทางซ้ายมือ ใกล้กับโซนริมหน้าต่าง
โดยเธอนั่งอยู่ในแถวที่สี่สิบสามตามคำบอกเล่าของคุณจูดี้
ผมที่เผลอมองตามไปด้วยจึงสบสายตากับเธอเข้าให้ จึงเปิดโอกาสให้เธอได้ยกยิ้มเป็นการทักทายอย่างเป็นทางการ
ผมจึงต้องทำเป็นจ้องมองไปยังทิศทางไกลๆแบบไม่มีจุดหมายเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยิ้มตอบเธอกลับไป
ผมมักจะใช้วิธีนี้เสมอ เมื่อผมตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
จนบางทีผมก็ติดนิสัยชอบมองอะไรที่มันอยู่ไกลตัวในตอนที่มีผู้คนมากมายล้อมรอบอยู่รอบตัว..
ด้วยระยะเวลาอันนานพอสมควร ผมเลยต้องนั่งยืดขาออกไปข้างหน้า
จึงทำให้ปลายรองเท้าหนังของผมกับไอ้ชางมินแตะชนกันเบาๆ
เนื่องจากเราทั้งคู่ต่างก็ขายาวกว่าใครเพื่อน
จากนั้นความคิดของผมก็เริ่มดำดิ่งไปหาฮาบี ขณะเดียวกัน
ผมก็รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามีใครบางคนกำลังแอบมองผมอยู่
แต่ความสนใจของผมกลับถูกดึงดูดด้วยความคิดที่ว่า
ตอนนี้ฮาบีจะกำลังเรียนภาษาอาราบิกอยู่หรือเปล่า
หรือว่าฮาบีจะกำลังท่องเที่ยวไปรอบๆรัฐดูไบกับมูนีร์กันแน่
จากนั้นผมก็เริ่มขมวดคิ้ว เพราะผมลืมคิดไปว่า
ตอนนี้มูนีร์กำลังตกเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย เธอคงไม่อยากออกไปไหนมาไหนหรอก
คาดว่าภายในช่วงนี้ฮาบีคงต้องขลุกตัวอยู่แต่ในแกลอรี่ของมูนีร์หรือเปล่า
เพราะเธอชอบไปนั่งวาดรูปที่นั่น หรือถ้าหากเธอมีงานที่บริษัทเครื่องหอม
เธอก็จะขนกลับมาทำที่แกลอรี่อยู่ดี
สงสัยผมคงต้องพาฮาบีไปทัวร์ดูไบด้วยตัวเองสินะ
ผมจะเริ่มคิดแพลนตอนนี้เลยดีไหม หรือว่ากลับไปค่อยคิดดีล่ะ แต่ว่าผมได้หยุดพักแค่วันเดียวเองนะแล้วก็ต้องทำไฟล์ทต่อ
โดยที่อีกสามวันข้างหน้าผมก็หยุดพักเป็นช่วงสั้นๆเหมือนเดิม แล้วแบบนี้ผมจะคิดโปรแกรมยังไงดี
หรือว่าจะรบกวนพี่อาราดีล่ะ แต่ถ้ารบกวนพี่สาว
พื้นที่ส่วนตัวของผมก็จะถูกเปิดเผยน่ะสิ ถ้างั้นผมรบกวนคุณป้าแม่บ้านท่าทางจะดีกว่าเยอะ
เมื่อคิดข้อสรุปในใจได้ ผมก็ยกยิ้มบางๆกับตัวเอง พร้อมกับตั้งใจไว้ว่าหากถึงเวลาพักรอขึ้นเครื่อง
ผมจะอาศัยไวไฟในการส่งข้อความไปบอกกับคุณป้าแม่บ้านให้พาฮาบีไปทัวร์ดูไบ
ไม่นานเครื่องบินลำใหญ่ก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
ผมปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวก่อนที่เครื่องจะลงแลนด์ดิ้ง เพียงครู่
จากนั้นก็เดินไปเปิดที่เก็บสัมภาระให้กับผู้โดยสารในโซนที่รับผิดชอบและเดินหลบมายืนประจำที่ตรงมุมด้านใน
เพื่อยืนส่งผู้โดยสารทุกท่านเหมือนที่ทำเป็นประจำ
ซึ่งก่อนจากกัน สาวชาวเกาหลีท่านนั้น ก็ยังไม่วายจะส่งยิ้มให้ผมบางๆเป็นการกล่าวคำอำลาอีกด้วย
ส่งผลให้ผมที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ต้องส่งยิ้มตอบกลับไปเป็นมารยาทแทน
“เดี๋ยวกูจะฟ้องซองมิน”
ทันทีที่ผู้โดยสารทยอยเดินเข้าสู่งวงช้างกันหมดแล้ว ไอ้ชางมินมันก็เดินมาชี้หน้าผมพลางทำขึงขังอย่างเอาเรื่อง
“มึงจะไปฟ้องเขาทำเชี่ยอะไรล่ะ” ผมย้อนถาม
“มึงยิ้มให้เธอเมื่อกี้ กูเห็น!”
ไอ้ชางมินมันทำเป็นฉีกยิ้มแล้วก็ถลึงตาใส่ผม
“ก็เขาเดินมายิ้มตรงหน้ากูนี่
แล้วมึงจะให้กูทำเป็นมองไม่เห็นได้ยังไงวะ ขืนทำแบบนั้นโดนคอมเพลนแน่ๆ”
ผมปัดมือไอ้ชางมินลง
“…” พอได้ทราบเหตุผล
ไอ้ชางมินมันก็แยกเขี้ยวใส่จากนั้นก็เดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
ผมจึงได้โอกาสทำงานในส่วนของตัวเองให้เรียบร้อย
ก่อนจะต้องไปรายงานตัวกับทางด่านตรวจคนเข้าเมืองและเตรียมตัวสำหรับไฟล์ทต่อไปในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าโดยคราวนี้พวกเราจะต้องค้างคืนที่บาห์เรน
จากนั้นวันรุ่งขึ้นผมจะต้องบินไปที่คูเวต และค้างคืนที่ซาอุดิอาระเบีย
ส่วนวันถัดมาเราจะบินตรงจากซาอุไปยังสหรัฐเอมิเรตส์และพักค้างคืนที่ดูไบบ้านใครบ้านมัน
ชีวิตลูกเรืออย่างผมมันก็วนเวียนอยู่แค่นี้ ผมจึงนับวันรอที่จะได้กลับบ้าน
ดีหน่อยที่มีไอ้ชางมินมาร่วมไฟล์ทด้วย ผมเลยไม่ค่อยจะเหงาเท่าไหร่
เพราะตกดึกทีไรมันชอบชวนผมไปเดินทัวร์เป็นประจำ
เช้ามาพวกเราก็มักจะเหนื่อยล้าเป็นพิเศษเนื่องจากไม่ยอมใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่
ตลอดสามวันมานี้ ผมไม่ได้ติดต่อไปหาฮาบีเลย
เพราะเราจากกันเพียงแค่ระยะสั้นๆ
ผมเลยไม่ได้เปิดโรมมิ่งหรือเช่าเครื่องใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าผมจะต้องบินข้ามน่านฟ้าไปหลายประเทศ
ไม่ได้แวะพักสองวันขึ้นไปเหมือนกับรูทบินอื่น แต่พอบริเวณไหนผมเจอสัญญาณไวไฟ
ผมก็จะทิ้งข้อความไว้ให้ฮาบีได้คลายความคิดถึงเสมอ และมันก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงสิ้นเดือนนี้
ปกติผมจะดีใจเสมอเมื่อใกล้จะถึงวันสิ้นเดือน
เพราะเงินเดือนจะออกมาให้ได้ชื่นอกชื่นใจตามประสาลูกจ้าง แต่กับวันใกล้สิ้นเดือนในเดือนนี้
ผมไม่นึกดีใจเอาเสียเลย เมื่อมูนีร์ส่งข้อความมาหาผมว่าคุณพ่อท่านพบความลับของผมแล้ว
แต่เธอบอกผมว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฮาบีหรอก เพราะตอนที่ท่านไปที่นั่น
ฮาบีเขาออกไปเดินเที่ยวแถวๆซุกเก่าเพียงลำพัง
จากคำบอกเล่านั้น
แทนที่ผมจะดีใจที่ฮาบีเขาสามารถไปไหนมาไหนได้เองบ้างแล้ว ผมกลับไม่ดีใจเลย
เพราะยังไงผมก็ยังกังวลอยู่ดี เพราะตอนนี้คุณพ่อได้หาที่พักใจของผมจนเจอแล้ว..
มูนีร์บอกผมว่าที่คุณพ่อท่านทราบก็เพราะเธอไม่ระวังตัวให้ดี
รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้ตัวเธอได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ดังนั้นทุกเรื่องของเธอจึงอยู่ในสายตาของผู้คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคุณพ่อของผม
ท่านคงอยากได้รับคำอธิบายหรืออะไรสักอย่าง ท่านจึงไปดักรอมูนีร์ที่ฐานทัพลับของเธอที่เพิ่งจะถูกค้นเจอโดยนักข่าว
และท่านก็บังเอิญไปพบกับคุณป้าแม่บ้านที่ผมจ้างไว้
ซึ่งเธอเป็นญาติกับแม่บ้านชาวอาหรับที่ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่
ผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปรู้จักกันได้ยังไง
แต่มันก็มีความเป็นไปได้ว่าคุณป้าแม่บ้านของผมคงจะเคยไปพบแม่บ้านชาวอาหรับที่ออฟฟิศ
คุณพ่อก็คงจะคุ้นหน้าคุ้นตาล่ะมั้งถึงได้เข้าไปพูดคุยด้วย
เท่าที่จับใจความได้จากมูนีร์ที่โทรมาเล่ารายละเอียด
เธอบอกว่าคุณพ่อท่านตั้งใจจะมาซื้อตัวคุณป้าไปเป็นแม่บ้านที่บ้านของผม เพราะคุณป้าจินฮาท่านได้ลาออกแล้ว
เนื่องจากท่านอยากกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาหลีแทน แต่พอคุยกันไปคุยมา โดยคุณพ่อได้ถามไถ่ถึงค่าจ้างที่เจ้านายของคุณป้ามอบให้ซึ่งก็คือผม
เพราะท่านจะได้เสนอจำนวนเงินให้มากกว่านั้น แต่คุณป้าเธอตอบปฏิเสธเพราะเธอเกรงใจผม
ซึ่งในตอนที่เธอเกรงใจ เธอก็เผลอหลุดปากพูดชื่อของผมด้วย
คุณพ่อท่านก็เลยทราบและถามไถ่จนรู้ว่าคยูฮยอนเจ้านายของคุณป้าคือลูกชายของตัวเอง ด้วยเหตุนี้มูนีร์จึงขอโทษผมอยู่พักใหญ่
เพราะเธอเป็นแรงจูงใจให้คุณพ่อเดินทางมาที่นี่
แต่คนมันจะซวย อะไรก็ช่วยไม่ได้หรอก
ผมไม่โทษใครทั้งนั้นแหละ
วันสิ้นเดือนแบบนี้ เป็นวันที่ผมจะกลับมาหาฮาบีพร้อมกับเงินเดือนที่จะสามารถเลี้ยงมื้อค่ำดีๆให้เขาทานสักมื้อ
ผมกะว่าจะพาเขาไปทานดินเนอร์ที่โรงแรมริมน้ำในเขตเมืองเก่าใกล้ๆบ้านของเรา พร้อมกับเลือกที่จะลืมเรื่องราวน่าปวดหัวต่างๆไป
เราสองคนจะได้มีความสุขกับการเดทตามประสาคู่รักได้อย่างเต็มที่ แต่ใครจะคิดว่ากลับมาคราวนี้คุณพ่อจะจับได้ว่าผมกับฮาบีเรากำลังคบหากันอยู่
ที่ท่านทราบเพราะว่าท่านมาหาผมที่บ้าน พลางถามไปถึงฮาบีว่าเขาคือใคร
จริงๆท่านก็แค่ถามเฉยๆนั่นล่ะ แต่ผมกลับแบไต๋เสียเอง
ในเมื่อผมให้คำตอบไม่ได้ว่าฮาบีเป็นใคร
ท่านจึงเริ่มเดินสำรวจบ้านและเห็นข้าวของๆเราวางปะปนกัน
อีกทั้งเสื้อผ้าก็ยังเอาไว้ในตู้เดียวกัน
ท่านจึงทราบความสัมพันธ์ระหว่างผมกับฮาบีได้ไม่ยาก
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมดจนผมตั้งตัวไม่ทัน
สุดท้ายผมกับคุณพ่อก็จบลงด้วยการทะเลาะกันใหญ่โต โดยที่ไม่มีใครคิดจะห้าม เพราะหนึ่งเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้
เขาไม่กล้าสู้หน้าพ่อของผมเลย
เขาเอาแต่ยืนเม้มปากนิ่งเมื่อพ่อพยายามจะสั่งให้ผมเลิกกับเขา
และเอาแต่ย้ำถามว่าผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
สายตาของท่านที่มองมา
มันทำให้ใจของผมเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
ผมทราบอยู่แล้วว่าเรื่องของผมกับฮาบีมันยากที่คนรุ่นเก่าจะยอมรับ
แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรุนแรงราวกับระเบิดลูกใหญ่ขนาดนี้
อาจเพราะคุณพ่อคุ้นชินกับแนวคิดเดิมๆและซึมซับวิถีปฏิบัติของครอบครัวพี่เขยมาด้วย
คุณพ่อจึงไม่ยอมรับเรื่องระหว่างผมกับฮาบี
อีกทั้งคุณแม่บุญธรรมชาวอาหรับก็ยังสนับสนุนเรื่องการจับคลุมถุงชนด้วย
ท่านจึงไม่สนใจเรื่องความรักของเรา ผมจึงหลุดปากต่อว่าท่านไปว่า ‘แล้วทีพ่อกับแม่ล่ะ
ไม่เห็นจะมีใครมาบังคับเรื่องแต่งงานเลย พ่อกับแม่ก็เหมือนพวกเราที่บังเอิญไปพบกัน
แล้วจากนั้นก็รักกันถึงได้แต่งงานมีครอบครัวที่อบอุ่น แม้ว่าตอนนี้แม่จะจากไปแล้ว แต่พ่อก็ยังรักแม่อยู่
ทำไมพ่อถึงทำตามใจตัวเองได้ แต่ผมกลับทำไม่ได้? ขนาดพ่อยกแม่บุญธรรมมาแทนที่แม่
ผมยังยอมรับได้เลย เพราะมันคือความสุขของพ่อ! แต่กับความสุขของผม
ทำไมพ่อถึงยอมรับไม่ได้?’
คำพูดของผมทำให้ท่านไม่พอใจ
เพราะท่านไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้
ซึ่งผมเข้าใจดีและก็เข้าใจด้วยว่าพ่อไม่เคยเอาใครมาแทนที่แม่ที่อยู่บนสวรรค์
แต่ด้วยอารมณ์ผมจึงหลุดปากพูดออกไป ส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณแม่บุญธรรมคอยยัดเยียดความคิดในเรื่องการคลุมถุงชนให้พ่อ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วคุณแม่บุญธรรมท่านก็ดีกับผมและอารามาก
จะเสียก็แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แม้ว่าท่านจะบอกว่าหวังดี
แต่ผมไม่ได้ต้องการความหวังดีแบบนี้..
เราสองคนพ่อลูกยืนจ้องตากันนานมาก
หลังจากผมระเบิดอารมณ์ใส่ท่านเหมือนเด็กๆ จากนั้นท่านก็เดินจากไปเงียบๆ
เหลือทิ้งความกลัวไว้ให้มันเกาะกินใจผม
และผมก็รู้ดีว่ายังไงท่านก็คงไม่มีวันยอมรับเรื่องของเราได้
เพราะท่านมีความเชื่อในหลักการเดียวกันกับคุณแม่บุญธรรม ว่าความรักในรูปแบบนี้มันคือตราบาป
สิ้นเดือนนี้ แทนที่เราจะนั่งยิ้มให้กันหลังจากการเดทผ่านพ้นไป
เรากลับทำได้แค่ยืนกอดกันเงียบๆ
ท่ามกลางบ้านอันอบอุ่นของเรา..
--------------------------------------------------------------------------------------
ส่วนใหญ่จะหนักไปทางบรรยายนิดนึง แหะๆ ขอบคุณที่ยังติดตามอยู่นะคะ ช่วงนี้อาจจะเขียนได้ช้านิดนึง อยู่ๆก็ตันเป็นพักๆ
[KyuMin Fic] Spe - เพ(ร)าะรัก ✈ 6