วันเสาร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2560


เพ(ร)าะรัก
 
https://s-media-cache-ak0.pinimg.com/736x/bb/90/f2/bb90f2b95c1aedfd3a859cd924e5d137.jpg 
 

Special by Kyuhyun 10


หลังจากที่ผู้โดยสารออนบอร์ดจนครบแล้ว สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือการเตรียม welcome drink ให้กับผู้โดยสารในระดับชั้นธุรกิจที่ตนเองรับผิดชอบ ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้เห็นได้ว่า งานด้านการบริการของลูกเรือในระดับชั้นประหยัดและระดับธุรกิจจะมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะในระดับชั้นประหยัดลูกเรือชายจะต้องดูแลในส่วนแกลลี่ แต่ในระดับชั้นธุรกิจลูกเรือชายจะทำหน้าที่เหมือนกับลูกเรือหญิง เนื่องจากสายการบินของเรามีเชฟฝีมือดีมาปรุงอาหารให้ถึงบนเครื่อง นอกจากนี้สายการบินของเรายังมีเลาจน์ให้บริการอีกด้วย จึงทำให้ลูกเรือในระดับชั้นธุรกิจมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นเลยทำให้ต้องมีการสอบเลื่อนขั้นและฝึกอบรมอย่างเข้มงวด ซึ่งผมได้เลื่อนขั้นตั้งแต่ช่วงที่กลับมาอยู่ดูไบใหม่ๆแล้ว แต่บางครั้งที่ผมต้องทำงานในระดับชั้นประหยัดก็เพราะว่าไฟล์ทบินนั้นเป็นไฟล์ทที่ถูกเรียกตัวไปทำงานอย่างกะทันหัน

สำหรับ welcome drink ผู้โดยสารสามารถออร์เดอร์ได้ตามความต้องการ โดยเราจะมีน้ำส้มคั้น แชมเปญ ชาร้อน คาปูชิโน่ร้อน น้ำมะนาวมินท์ laban หรือจะเรียกว่าไอรานก็ได้ มันเป็นเครื่องดื่มประเภทโยเกิร์ตแบบน้ำที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มประเทศอาหรับ
ซึ่งในส่วนของการเตรียมเครื่องดื่มนี้ ลูกเรือที่ทำหน้าที่ต้อนรับส่วนหน้าจะต้องเป็นผู้จัดเตรียมเองทั้งหมด โชคดีที่ในโซนของผมผู้โดยสารต่างก็เลือกที่จะดื่มแชมเปญจึงไม่วุ่นวายอะไรมากนัก ผิดกับคุณชีน่า ลูกเรือชาวฟิลิปปินส์ลิบลับ รายนั้นน่ะได้รับออร์เดอร์แทบทุกอย่างที่มีให้เลือกเลยทีเดียว

excuse me, Sir” ผมกล่าวพลางวางกระดาษทิชชู่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะวางแก้วแชมเปญตามหลัง ตามด้วยผ้าขนหนูแบบร้อนที่ต้องวางอยู่ใกล้ๆกัน ผมทำแบบนี้จนกระทั่งครบทุกที่นั่งก็เริ่มแจก amenity kit ให้กับผู้โดยสารเพราะการเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยาวนานพอสมควร ซึ่งการบริการทั้งหมดที่ว่ามานี้ ผมจะต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนที่เครื่องบินจะทำการ take off
เมื่อสัญญาณเตือนให้รัดเข็มขัดดังขึ้นผมและคุณชีน่าก็รีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อเอาถาดไปเก็บ จากนั้นก็มานั่งที่เก้าอี้ประจำตัวของลูกเรือตรงบริเวณใกล้ๆกับประตูเปิด-ปิดเครื่องบิน ซึ่งมันก็บังเอิญที่ฮาบีเขาก็มานั่งปักหลักอยู่ตรงเก้าอี้นั่งทางฝั่งตรงกันข้ามเข้าพอดี เพราะเนื่องจากที่นั่งของลูกเรือระดับชั้นธุรกิจจะต้องมานั่งปะปนไปกับลูกเรือในระดับชั้นประหยัด

ด้วยความที่เรามีเชฟมาคอยปรุงอาหารกันสดๆบนเครื่อง จึงทำให้การรับออร์เดอร์เกิดขึ้นแบบไม่มีเวลากะเกณฑ์ที่ตายตัว ผมเลยไม่มีโอกาสนั่งมองหน้าฮาบีได้นานนัก ก็ต้องรีบลุกขึ้นมาทำงานทันทีที่สัญญาณรัดเข็มขัดดับลง เพราะผู้โดยสารต่างพากันกดปุ่มเรียกลูกเรืออย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช้เวลาเสิร์ฟเพียงไม่นานก็เริ่มมีเวลาพัก เพราะผู้โดยสารบางส่วนได้แยกตัวไปรวมกลุ่มกันที่เลาจน์ด้านหน้า ที่เชื่อมต่อกับ cabin ของผู้โดยสารในระดับเฟิร์สคลาส
ซึ่งพอมีเวลาพัก ผมกับคุณชีน่าก็รีบอุ่นข้าวกล่องในส่วนของเราอย่างรวดเร้ว เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเราเลย ประจวบเหมาะกับ Purser ชาวฝรั่งเศสได้พาฮาบีมาฝากท้องที่แกลลี่ของเรา มื้อนี้ก็เลยมีผู้ร่วมรับประทานอาหารมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

“เป็นไงมั่ง” ผมยืนหันหน้าเข้าไมโครเวฟพลางถามฮาบีที่ยืนมองเชฟทาคาโอะกำลังปรุงอาหาร
“ก็ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้เยอะเลยครับ สนุกดี” ฮาบีตอบพลางยกยิ้ม

“เห็นไหม พี่บอกแล้ว ว่าถ้าได้ลองเรียนรู้ ฮาบีต้องชอบอาชีพนี้แน่ๆ” ผมว่าพลางหยิบอาหารกล่องส่งให้ฮาบีเพราะคุณชีน่ายังไปเข้าห้องน้ำอยู่ จากนั้นก็หยิบอาหารอีกกล่องเข้าไปอุ่นเหมือนเดิม
thank you” คุณชีน่าตอบรับพลางยกยิ้มให้ผมก่อนจะรับข้าวกล่องไปยืนแอบกินอีกมุมหนึ่งของห้องพร้อมกับถอดรองเท้าส้นสูงออกและวางปลายเท้าลงบนพื้นเครื่องบิน

“กินลำบากหน่อยนะ” ผมว่าพลางยกยิ้มให้ฮาบี ก่อนจะเปิดข้าวกล่องของตัวเองกินเงียบๆโดยที่สองมือจะต้องประคองกล่องข้าวเอาไว้ เพราะพื้นที่ในการจัดวางไม่ได้มีความสะดวกสบายอะไรเลย ในเมื่อพื้นที่ที่มันควรจะว่างดันถูกจับจองด้วยขวดแชมเปญที่ยังไม่มีเวลาจะปลีกตัวเข้ามาเคลียร์
หลังจากทานเสร็จ ผมเลือกที่จะให้คุณชีน่าไปนอนพักเอาแรงก่อนหนึ่งชั่วโมง จากนั้นผมจะสลับไปพักบ้าง เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ไม่ได้พีคมากสำหรับงานของลูกเรือ ซึ่งระหว่างนี้ผมก็จะสอนงานฮาบีบ้างเล็กๆน้อยๆ เช่นว่า เวลาที่เราจะต้องเอาอาหารไปเสิร์ฟให้กับผู้โดยสาร ขั้นแรกจะต้องทำอย่างไร วางช้อนแต่ละแบบ แก้วแต่ละประเภทตรงไหน ตามด้วยอาหารแต่ละคอร์ส เราจะเสิร์ฟให้กับผู้โดยสารด้วยจานไหนก่อน เพราะเชฟเขาจะรีบปรุงรีบตกแต่งมาวางเรียงๆกันบนรถเข็น เราก็มีหน้าที่คอยนำไปเสิร์ฟ ดังนั้นในส่วนนี้เราจะต้องศึกษาชิ้นงานมาเป็นอย่างดีถึงจะจำได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหล่าลูกเรือการจะทำไฟล์ทต้องมีการบรีฟงานเพื่อความแม่นยำ และจะต้องมีการศึกษานอกรอบด้วยตัวเองในระดับหนึ่ง

“ปรับตัวได้เร็วดีเหมือนกันนี่” ผมพูดกับตัวเองเบาๆเมื่อหันไปเห็นฮาบีกำลังป้อนอาหารน้องผู้หญิงที่ร่างกายมีความบกพร่องที่มือทั้งสองข้างด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แถมยังพูดคุยกับน้องคนนั้นอย่างสนุกสนานจนคุณแม่ของเด็กคนนั้นยกยิ้มจนแก้มแทบปริ พอเห็นอย่างนั้นผมก็เริ่มเบาใจที่ฮาบีเขาปรับตัวได้เร็วกว่าที่คิด จึงทำให้ผมหวนคิดขึ้นมาได้ว่า คนบางคนแม้ว่าไม่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็สามารถทำได้ดีในที่งานที่ตัวเองเลือกได้เพราะ ความตั้งใจ คำเดียว..
“ไม่เป็นไร ผมยังไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่” ระหว่างที่ผมกำลังคุยเล่นอยู่กับเชฟชาวญี่ปุ่น คุณชีน่าก็ยกยิ้มพร้อมกับบอกให้ผมไปพักผ่อน แต่ผมปฏิเสธเพราะตั้งใจจะคอยแอบดูฮาบีเขาทำหน้าที่ลูกเรือฝึกหัดแบบห่างๆอย่างห่วงๆ

“ฮ่าๆ” ด้วยความที่มีลูกเรือกดกริ่งเรียก ผมจึงเดินออกมาเจอฮาบีกับน้องผู้หญิงคนเดิมกำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยความที่น้องคนนั้นหัวเราะเสียงดังไปหน่อย ฮาบีเขาเลยยกนิ้วชี้ขึ้นมาปิดปากพลางส่งเสียง ชู่ววว~’ เพียงเบาๆ น้องผู้หญิงก็รีบยกมือขึ้นปิดปากพลางหันซ้ายมองขวาให้เลิ่กลั่ก จึงทำให้ฮาบีเขาหันไปมองตามบ้าง เราสองคนก็เลยได้สบสายตากันด้วยความบังเอิญอีกครั้ง..
เพราะสายตาของผม มันเอาแต่จับจ้องไปที่ฮาบีเสมอ..
ให้ตายสิ ไม่มีสมาธิเลย

ไฟล์ทบินจากอาบูดาบีไปยังซูริคใช้เวลาถึงหกชั่วโมงเต็มๆ จึงทำให้ลูกเรืออย่างเราๆเริ่มอ่อนล้า แต่ยังดีที่หลังจากนี้เราจะได้พักค้างคืนที่นี่หนึ่งคืน ดังนั้นก่อนจะลงจากเครื่อง พวกเราจะต้องเคลียร์งานของเราให้เรียบร้อย เช่นจัดเก็บอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ พร้อมกับรวบรวมขยะไปไว้ยังพื้นที่สำหรับวางขยะ จากนั้นก็จัดเตรียมข้าวของทุกอย่างให้พร้อมก่อนที่ลูกเรืออีกชุดจะเข้ามารับไม้ต่อ
กระทั่งลูกเรือชุดดังกล่าวมารับช่วง ลูกเรือทั้งหมดพร้อมด้วยนักบินจะต้องเกาะกลุ่มกันเพื่อไปรายงานตัวกับทางตรวจคนเข้าเมืองของซูริค ซึ่งลูกเรืออย่างเราๆไม่ได้มีขั้นตอนในการตรวจคนเข้าเมืองเหมือนกับนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ เพราะในส่วนของลูกเรือจะใช้เพียงแค่เอกสารที่มีชื่อเสียงเรียงนามของลูกเรือทุกคนเท่านั้น โดยเอกสารดังกล่าวกัปตันจะเป็นคนถือไว้
อย่างที่ผมเคยบอก ว่าสายการบินเขาเราดูแลลูกเรือแต่ละท่านเป็นอย่างดี ดังนั้นที่พักก็ย่อมมีระดับพอสมควร ซึ่งในห้องหนึ่งๆสามารถเข้าพักได้เพียงสองคน และมันก็แน่นอนว่าผมจะต้องจับคู่กับฮาบีอย่างไม่มีเงื่อนไข

ติ้ง!
                  
imSMI : Zurich

ทันทีที่ปลายเท้าแตะพื้นดิน ผมก็รีบปิดไฟล์ทโหมดอย่างรวดเร็ว และเมื่อโทรศัพท์ได้เชื่อมต่อไวไฟของสนามบินได้สำเร็จ สัญญาณเตือนจากแอพพลิเคชั่นอันคุ้นเคยก็ดังขึ้น พอกดเข้าไปดูผมถึงรู้ว่าฮาบีเขาอัพไอจีด้วยรูปของวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างเครื่องบินของเมืองซูริคเอาไว้ จำได้ว่าตอนนั้นคุณชีน่าเขาแนะนำให้น้องผู้หญิงคนนั้นลองมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อดูทุ่งหญ้าสวยๆข้างนอก แต่กลับกลายเป็นว่าลูกเรือมือใหม่ของเราดันเร็วกว่าใครเขาเพื่อน เล่นเอาผมหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ผมก็ยังมีสติแอบถ่ายฮาบีไว้ด้วยนะ

GaemGyu : เร็วกว่าผู้โดยสาร ก็ลูกเรือนี่แหละ!

ทันทีที่ผมอัพไอจี ฮาบีเขาก็หันมามองค้อนจนตาคว่ำ ผมเลยยักคิ้วกวนๆส่งไปให้ซะเลย เพราะท่าทางแบบนั้นไม่ได้น่ากลัวสักนิด ติดจะน่าหมั่นเขี้ยวเสียมากกว่า
นี่ถ้าอยู่ด้วยกันตามลำเพียง ผมคงจะฟัดฮาบีสนุกไปแล้ว!

ติ้ง! ติ้ง!ติ้ง! ติ้ง!ติ้ง! ติ้ง!ติ้ง! ติ้ง!ติ้ง! ติ้ง!

“เชี่ยไรวะ” ผมสบถอย่างตกใจ เมื่อต้องสะดุ้งตื่นระหว่างที่กำลังนั่รถรับส่งไปยังที่พักที่สายการบินจองให้

GaemGyu : เร็วกว่าผู้โดยสาร ก็ลูกเรือนี่แหละ!
Chimchang : มีคนอู้งานหนึ่งอัตรา ร้องเรียนได้ที่ไหนบ้างครับ?
A.Imran : จัดไปที่แอคนี้เลยครับ @imSMI @ahraCho
Tawan : แจก warning เลยก็ดีนะครับ จะได้ไม่มีใครเอาเป็นแบบอย่าง
Mino : โห โหดว่ะ เพื่อนแค่เผลอส่องเด็กระหว่างทำงาน 0.0000001 วินาทีเอง ให้อภัยมันเถอะ
Chimchang : แดกยามาผิดเหรอ ทำไมมึงแลเข้าอกเข้าใจเพื่อนคนนี้ดีจัง?
Mino : ก็เรามันคนรักเพื่อนไง ก็ต้องออกตัวแทนเพื่อนเป็นธรรมดา
A.Imran : กระแดะ
Chimchang : โห พีค ไอ้อิมรานมึงรู้จักคำว่ากระแดะด้วย รัวมือสิครับ กระแดะ! กระแดะ!
Mino : เกลียด!
GaemGyu : เออ! กูก็เกลียดสังคมร้ายๆอย่างพวกมึง! @Chimchang @A.Imran @Mino @Tawan

ผมจัดการเมนชั่นด่าพวกมันอย่างเกรี้ยวกราด กะเปิดสงครามแห่งโลกออนไลน์เต็มที่ ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะหลังจากนั้นสังคมร้ายๆมันก็เริ่มออกอาละวาด
ติ้ง!

Chimchang : เกลียดเกลิดอะไร เราออกจะรักกัน..

ไอ้ชางมินมันอัพไอจีด้วยรูปภาพที่พวกเราทั้งหมดกอดคอกัน แต่ยืนหันหลังให้กล้องทั้งๆที่ยังสวมชุดยูนิฟอร์มของสายการบินจนเต็มยศ ซึ่งไอ้เพื่อนเวรนี่มันก็จัดการแท็กชื่อพวกเราลงบนรูปจนครบทุกคน เหมือนกลัวไม่รู้ว่าไอ้พวกที่รักกันเนี่ยมันคือใครบ้าง
               
ติ้ง!

Mino : @Chimchang คือมึงหมายถึงพวกเรารักกัน ปานจะแหกตูดดมงี้อ่อ?

“จังไรกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ไอ้สัสเอ้ย” ผมบ่นเมื่อไอ้มินโฮมันโพสรูปของพวกเรายืนหันหลังในสถานที่เดียวกันกับภาพของไอ้ชางมิน แตกต่างกันก็ตรงที่รูปของไอ้มินโฮ บุคคลในภาพแม่งดันจับก้นกันและกันราวกับจับมือนี่ดิวะ
สาดดด ดีนะแม่งล็อคไอจี ไม่งั้นความจังไรได้เปิดเผยสู่โลกกว้างแน่ๆ

Mino : @Chimchang คือมึงหมายถึงพวกเรารักกัน ปานจะแหกตูดดมงี้อ่อ?
A.Imran : เชี่ยยยยยยยย!
Chimchang : สัสเด้ย! ลบบบบบบบบบบ!
                                        กูสติหลุดจนพิมพ์วิบัติหมดแล้วเนี่ย เชี่ยยยยยย
GaemGyu : ไอ้เชี่ย! ลบ! อย่าให้กูต้องเกรี้ยวกราด
Tawan : ไม่น่าเลย กูไม่น่ามาสนิทกับพวกมึงเลย สังคมร้ายๆที่แท้ทรู ไอ้เชี่ย!
A.Imran : ประณามมัน!!!!!!!!!!!
Chimchang : แจก warning กลุ่มด้วยความเกรี้ยวกราดเลยครับ! ไว้ปรับปรุงตัวค่อยกลับมาคุย!
Tawan : อนุมัติ!
GaemGyu : อนุมัติ!
               
“หึหึหึหึหึหึหึ” ผมเดินหน้าหงิกมาตลอดทาง เพราะเสียงหัวเราะของฮาบีนี่แหละ บอกเลยว่าโคตรเสียหน้า ในเมื่อตลอดมากูเปิดตัวด้วยความอบอุ่นในระดับยี่สิบห้าองศา ซึ่งเป็นระดับอุณหภูมิห้องที่มีความพอเหมาะพอดีและลงตัว แต่ในตอนนี้ภาพลักษณ์ของกูมันป่นปี้หมดแล้วโว้ยยยย
“หัวเราะอีกที จะจับดูดปากตรงนี้เลย!” เกรี้ยวกราดครับ! เราต้องเอาความเกรี้ยวกราดเข้าข่ม เด็กมันจะได้ไม่เหลิง

“ถ้าพี่ไม่เข็ดก็เอาสิครับ” น่านนนนน! ฮาบีก็เป็นสังคมร้ายๆเหรอเนี่ย! ใช่ซี้ ตอนนี้เราจะทำอะไรก็ต้องมีสติ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดเหตุพีค จนคุณพ่อปรี๊ดแตกก็เป็นได้
เออ! ตอนนี้ผมมันก็แค่คนปากดีนี่แหละวะ!

“ไม่ว่าพี่จะเป็นคนทะลึ่งหรือเป็นคนอบอุ่น ผมก็ชอบทั้งนั้นนะ..” ฮาบีเขาพูดหลังจากที่เขาปลดล็อคประตู พลางลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องเพียงเล็กน้อย ทำเอาผมที่กำลังจะก้าวตามเข้าไปต้องหยุดชะงัก

“ชอบทุกอย่างที่เป็นโจวคยูฮยอน รู้ไหมครับ..” ฮาบีเขาดึงแขนผมที่กำลังยืนเหม่อลอยให้เดินลากกระเป๋าเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ประตูให้สนิทก่อนที่เสียงหวานๆจะกระซิบข้างๆใบหูให้ใจสั่นเล่นด้วยประโยคที่คล้ายๆกับการสารภาพรัก!
เขินดิ! อยู่ๆก็ถูกฮาบีรุกเฉยเลย!

“เขินเหรอครับ? อย่าเขินเลยนะ ผมน่ะอยากจูบกับพี่ เพราะเราไม่ได้จูบกันนานแล้ว”

เชี่ยยยยยย!

กูตายยยยย!

ทำยังไงดีวะ!

 ถ้าเกิดกูจูบแล้วมันควบคุมไม่ได้ จะทำยังไงวะ พ่อก็ยังไม่หายโกรธ ครอบครัวก็มีปัญหา แต่อยากจูบก็อยาก

วันนี้มันวันอะไรของไอ้คยูฮยอนมันวะ!

อยากจะร้องไห้! กูจูบไม่จูบดีวะ แล้วทำไมกูต้องมาคิดแล้วคิดอีกด้วยวะ สัส!

 --------------------------------------------------------------------------------------

ไม่ได้อัพนานเลยเนอะ ช่วงนี้ยอมรับว่าตันมากค่ะ ไม่ค่อยมีแรงใจจะเขียนเลยจริงๆ แม้ว่าช่วงนี้จะมีเวลามากก็ตาม แต่ก็เขียนไม่ออกอยู่ดี เป็นมาสักพักนึงแล้ว ฮืออออ สำหรับตอนนี้เน้นที่ความน่าสงสารของคุณสจ๊วตเลยค่าาาา อนาถกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
กร๊ากกก ส่วนเรื่องความรู้ก็ได้นิดหน่อยอ่าเนอะ พยายามหาข้อมูลเท่าที่จะหาได้อย่างยากลำบาก เพราะข้อมูลมันมีน้อยเหลือเกิน ในส่วนนี้เลยทำให้เขียนไม่ค่อยออกด้วยมั้ง ไม่รู้ว่าจะอีกกี่ตอนจบ 555 ยังหาตอนจบที่ลงตัวไม่ได้เลย ร้องไห้
 
แกลลี่ (Galley) ครัวบนเครื่องบิน
Image result for galley plane etihad 
Etihad 787 Galley cabinets
 
laban โยเกิร์ตน้ำ
 
Image result for laban drink 

วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560


เพ(ร)าะรัก
 http://www.covingtontravel.com/wp-content/uploads/2014/11/Etihad-plane1.jpg

Special by Kyuhyun 9

ปกติแล้วตารางการบินหรือที่เหล่าลูกเรือเรียกกันจนติดปากว่า roster จะประกาศล่วงหน้าหนึ่งเดือน แต่ในช่วงปลายเดือนอย่างนี้ ผมดันเลือกรับงานอย่างกะทันหันก็เลยไม่ค่อยได้มีเวลาเตรียมตัวอะไรมากนัก ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะมันก็เป็นงานที่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว
สำหรับไฟล์ทที่ผมได้ในครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นไฟล์ทแบบ turn around หรือเรียกง่ายๆว่าไฟล์ทระยะสั้น จุดหมายปลายทางของไฟล์ทลักษณะนี้ก็จะเป็นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาหรับ โดยเราจะออกจากเบสที่ดูไบไม่เกิน 4 ชั่วโมง แล้วพอบินไปถึงจุดหมาย เราก็จะอยู่ที่สนามบินประมาณชั่วโมงเศษๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องของอาหารและความสะอาดของเครื่อง จากนั้นถึงค่อยรับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาเพื่อบินกลับดูไบ

ส่วน roster ในเดือนหน้าก็จะเป็นรูทบินในประเทศทางแถบยุโรปทั้งหมด ซึ่งไฟล์ทในลักษณะนี้ทางศัพท์ของลูกเรือเขาจะเรียกกันว่า lay over เป็นไฟล์ทประเภทที่จะต้องไปค้างคืน อาจจะหนึ่งคืนหรือสองคืนก็ขึ้นอยู่กับระยะทางในการบิน จากนั้นก็จะกลับมาเบสที่ดูไบ ซึ่งไฟล์ทแบบนี้เหล่าลูกเรือก็จะมีเวลาส่วนตัวไปสักระยะหนึ่ง ใครที่ชอบเที่ยวก็คงจะมีความสุขไม่น้อย ฉะนั้นรูทบินจำพวกนี้ ถ้าหากใครได้รับก็จะไม่ยอมเสียมันไปง่ายๆ
“ไฟล์ทแบบนี้ผมต้องเตรียมตัวยังไงบ้างเหรอครับ?” ด้วยความที่วันนี้ผมมีโอกาสได้กลับมาเบสที่ดูไบในช่วงค่ำเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทำไฟล์ทในเช้าวันถัดไป ผมเลยสามารถกลับมานอนที่คอนโดได้ อีกทั้งพรุ่งนี้ทั้งผมและฮาบีก็จะได้ทำไฟล์ทร่วมกันเป็นครั้งแรก เวลาแบบนี้พวกเราสองคนเลยยังไม่ยอมนอน เพราะต้องนั่งทำความเข้าใจกับข้อมูลต่างๆในการทำไฟล์ท อีกทั้งยังต้องมานั่งทำความเข้าใจกับตารางการบินของลูกเรือมือใหม่ที่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นเป็นครั้งแรก เพราะตารางบินของพนักงานแต่ละคน จะถูกประกาศในระบบซึ่งจะต้องมี username และ password ในการเข้า

“ไฟล์ท Supy ?” ผมเอี้ยวตัวไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของฮาบีที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆกัน
“ครับ เห็นเขาบอกกันว่า ไฟล์ทพวกนี้เราไม่ต้องทำอะไรมาก ส่วนใหญ่เด็กใหม่จะได้ไฟล์ทพวกนี้คนละสองไฟล์ท”

 “อ่าฮะ เราเข้าใจถูกต้องแล้วฮาบี คือไฟล์ทประเภทนี้จริงๆเราเป็นแค่ตัวแถม หรือเรียกง่ายๆว่าตัวสำรองนั่นแหละ แต่อย่าคิดว่ามันไม่มีประโยชน์นะ เพราะที่เขาให้ไฟล์ทแบบนี้มา จริงๆจุดประสงค์คือ เขาต้องการให้เราไปเรียนรู้การทำงานบนไฟล์ท ว่ามันเหมือนหรือแตกต่างจากในห้องเรียนยังไง โดยที่เราไม่ต้องลงมือทำงานจริง แต่ใช้วิธีสังเกตและเรียนรู้ด้วยตัวเองเอา จำได้ว่าเขาจะแจกสมุดบันทึกให้เราหนึ่งเล่มไว้ให้เราจด แล้วก็ทำการทดลองอะไรบางอย่าง เช่น ลองเปิด-ปิดประตูเครื่องบิน โดยเราจะต้องขอให้ลูกเรือรุ่นพี่หรือกัปตันเป็นพี่เลี้ยงให้เรา จากนั้นก็ให้เขาเซ็นชื่อลงในสมุดบันทึก”
“งั้นผมทาบทามพี่คนแรกเลย” ฮาบีเขาว่าพลางยิ้มร่า
“พี่เป็นลูกเรือรุ่นพี่ที่โหดมากนะฮาบี จะขอพี่ให้สอนเป็นคนแรกเนี่ย ไม่ใช่เรื่องที่ให้กันง่ายๆนะ” ผมว่าพลางยักคิ้ว
“หยิ่งชะมัดเลย แฟนใครก็ไม่รู้” ฮาบีเขาบ่นทีเล่นทีจริง

“ไม่ได้หยิ่งเลยครับ แต่ถ้าผมยอมสอนคุณเป็นคนแรก คุณก็จะไม่ยอมไปขอให้คนอื่นสอนแน่ๆ แล้วแบบนี้คุณก็จะไม่ได้ทำความรู้จักกับรุ่นพี่คนอื่นน่ะสิ” ผมว่าพลางเชยปลายคางของอีกฝ่ายและหมุนไปมาด้วยความหมั่นเขี้ยว
“รู้ดีจัง.. ว่าแต่ไฟล์ท Supy ทำไมต้องจัดมาให้ถึงสองไฟล์ทด้วยครับ ?

“เพราะสายการบินของเรามีเครื่องสองแบบคือ Boeing และ Airbus ไงฮาบี ลืมไปแล้วเหรอ? แจ้งเฮชอาร์ดีไหมเนี่ย?
“ก็ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลยนี่ แล้วอีกอย่างผมก็เพิ่งจะเคยเห็น roster เป็นครั้งแรกด้วย จะดูงงๆบ้างก็ไม่ผิดสักหน่อย”

“ฮาบีว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ ไม่กล้าหือเลย”
“ถ้าเชื่อพี่ เจ้าเบดคงกลายร่างเป็นคนแล้ว” ดูคนเราช่างปากคอเราะร้าย ไม่รู้ไปหัดเลียนแบบจากใครมา

“โถ่.. แต่จะว่าไปก็ใจหายเหมือนกันนะ ที่ต้องทิ้งเจ้าเบดไว้ที่นี่ ไม่รู้มันจะอยู่ได้มั้ย เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยหาอาหารกินเองเลย มีแต่พี่ประเคนให้ตลอด ถ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติจะเป็นการทำร้ายมันทางอ้อมมั้ย?” ผมสาธยายอย่างเศร้าสร้อย เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มกลับมาทำไฟล์ท ผมได้เอาเจ้าเบดไปให้ท่านอามินที่อุทยานแห่งชาติด้วยความจำใจ เพราะผมไม่สามารถกระเตงมันไปไหนมาไหนได้อีกแล้ว ในเมื่อชีวิตของผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องร่อนเร่ไปอีกนานแค่ไหน ถ้าจะให้เอาเบดมาทรมานในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่เคย ผมคิดว่าการปล่อยมันกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ซึ่งท่านอามินท่านก็รับปากแล้วว่าถ้าหากเบดมันหากินเองไม่เป็น หรือใช้ชีวิตในธรรมชาติไม่เป็นจริงๆ ท่านจะให้คนของอุทยานคอยดูแลให้ แถมมูนีร์ยังรับปากด้วยว่าจะไปเยี่ยมเบดบ่อยๆ เบดจะได้ไม่เหงา ผมก็เลยเบาใจไปได้นิดหน่อย
“เห้อ.. แต่เราก็ทำดีที่สุดแล้วนี่ครับ” ฮาบีเขาว่าพลางถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อยไม่ต่างกัน เพราะด้วยระยะเวลาที่ฮาบีได้คลุกคลีกับเจ้าเบด มันก็นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากทีเดียว จึงทำให้เกิดความผูกพันมากขึ้นเรื่อยๆ

“ว่าแต่ว่าคุณจะไม่นอนหน่อยเหรอฮาบี มือใหม่อย่างคุณอย่ามาเอาอย่างผมเลย มันไม่โอเคหรอก” ผมพูดอย่างเป็นห่วง และอีกนัยน์หนึ่งก็เพราะไม่อยากให้เขาเอาผมเป็นแบบอย่าง เดี๋ยวมันจะติดเป็นนิสัย ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้จริงๆแล้วมันเป็นเรื่องปกติของลูกเรือเลยก็ว่าได้ ในเมื่อเวลาทำไฟล์ทเราจะต้องไปรายงานตัวที่ออฟฟิศล่วงหน้าเพื่อเตรียมบรีฟงานและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานก่อนที่จะต้องทำไฟล์ทร่วมกัน เช่นว่าพรุ่งนี้ผมมีไฟล์ทบินไปซูริคตอนหกโมงครึ่ง ผมจะต้องมาถึงออฟฟิศราวๆตีสี่ครึ่ง ดังนั้นผมจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อม แต่เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ทั้งผมทั้งฮาบีเราจะต้องบินไฟล์ทเดียวกัน ดังนั้นระยะเวลาในการเตรียมตัวจะต้องเพิ่มขึ้นจากที่จะต้องตื่นล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงก็จะต้องตื่นล่วงหน้าเป็นหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
“ไม่ดีกว่าครับ นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว ผมกลัวตื่นไม่ทัน ว่าแต่พี่เถอะครับไม่ง่วงเหรอ?” ฮาบีเขาส่ายหน้าปฏิเสธพลางถามถึงผมด้วยความเป็นห่วง

“พี่ง่วงจนเลยคำว่าง่วงไปแล้วฮาบี เกิดพี่นอนนะ อาจได้นอนยาวไปจนถึงเย็นพรุ่งนี้เลยน่ะ” ผมว่าพลางกลั้วหัวเราะ เพราะเดาไว้แล้วว่าถ้าหากตัวเองเผลอนอนเอาตอนนี้ ความเหนื่อยสะสมอาจทำให้ผมนอนยาวแบบที่ใครปลุกก็คงไม่ตื่น ผมกะว่าจะไปนอนบนเครื่อง เพราะอย่างนั้นไฟล์ทที่เราบินมันก็ยาวนานพอสมควร แต่ถ้าบนเครื่องยังไม่หลับ ผมก็อาจจะไปนอนเอาแรงที่ซูริคก็ได้ เพราะไฟล์ทนี้เราได้พักค้างคืนหนึ่งคืน แต่อนาคตถ้าหากอยากเที่ยวขึ้นมากะทันหัน ผมก็อาจจะไม่นอนก็ได้ ฟังดูทรมานตัวเองสิ้นดี แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าใครเคยทำอาชีพนี้จะเข้าใจในความคิดและความรู้สึกของผม
 “งั้นเราหาอะไรอ่านเล่นกันดีไหมครับ เอาเรื่องที่พี่ชอบก็ได้” ฮาบีเขาว่าพลางยกยิ้ม จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์อยู่นาน ก่อนจะยื่นเครื่องมือสื่อสารดังกล่าวมาให้ผม

“หืม?
“เล่าให้ผมฟังสิครับว่าชาวอียิปต์โบราณเขาสร้างพีระมิดยังไง ผมขี้เกียจอ่าน” ฮาบีเขายกยิ้มเผล่ จนผมอดไม่ได้ที่จะขยี้ผมนุ่มๆของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ก็ดูสิ วิธีการเอาอกเอาใจของฮาบีมันเคยธรรมดาเสียที่ไหนล่ะ

“การสร้างพีระมิดเนี่ย น้ำถือเป็นปัจจัยหลักในการขนย้ายก้อนหินใหญ่ๆพวกนั้นไปยังจุดหมาย ชาวอียิปต์เขาจะตัดเหลี่ยมและมุมของหิน แล้วก็ขุดคลองเพื่อทำการขนย้ายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆผ่านคลองนี้ทั้งหมด” ผมเล่าโดยไม่ได้อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ฮาบีเขายื่นมาให้ เพราะก่อนหน้านี้ผมเคยได้อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว วินาทีแรกที่ได้อ่านผมอดจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ในเมื่อความลับที่ถูกเก็บงำมาหลายพันปีกำลังจะถูกเปิดเผยนับตั้งแต่นี้ไป
“หินจะถูกผูกติดกับทุ่นลอยน้ำที่ทำจากแพหนังแพะ ชาวอียิปต์โบราณก็เลยสามารถขนย้ายหินก้อนใหญ่ๆได้อย่างง่ายดาย” พอผมเริ่มเล่าไปได้สักพัก ฮาบีเขาก็เริ่มไถลตัวลงเรื่อยๆ จากนั้นศีรษะเล็กๆก็แปะลงมาบนลาดไหล่ของผมอย่างพอดิบพอดี ผมเลยอมยิ้มเล็กๆกับการกระทำนั้นอยู่คนเดียว

“สำหรับการยกหินขึ้นไปชั้นบนของพีระมิดแน่นอนว่าก็ยังต้องใช้น้ำเหมือนเดิม ชาวอียิปต์โบราณเลยสร้างอุโมงค์ขนาดใหญ่แล้วก็สูบน้ำเข้าไปในอุโมงค์เพื่อส่งหินขึ้นไปจนถึงยอดพีระมิด เลยทำให้ในช่วงก่อสร้างพีระมิดจะถูกล้อมรอบด้วยน้ำทั้งด้านนอกและด้านใน” ผมเล่าพลางสไลด์หน้าจอให้ฮาบีเขาดูรูปภาพประกอบไปด้วย ซึ่งรูปภาพพวกนั้นก็มาจากบทความที่ฮาบีเขาเปิดเอาไว้ตั้งแต่แรกนั่นล่ะ
“จบแล้ว.. แต่เวลาเพิ่งจะผ่านไปครึ่งชั่วโมงเองครับ” ฮาบีเขายกศีรษะขึ้นมาดูเวลา

“ถ้าอย่างนั้นเรามาคิดกันดีกว่าว่าระหว่างที่เราทำไฟล์ท เราจะทำยังไงให้คุณพ่อกับคุณแม่รับรู้เรื่องของเราในทางที่ดี เช่นว่าวันนี้เราพบเจอไฟล์ทบินในรูปแบบไหน ไปเที่ยวอะไรมาบ้าง” ผมเสนอพลางส่งโทรศัพท์คืนเจ้าตัว
“เขียนโปสการ์ดดีไหมครับ?” ฮาบีเสนอ

“ก็แลเข้าท่าดีนะ”
“เขียนแบบที่มีทูบีคอนทินิว ครึ่งแรกให้คุณแม่โซเฟีย ครึ่งหลังให้คุณพ่อ ถ้าพวกท่านอยากอ่านฉบับเต็มก็ต้องยอมลดทิฐิมาแลกกันอ่าน”

“แต่ถ้าพ่อไม่อยากอ่าน ทุกอย่างก็จบเห่” ผมว่าอย่างห่อเหี่ยว
“อย่าคิดในแง่ร้ายสิครับ ผมเชื่อว่าคุณแม่โซเฟียจะต้องไปฝ่ายแรกที่ไปง้อคุณพ่อเพื่ออ่านโปสการ์ดของเราแน่ๆ การทำอะไรแบบนี้มันทำให้รู้สึกดีในแง่จิตใจนะครับ” ฮาบีเขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“กับคุณแม่โซเฟียน่ะ พี่เชื่อว่าท่านต้องทำอย่างที่เราพูดแน่ๆ แต่กับคุณพ่อน่ะไม่รู้สิ แต่จะลองดูสักตั้งก็ไม่เสียหายนี่เนอะ” หลังจากที่คุยกันเรื่อยเปื่อย มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง สุดท้ายก็ถึงเวลาต้องอาบน้ำเตรียมตัวซะแล้ว ผมให้ฮาบีเขาไปอาบก่อนเป็นคนแรก จากนั้นผมถึงค่อยอาบทีหลังเพราะผมอาบน้ำเร็วกว่าอีกฝ่ายเยอะ

วันนี้ทั้งผมและฮาบีกำลังสวมชุดยูนิฟอร์มของลูกเรือจากสายการบิน Royal Etihad Airline ซึ่งเสื้อผ้าที่เราสวมใส่จะเป็นสูทสีน้ำตาลเข้มเข้ากันกับกางเกง ส่วนเนคไทจะเป็นลวดลายแนวเฉียงมีสีน้ำตาล แดง ขาวสลับกันไป ประดับเข็มหนีบไทสีทองซึ่งเข้ากันดีกับป้ายชื่อสีทองอร่ามที่ติดอยู่บนหน้าอกข้างซ้าย
เมื่อลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างสุด ผมกับฮาบีก็เดินมาจับจองเคาน์เตอร์เช็คอินน์ เพื่อรายงานตัวและอ่านข้อมูลบรีฟคร่าวๆ โดยผมเริ่มทำเป็นแบบอย่างให้ฮาบีเขาดู จากนั้นผมก็ให้ฮาบีเขาลงมือเช็คอินน์เองบ้าง และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินตรงไปยังห้องกระจกด้านหลังเค้าน์เตอร์ต้อนรับเพื่อรับการบรีฟงานและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ

ห้องบรีฟสำหรับพนักงานเก่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก แต่กับพนักงานใหม่น่ะน่ากลัวอย่าบอกใคร เพราะเด็กใหม่มักจะถูกลองภูมิความรู้ต่างๆอยู่มาก ซึ่งแต่ละเรื่องก็คือเรื่องที่ลูกเรือควรต้องรู้และจดจำให้ได้ในเชิงทฤษฎี หากใครตอบคำถามไม่ได้ก็จะมีโอกาสให้ตอบอีกหนึ่งครั้ง หากยังตอบผิดก็จะต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านและต้องทำรีพอร์ตส่งกันไป ซึ่งโชคดีที่ฮาบีเขาแม่นในข้อมูลเชิงทฤษฎีอยู่มาก ทุกอย่างก็เลยผ่านไปได้อย่างง่ายดาย Purser ก็เลยเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลของไฟล์ทว่ามีอะไรเป็นพิเศษไหม โดยรวมก็จะเกี่ยวกับข้อมูลของผู้โดยสารที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมไปถึงตำแหน่งหน้าที่ของลูกเรือแต่ละคน เส้นทางการบิน เวลาในการบิน จากนั้นก็ถึงคิวของนักบินที่จะต้องเข้ามาทำความรู้จัก ซึ่งนักบินของไฟล์ทเราเป็นชาวสวิสพอดี งานนี้ฮาบีคงจะได้ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวจากเจ้าถิ่นเยอะแยะเลย เพราะว่าไฟล์ทประเภท Supy พนักงานใหม่สามารถเข้าไปนั่งในห้อง cockpit หรือเรียกง่ายๆว่าห้องนักบินก็ได้

“ตื่นเต้นไปหมดเลยครับ” ระหว่างนั่งรถรับ-ส่งมายังสนามบิน ฮาบีเขาก็ถูมือตัวเองไปมาอยู่หลายรอบ
“ใหม่ๆก็แบบนี้แหละ”

“กว่าพี่จะหายตื่นเต้น นานไหมครับ?
“พอถึงไฟล์ทที่สองที่เราได้ลงมือทำจริงๆก็หายแล้วล่ะ” ผมตอบพลางยิ้มบางๆ

เมื่อถึงสนามบินผมก็ช่วยฮาบีและเพื่อนคนอื่นๆเอากระเป๋าเดินทางลงจากรถ ก่อนจะเดินลากกระเป๋าเข้าไปยังด้านในของสนามบิน จากนั้นก็ต้องรีบไปเตรียมเครื่องให้พร้อม ถึงแม้ว่าฝ่าย catering จะโหลดอาหารและอุปกรณ์ต่างๆเอาไว้ให้ก็ตาม แต่ลูกเรือแต่ละคนก็ยังมีหน้าที่ต้องจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับให้บริการ โดยลูกเรือหญิงจะดูแลในส่วนของห้องผู้โดยสาร โดยจะต้องเช็คในเรื่องของสิ่งอำนวยความปลอดภัยต่างๆว่าสภาพพร้อมใช้งานหรือไม่ ห้องน้ำสะอาดเพียงพอหรือยัง ระบบกำจัดของเสียมีปัญหาหรือไม่ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ หูฟัง ชา กาแฟสำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจมีพร้อมหรือยัง  ส่วนลูกเรือชายก็จะดูแลในส่วนของครัว โดยจะต้องเช็คจำนวนอาหารในแต่ละประเภทว่าครบตามจำนวนผู้โดยสารหรือไม่ จากนั้นก็ต้องเตรียมอุ่นอาหารให้ทันเวลาในการเสิร์ฟ ฝ่ายนักบินก็จะทำการตั้งค่าระบบเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบต่างๆของเครื่องบิน แล้วก็ทำการ walk around เพื่อสำรวจรอบๆเครื่องบินตามเส้นทางการเดินที่มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งตลอดเส้นทางนั้นจะมีจุดให้หยุดตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นจุดตรวจสอบท่อรับอากาศ ท่อวัดอุณหภูมิ ช่องวัดความดัน เสาอากาศที่ใช้รับ-ส่งสัญญาณวิทยุ ช่องประตูต่างๆตั้งแต่ช่องประตูที่วิศวกรใช้ในการเข้าไปตรวจสอบเครื่องบิน หรือประตูห้องเก็บสัมภาระ รวมไปถึงการตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์ก็ด้วย ที่ผมรู้ละเอียดอย่างนี้ก็อาศัยการเรียนรู้จากการทำไฟล์ท supy ในสมัยแรกเริ่มนั่นแหละ
และตอนนี้ฮาบีเองก็คงกำลังทำแบบผมเหมือนกัน..

เราสองคนไม่ได้ตัวติดกัน เพราะเราต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำกันคนละส่วน ซึ่งผมก็อดไม่ได้ที่จะเก็บเอาเรื่องเหล่านี้ไปเขียนลงในโปสการ์ดให้คุณพ่อและคุณแม่ฟัง ว่าพวกเราเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่รู้จักการวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ และมันสมควรไหมที่ท่านจะเชื่อใจพวกเรา
ด้วยความที่วันนี้เราเตรียมความพร้อมได้เร็วและเป็นไฟล์ทที่มีเด็กใหม่แกะกล่อง คุณฟาเบียนหรือ Purser ชาวฝรั่งเศส ก็ให้พวกเรามารวมตัวกันด้านล่าง เพื่อถ่ายรูปกับเครื่องบินให้เด็กใหม่ได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก ผมเลยมีโอกาสได้ถ่ายรูปคู่กับฮาบีแบบเนียนๆ เพราะเราสองคนไม่ได้ป่าวประกาศถึงสถานะระหว่างเราแต่อย่างใด ซึ่งรูปคู่ที่ว่าก็ไม่ได้เป็นรูปคู่ซะทีเดียวหรอก มันควรจะเรียกว่ารูปเดี่ยวมากกว่า..
ถ้าหากว่าเราไม่เอารูปดังกล่าวไปตั้งเป็นหน้าจอโทรศัพท์น่ะนะ

ผมใช้รูปของฮาบีที่กำลังนั่งยิ้มแป้นอยู่บน engine ทรงกลมขนาดใหญ่ ส่วนฮาบีก็ใช้รูปของผมที่กำลังยืนกอดอกพิง engine และยกยิ้มให้คนถ่าย ซึ่งก็คือเจ้าของโทรศัพท์ที่ใช้รูปของผมอยู่

ตึ้ง!

imSMI :  Foxtrot India Romeo Sierra Tango - Foxtrot Lima India Golf Hotel Tango

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูระหว่างที่กำลังจะขึ้นบันไดเหล็กเพื่อเข้าไปยังด้านในของตัวเครื่อง จึงเห็นว่าฮาบีเขาอัพอินสตราแกรมหลังจากที่ไม่ได้อัพเสียนาน โดยรูปที่เขาอัพก็คือรูปที่ผมใช้เป็นรูปหน้าจอโทรศัพท์ และเมื่อเห็นแคปชั่นผมก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเมื่อก่อน ตอนที่เรายังจีบกันอยู่ โดยเราจะใช้อัลฟาเบทของสายการบินในการสื่อสารกัน

ติ้ง!

GaemGyu : First Flight w/ First Lima Oscar Victor Echo

ผมอัพรูปตัวเองลงในอินสตาแกรมบ้าง แต่แคปชั่นของผมย่อมไม่ธรรมดา เพราะผมได้ตั้งค่าไพรเวทของไอจีตัวเองไปแล้ว ฉะนั้นการลงเรื่องราวส่วนตัวจึงไม่เป็นปัญหาอะไรนัก หรือถ้าหากจะมีปัญหาผมก็คิดว่ามันก็คงจะไม่ใช่เรื่องไหมล่ะ ในเมื่อผมทำแบบนี้เพราะผมไม่ได้ต้องการจะปิดบังความรักของตัวเอง และอีกนัยน์หนึ่ง มันก็คือการให้เกียรติคนรักของผมด้วย ผมจึงทำแบบนี้มาตลอด

ติ้ง!
A.Imran : ขุ่นพระ!
Chimchang : OMG!
Mino : แมนเชี่ยๆ เลยครับเพื่อน
A.Imran : พวกเก่งแต่ปากก็งี้แหละมึง
Chimchang : นั่นสิวะ
Mino : ทีตอนอยู่ซุกมาดินาท แม่งทำเป็นหน้าบาง ด่าพวกกู ไอ้สัสงั้นงี้
A.Imran : นั่นสิวะ
Chimchang : @imSMI มาดูคนแมนเขาบอกรักดิ ว๊ายตรัยแล้ว เขินจนทำไฟล์ทไม่ถูกแน่เลย
GaemGyu : @Chimchang @ A.Imran @Mino วิบัติมากไอ้สัส กูหมายถึงความคิดพวกมึงอ่ะ
A.Imran : @imSMI มีคนเขิน 1 อัตรา
Mino : @imSMI หรือจริงๆมีคนเขิน 2 อัตรา ได้แก่ อีซองมินกับโจคยูฮยอน อิ_อิ
Tawan : @Chimchang @ A.Imran @Mino  มีความวุ่นวายสุดอะไรสุด จะล้อเพื่อนจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ 5555

เออ.. นั่นสิวะ พวกมึงจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะความบ้าบอของพวกมึงนี่แหละที่ทำให้กูยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ อย่างน้อยในสถานการณ์ที่ไม่ลงตัว มันก็ยังมีความลงตัวของกลุ่มเพื่อนอยู่แหละวะ
ผมยิ้มให้กับฮาบีที่หันกลับมามองผมที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ก่อนจะทำการปิดโทรศัพท์และแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองต่อไป โดยผมจะคอยต้อนรับผู้โดยสารตรงส่วนของ business class ส่วนฮาบีจะต้องไปเรียนรู้ที่ห้องนักบินในช่วง take off
               
ผมและลูกเรืออีกท่านหนึ่งที่ยืนต้อนรับผู้โดยสารตรงปากประตูด้วยกัน กำลังทำการนับจำนวนของผู้โดยสารพร้อมกับคอยบอกที่นั่งให้กับผู้โดยสารตามหน้าที่ โดยนัยหนึ่งก็เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยว่าข้อมูลไฟล์ท เวลา และเลขที่นั่งตรงกับความเป็นจริงของเครื่องบินลำนี้หรือไม่ กระทั่งผู้โดยสารในชั้น business class ขึ้นเครื่องจนครบผมก็แยกไปทำหน้าที่บริการอื่นๆต่อไป เลยเดินสวนทางกับฮาบีที่กำลังจะไปเรียนรู้การปิดประตูเครื่องบินจากคำแนะนำของกัปตัน เราเลยหยุดยิ้มให้กันนิดหน่อย ก่อนจะแยกย้ายกันอีกครั้ง
ซึ่งการกระทำของเราที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ มันไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลยสักนิด..
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ผมถึงชอบช่วงเวลานี้ของเราไปได้

 --------------------------------------------------------------------------------------

มาดึกไปหน่อย พอดีหัวแล่นดีค่ะเวลาดึกๆแบบนี้ ฮ่าๆ สำหรับตอนนี้จะเน้นไปที่การทำงานของลูกเรือเป็นส่วนใหญ่นะคะ อาจจะมีความเพื่อนเข้ามาแทรกเป็นสีสันนิดหน่อย เราพยายามจะไม่ให้ทั้งสองคนเปลี่ยนความเป็นตัวเองเพื่อให้ถูกยอมรับ แต่อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ยอมรับในความเป็นทั้งสองคนให้ได้มากกว่า สำหรับ engine ตรงที่คุณลูกเรือทั้งสองเขาถ่ายด้วยกัน รูปร่างหน้าตาตามรูปด้านบนเลยค่ะ ปล้องใหญ่ๆข้างหน้า แต่เล็กๆข้างหลังน่ะ 555
Image result for engine plane