วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 35

Mistake




Mistake 35

                เรื่องมันมีอยู่ว่า กูบังเอิญได้ยินไอ้ซองจินมันบ่นลูกศิษย์ของมันสักคนว่าสอนยากสอนเย็นชิบหายวายวอดเหมือนกับไอ้มิสเทค กูซึ่งเป็นบุคคลผู้มีความสามารถหาใครจะเทียบได้ เลยออกปากขอให้ไอ้ซองจินมันสอนยิงปืนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ เพื่อที่กูจะเอาไว้ท้าประลองกับไอ้มิสเทค ที่มันยังคงไม่รู้ตัวว่ากำลังจะตกเป็นเหยื่อของกู หึหึ
                ในเมื่อกูกับมันต่างคนต่างก็ยึดติดในกันและกัน แล้วมันเรื่องอะไรที่กูจะต้องไปบังคับใจมันแล้วก็ใจกูด้วยวะ สู้กูมานั่งกล่อมให้ไอ้มิสเทคมันยื่นเรื่องลาออกจากที่นี่แล้วไปหางานใหม่ทำไม่ดีกว่าเหรอ ?   
                งานนี้กูยอมโดนพี่อาราตราหน้าว่าเป็นไอ้น้องทรยศเลยนะโว้ย
           
                “แข่งกันป่ะ ?” ผมเดินเข้ามาเตะขาไอ้มิสเทคที่กำลังนั่งกอดอกใส่หูฟังเข้าโหมดส่วนตัวให้หันมาสนใจผม พอมันถอดหูฟังออกแล้ว ผมถึงเข้าเรื่องเชิญชวนหลอกล่อมันให้ตกหลุมพราง
                “หึ .. ขี้เกียจ” ไอ้มิสเทคมันส่ายหัว

                “อ่อนว่ะ .. มึงกลัวแพ้กูล่ะสิ ..
                “มึงอ่านปากกูดีๆ กูบอกว่ากูขี้เกียจ .. กูไม่ได้บอกว่ากูกลัวจะแพ้มึง .. หูมึงมีปัญหาเหรอ ?” ไอ้มิสเทคมันชี้ที่ปากตัวเอง พร้อมกับออกเสียงช้าๆชัดๆ ท่ามกลางเสียงปืนที่มันดังโป้งป้างไม่ขาดสาย

                “พนันกัน .. เร็วๆ กูอยากแข่ง เครื่องกำลังร้อน ..” ผมยังไม่ยอมแพ้ที่จะเอาไอ้มิสเทคมาเป็นคู่แข่งของตัวเอง
                “มึงก็ไปแข่งกับซองจินดิ” ไอ้มิสเทค ไอ้ห่า มึงนี่แม่ง! ใช้อะไรคิดวะถึงจะให้กูไปแข่งกับน้องมึงเนี่ย ..

                “กูไม่โง่พอจะแข่งกับครูตัวเองป่ะวะ ? อีกอย่างแข่งกับไอ้ซองจินกูแม่งรู้ผลตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งแล้วป่ะ ? มึงนั่นแหละ มาแข่งกับกูเลย ได้ข่าวว่าไอ้ซองจินมันเคยสอนมึงยิงปืนไม่ใช่หรือไง ? อย่ามาอิดออด ไอ้สัส .. เร็วๆ” ผมลากแขนไอ้มิสเทคให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วก็พามันไปเช่าปืนกับลูกกระสุน โดยที่ค่าใช้จ่ายทั้งหมด กูรับผิดชอบเอง
                “ถ้ากูชนะ แล้วได้อะไร ?” มิสเทคมันถาม ขณะที่มันกำลังสวมใส่อุปกรณ์จำเป็นสำหรับการยิงปืน

                “ถ้ามึงชนะ กูจะตามใจมึง .. แต่ถ้ากูชนะ มึงต้องตามใจกู ..” ผมตอบโดยที่ผมยังไม่ยอมเผยไต๋ใดๆออกไป เพราะเดี๋ยวไอ้มิสเทคมันจะไหวตัวทัน
                “หึ .. ก็ได้ ” ไอ้มิสเทคมันแสยะยิ้มรับคำท้าจากผมด้วยท่าทางมั่นใจซะเหลือเกิน ซึ่งกูเองก็มั่นใจในฝีมือของกูเหมือนกันวะ

                ผมกับไอ้มิสเทคตกลงจะแข่งกันหนึ่งยก ซึ่งโดยปกติแล้วการแข่งขันยิงปืนจะแบ่งเป็น 3 ท่ายิง ก็คือ การนอน การนั่ง การยืน สำหรับผมกับมันเราจะแข่งกันแค่ท่ายืน และยิงกันคนละ 6 นัด ระยะ 15 เมตร
                ส่วนไอ้ซองจินมันเป็นกรรมการ คอยนับคะแนน ..

                ผมเริ่มตั้งสมาธิ ไม่คิดวอกแวกไปไหน จิตใจจดจ่ออยู่แต่กับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ จากนั้นผมก็จัดการท่าทางการยืนของตัวเองให้ตรงตามหลักการยิงปืน โดยขยับปลายเท้าให้แยกห่างออกจากกันเท่าๆกับความกว้างของหัวไหล่ พร้อมกับปล่อยให้น้ำหนักปืนและน้ำหนักตัวตกลงที่ขาทั้งสองข้าง ขณะที่แขนที่จะใช้ยิงเหยียดออกตรงจนเต็มที่ พร้อมทั้งมือและข้อศอกที่ผมจะต้องพยายามบังคับให้มันนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมเงยหัวขึ้นเล็กน้อยและมองจ้องไปที่เป้าหมายตรงหน้า จากนั้นผมก็ทำการยิงแห้งเพื่อเตรียมตัวฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น ซึ่งการยิงแห้งมันคือการเหนี่ยวไกออกไปโดยที่ไม่ได้บรรจุลูกกระสุน  
และจากนั้นไม่นาน สัญญาณของการแข่งขันก็เริ่มขึ้น
           
                เสียงปืนของผมกับมันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักการแข่งขันระหว่างเราก็จบลง เหลือเพียงแค่รอผลว่าใครจะเป็นผู้ชนะและใครจะเป็นผู้แพ้ ..
                ผมยืนดูไอ้ซองจินมันพลิกเป้าที่ผมยิงได้เพื่อนับจำนวนรูว่ามีครบ 6 นัดหรือไม่ จากนั้นมันก็เริ่มนับคะแนน ผลปรากฏว่าผมได้ 55 คะแนน เพราะผมยิงเข้ากระสุนวง 8 สองอัน 9 หนึ่งอัน และ 10 สามอัน ส่วนไอ้มิสเทค มันยิงเข้ากระสุนวง 9 สองอัน และวง 10 สี่อัน เท่ากับว่าไอ้มิสเทคมันได้คะแนนทั้งหมด 58 คะแนน
                คือไอ้สัส! คะแนนแม่งเฉียดกูไปนิดเดียวเอง เชี่ยยยยยยยยยยยยย!

                “หึหึ” กวนตีน ไอ้มิสเทคแม่งกวนตีน ชนะแล้วมาหัวเราะทับถมกู ไอ้สัส ไอ้เมียนิสัยไม่ดี
                “กลับก่อนนะซองจิน ขับรถดีๆล่ะ ..” ไอ้มิสเทคมันโบกมือลาน้องมัน แล้วก็ลากข้อมือกูตัวปลิว แต่คือมึงครับ กูยังไม่ได้ถอดอุปกรณ์ยิงปืนคืนเขาป่ะวะ เดี๋ยวกูก็โดนยิงไส้ไหลกันพอดี

                “ให้กูคืนของเขาก่อนดิ มึงนี่วะ จะอารมณ์ดีเชี่ยไรนักหนา ..” ผมทำหน้าบึ้ง เพราะรู้สึกเสียหน้าและเสียฟอร์มอยู่ไม่น้อย
                “อย่าลืมสัญญา ..” ผมแอบเบะปากใส่มันด้วยความหมั่นไส้ แต่สุดท้ายผมก็ต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะรอยยิ้มของมันที่ยิ้มอย่างสดใสจนผมต้องเผลอยิ้มตามไปด้วย ..

                ผมพามิสเทคมันมานั่งที่เล่นสนามเด็กเล่นที่ประจำของผม เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุด จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรีบกลับบ้านเข้านอน และอีกอย่างผมตั้งใจจะหาที่สงบๆเพื่อคุยต่อรองกับมันด้วย ..
                “กูแพ้ เพราะฉะนั้นกูต้องตามใจมึงใช่ป่ะ ?” ผมถามขณะที่ผมกำลังยืนเอาหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ส่วนไอ้มิสเทคมันกำลังนั่งไกวชิงช้าเล่น ..

                “อืม .. แต่ตอนนี้กูยังคิดไม่ออก เอาไว้ก่อนแล้วกัน ..” มิสเทคมันตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่กูใส่ใจไง ไม่งั้นกูจะแข่งกับมันทำเพื่อวะ
                “กูไม่ได้จะให้มึงคิด .. เพราะมึงมีสิทธิ์เลือกแค่ว่าจะทำตามข้อไหนที่กูเสนอเท่านั้น ..” ผมตอบพลางดึงชิงช้าของมันอยู่นิ่งๆกับที่เพื่อตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

                “ขี้โกง! .. มึงแม่ง นิสัยว่ะ ..” ไอ้มิสเทคมันลุกขึ้นยืน พลางชกลงมาเบาๆที่อก ผมก็เลยจับมือของมันไว้
                “จริงๆมึงได้รับโอกาสที่ดีจากท่านประธานใช่ไหมมิสเทค ?” พอผมถามออกไป ไอ้มิสเทคมันก็นิ่งเงียบไม่ยอมตอบ

                “มึงไม่ตอบรับความใจดีนั่น เพราะไม่อยากห่างจากกูใช่ไหม ?” ผมยังคงซัดคำถามใส่มันไม่ยั้ง
                ” ส่วนมันก็เอาแต่นิ่งเงียบ ..

                “กูให้มึงเลือกว่ามึงจะไปบอกพี่กูวันพรุ่งนี้ว่ามึงจะยอมรับโอกาสนั้น .. หรือว่ามึงจะยื่นใบลาออกเพื่อหางานใหม่ที่มันก้าวหน้ากว่าตอนนี้ ..” ผมถามพลางมองจ้องไอ้มิสเทคอย่างคาดคั้น จนมันเริ่มหันหลบสายตาผม ..
               

                “ถ้ากูชนะ กูกะว่ากูจะให้มึงไปลาออก แล้วหางานทำใหม่เพราะกูเองก็ไม่อยากจะห่างจากมึง แต่นี่มึงชนะ มึงจะตัดสินใจยังไงมิสเทค กูไม่ยอมให้มึงลดตำแหน่งตัวเองลงเพราะกูหรอกนะ ...” ผมบังคับให้มันเงยหน้าขึ้นมองผม โดยที่ดวงตาของผมก็จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของมัน
                ….

                “กูไม่เลือกได้ไหม ?” มิสเทคมันถาม ขณะที่ผมเปลี่ยนจากบังคับช่วงหน้าของมันให้มองสบผมมาโอบช่วงเอวของมันเอาไว้
                “ไม่ได้” ผมยืนยันหนักแน่น

               
                “กูไม่อยากเป็นตัวถ่วงของมึง .. มิสเทคมึงชนะแล้ว มึงมีโอกาสเลือก มึงก็เลือกเถอะ ..” ผมบอกเหตุผลที่ผมต้องบังคับมันให้เลือกด้วยสีหน้าจริงจัง ..

                “ถ้ากูยอมรับข้อเสนอของท่านประธาน กูจะต้องย้ายที่ทำงานไปเรื่อย เพราะกูต้องคอยตรวจสาขา คอยอบรมให้กับพนักงานในโซนต่างจังหวัด แล้วก็อาจจะคัดเลือกพนักงานด้วยตัวเองบ้าง เรียกง่ายๆว่ากูต้องดูแลควบคุมการทำงานของสาขาเองทั้งหมด ถึงอนาคตท่านประธานมีแพลนจะรับสมัคร CRM เพิ่ม แต่กูก็ไม่อยากทำ .. กูไม่มั่นใจว่ากูจะทำมันได้ แล้วกูก็เป็นห่วงซองจินกับ ” มิสเทคมันเงียบไป เหมือนกับมันไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าอีกคนที่มันเป็นห่วงคือใคร แต่ด้วยเพราะสีหน้าแดงๆของมันสามารถบ่งบอกได้ว่าอีกคนที่ว่านั่น คือผมเอง ..
                “มึงเก่งจะตายมิสเทค อะไรที่มึงตั้งใจไม่เคยที่มันจะทำไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ ?” ผมลูบข้างแก้มของมันเบาๆอย่างปลอบใจคนขี้กลัว

                “มึงคงลืมไปแล้วว่ามีอย่างนึงที่กูตั้งใจแล้วทำไม่ได้ กูถึงต้องเลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ ..” มิสเทคมันบอกเสียงเรียบ แต่ดวงตาของมันกลับสั่นไหว บ่งบอกได้ดีว่ามันเองก็เสียใจกับผลลัพธ์ที่ได้ เพียงแต่ไม่ยอมแสดงออกมาให้ใครเห็นเท่านั้น ..
                “ตกลงมึงเลือกจะลาออกใช่ไหม ?” พอมันอ้างอย่างนั้น ผมก็ย้ำถามมันอย่างลุ้นระทึก เพราะผมอยากให้มันลาออกมากว่าจะให้มันต้องเดินทางไปโน่นมานี่ เพราะมันก็น่าเป็นห่วงอยู่เหมือนกันนะถ้าต้องเทียวไปเทียวมาแบบนั้น

                “ถ้ากูลาออก แล้วกูจะเอาเงินที่ใช้ กูมีภาระต้องรับผิดชอบนะมึง ..” มิสเทคมันแย้ง
                “กูไง กูรับภาระแทนมึงได้ ..” ผมตอบคำถามที่ผมเตรียมเอาไว้แล้ว เพราะผมรู้ว่ามิสเทคมันจะต้องเถียงผมมาแบบนี้ ..

                “กูไม่อยากรบกวนมึง .. เพราะภาระของกูมันมากเกินไป ..
                “กูถามหน่อย มึงกับกูเป็นคนอื่นเหรอวะ ? ทีเซอึนมึงยังให้เธอช่วยมึงรับภาระได้เลย ..” พอผมเถียงขึ้นมาบ้าง ไอ้มิสเทคมันก็เงียบสนิท ..

                “กูจ่ายส่วนของเซอึนก็ได้ .. กูรู้ว่ามึงคงไม่คิดจะให้เธอจ่ายแล้ว ..
                “แล้วค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าของใช้ ..” มิสเทคมันยังคงหาข้ออ้าง ..

                “ก็ไอ้ซองจินไง ให้มันออก ส่วนค่าบ้านในส่วนของมันเราก็มาหารกันไงมิสเทค ..
                “แล้วคอนโดมึงล่ะ ?” มิสเทคมันเริ่มลากภาระของกูเข้ามาเกี่ยวแล้วเว้ย

                “กูยกเลิกเช่าไอ้ซีวอนไปก่อนก็ได้ .. คนอย่างมึงคงตกงานไม่เกินสามเดือนหรอกมั้งมิสเทค อย่าคิดมากดิ .. นะ .. ถ้ามึงยังทำงานตำแหน่ง Asst. อยู่ กูคงไม่มีวันสบายใจเพราะยังไงกูก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้มึงคิดที่จะไม่ไป .. เอาไง กูตามใจมึงนะ .. กูยอมรับได้ถ้ามึงเลือกจะรับโอกาสของพี่กู หรือถ้ามึงเลือกจะลาออก กูก็จะช่วยมึงหางาน แล้วก็ช่วยมึงรับภาระที่มึงจะจ่ายมันไม่ไหวในช่วงนี้ไปก่อน ..” ผมถาม พลางลูบข้างแก้มของมันไปด้วย ..
                “แต่กูไม่อยากลาออก .. บริษัทนี้ให้อะไรกับกูเยอะ .. กูลำบากใจ ..” แม่ง! ดันเสือกจงรักภักดีกับบริษัทพี่กูอีก เออ กูไม่แปลกใจเลยที่มึงยอมลดตำแหน่งตัวเองลง เพราะเหตุผลของมึงแม่งเพิ่มความภักดีในบริษัทเข้าไปด้วย ..

                “งั้นมึงก็เลือกรับโอกาสพี่กูสิ .. มิสเทคมึงอย่าทำตัวเป็นเด็กดิวะ อนาคตมึง .. ความก้าวหน้าของมึง .. มึงควรจะคิดให้มันเยอะๆดิวะ”
                ….

                “มึงหลับตาแล้วบอกกูมา ว่ามึงเป็นห่วงกูมากแค่ไหนถ้ามึงต้องไป ..” ผมปิดตามัน เพื่อบังคับให้มันหลับตา
               

                “ว่าไง ?
                “ก็มาก ..” มิสเทคมันจับมือของผมที่ปิดตาของมันทั้งสองข้างอีกที พลางตอบคำถามเสียงแผ่ว

                “แล้วมึงห่วงซองจินมากแค่ไหน ?
                “พอๆกับมึง ..” ผมอมยิ้มกับคำตอบของมันเล็กน้อย

                “ถ้ามึงต้องไปทำงานที่นั่น มึงคิดว่ามึงจะมีความสุขไหม ?
                “ไม่รู้

                “ถ้างั้นคำตอบที่มึงเลือกคือการลาออก เพื่อไปสมัครบริษัทใหม่ที่ได้เงินเดือนดีกว่าเดิม และทำในตำแหน่งเดิมที่มึงถนัดและมีความมั่นใจ ถูกต้องไหม ?” ผมเปิดตาของมัน แล้วก็ส่งยิ้มให้มันพร้อมๆกับถามคำถาม
                “อื้อ .. มึง .. อย่าทิ้งกูนะ ..

                “กูไม่ทิ้งมึงให้ลำบากหรอก มึงเชื่อที่กูพูดไหม ?” ผมถามพลางคลอเคลียริมฝีปากตรงข้างแก้มของมันอย่างเพลิดเพลิน
                “อืม .. กูเชื่อมึง ..” มิสเทคมันตอบคำถามของผม พลางหยุดท่าทางซุกซนของผมไว้ด้วยริมฝีปากของมันที่ประกบกับริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา
                เพียงแค่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนตัวผมกับมัน กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศไปซะแล้ว ..

                “ถ้าหากเป็นไปได้ มึงช่วยยืนยันคำตอบว่ามึงเชื่อกูแค่ไหน .. ที่ห้องและบนเตียงของกูจะได้ไหมมิสเทค?

               

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  

 เพี้ยนคนจริงกลับมาแล้ว มาพร้อมโหมดจริงจังแบบที่นานๆทีจะมีให้เห็น คึคึคึ
มิสเทคขี้กลัวเนอะ แต่เหตุผลหนักๆเลยคือเป็นห่วง อิ_อิ แล้วที่ยอมตกอยู่ในสถานะการณ์แบบนี้ก็เพราะ
ภักดีในบริษัท คึคึคึ รอดูกันต่อไปว่าถ้ามิสเทคไปลาออกแล้วจะเป็นยังไง
คนอย่างมิสเทคคิดว่าท่านประธานจะปล่อยไปได้ง่ายๆเหรอ ? มันหายากนะ คึคึคึ 
ปล. นอกจากเพี้ยนจะเป็นคนจริงแล้ว ยังเป็นคนหื่นอีกด้วย แค่เขาจูบก็เครื่องเดินแล้ว อะไรกันเนี่ย

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 34

Mistake





Mistake 34

                มันคือความโชคร้ายของผมที่ลืมขอกุญแจบ้านของไอ้มิสเทคมาปั้มเก็บไว้ พอไอ้ซองจินมันออกไปซ้อมยิงปืนข้างนอก ผมก็เลยเข้าบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีกุญแจและมันก็ไม่ยอมให้ผมเอากุญแจไปปั้ม
                น้องเมียกูแม่งกวนตีนชิบหายเลย
            กูแค้นสัสๆ ถ้าไอ้มิสเทคมันกลับมาเมื่อไหร่ กูจะฟ้องแม่งให้หมด!

            “ผมมาหาอาจารย์อีซองจินครับ ..” ในเมื่อไอ้มิสเทคมันขยายเวลาการตรวจดูงานสาขาออกไป ผมก็จำเป็นจะต้องขับรถจากที่ทำงาน เพื่อมาทวงเอากุญแจบ้านจากไอ้ซองจินที่สนามยิงปืน และก็จำเป็นต้องเรียกแม่งว่าอาจารย์อย่างสุภาพนอบน้อม เพราะแม่งทำงานเป็นครูสอนยิงปืนที่นี่
                “เชิญทางนี้ครับ ..” ฝ่ายจุดตรวจ ทำการค้นตัวผมเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก็ให้พนักงานอีกคนที่ประจำอยู่ ณ จุดเดียวกันเดินไปส่งผมด้านใน

                ปัง!  ปัง!

                เสียงรัวปืนดังสนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง เล่นเอากูสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก บอกเลยว่าโจวคยูฮยอนไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องแดกเหล้าเข้าผับ กูชินซะยิ่งกว่าชิน แถมกูยังสามารถเดินได้อย่างสง่าผ่าเผยไม่อายใคร แต่พอมาที่นี่ กูต้องเดินหดคอด้วยความเกร็งทุกครั้งที่เสียงปืนมันดังโป้งป้างให้สยดสยองใจ
ไอ้สัส .. น่าอายชะมัด รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ..

            ผมต้องนั่งรอให้ไอ้ซองจินมันยิงปืนเข้าเป้าจนสาแก่ใจทุกครั้ง ผมถึงจะได้กุญแจมาครอบครอง ถามว่ากลับไปคอนโดตัวเองไม่ง่ายกว่าเหรอ เออ .. มันก็ง่ายน่ะแหละ
แต่กูอยากอยู่บ้านไอ้มิสเทค มีปัญหาอะไรป่ะ ?
               
                ปัง! ปัง! ปัง!

                ไอ้ซองจินรัวปืนอีกระลอก จากนั้นมันก็ลดปืนลง แล้วก็หันมาเจอผมที่กำลังนั่งรอมันอยู่ข้างหลัง มันก็เลยวางปืนคู่ใจของมันลง แล้วก็ถอดแว่นที่ใช้สำหรับยิงปืนออก จากนั้นมันก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆผมที่มีโต๊ะวางกั้นเอาไว้ระหว่างกลาง ..
                “สนใจยิงปืนป่ะพี่ ?” ไอ้ซองจินมันกระดกน้ำขึ้นดื่ม พลางถามผมอย่างชักชวน
                “ไม่อ่ะ ” ผมส่ายหัวพรืด บ่งบอกความไม่พร้อมสุดขีด ..

                “อ่อนว่ะ แค่นี้ทำกลัว ..” ไอ้ซองจินมันเบะปากใส่ผม แล้วก็วาดขานั่งไขว่ห้าง
                “กวนตีน มึงจะกลับยัง ถ้ายังก็เอากุญแจบ้านมา ..” ผมออกปากด่าพลางแบมือขอกุญแจบ้านจากน้องเมียผู้กวนส้นตีนยิ่งกว่าไอ้เพื่อนเชี่ยสามตัวรวมพลังกัน ..

                “เฮ้ยพี่มีบ้านก็กลับบ้านตัวเองบ้างดิวะ ..” ไอ้ซองจินไม่ยอมให้กุญแจบ้านกับกูเว้ย แม่งลีลาได้ทุกวัน กูล่ะเบื่อ
                “ไม่อ่ะ .. กูอยากอยู่บ้านพี่มึงมีอะไรมั้ย ?” ผมยักคิ้วใส่ไอ้ซองจิน แล้วก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับค้นตัวแม่งอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายกูก็ได้กุญแจบ้านมาครอบครอง
               
                “ไว้กูเอาไปปั้มเมื่อไหร่ กูค่อยคืนนะ ” ผมชูกุญแจบ้านในมือตัวเอง พลางแกว่งไปมาตรงหน้าไอ้ซองจิน แล้วก็ยักคิ้วพร้อมกับเดินหันหลังออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
                ไม่ใช่อะไร กูกลัวตาย ….
                ก็ไอ้เชี่ยซองจินแม่งเป็นนักแม่นปืนซะด้วยดิ ..

                “อ..อ้าว .. มาหาซองมินเหรอ ?” ผมกลับมาถึงบ้านและกำลังจะไขประตูบ้าน ก็มีอันต้องตกใจ เมื่อประตูบ้านมันถูกเปิดจากข้างใน และสิ่งที่ทำให้อึ้งทึ่งกว่านั้นคือ คนที่เปิดประตูออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ดันเป็นเจ้าของเงินที่ผ่อนจ่ายบ้านหลังนี้อีกคนนึงต่างหาก ..
                “ป..เปล่า ..” ผมรู้สึกหน้าตึงขึ้นมากะทันหัน เมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนที่แอบชอบไอ้มิสเทคมันอยู่

                “คุณคงจะมาเสียเที่ยวแล้ว บ้านนี้ยังไม่มีใครกลับเลยสักคน ถ้าไม่มีธุระที่ไหนก็เข้ามานั่งข้างในก่อนสิคยูฮยอน ..” เซอึนหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง พร้อมกับเปิดไฟในสว่างวาบทั่วทั้งบ้านอีกหน ..
                “ขอบคุณ ..” ผมได้แต่ขอบคุณที่เธอเอาน้ำมาให้ จากนั้นผมก็ปรายตามองกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ของเธอเล็กน้อย ท่าทางว่าเธอคงจะกลับมาเอาเสื้อผ้า แล้วก็คงจะออกไปทำงานของเธอต่อหรือเปล่า ?

                “รถมาพอดีเลย ฉันคงต้องขอตัวก่อน ไว้ถ้ามีโอกาสฉันจะต้อนรับคุณอย่างดีอีกครั้งแล้วกันนะ .. อ้อ .. ถ้าซองมินกลับมา ช่วยบอกให้เขาโทรหาฉันที ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย ..” เซอึนรีบหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอขึ้นมาสะพายไหล่ พลางหันมาฝากฝังความต้องการของเธอกับผมด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ..
                “ผมคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้หรอกเซอึน .. เพราะผมเองก็ชอบซองมิน ..” ผมนั่งนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งเธอเดินไปใส่รองเท้าส้นสูงตรงประตูบ้าน และกำลังจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้  ผมก็เลยลุกพรวดพราดเข้าไปหาเธอ และพูดจาเปิดศึกอย่างตรงไปตรงมา

                “ล้อเล่นหรือเปล่า ?” เซอึนยกมือปิดปากอย่างขำขันกับสิ่งที่ผมพูดออกไป
                “เปล่า .. ผมพูดจริง ..” ผมย้ำอีกครั้งอย่างหนักแน่น โดยที่ผมยังไม่คิดจะบอกสถานะของตัวเองในตอนนี้ออกไป เพราะผมต้องการให้ไอ้มิสเทคมันเป็นคนบอกเอง ผู้หญิงคนนี้จะได้ตัดใจจากมันได้ง่ายๆ

                “แต่คุณ
                “นั่นมันอดีต .. แต่ตอนนี้คือปัจจุบัน หวังว่าคุณจะไม่เอามันมาปะปนกันนะเซอึน .. เดินทางปลอดภัยครับ ..” ผมบอกเธอและปิดประตูบ้านทันทีที่เซอึนเผลอเดินถอยหลังออกมายืนด้านนอกตัวบ้านอย่างไม่ได้ตั้งใจ ..

                “ล้อเล่นน่า ..” เซอึนยังคงยืนบ่นพึมพำอยู่ตรงหน้าประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ผมได้แต่เหยียดยิ้มลึกอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับกล่าวทักทายไอ้มิสเทคทันทีที่มันรับโทรศัพท์
                “ซองมินมึงทำอะไรอยู่ กูโคตรคิดถึงมึงเลย ” เมื่อเสียงรถขับเคลื่อนออกไปจากรัศมีของตัวบ้าน ผมก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟากลางบ้าน

                “ขนลุก ” ดูไอ้มิสเทคแม่งดิ! เสือกทำเป็นรังเกียจกู!
                “อะไร .. ได้ยินแค่เสียงกูก็สยิวแล้วเหรอ ?” ผมแกล้งถามยั่วอารมณ์ให้มันด่าไปอย่างนั้น

                “สัส!
                “ฮ่าๆ” พอไอ้มิสเทคมันด่าออกมา ผมก็หัวเราะลั่นด้วยความถูกใจ

                “ประสาท!
                “แล้วไง ?” ผมย้อนถามอย่างกวนๆ

                “ปัญญาอ่อน ..” ปากจัดชิบหายเลยเมียกู แบบนี้มันน่าจัดการให้ปากแตกเลยมั้ย เสียดายแม่งอยู่ไกลจากกูเหลือเกิน กูเลยจัดการแม่งไม่ได้ แม่งเลยชอบทำปากดีใส่กู
                “ไอ้สัส! มึงแม่งนิสัยไม่ดี กูโทรหาทั้งทีแทนที่จะทำตัวน่ารัก .. กูคิดถึง กูอยากกอด อยากจูบมึงจะตายอยู่แล้ว เมื่อไหร่จะกลับมาสักที .. ” ผมเดินเข้าไปในห้องของไอ้มิสเทค พร้อมกับเปิดไฟให้สว่างทั่วห้อง แล้วก็ทิ้งตัวลงนอน พลางโวยวายออดอ้อนมันไปด้วย

                “ถ้าอย่างนั้นมึงคงต้องตายแล้วล่ะ .. เพราะหัวหน้ากูยังไม่ให้กลับ
                “โหยยย .. มิสเทคมึงรีบไปเรียกหัวหน้าปีศาจของมึงมาคุยกับกูเลย ” ผมโอดครวญพลางสั่งมันเสียงเข้ม

                “หึ .. แล้วเจอกัน ตู๊ด .. ตู๊ด ..” ผมถึงกับอึ้งไปอีกหน เมื่อไอ้มิสเทคมันส่งเสียงหัวเราะในลำคอมาสั้นๆ จากนั้นมันก็พูดทำนองว่ามันกำลังจะกลับมาที่นี่ ..
                คือเฮ้ย! ไอ้มิสเทคแม่งกำลังตามใจกูเหรอวะ ?
               
                ผมนั่งมองนาฬิกาอย่างใจจดใจจ่อ จากสามทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม ไอ้มิสเทคแม่งก็ยังไม่โผล่หัวมา เท่านั้นแหละ กูก็เข้าใจได้ทันทีว่าไอ้มิสเทคแม่งกำลังอำกูอยู่!
                “ไอ้เชี่ยยยยยย! มึงหลอกกู แม่งๆ กูไม่รู้จะด่ามึงว่าอะไรดี ไอ้ห่ามิสเทค มึงมันใจร้าย ..” ทันทีที่ไอ้มิสเทคมันรับสาย ผมก็ด่ามันเป็นชุดจนแทบไม่ได้หายใจ

                “หึ”
                “ขำเชี่ยไร กูเคืองนะเว้ย ..” ผมทำหน้างอ พลางพูดสะบัดเสียงใส่มันอย่างไม่สบอารมณ์

                ” แล้วจากนั้นระหว่างเราก็เกิดความเงียบเข้ามาแทรกแซงอยู่นาน
                “กู .. คิดถึงมึงนะ ..

                “โอ้ย!” ผมร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อโทรศัพท์มันตกใส่หน้าทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าเมื่อครู่จากไอ้มิสเทค หัวใจผมเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ส่วนมือผมแม่งก็สั่น ทำให้กว่าจะหยิบโทรศัพท์มาแนบหูเหมือนเดิมได้กูใช้เวลานานพอสมควร
                แต่ปรากฏว่า
ไอ้มิสเทคแม่งวางสายหนีกูไปแล้ว!

            หลังจากวันนั้นไอ้มิสเทคแม่งก็ไม่ยอมรับสายจากกูเลย แถมยังมีหน้ามากดตัดสายใส่กูด้วย ไอ้ห่า มิสเทคแม่งร้ายกาจ มาพูดบอกกูว่าคิดถึง แล้วอยู่ๆก็เสือกเขินจนรวนขนาดนั้น .. คือแม่งรู้ตัวไหมว่าวิธีการเอาตัวรอดของมันน่ะ โคตรเอาเปรียบกูเลย ..
                “เป็นเชี่ยไร นั่งยิ้มหน้าบานปานคนบ้า ..” ไอ้ชางมินแม่งทักกูหยาบคายมาก จนกูต้องหุบยิ้มอย่างเสียอารมณ์
                 “สัส .. เรื่องของกู ..” ผมด่ามัน แล้วก็ตั้งอกตั้งใจทำงานของตัวเองต่อ แต่แล้วผมก็ต้องมานั่งยิ้มต่อ เมื่อสมองมันเอาแต่ประมวลผลคำบอกเล่าของไอ้มิสเทคในคืนนั้นซ้ำไปซ้ำมา
            อาการอินเลิฟของกูก็เลยขจรขจายไปทั่ว!

                โป๊ก!

                “ขนลุกไอ้สัส มึงเลิกยิ้มสักทีดิ๊ แม่ง!” ไอ้ชางมินมันมานั่งทำงานตรงโต๊ะไอ้มินโฮ มันก็เลยสังเกตเห็นพฤติกรรมของกูได้อย่างชัดเจน ทีนี้เวลาจะปาหัวกูที มันก็เลยแม่นยำมากถึงมากที่สุด!
                “เชี่ย!” ผมด่าไอ้หัวหน้าอย่างอารมณ์เสีย แถมยังด่าได้แบบไม่ต้องเกรงใจใครมากนัก เพราะตอนนี้ทั้งออฟฟิศเหลือแค่กูกับมันที่นั่งทำงานด้วยกันนี่แหละ คนอื่นแม่งติดงานออกต่างจังหวัดกันหมดไง

                ตกบ่ายผมขึ้นไปชงกาแฟข้างบนครัว แล้วก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศตัวเอง พอสายตามองเห็นไอ้ชางมินมันกำลังคุยงานกับบริษัทที่เราสั่งซื้อคอมพิวเตอร์กับเขาอยู่ ผมก็ทำตัวสุภาพเรียบร้อยอย่างรู้หน้าที่ จากนั้นผมก็เดินตัวลีบเข้าไปวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะของตัวเอง และเดินขึ้นไปข้างบนครัวอีกครั้ง เพื่อเตรียมน้ำเปล่ามาให้ไอ้หัวหน้ากับแขกของไอ้หัวหน้า
                หลังจากทำหน้าที่ลูกน้องที่ดีแล้ว ผมก็นั่งทำงานของผมต่อไปจนถึงเวลาเลิกงาน
                บอกแล้ว เวลาหัวหน้ากูมีแขก พวกกูก็เป็นลูกน้องที่ดีเยี่ยมนะเว้ยเฮ้ย!
               
                ผมแวะไปปั้มกุญแจบ้านของไอ้มิสเทคไว้เป็นสมบัติส่วนตัว จากนั้นผมก็ขับเอากุญแจไปคืนไอ้ซองจินที่สนามยิงปืน เพราะผมกะว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้าที่คอนโดของผมก่อน เนื่องจากเสื้อผ้าที่มีติดอยู่ท้ายรถ มันชักจะไม่พอใช้แล้ว ..
                “มึง ..” ผมอึ้งเล็กน้อย ที่เปิดประตูเข้ามาแล้วเจอไอ้มิสเทคมันนั่งอยู่ในห้อง

                “กลับมาตอนไหนวะ ?” ผมถามมันพลางถอดกระเป๋าสะพายวางลงบนโต๊ะกระจก จากนั้นก็คลายเนคไทให้หลวมขึ้นเพื่อความสบายตัว
                “เมื่อเช้า ..” มิสเทคมันตอบ แต่ไม่ยอมมองหน้าผม

                “แล้วทำไมไม่ไปคอยที่บ้านวะ เกิดกูไม่กลับมานี่จะได้เจอกันไหม ?” ผมถามพลางทิ้งตัวลงนั่งตรงที่ว่างข้างที่มันเอาแต่หันหน้าไปมองทางนั้น
                “ถ้าไม่เจอก็แค่กลับไปที่บ้านกูไง .. ยากตรงไหน ?” มิสเทคมันตอบ พร้อมกับพยายามจะหันหน้าหนี

                “เออไม่ยากหรอก .. มึงอ่ะ .. มองกูดิ .. กูก็คิดถึงมึงเหมือนกันได้ยินไหม ?” ผมแนบฝ่ามือลงบนข้างแก้มของมัน พลางบังคับให้มันหันหน้ามาทางผม เพื่อที่ดวงตาของเราจะได้ผสานกัน จากนั้นผมก็บอกให้มันรู้ว่าผมเองก็คิดถึงมันเหมือนกัน
                “มึงใจร้ายว่ะ .. มาบอกกูว่าคิดถึง แล้วก็ไม่ยอมรับสายกูตั้งหลายวัน .. ใจร้ายชิบหายเลย” ผมพูดตัดพ้อ แต่สายตากลับมองมันอย่างหวานเชื่อม ..

                ” มิสเทคแม่งหน้าแดงเชี่ยๆ กูเลยจูบเบาๆบนกลับปากของมันอยู่หลายทีด้วยความหมั่นเขี้ยว คือเวลาแม่งอาย แม่งน่ารักชิบหาย น่ารักจนกูต้องร้องขอชีวิต
                “มึงง้อกูเลย .. ปล่อยให้กูคิดถึงได้ไงตั้งหลายวัน นิสัยว่ะ ..” ผมจ้องหน้ามัน พลางพูดตัดพ้ออย่างต่อเนื่อง

                ” แต่ก็นะ ไอ้มิสเทคแม่งยังทำเงียบและนั่งหน้าแดงใส่กูอยู่นั่น กูก็เลยเผลอตัวเผลอใจผลักมันล้มตัวลงนอนราบกับพื้นโซฟาซะเลย
                “ง้อดิ มึงอ่ะ ..” ผมลูบข้างแก้มของมันเล่น ไอ้มิสเทคมันก็เลยนอนตัวแข็งทื่อ และยิ่งเห็นปฏิกิริยาของมันเป็นแบบนั้นผมก็ยิ่งอยากจะรุกมันมากขึ้นๆ ทำเอาผมชักจะสงสัยแล้วว่าท่าทางแบบคืนนั้นที่มันร้องขอให้กูกอดมันหดหายไปไหน..
                หรือว่าท่าทางยั่วยวนแบบนั้น มักจะมาพร้อมกับฤทธิ์แอลกกอฮอลล์กันวะ ..
            พอตอนนี้เจอกูรุกหนัก เลยได้แต่นอนหน้าแดงใต้ร่างกูเนี่ย!

                สาบานได้ กูจะไม่ให้แม่งแดกเหล้าอีกแล้ว เพราะกูชอบแบบนี้ โคตรน่ารักเลย ไอ้เชี่ยกูแม่งโคตรหลงไอ้มิสเทคชิบหาย แต่เดี๋ยวก่อนกูจะฟัดมันตอนนี้ไม่ได้ กูต้องรอมันง้อกูก่อน
                “กู ” มิสเทคมันพูดเสียงเบามาก เพราะมันกำลังเขินแบบ เขินเชี่ยๆ ส่วนกูก็หน้าบานเชี่ยๆเลยครับทำเมียเขินได้

                ….
                “รักมึง ” คือไอ้สัส คือๆๆๆ โอยยยยย กูต้องร้องขอชีวิตจากมึงอีกแล้วไอ้มิสเทค ไอ้ห่า อยู่ๆก็มาบอกรักกู ทั้งๆที่ปกติไม่ค่อยพูด คือแม่ง กูดีใจ กูใจเต้น กูๆ
                เชี่ยเอ้ยยยยยยยยยย!
มีเมียน่ารักแบบนี้ กูต้องร้องขอชีวิตอีกชาติถึงจะพอ!


 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  
หลังจากลดความหวานไปเมื่อตอนที่แล้ว ก็มาเพิ่มกันต่อในตอนนี้
เพี้ยนคนจริง กลับมาเพี้ยนเหมือนเดิมแล้วนะ
เลิกจริงจังกับชีวิตคนอื่นแล้ว 5555

ปล. เม้นไม่เม้นไม่ว่ากัน ขอแค่มีคนรออ่านก็พอ 555