วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [42]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
        



[42]



                หลังจากฟื้นไข้ภายในหนึ่งวัน เช้านี้ผมก็ตื่นนอน อาบน้ำ ปิ้งขนมปังกินไปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติอยู่อย่างก็คงจะเป็นการปิ้งขนมปังที่เมื่อก่อนเวลาซองจินไม่อยู่บ้านผมก็มักจะปิ้งไม่เกินสองแผ่น แต่วันนี้ผมต้องปิ้งถึงสี่คู่ด้วยกัน เพราะว่าเมื่อคืนผมมีแขกมานอนค้างอ้างแรมที่บ้าน
                เมื่อคืนหลังจากที่ผมทานข้าวทานยารอบดึกจนเรียบร้อย มินโฮก็เดินออกจากห้องผมไป โดยที่เขาขออนุญาตนอนพักค้างคืนตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์เป็นการตอบแทนที่เขาดูแลผมเกือบจะทั้งวันทั้งคืน ..

                “ลืมอะไรเหรอ ?” หลังจากที่ผมกับมินโฮทานมื้อเช้าจนเรียบร้อย ผมกับเขาก็เตรียมตัวจะไปมหาลัยกันแล้ว แต่วินาทีสุดท้ายก่อนที่ผมจะล็อคบ้านของตัวเอง ผมกลับลังเลว่าผมควรจะทำมื้อเช้าไปให้คุณแม่ของพี่เขาดีหรือเปล่า เพราะถ้าผมเปลี่ยนใจในตอนนี้ มันก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ
                เราลืมทำรายงาน นายไปมหาลัยก่อนเถอะ เดี๋ยวจะสายผมหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียนแล้วยื่นให้มินโฮอ่าน

                “ผมอยู่ช่วยได้นะ .. ไม่ต้องเกรงใจ” พอมินโฮรับอาสาอย่างนั้น ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ จนมินโฮไม่กล้าเซ้าซี้ผมอีก
                “ถ้างั้นผมไปก่อนนะ .. อย่าลืมล็อคบ้านแบบเมื่อวานอีกล่ะ ..” ผมพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น และผมก็ยืนรอจนเขาเดินไปขึ้นรถและขับออกไปจากรั้วบริเวณบ้าน
                เมื่อเย็นวันนั้นผมมึนหัวจนลืมล็อคบ้านเชียวหรือ
มิน่าล่ะพวกเขาถึงเข้ามาในบ้านของผมได้ ..

ผมถอดกระเป๋าวางเอาไว้บนโต๊ะทานข้าว จากนั้นผมก็รีบเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูวัตถุดิบที่มันพอจะนำมาทำเป็นอาหารมื้อเช้าสำหรับคนสองคน ..
ในตู้เย็นของผมมีถั่วงอกสดอยู่หนึ่งถุง กับเนื้อสดประมาณหนึ่ง เห็นทีเมนูที่ผมพอจะทำได้คงไม่พ้นซุบข้าวต้มถั่วงอกแล้วล่ะ เพราะวัตถุดิบในครัวของผมมันดันมีน้อยนิดเหลือเกิน อีกอย่างปกติผมก็ไม่ค่อยจะทำกินเองอยู่แล้วด้วย นี่มันของติดบ้นานอยู่บ้างก็บุญเท่าไหร่แล้ว ..

ผมเริ่มจากหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นๆพอดีคำแล้วก็นำมาคลุกเคล้ากับส่วนผสมต่างๆที่มันพอจะทำให้เนื้อวัวมีรสชาติขึ้นมาได้บ้าง พอเสร็จแล้วผมก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกมาตั้งกระทะให้มันร้อนเพื่อเตรียมผัดเนื้อ
วันนี้การทำอาหารของผมเป็นไปอย่างเร่งด่วนมาก เลยทำให้ผมมักจะทำข้ามขั้นตอนราวกับคนทำอาหารไม่เป็น และกว่าผมจะทำซุปข้าวต้มถั่วงอกเสร็จ มันก็เลยเวลาเข้าเรียนของผมไปมากแล้ว
ผมกำลังจะได้เข้าเรียนสายเป็นครั้งแรกในชีวิต ..

ผมบรรจงตักซุปข้าวต้มถั่วงอกใส่ในโถกระเบื้องเพื่อเตรียมเดินเอาไปให้คุณแม่ของพี่เขาที่บ้านข้างๆ พอมาคิดๆดูแล้ว เมื่อคืนคุณแม่ของพี่เขาจะทานอะไรยังไง ในเมื่อคุณแม่ทำอาหารไม่ค่อยจะเป็น แถมยังทานอาหารตามร้านไม่ได้อีกต่างหาก
ผมไม่น่าป่วยเลย ..
ถ้าเกิดคุณแม่ไปทานผงชูรสเข้า พี่เขาจะต้องเป็นห่วงและตำหนิผมแน่ๆ

ผมประครองซุปข้าวต้มถั่วงอกไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แล้วก็ย้อนกลับมาหยิบกระเป๋าสะพายบ่าและล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อย เพราะหลังจากที่ผมเอาอาหารไปให้คุณแม่แล้ว ผมจะเลยไปมหาลัยทันที ..
ผมตรวจตราบ้านช่องอีกพักใหญ่ จากนั้นผมก็เดินโอบประครองโถกระเบื้องไว้ในอ้อมแขนและพาตัวเองเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านข้างๆ แต่แทนที่ผมจะกดกริ่งเพื่อเรียกให้คนในบ้านเดินมารับของที่ผมตั้งใจทำมาให้ ดันกลายเป็นว่าผมกำลังยืนลังเลว่าผมควรจะนำอาหารฝีมือของผมให้คุณแม่ทานดีหรือไม่ ..

                ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าอาหารฝีมือของผมมันจะพอทานได้ .. และผมก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าคุณแม่จะยอมรับอาหารฝีมือของผมหรือเปล่า หากท่านรู้ว่าผมคือคนรักของลูกชายท่าน
                หากพี่เขาอยู่ตรงนี้ ผมก็คงอยากจะขอฟังเสียงหัวใจของพี่เขาเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง แต่ว่า ณ ตอนนี้ เวลานี้ ไม่มีพี่เขาอยู่ ผมมีทางเลือกเดียวเท่านั้นก็คือ
                ผมต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ..

ติ้งต่อง~

ผมยืนใจเต้นรัวอยู่ ณ ที่เดิม เมื่อปลายนิ้วชี้ของผมกดลงบนกริ่งหน้าประตู จากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน และตามมาด้วยเสียงจังหวะการก้าวเดินของคนในบ้านที่ค่อยๆดังเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ
ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองคนเบื้องหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ และมันก็พอดีกับที่คนเบื้องหน้าย้อนถามผมอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าผมมาหาใคร

“อ ..เอ่อ .. ผะ ผม .. มะ ..” ผมพูดตะกุกตะกักไม่เป็นประโยคยิ่งกว่าทุกครั้ง จนคุณแม่ท่านฟังไม่รู้เรื่องเลยตัดบทถามผมกลับมาว่ามาหาหนุ่มๆบ้านนี้หรือ ผมจึงพยักหน้าตอบท่านกลับไป และวางโถกระเบื้องเอาไว้บนเสาปูนตรงข้างรั้ว แล้วก็หยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียน
ผมทำมื้อเช้ามาเผื่อรุ่นพี่ที่อยู่บ้านหลังนี้น่ะครับ พวกเขาไม่อยู่เหรอ?’ ทีแรกผมตั้งใจจะเขียนไปว่า ผมตั้งใจทำมาให้คุณแม่ แต่สุดท้ายผมก็เปลี่ยนใจมาเขียนประโยคนี้แทน ..

“หนุ่มๆบ้านนี้เขาไปเข้าค่ายกันน่ะ ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน .. ว่าแต่เรานี่หน้าตาคุ้นๆนะ ..” พอคุณแม่ทักผมออกมาแบบนั้น ผมจึงเริ่มต้นสังเกตใบหน้าของคุณแม่ให้ชัดเจนขึ้น
และสุดท้าย ผมก็ได้คำตอบว่าคุณแม่คือคุณยายของเด็กคนนั้นที่ผมสละร่มให้ในวันที่ฝนกำลังตก ..

“พ่อหนุ่มที่ยื่นร่มให้ฉันนี่เอง .. ขอบใจนะ ..” คุณแม่ยิ้มใจดีให้ ผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้ท่าน
ถ้าพวกพี่ๆเขาไม่อยู่ คุณป้าช่วยรับน้ำใจจากผมแทนพวกพี่เขาเถอะครับ .. ผมตั้งใจทำมาให้ .. ไม่ใส่ผงชูรสด้วยครับผมเขียนข้อความให้คุณแม่ของพี่เขาอ่านอย่างรวดเร็ว

“ดีเลย .. ป้าจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อของสดมาทำกินเอง .. เมื่อวานนะ กว่าป้ากับเจ้าหลานชายจะได้ทานมื้อเย็นก็โน่นสองทุ่มไปแล้วน่ะ .. แถมเจ้าหลานชายยังบ่นอุบว่าไม่อร่อยอีกต่างหาก .. ยังไงป้าก็ขอบใจนะที่เราเอามาฝากหนุ่มๆพวกนั้น”
ไม่เป็นไรครับ .. ผมเต็มใจ .. ผมต้องขอตัวก่อนนะครับคุณป้า พอดีผมมีเรียนเช้าน่ะครับ ..’

“เดินทางดีๆล่ะพ่อหนุ่ม .. ป้าขอบใจสำหรับมื้อเช้ามากเลยนะลูก ..
“ครับ ..” ผมหันหลังกลับไปยิ้มกว้างให้กับคุณแม่ของพี่เขา เมื่อคุณแม่ยังคงขอบอกขอบใจผมไม่หยุด แม้ว่าผมจะเดินออกห่างจากรั้วบ้านของพี่เขามาตั้งไกลแล้ว

ผมรู้สึกโล่งจัง ที่ทุกอย่างมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด และผมก็ได้แต่หวังว่า ถ้าหากคุณแม่ท่านทราบว่าผมไม่ได้แค่บังเอิญนำอาหารมาให้รุ่นพี่ข้างบ้านแต่พวกเขากลับไม่อยู่เลยต้องส่งต่อของฝากนั้นมาที่คุณแม่แทน ..
ท่านก็ยังคงจะเอ็นดูผมเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกได้ในวันนี้

กว่าผมจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้นมาบ้าง ก็ต่อเมื่อหมดคาบเรียน เพราะผมต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าผมจะโดนอาจารย์ดุหรือเปล่าที่ผมเขาเรียนสายเป็นชั่วโมงขนาดนี้
“ป..เป็น .. อะ ..ไร” ผมถามทงเฮที่ไม่ยอมเก็บของหรือทำอะไรสักอย่าง แม้ว่าทุกคนจะเดินออกจากห้องไปกันหมดแล้วก็ตาม
“ฉันอยากร้องไห้ว่ะ ..” ทงเฮไม่ยอมตอบผมอยู่พักใหญ่ แต่พอผมหันมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋าของตัวเองต่อ เขาก็ตอบผมอย่างไม่มีการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น

“ทะ .. ทำไม ?” ผมถามอย่างไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คนเข้มแข็งอย่างทงเฮถึงกับอยากร้องไห้
“ฉันผิดมากเหรอซองมิน ? ผิดมากเลยใช่มั้ยที่อยากจะเอาใจเขาด้วยการซื้อของดีๆให้น้องสาวของเขาใช้น่ะ .. กระเป๋ามันไร้ประโยชน์ตรงไหน ?  ทำไมคิบอมต้องด่าว่าฉันใช้เงินไม่เป็นด้วย แถมยังมาหาว่าฉันทำให้น้องสาวเขาเสียคนเพราะหัวสูงเรื่องกระเป๋าอีก!” ทงเฮสาธยายความในใจของเขาออกมาจนหมด โดยที่ขณะที่เขาพูด เขาก็ใส่อารมณ์ลงมาในคำพูดด้วย ราวกับว่าคนที่กำลังฟังเขาพูดอยู่ในตอนนี้คือคิมคิบอมไม่ใช่ผม ..

ผมไม่รู้จะปลอบใจทงเฮยังไง จึงได้แค่ลูบหลังปลอบใจเขาเท่านั้น วินาทีนี้ผมอยากให้อีฮยอกแจมาอยู่กับพวกเราด้วยจริงๆ เพราะถ้าหากเป็นฮยอกแจ เขาจะต้องปลอบใจทงเฮได้ดีกว่านี้ ..
“ช่างเถอะ ฉันจะไม่สนไอ้บ้านั่นแล้ว! ไปทานข้าวกันเถอะ!” อยู่ๆทงเฮก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาตะโกนก้องไปทั่วห้อง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บของใช้ของตัวเองใส่กระเป๋าอย่างมุ่งมั่น เห็นอย่างนั้นผมก็เลยรีบเก็บของของตัวเองบ้าง ..

วันนี้ทงเฮโทรนัดฮยอกแจมาทานข้าวที่ร้านอาหารหน้ามหาลัยด้วยกัน แต่พอมาถึงฮยอกแจกลับไม่ได้มาคนเดียว เพราะเขาพาแทมินมาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเรานักเพราะผมเองก็สนิทกับแทมินพอสมควร ส่วนทงเฮเองก็เข้ากับคนได้ง่าย ดังนั้นมื้อนี้ก็เลยไม่มีความอึดอัดใจให้เห็น ..

“มีอะไรหรือเปล่า เห็นมองโทรศัพท์หลายรอบแล้ว? หรือว่าคิดถึงพี่คยู?” ฮยอกแจล้อผมขึ้นมากลางวง เมื่อเห็นผมเอาแต่มองจ้องโทรศัพท์ของตัวเองที่วางเอาไว้บนโต๊ะ
“ชัวร์เลย .. พอกับแทมิน วันๆก็เอาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์ทั้งๆที่ก็เรียนอยู่ด้วยกัน แต่ดันคุยกันทางข้อความแชท อยู่ได้ ..” ฮยอกแจบ่นออกมาพร้อมกับส่ายหัวอย่างต้องการจะเผื่อแผ่ท่าทางล้อเลียนไปให้คนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์อยู่เป็นนานสองนาน ..

“ขนาดว่าแล้วยังไม่รู้ตัวเลย ดูสิ ..” ฮยอกแจหันมาพยักเพยิดหน้าให้ผมกับทงเฮหันไปมองแทมิน
“ม ..มองอะไรกันเล่า!” พออีกฝ่ายเริ่มจะรู้ตัวก็รีบเก็บโทรศัพท์ พร้อมกับนั่งหน้าแดงอวดเราสามคนกันใหญ่

พอใกล้จะบ่ายโมง พวกเราก็รีบเช็คบิลและเดินออกจากร้านเพื่อไปเข้าเรียนในภาคบ่าย แต่ปรากฏว่าแทมินโทรเรียกให้มินโฮมารับพวกเราที่หน้าร้าน พวกเราก็เลยไม่เสียเวลาในการเดินทางมากนัก
ตลอดทางที่ผมนั่งตรงเบาะหลัง ผมรับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมินโฮอยู่ตลอดเวลา สายตาคู่นั้นมันเหมือนกับอยากจะถามว่าวันนี้ผมอาการดีขึ้นจนหายห่วงแล้วใช่ไหม ? ทานยาหรือยัง ?
แต่ผมก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็นและไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น เพราะผมกำลังอึดอัดใจ ..

                ตลอดทั้งคาบเรียน ผมไม่เป็นเรียนเลยจริงๆ เหตุเพราะพี่เขาเงียบหายไปเลย ผมส่งข้อความไป เขาก็ไม่ตอบกลับ ผมโทรหาเขาก็ไม่รับ จนผมอดกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมคิดบางทีมันอาจจะกลายเป็นจริง ..
                พี่เขาต้องโกรธผมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางเงียบหายไปแบบนี้ ..
                ผมควรจะทำยังไงให้ใจของผมมันรู้สึกโล่งขึ้นมาได้บ้าง

           
            พอเลิกเรียนผมกับทงเฮก็ต่างคนต่างแยกทางกันกลับบ้าน และระหว่างทางที่ผมเดินกลับ ผมก็เจอกับมินโฮอีกแล้ว เขาอาสาไปส่งผมที่บ้าน เพราะเขาจะเข้าไปหาพวกพี่อีทึกพอดี ผมก็เลยติดรถเขากลับไปด้วย ..

                “หายปวดหัวแล้วใช่มั้ย ?” ทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็ถามไถ่อย่างห่วงใย
                “อื้อ”

                “สร้อยนั่น .. ผมขอบคุณนะที่ซองมินยังไม่ทิ้งมันไป ..” หลังจากที่เงียบไปนาน เขาก็พูดขึ้นมาในขณะที่ดวงตาของเขากำลังมองเส้นทางเบื้องหน้าอยู่
                “อืม ..

                “ผมดีใจที่ซองมินเก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ..” เขาหันมายิ้มให้ผม แต่ผมกลับทำสีหน้าไม่ถูก เพราะตอนนี้สร้อยเส้นนั้นผมไม่ได้เก็บมันไว้กับตัวอีกแล้ว ..
                เพราะผมนำมันเก็บใส่กล่องเอาไว้ในลิ้นชักเขียนหนังสือแทน เนื่องจากผมไม่กล้าทิ้งมันได้ลงคอ ..

                “ผมขอแค่ซองมินยอมให้ผมได้ดูแลบ้าง .. ก็พอ ..” เมื่อรถจอดเทียบท่าตรงหน้าประตูบ้าน เขาก็เอื้อมมือมาจับมือของผมไว้และพูดประโยคนั้นออกมา ซึ่งมันทำให้ผมใจอ่อน เพราะผมเองก็พอจะเข้าใจว่าการถูกเมินจากคนที่ตัวเองชอบมันเจ็บปวดมาก เพราะครั้งหนึ่งผมก็เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้นมาแล้ว
                ผมอดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมรับรู้มาตลอดว่าเขายังตัดใจจากผมไม่ได้

                นายมีแฟนแล้ว จะมีเวลาอะไรมาดูแลเราล่ะ .. เราไม่ใช่เด็กๆที่ต้องมีคนมาคอยดูแลสักหน่อยแต่สุดท้ายความใจอ่อนมันก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อผมนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้มินโฮคบกับแทมินแล้ว ถ้าหากผมใจอ่อนนึกสงสารเขา คนที่น่าสงสารที่สุดอาจจะเป็นแทมินเพื่อนของผมอีกหนึ่งคน ..
                “มีสิ .. ผมมีเวลาให้ซองมินเสมอน่ะ อยู่ที่ว่าซองมินจะต้องการมันหรือเปล่า” พอเขาพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก เลยรีบเปิดประตูลงจากรถและเดินเข้าบ้านของตัวเองไป ..
                ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ..
                ดูท่าแล้ว ผมกับมินโฮคงยังไม่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างที่ผมกับเขาพยายามให้มันเป็น ..

                เย็นนี้ผมทำเป็นทำอาหารไปเผื่อคุณแม่ของพี่เขา โดยอ้างว่าผมทำเอาไว้เยอะเพราะคิดว่าน้องชายจะกลับบ้าน คุณแม่ของพี่เขาจึงไม่ผิดสังเกตอะไรนัก ที่ผมคิดอย่างนั้นก็เพราะท่านไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับผม นั่นก็แสดงว่าท่านยังไม่ทราบว่าผมคือคนที่ลูกชายของท่านฝากฝังท่านเอาไว้
                ผมกับคุณแม่ยังไม่เคยเจอกัน และพี่เขาก็ไม่น่าจะเคยเอารูปของผมให้ท่านดู เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นท่านต้องออกอาการอะไรบ้างแล้ว แต่นี่ท่านกำลังเข้าใจว่าผมคือพ่อหนุ่มใจดีที่มอบร่มให้กับท่านและหลานชายในวันที่ฝนกำลังตกเพียงเท่านั้น ..

                “อ ..อ้าว .. ทะ ..ทำไม ..มา ..นอน ..บ้าน .. ..แล้ว ..” ผมกำลังจะปิดประตูบ้านเพื่อเตรียมตัวเข้านอน แต่ปรากฏว่าซองจินขับรถมาจากที่หน้าบ้านเสียก่อน ผมจึงยืนรอน้องอยู่ตรงปากประตู และเมื่อซองจินเดินเข้ามาในบ้านผมก็รีบตั้งคำถามใส่เขาเสียยกใหญ่ แต่ผมก็ต้องมาตกใจเมื่อเห็นฝ่ามืออันโชกเลือดของน้องชายปรากฏอยู่ตรงหน้า
                ผมประครองฝ่ามือของน้องขึ้นมาพิจารณาอย่างเป็นห่วง พลางวุ่นหากระดาษทิชชู่มาซับเลือดให้เขาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะมือของผมมันสั่นมาก ..

                “ไม่ใช่เลือดของผมหรอก ..” ซองจินพูดแค่นั้น แล้วก็ชักฝ่ามือของตัวเองออกจากฝ่ามือของผม
                “อื้อ” ผมพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ เมื่อรู้ว่าน้องไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน

                “ไปนอนก่อนนะ ..
                “อืม ..” เมื่อผมรับคำขอจากเขาแล้ว ซองจินก็หันหลังเดินขึ้นบ้านไปทันที โดยที่ผมก็ได้แต่สงสัยว่าเลือดที่มือของซองจินนั่น ถ้าหากไม่ใช่เลือดของน้องแล้วมันจะเป็นเลือดของใครไปได้ ..

                ครืด ครืด ..

                ผมหยุดความคิดของตัวเองลง เมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกระเบื้องหน้าทีวีมันกำลังสั่นไหว และเมื่อผมหยิบมันขึ้นมาเปิดหน้าจอ ผมก็เห็นว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ของผมมันกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ..

                “ฝันถึงพี่นะ ..

                ผมยิ้มกว้างออกมาเมื่อข้อความที่ส่งมาเป็นของคนที่ผมรอคอยมาทั้งวัน ขณะที่ผมอ่านข้อความนั้น ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องพยักหน้ารับคำของพี่เขาด้วย ในเมื่อต่อให้ผมพยักหน้ารับแทบเป็นแทบตาย พี่เขาก็ไม่มีทางมองเห็นอยู่ดี ..

                “ครับ ..

                หลังจากข้อความของผมถูกส่งออกถึงพี่เขา ผมก็เหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอกภายในเสี้ยววินาที ความกังวลใจทั้งหลายมันเริ่มหายไป แม้มันจะหายไปไม่ทั้งหมดก็เถอะ ..
แต่มันก็ยังดีกว่าวันนี้ทั้งวันที่ผมต้องทนอยู่กับความว้าวุ่นที่เกิดจากตัวแปรสำคัญที่ชื่อว่า
'โจวคยูฮยอน'
               

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


มาต่อแล้วค่า ต่อช้านิดนึงแต่ก็ถือว่าอัพแหละเนอะ อิอิ วันหยุดก็อัพติดต่อกันได้ แต่ถ้าวันทำงานก็ดองยาวๆ คึคึคึ

พี่โมเมออกน้อยไปหน่อย กรั่กๆ อย่าเพิ่งคิดถึงกันไป