Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[42]
หลังจากฟื้นไข้ภายในหนึ่งวัน
เช้านี้ผมก็ตื่นนอน อาบน้ำ ปิ้งขนมปังกินไปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติอยู่อย่างก็คงจะเป็นการปิ้งขนมปังที่เมื่อก่อนเวลาซองจินไม่อยู่บ้านผมก็มักจะปิ้งไม่เกินสองแผ่น
แต่วันนี้ผมต้องปิ้งถึงสี่คู่ด้วยกัน
เพราะว่าเมื่อคืนผมมีแขกมานอนค้างอ้างแรมที่บ้าน
เมื่อคืนหลังจากที่ผมทานข้าวทานยารอบดึกจนเรียบร้อย
มินโฮก็เดินออกจากห้องผมไป โดยที่เขาขออนุญาตนอนพักค้างคืนตรงโซฟาหน้าโทรทัศน์เป็นการตอบแทนที่เขาดูแลผมเกือบจะทั้งวันทั้งคืน
..
“ลืมอะไรเหรอ ?”
หลังจากที่ผมกับมินโฮทานมื้อเช้าจนเรียบร้อย ผมกับเขาก็เตรียมตัวจะไปมหาลัยกันแล้ว
แต่วินาทีสุดท้ายก่อนที่ผมจะล็อคบ้านของตัวเอง ผมกลับลังเลว่าผมควรจะทำมื้อเช้าไปให้คุณแม่ของพี่เขาดีหรือเปล่า
เพราะถ้าผมเปลี่ยนใจในตอนนี้ มันก็ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ …
‘เราลืมทำรายงาน นายไปมหาลัยก่อนเถอะ เดี๋ยวจะสาย’ ผมหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียนแล้วยื่นให้มินโฮอ่าน
…
“ผมอยู่ช่วยได้นะ .. ไม่ต้องเกรงใจ”
พอมินโฮรับอาสาอย่างนั้น ผมก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ จนมินโฮไม่กล้าเซ้าซี้ผมอีก
“ถ้างั้นผมไปก่อนนะ
.. อย่าลืมล็อคบ้านแบบเมื่อวานอีกล่ะ
..” ผมพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
และผมก็ยืนรอจนเขาเดินไปขึ้นรถและขับออกไปจากรั้วบริเวณบ้าน …
เมื่อเย็นวันนั้นผมมึนหัวจนลืมล็อคบ้านเชียวหรือ …
มิน่าล่ะพวกเขาถึงเข้ามาในบ้านของผมได้
..
ผมถอดกระเป๋าวางเอาไว้บนโต๊ะทานข้าว
จากนั้นผมก็รีบเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อดูวัตถุดิบที่มันพอจะนำมาทำเป็นอาหารมื้อเช้าสำหรับคนสองคน
..
ในตู้เย็นของผมมีถั่วงอกสดอยู่หนึ่งถุง
กับเนื้อสดประมาณหนึ่ง เห็นทีเมนูที่ผมพอจะทำได้คงไม่พ้นซุบข้าวต้มถั่วงอกแล้วล่ะ
เพราะวัตถุดิบในครัวของผมมันดันมีน้อยนิดเหลือเกิน
อีกอย่างปกติผมก็ไม่ค่อยจะทำกินเองอยู่แล้วด้วย
นี่มันของติดบ้นานอยู่บ้างก็บุญเท่าไหร่แล้ว ..
ผมเริ่มจากหั่นเนื้อวัวเป็นชิ้นๆพอดีคำแล้วก็นำมาคลุกเคล้ากับส่วนผสมต่างๆที่มันพอจะทำให้เนื้อวัวมีรสชาติขึ้นมาได้บ้าง
พอเสร็จแล้วผมก็ต้องรีบตาลีตาเหลือกมาตั้งกระทะให้มันร้อนเพื่อเตรียมผัดเนื้อ
วันนี้การทำอาหารของผมเป็นไปอย่างเร่งด่วนมาก
เลยทำให้ผมมักจะทำข้ามขั้นตอนราวกับคนทำอาหารไม่เป็น และกว่าผมจะทำซุปข้าวต้มถั่วงอกเสร็จ
มันก็เลยเวลาเข้าเรียนของผมไปมากแล้ว …
ผมกำลังจะได้เข้าเรียนสายเป็นครั้งแรกในชีวิต
..
ผมบรรจงตักซุปข้าวต้มถั่วงอกใส่ในโถกระเบื้องเพื่อเตรียมเดินเอาไปให้คุณแม่ของพี่เขาที่บ้านข้างๆ
พอมาคิดๆดูแล้ว เมื่อคืนคุณแม่ของพี่เขาจะทานอะไรยังไง
ในเมื่อคุณแม่ทำอาหารไม่ค่อยจะเป็น แถมยังทานอาหารตามร้านไม่ได้อีกต่างหาก …
ผมไม่น่าป่วยเลย ..
ถ้าเกิดคุณแม่ไปทานผงชูรสเข้า
พี่เขาจะต้องเป็นห่วงและตำหนิผมแน่ๆ
ผมประครองซุปข้าวต้มถั่วงอกไว้ในอ้อมกอด
ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน
แล้วก็ย้อนกลับมาหยิบกระเป๋าสะพายบ่าและล็อคประตูบ้านให้เรียบร้อย
เพราะหลังจากที่ผมเอาอาหารไปให้คุณแม่แล้ว ผมจะเลยไปมหาลัยทันที ..
ผมตรวจตราบ้านช่องอีกพักใหญ่
จากนั้นผมก็เดินโอบประครองโถกระเบื้องไว้ในอ้อมแขนและพาตัวเองเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารั้วบ้านข้างๆ
แต่แทนที่ผมจะกดกริ่งเพื่อเรียกให้คนในบ้านเดินมารับของที่ผมตั้งใจทำมาให้
ดันกลายเป็นว่าผมกำลังยืนลังเลว่าผมควรจะนำอาหารฝีมือของผมให้คุณแม่ทานดีหรือไม่ ..
ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าอาหารฝีมือของผมมันจะพอทานได้ .. และผมก็ไม่มีความมั่นใจเลยว่าคุณแม่จะยอมรับอาหารฝีมือของผมหรือเปล่า
หากท่านรู้ว่าผมคือคนรักของลูกชายท่าน
หากพี่เขาอยู่ตรงนี้
ผมก็คงอยากจะขอฟังเสียงหัวใจของพี่เขาเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง แต่ว่า ณ ตอนนี้
เวลานี้ ไม่มีพี่เขาอยู่ ผมมีทางเลือกเดียวเท่านั้นก็คือ …
ผมต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ..
ติ้งต่อง~
ผมยืนใจเต้นรัวอยู่ ณ ที่เดิม
เมื่อปลายนิ้วชี้ของผมกดลงบนกริ่งหน้าประตู
จากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน
และตามมาด้วยเสียงจังหวะการก้าวเดินของคนในบ้านที่ค่อยๆดังเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ
ผมตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองคนเบื้องหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆ
และมันก็พอดีกับที่คนเบื้องหน้าย้อนถามผมอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าผมมาหาใคร …
“อ ..เอ่อ .. ผะ …ผม .. มะ ..” ผมพูดตะกุกตะกักไม่เป็นประโยคยิ่งกว่าทุกครั้ง
จนคุณแม่ท่านฟังไม่รู้เรื่องเลยตัดบทถามผมกลับมาว่ามาหาหนุ่มๆบ้านนี้หรือ
ผมจึงพยักหน้าตอบท่านกลับไป และวางโถกระเบื้องเอาไว้บนเสาปูนตรงข้างรั้ว
แล้วก็หยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียน
‘ผมทำมื้อเช้ามาเผื่อรุ่นพี่ที่อยู่บ้านหลังนี้น่ะครับ
พวกเขาไม่อยู่เหรอ?’ ทีแรกผมตั้งใจจะเขียนไปว่า
ผมตั้งใจทำมาให้คุณแม่ แต่สุดท้ายผมก็เปลี่ยนใจมาเขียนประโยคนี้แทน ..
“หนุ่มๆบ้านนี้เขาไปเข้าค่ายกันน่ะ
ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน .. ว่าแต่เรานี่หน้าตาคุ้นๆนะ
..” พอคุณแม่ทักผมออกมาแบบนั้น ผมจึงเริ่มต้นสังเกตใบหน้าของคุณแม่ให้ชัดเจนขึ้น
และสุดท้าย
ผมก็ได้คำตอบว่าคุณแม่คือคุณยายของเด็กคนนั้นที่ผมสละร่มให้ในวันที่ฝนกำลังตก ..
“พ่อหนุ่มที่ยื่นร่มให้ฉันนี่เอง .. ขอบใจนะ ..” คุณแม่ยิ้มใจดีให้ ผมจึงส่งยิ้มกลับไปให้ท่าน
‘ถ้าพวกพี่ๆเขาไม่อยู่
คุณป้าช่วยรับน้ำใจจากผมแทนพวกพี่เขาเถอะครับ .. ผมตั้งใจทำมาให้
.. ไม่ใส่ผงชูรสด้วยครับ’ ผมเขียนข้อความให้คุณแม่ของพี่เขาอ่านอย่างรวดเร็ว
“ดีเลย .. ป้าจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อของสดมาทำกินเอง
.. เมื่อวานนะ
กว่าป้ากับเจ้าหลานชายจะได้ทานมื้อเย็นก็โน่นสองทุ่มไปแล้วน่ะ .. แถมเจ้าหลานชายยังบ่นอุบว่าไม่อร่อยอีกต่างหาก .. ยังไงป้าก็ขอบใจนะที่เราเอามาฝากหนุ่มๆพวกนั้น”
‘ไม่เป็นไรครับ ..
ผมเต็มใจ .. ผมต้องขอตัวก่อนนะครับคุณป้า
พอดีผมมีเรียนเช้าน่ะครับ ..’
“เดินทางดีๆล่ะพ่อหนุ่ม .. ป้าขอบใจสำหรับมื้อเช้ามากเลยนะลูก
..”
“ครับ ..”
ผมหันหลังกลับไปยิ้มกว้างให้กับคุณแม่ของพี่เขา
เมื่อคุณแม่ยังคงขอบอกขอบใจผมไม่หยุด แม้ว่าผมจะเดินออกห่างจากรั้วบ้านของพี่เขามาตั้งไกลแล้ว
…
ผมรู้สึกโล่งจัง
ที่ทุกอย่างมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด …และผมก็ได้แต่หวังว่า
ถ้าหากคุณแม่ท่านทราบว่าผมไม่ได้แค่บังเอิญนำอาหารมาให้รุ่นพี่ข้างบ้านแต่พวกเขากลับไม่อยู่เลยต้องส่งต่อของฝากนั้นมาที่คุณแม่แทน
..
ท่านก็ยังคงจะเอ็นดูผมเหมือนอย่างที่ผมรู้สึกได้ในวันนี้
…
กว่าผมจะหายใจหายคอได้โล่งขึ้นมาบ้าง
ก็ต่อเมื่อหมดคาบเรียน เพราะผมต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าผมจะโดนอาจารย์ดุหรือเปล่าที่ผมเขาเรียนสายเป็นชั่วโมงขนาดนี้
“ป..เป็น .. อะ ..ไร” ผมถามทงเฮที่ไม่ยอมเก็บของหรือทำอะไรสักอย่าง
แม้ว่าทุกคนจะเดินออกจากห้องไปกันหมดแล้วก็ตาม
“ฉันอยากร้องไห้ว่ะ ..” ทงเฮไม่ยอมตอบผมอยู่พักใหญ่
แต่พอผมหันมาเก็บข้าวของใส่กระเป๋าของตัวเองต่อ
เขาก็ตอบผมอย่างไม่มีการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น
“ทะ .. ทำไม ?”
ผมถามอย่างไม่เข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คนเข้มแข็งอย่างทงเฮถึงกับอยากร้องไห้
“ฉันผิดมากเหรอซองมิน ? ผิดมากเลยใช่มั้ยที่อยากจะเอาใจเขาด้วยการซื้อของดีๆให้น้องสาวของเขาใช้น่ะ
.. กระเป๋ามันไร้ประโยชน์ตรงไหน ? ทำไมคิบอมต้องด่าว่าฉันใช้เงินไม่เป็นด้วย
แถมยังมาหาว่าฉันทำให้น้องสาวเขาเสียคนเพราะหัวสูงเรื่องกระเป๋าอีก!” ทงเฮสาธยายความในใจของเขาออกมาจนหมด โดยที่ขณะที่เขาพูด
เขาก็ใส่อารมณ์ลงมาในคำพูดด้วย
ราวกับว่าคนที่กำลังฟังเขาพูดอยู่ในตอนนี้คือคิมคิบอมไม่ใช่ผม ..
ผมไม่รู้จะปลอบใจทงเฮยังไง
จึงได้แค่ลูบหลังปลอบใจเขาเท่านั้น
วินาทีนี้ผมอยากให้อีฮยอกแจมาอยู่กับพวกเราด้วยจริงๆ เพราะถ้าหากเป็นฮยอกแจ
เขาจะต้องปลอบใจทงเฮได้ดีกว่านี้ ..
“ช่างเถอะ ฉันจะไม่สนไอ้บ้านั่นแล้ว! ไปทานข้าวกันเถอะ!” อยู่ๆทงเฮก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาตะโกนก้องไปทั่วห้อง
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บของใช้ของตัวเองใส่กระเป๋าอย่างมุ่งมั่น
เห็นอย่างนั้นผมก็เลยรีบเก็บของของตัวเองบ้าง ..
วันนี้ทงเฮโทรนัดฮยอกแจมาทานข้าวที่ร้านอาหารหน้ามหาลัยด้วยกัน
แต่พอมาถึงฮยอกแจกลับไม่ได้มาคนเดียว เพราะเขาพาแทมินมาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับเรานักเพราะผมเองก็สนิทกับแทมินพอสมควร
ส่วนทงเฮเองก็เข้ากับคนได้ง่าย ดังนั้นมื้อนี้ก็เลยไม่มีความอึดอัดใจให้เห็น ..
“มีอะไรหรือเปล่า
เห็นมองโทรศัพท์หลายรอบแล้ว? หรือว่าคิดถึงพี่คยู?” ฮยอกแจล้อผมขึ้นมากลางวง
เมื่อเห็นผมเอาแต่มองจ้องโทรศัพท์ของตัวเองที่วางเอาไว้บนโต๊ะ
“ชัวร์เลย .. พอกับแทมิน วันๆก็เอาแต่จ้องหน้าจอโทรศัพท์ทั้งๆที่ก็เรียนอยู่ด้วยกัน
แต่ดันคุยกันทางข้อความแชท อยู่ได้ ..”
ฮยอกแจบ่นออกมาพร้อมกับส่ายหัวอย่างต้องการจะเผื่อแผ่ท่าทางล้อเลียนไปให้คนที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์อยู่เป็นนานสองนาน
..
“ขนาดว่าแล้วยังไม่รู้ตัวเลย ดูสิ ..”
ฮยอกแจหันมาพยักเพยิดหน้าให้ผมกับทงเฮหันไปมองแทมิน
“ม ..มองอะไรกันเล่า!”
พออีกฝ่ายเริ่มจะรู้ตัวก็รีบเก็บโทรศัพท์ พร้อมกับนั่งหน้าแดงอวดเราสามคนกันใหญ่
พอใกล้จะบ่ายโมง พวกเราก็รีบเช็คบิลและเดินออกจากร้านเพื่อไปเข้าเรียนในภาคบ่าย
แต่ปรากฏว่าแทมินโทรเรียกให้มินโฮมารับพวกเราที่หน้าร้าน
พวกเราก็เลยไม่เสียเวลาในการเดินทางมากนัก
ตลอดทางที่ผมนั่งตรงเบาะหลัง
ผมรับรู้ได้ถึงสายตาห่วงใยของมินโฮอยู่ตลอดเวลา สายตาคู่นั้นมันเหมือนกับอยากจะถามว่าวันนี้ผมอาการดีขึ้นจนหายห่วงแล้วใช่ไหม
? ทานยาหรือยัง ?
แต่ผมก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็นและไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น
เพราะผมกำลังอึดอัดใจ ..
ตลอดทั้งคาบเรียน ผมไม่เป็นเรียนเลยจริงๆ เหตุเพราะพี่เขาเงียบหายไปเลย
ผมส่งข้อความไป เขาก็ไม่ตอบกลับ ผมโทรหาเขาก็ไม่รับ จนผมอดกังวลไม่ได้ว่าสิ่งที่ผมคิดบางทีมันอาจจะกลายเป็นจริง
..
พี่เขาต้องโกรธผมแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางเงียบหายไปแบบนี้ ..
ผมควรจะทำยังไงให้ใจของผมมันรู้สึกโล่งขึ้นมาได้บ้าง …
พอเลิกเรียนผมกับทงเฮก็ต่างคนต่างแยกทางกันกลับบ้าน
และระหว่างทางที่ผมเดินกลับ ผมก็เจอกับมินโฮอีกแล้ว เขาอาสาไปส่งผมที่บ้าน
เพราะเขาจะเข้าไปหาพวกพี่อีทึกพอดี ผมก็เลยติดรถเขากลับไปด้วย ..
“หายปวดหัวแล้วใช่มั้ย ?” ทันทีที่ผมขึ้นมานั่งบนรถ
เขาก็ถามไถ่อย่างห่วงใย
“อื้อ”
“สร้อยนั่น
.. ผมขอบคุณนะที่ซองมินยังไม่ทิ้งมันไป
..” หลังจากที่เงียบไปนาน
เขาก็พูดขึ้นมาในขณะที่ดวงตาของเขากำลังมองเส้นทางเบื้องหน้าอยู่
“อืม
..”
“ผมดีใจที่ซองมินเก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดเวลา
..”
เขาหันมายิ้มให้ผม แต่ผมกลับทำสีหน้าไม่ถูก
เพราะตอนนี้สร้อยเส้นนั้นผมไม่ได้เก็บมันไว้กับตัวอีกแล้ว ..
เพราะผมนำมันเก็บใส่กล่องเอาไว้ในลิ้นชักเขียนหนังสือแทน เนื่องจากผมไม่กล้าทิ้งมันได้ลงคอ
..
“ผมขอแค่ซองมินยอมให้ผมได้ดูแลบ้าง
.. ก็พอ ..” เมื่อรถจอดเทียบท่าตรงหน้าประตูบ้าน เขาก็เอื้อมมือมาจับมือของผมไว้และพูดประโยคนั้นออกมา
ซึ่งมันทำให้ผมใจอ่อน
เพราะผมเองก็พอจะเข้าใจว่าการถูกเมินจากคนที่ตัวเองชอบมันเจ็บปวดมาก
เพราะครั้งหนึ่งผมก็เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้นมาแล้ว …
ผมอดปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าผมรับรู้มาตลอดว่าเขายังตัดใจจากผมไม่ได้ …
‘นายมีแฟนแล้ว
จะมีเวลาอะไรมาดูแลเราล่ะ .. เราไม่ใช่เด็กๆที่ต้องมีคนมาคอยดูแลสักหน่อย’
แต่สุดท้ายความใจอ่อนมันก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน
เมื่อผมนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้มินโฮคบกับแทมินแล้ว ถ้าหากผมใจอ่อนนึกสงสารเขา คนที่น่าสงสารที่สุดอาจจะเป็นแทมินเพื่อนของผมอีกหนึ่งคน
..
“มีสิ .. ผมมีเวลาให้ซองมินเสมอน่ะ อยู่ที่ว่าซองมินจะต้องการมันหรือเปล่า”
พอเขาพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก
เลยรีบเปิดประตูลงจากรถและเดินเข้าบ้านของตัวเองไป ..
ผมไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ..
ดูท่าแล้ว ผมกับมินโฮคงยังไม่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้อย่างที่ผมกับเขาพยายามให้มันเป็น
..
เย็นนี้ผมทำเป็นทำอาหารไปเผื่อคุณแม่ของพี่เขา
โดยอ้างว่าผมทำเอาไว้เยอะเพราะคิดว่าน้องชายจะกลับบ้าน
คุณแม่ของพี่เขาจึงไม่ผิดสังเกตอะไรนัก
ที่ผมคิดอย่างนั้นก็เพราะท่านไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับผม
นั่นก็แสดงว่าท่านยังไม่ทราบว่าผมคือคนที่ลูกชายของท่านฝากฝังท่านเอาไว้
ผมกับคุณแม่ยังไม่เคยเจอกัน
และพี่เขาก็ไม่น่าจะเคยเอารูปของผมให้ท่านดู
เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นท่านต้องออกอาการอะไรบ้างแล้ว
แต่นี่ท่านกำลังเข้าใจว่าผมคือพ่อหนุ่มใจดีที่มอบร่มให้กับท่านและหลานชายในวันที่ฝนกำลังตกเพียงเท่านั้น
..
“อ ..อ้าว .. ทะ ..ทำไม ..มา ..นอน ..บ้าน .. ล ..แล้ว ..” ผมกำลังจะปิดประตูบ้านเพื่อเตรียมตัวเข้านอน
แต่ปรากฏว่าซองจินขับรถมาจากที่หน้าบ้านเสียก่อน ผมจึงยืนรอน้องอยู่ตรงปากประตู
และเมื่อซองจินเดินเข้ามาในบ้านผมก็รีบตั้งคำถามใส่เขาเสียยกใหญ่ แต่ผมก็ต้องมาตกใจเมื่อเห็นฝ่ามืออันโชกเลือดของน้องชายปรากฏอยู่ตรงหน้า
ผมประครองฝ่ามือของน้องขึ้นมาพิจารณาอย่างเป็นห่วง
พลางวุ่นหากระดาษทิชชู่มาซับเลือดให้เขาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก
เพราะมือของผมมันสั่นมาก ..
“ไม่ใช่เลือดของผมหรอก ..” ซองจินพูดแค่นั้น
แล้วก็ชักฝ่ามือของตัวเองออกจากฝ่ามือของผม
“อื้อ”
ผมพยักหน้ารับอย่างโล่งใจ เมื่อรู้ว่าน้องไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน
“ไปนอนก่อนนะ
..”
“อืม
..”
เมื่อผมรับคำขอจากเขาแล้ว ซองจินก็หันหลังเดินขึ้นบ้านไปทันที โดยที่ผมก็ได้แต่สงสัยว่าเลือดที่มือของซองจินนั่น
ถ้าหากไม่ใช่เลือดของน้องแล้วมันจะเป็นเลือดของใครไปได้ ..
ครืด ครืด ..
ผมหยุดความคิดของตัวเองลง เมื่อโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกระเบื้องหน้าทีวีมันกำลังสั่นไหว
และเมื่อผมหยิบมันขึ้นมาเปิดหน้าจอ
ผมก็เห็นว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โทรศัพท์ของผมมันกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ..
“ฝันถึงพี่นะ ..”
ผมยิ้มกว้างออกมาเมื่อข้อความที่ส่งมาเป็นของคนที่ผมรอคอยมาทั้งวัน
ขณะที่ผมอ่านข้อความนั้น ผมก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงต้องพยักหน้ารับคำของพี่เขาด้วย
ในเมื่อต่อให้ผมพยักหน้ารับแทบเป็นแทบตาย พี่เขาก็ไม่มีทางมองเห็นอยู่ดี ..
“ครับ ..”
หลังจากข้อความของผมถูกส่งออกถึงพี่เขา
ผมก็เหมือนกับได้ยกภูเขาออกจากอกภายในเสี้ยววินาที
ความกังวลใจทั้งหลายมันเริ่มหายไป แม้มันจะหายไปไม่ทั้งหมดก็เถอะ ..
แต่มันก็ยังดีกว่าวันนี้ทั้งวันที่ผมต้องทนอยู่กับความว้าวุ่นที่เกิดจากตัวแปรสำคัญที่ชื่อว่า
…
'โจวคยูฮยอน'
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
มาต่อแล้วค่า ต่อช้านิดนึงแต่ก็ถือว่าอัพแหละเนอะ
อิอิ วันหยุดก็อัพติดต่อกันได้ แต่ถ้าวันทำงานก็ดองยาวๆ คึคึคึ
พี่โมเมออกน้อยไปหน่อย กรั่กๆ
อย่าเพิ่งคิดถึงกันไป
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [42]