วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [34]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 

 


 
 

[34]


                ช่วงนี้พี่คยูดูไม่ค่อยจะมีเวลาว่างสักเท่าไหร่ เราสองคนจะได้เจอหน้ากันก็ต่อเมื่อถึงเวลาจะนอนแล้วเท่านั้น ช่วงกลางวันพี่เขาต้องออกไปทำกิจกรรมด้านนอกรั้วมหาลัย ซึ่งกว่าพี่เขาจะกลับก็ดึกดื่นจนผมเข้านอนแล้วทุกที ..
                ส่วนซองจินน่ะเหรอ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ยอมกลับมานอนที่บ้านเหมือนเดิม ..
                แต่ดีหน่อยที่ช่วงนี้ซองจินจะมารับมาส่งผมไปร่วมวงกินข้าวด้วยกัน

                 ผมรีบก้มหน้าก้มตาเดินเมื่อตอนนี้มันล่วงเลยเวลานัดทานข้าวของผมกับซองจินและเพื่อนๆของเขาไปมากแล้ว ซึ่งอันที่จริงผมก็เลิกเรียนนานแล้ว แต่ว่าอาจารย์เรียกให้ผมมาช่วยถือเอกสารประกอบการเรียนไปเก็บที่ห้องพักอาจารย์ ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายเดินไปหาซองจินที่ตึกวิศวะเสียเอง
                “อ๊ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อร่างของผมปะทะกับร่างของใครอีกคนที่กำลังจะเดินสวนกันผ่านทางมุมตึกพอดิบพอดี ตัวผมเกือบจะหงายหลัง แต่ยังดีที่อีกฝ่ายคว้าแขนของผมได้ทัน ..
               
                 “อ้าว ซองมิน!” อีกฝ่ายเรียกชื่อของผมอย่างสนิทสนม และถ้าหากเสียงของเขาไม่คุ้นเคยขนาดนี้ ผมก็คงจะนึกแปลกใจไปนานแล้ว
                “กำลังจะเดินไปรับพอดี .. แล้วที่ชนกันเมื่อกี้ เป็นอะไรหรือเปล่า ?” ฮยอกแจฉีกยิ้มกว้างใส่ผม พลางถามผมใหญ่ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมจึงส่ายหน้าเบาๆ

                “นี่รู้จักกันด้วยเหรอ ?” เสียงของใครอีกคนดังขัดบทสนทนาของผมกับฮยอกแจขึ้น จึงทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าบริเวณนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับฮยอกแจเท่านั้น
                “เออ .. เพื่อนกูเอง ..” ฮยอกแจหันไปพยักหน้าให้กับผู้ชายที่ส่วนสูงไม่ต่างกันนัก
                ถ้าหากผมจำไม่ผิด ผู้ชายคนนี้คือคนที่พี่คยูเดินเข้าไปหาเรื่องเมื่อวันนั้นนี่ ?

                “ซองมิน .. นี่ทงเฮเพื่อนสมัยประถมของเราเอง ..” ผมได้แต่ผงกหัวหงึกหงักอย่างไม่รู้จะตอบรับอย่างไรดี
                “ส่วนนี่ก็ซองมินเพื่อนคนที่กูเล่าให้มึงฟังไง” ฮยอกแจหันไปแนะนำผมให้กับผู้ชายที่ชื่อทงเฮ ซึ่งเรียนอยู่คณะและสาขาเดียวกันกับผม ต่างกันก็แค่ผมถนัดไวโอลิน ส่วนเขาถนัดฟรุต ..

                “มึงอำกูหรือเปล่าไอ้หน้าลิง” ทงเฮส่ายหัวพรืดอย่างไม่อยากจะเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่ฮยอกแจเคยเล่าให้ฟัง
                “อำพ่อง! ไอ้หน้าปลาจรวด ..” อีฮยอกแจตบหัวผู้ชายที่ชื่อทงเฮอย่างแรง พลางบ่นเพื่อนสมัยประถมของตัวเองด้วยคำบ่นที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าหน้าตาของผู้ชายที่ชื่อทงเฮคนนี้ มันไปเหมือนกับปลาจรวดตรงไหน
                เพราะผมไม่รู้จักปลาจรวดนี่สิ ผมก็เลยฟันธงไม่ได้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือน..

                “นายคิดอะไรน่ะ ? ทำไมต้องทำหน้าตาอย่างนั้น ? อย่าบอกว่านายกำลังคิดว่าฉันหน้าเหมือนปลาจรวดจริงๆ ?” ผมทำหน้าตาเหลอหลา เมื่อจู่ๆทงเฮคนนั้นก็หันมาพูดกับผม แถมยังพูดด้วยสีหน้านิ่งๆอีกต่างหาก ผมจึงทำได้แค่ส่ายหน้าพรึ่บพั่บ แม้ว่าผมจะแอบคิดแบบนั้นจริงๆก็ตาม ..
                “ตายห่าจะเที่ยงครึ่งแล้ว รีบไปกันดีกว่าซองมิน เดี๋ยวไอ้ซองจินมันอาละวาดตายเลย เวลามันหิวทีนี่น่ากลัวชิบ” ฮยอกแจทำสีหน้าสยองขวัญใส่ผม พลางสะบัดหน้าไปมาอย่างต้องการให้รู้ว่ามันน่ากลัวจริงๆ ผมจึงทำได้แค่ยิ้มแล้วก็พยักหน้าตอบรับเพียงเท่านั้น ..

                “ไปแดกข้าวกับกูมั้ยมึง ? ยังไงไอ้คิบอมมันคงไม่หลุดออกมาจากห้องแล็บได้ง่ายๆหรอก” พอตกลงกับผมได้    ฮยอกแจก็หันไปถามเพื่อนสมัยประถมของตัวเอง
                “เออๆ” ทงเฮตอบรับอย่างจำยอม คล้ายกับว่าเขาอยากจะไปทานมื้อกลางวันกับคนที่ชื่อคิบอมมากกว่า
                ว่าแต่คนที่ชื่อคิบอมเนี่ย จะใช่คนที่ทำให้พี่คยูฟิวส์เกือบขาดหรือเปล่านะ ?
           
                ครืด ครืด ..

                ระหว่างเดินทางไปคณะวิศวะ ผมก็ได้แต่ฟังสองเพื่อนซี้เค้าคุยกัน จนกระทั่งโทรศัพท์คู่กายมันสั่นครืดคราดเสียจนผมต้องรีบเปิดกระเป๋าลงไปควานหาต้นขั้วของแรงสั่นสะเทือน ..
                พอเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ผมก็อมยิ้มตรงมุมปากหนึ่งที ก่อนจะกดรับสาย พลางส่งเสียงเรียกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในสายและตั้งหน้าตั้งตารอการตอบรับจากเขาอยู่

                “น้องแฟนทานข้าวหรือยัง?
                “ยะ ..ยัง ..” ผมส่ายหน้าประกอบคำพูดแม้ว่าพี่เขาจะมองไม่เห็นก็ตามที

                “อ้าว แล้วทำไมยังไม่กิน นี่มันเที่ยงกว่าแล้ว ..” พี่เขาถามด้วยน้ำเสียงดุนิดๆ
                “ก..ก็ ..ปะ ..ไป ..ชะ ..ช่วย ..อะ ..อา ..จะ ..จารย์ ..ถือ ..ขะ ..ของ ..” ผมตอบโดยการเค้นเสียงให้เป็นประโยคอย่างยากลำบาก เพราะบางคำผมก็ยังพูดได้ไม่คล่องปากนัก

                “แล้วนี่ไปกินกับใคร? ซองจินใช่มั้ย ?
                “อื้อ”

                “น้องแฟนรีบกินข้าวนะ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพราะ ..
                “อื้อ”

                “งั้นพี่วางสายก่อนนะ หมดเวลาพักแล้ว” ผมดึงโทรศัพท์ออกจากใบหู พลางหยุดยืนจ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่อย่างนั้น เพราะเมื่อกี้พี่เขามาเร็วไปเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน
เนื่องจากใจของผมยังคงอยากจะได้ยินเสียงของพี่เขาอีกนานๆ

                “อ้าวๆ มัวแต่ยืนอึ้งอยู่นั่น ไม่ไปกินข้าวเหรอซองมิน .. หรือว่า …..” ผมเงยหน้าขึ้นมองฮยอกแจที่เดินกลับมาหาผมที่ยืนนิ่งอยู่คนเดียวตรงด้านหลัง
                ….

                “แค่ได้คุยกับพี่คยู ซองมินก็อิ่มอกอิ่มใจแล้ว ?” ฮยอกแจเล่นหูเล่นตาใส่ผมใหญ่เลย แถมยังแย่งเอาโทรศัพท์จากในมือของผมไปอีกด้วย ผมก็เลยต้องวิ่งหน้าตาตื่นเพื่อแย่งโทรศัพท์ของตัวเองกลับมาคืนมา เพราะฮยอกแจกำลังจะกดโทรออกหาบุคคลผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ..
                นั่นก็คือพี่คยูฮยอน ..

                ผมนึกโล่งใจที่พี่เขาไม่ได้รับสาย และเมื่อผลมันออกมาเป็นแบบนั้น ฮยอกแจก็เลยคืนโทรศัพท์มือถือมาให้ผม พลางบ่นอุบอิบว่า หมดสนุกเลย
                พอไปถึงที่โต๊ะอาหารของคณะวิศวะ ผมก็เลยฟ้องซองจินว่าเมื่อกี้ผมถูกฮยอกแจแกล้ง ทีนี้ฮยอกแจก็เลยโดนรุมแซวเข้าให้ซะเอง ซึ่งเรื่องที่พวกเพื่อนๆเอามาพูดแซวก็ไม่พ้นเรื่องของพี่ซีวอนอีกนั่นแหละ ยิ่งมีทงเฮมาผสมโรงด้วย อีฮยอกแจก็ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่นั่งหน้าแดงเป็นลูกเชอรี่อย่างสงบปากสงบคำซะงั้น ..

                ทงเฮเข้ากับเพื่อนๆของฮยอกแจได้เร็วมาก เผลอแป้บเดียวก็คุยถูกคอกันซะแล้ว แต่พอเขาต้องมาอยู่กับผมตามลำพัง เขากลับเงียบกริบไปเลยแฮะ
                เราสองคนกำลังเดินกลับคณะของตัวเองพร้อมกัน เพราะตอนบ่ายเราสองคนยังมีเรียนกันต่อ ระหว่างเดินด้วยกันเงียบๆแบบนี้ ผมก็คิดทบทวนอยู่หลายตลบว่าผมควรจะเริ่มจากหันไปยิ้มกับทงเฮแบบที่พี่คยูเคยแนะนำดีไหม
                ไม่ใช่อะไร บรรยากาศระหว่างผมกับเขาในตอนนี้มันน่าอึดอัดเอามากๆ

                “นาย!” ผมกำลังจะฉีกยิ้มให้เขาตามที่พี่คยูเคยแนะนำ ก็ถึงกับตกใจเมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็พูดทักผมออกมาเหมือนกัน และเพราะมันบังเอิญแบบนั้น หน้าตาของผมก็เลยออกอาการตลกเอามากๆ เดาได้ไม่ยากเลยว่าสีหน้าของผมคงจะเหวอ สุดๆ ทงเฮก็เลยหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งไปเลย ..
                ยิ่งเขาเอาแต่หัวเราะ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก มือไม้ก็พาลจะเกะกะไปหมด

                “โอยยย .. หัวเราะจนเหนื่อย” ทงเฮออกอาการขำจนสำลักน้ำลายของตัวเองอยู่หลายที แถมเขายังต้องยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่มันไหลออกมาจากหางตาของเขาด้วย เมื่อเขาเอาแต่หัวเราะไม่ลืมหูลืมตาแบบนั้น ..
               

                “ตอนแรกเราก็นึกว่านายจะหยิ่ง เห็นไม่สุงสิงกับใครแบบนั้น ..” ผมหันไปมองหน้าทงเฮที่ตอนนี้สีหน้ากลับมาเป็นปกติดีแล้ว
               

                “อีกอย่าง .. เวลามีงานกลุ่ม นายก็ออกตัวทำเดี่ยวตลอด ฉันก็เลยไม่ชอบขี้หน้านาย .. ยิ่งนายไม่คุยกับใครก็ยิ่งไม่ชอบ .. วันนั้นพอเห็นนายอยู่กับแฟน ? ก็เลยออกอาการตกใจนิดหน่อย แล้วยิ่งมาเห็นตอนนายอยู่กับเพื่อนๆ ความคิดของฉันก็เลยเปลี่ยนไป ..” ทงเฮหันมายิ้มให้ผมที่กำลังตั้งใจฟังที่เขาพูด
                “ฉันว่านายกับฉัน เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะว่ามั้ย ?” ผมถึงกับหยุดเดิน เมื่ออยู่ๆก็ได้ยินคำไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อน ออกมาจากปากของใครอีกคนที่ผมอาจจะได้เรียกเขาว่า เพื่อน

                “จะ ..จริง ..ระ ..เหรอ ?” ผมเสียงสั่นด้วยความดีใจ ก็เลยทำให้การพูดการจาของผมยิ่งยากขึ้นไปอีก
                “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้าพลางส่งเสียงตอบรับในลำคอให้ผมมั่นใจ

                “พะ..เพื่อน .. ระ ..เรา ..จะ ..ปะ ..เป็น ..พะ ..เพื่อน .. กัน” ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังตื่นเต้นเอามากๆ
                “ใช่ .. เราจะเป็นเพื่อนกัน” อีกฝ่ายหันมาตอบพลางยักคิ้วใส่ผม

                “อื้อ ..พะ ..เพื่อน ..กัน”
                “ฉันว่าจะถามตั้งแต่อยู่บนโต๊ะอาหารแล้ว .. แต่กลัวจะเสียมารยาท” ผมทำหน้าสงสัย เมื่ออยู่ๆทงเฮก็เปลี่ยนเรื่องพูด

                “อ..อะไร ?
                “ทำไมเวลานายพูดถึงได้ฟังดูแปลกๆ เหมือนคนพูดไม่เป็น ?” ผมหยุดเดินอย่างกะทันหัน แถมใจของผมก็ยังเต้นแรงอีกด้วย ฝ่ามือของผม สองขาของผม มันออกอาการชาวาบไปหมด เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้น ..

                “ความจริงแล้วนาย กำลังอยู่ในช่วงหัดพูดใช่มั้ย?
                ” ผมเงียบและยืนก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้น แถมสองมือของผมก็ยังกอบกุมกันแน่นอีกด้วย ความกังวลใจมันแผ่ซ่านไปทั่วใจของผม ถึงมันจะไม่มากเหมือนครั้งนั้นที่พี่คยูรู้ความจริงก็เถอะ
                ผมกับเขา เราเพิ่งจะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ถ้าหากเขารู้ว่าผมเคยพูดไม่ได้ และตอนนี้ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่าแต่ก่อนเท่าไหร่ เขาจะรังเกียจเพื่อนแบบผมหรือเปล่า ? เขาจะทำเป็นลืมคำพูดของตัวเองมั้ยว่าเราเป็นเพื่อนกัน
                ถ้าผมพูดความจริง ผมจะต้องผิดหวังหรือเปล่า ?

                ผมสับสน เพราะผมกำลังกลัวในคำตอบทั้งของตัวเองและทงเฮ ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเลือกพูดโกหก หรือว่าผมควรจะทำเป็นนิ่งไปซะ ผมไม่รู้เลยว่าผมควรจะทำอย่างไร เพราะทุกการกระทำของผม ล้วนตอบสนองต่อคำตอบของทงเฮแทบทั้งสิ้น ทุกความกดดัน มันผลักดันให้ผมหมดกำลังใจ และเผลอออกตัววิ่งกลับหลังหัน ออกห่างจากทงเฮที่ยืนรอฟังคำตอบจากผมอยู่
                ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาและออกแรงวิ่งอย่างไร้จุดหมาย

                ผมทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพงเมื่อผมหมดเรี่ยวแรงที่จะวิ่งต่อไป และเมื่อนั่งลงกับพื้นได้ ผมก็ซบใบหน้าของตัวเองเอาไว้ที่หัวเข่า ผมนั่งอยู่อย่างนั้นตั้งแต่บ่ายจนกระทั่งท้องฟ้ามันสนิท ผมกลับบ้านพร้อมด้วยใบหน้าโทรมๆ กับหน้าตาบวมๆอย่างหมดสภาพ
                “น้องแฟน ?” แต่เมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในบ้านของตัวเอง ผมก็ถึงกับสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อภาพเบื้องหน้าของผมคือพี่คยูที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเป็นห่วง ..

                “พี่ครับ ..” พอเห็นหน้าของพี่เขา ผมก็เกิดอาการน้ำตาตื้นขึ้นมา ก็เลยเดินตัวปลิวเข้าไปโอบกอดพี่เขาไว้ พลางแนบใบหูของตัวเองเพื่อฟังกำลังใจจากพี่เขาเพื่อให้ตัวเองได้เข้มแข็งขึ้น ..
                “เป็นอะไรไปครับ ทำไมถึงกลายร่างเป็นผ้าขี้ริ้วแบบนี้ ..” พี่เขาโอ๋ผมโดยการโยกตัวไปมา พลางถามผมแกมหยอก ผมก็เลยใช้ฝ่ามือดึงชายเสื้อของพี่เขาแรงๆ เมื่อพี่เขาบังอาจมากล่าวหาว่าสภาพของผมมันสกปรกเหมือนผ้าขี้ริ้ว

                หลังจากปลอบขั้นต้นจนสำเร็จ พี่เขาก็ไล่ให้ผมไปอาบน้ำ ส่วนพี่เขาจะนั่งรอต่อคิวอาบน้ำอีกรอบบนโต๊ะเขียนหนังสือ เนื่องจากผมทำให้พี่เขากลายเป็นผ้าขี้ริ้วแพ็คคู่ พี่เขาก็เลยต้องอาบน้ำใหม่อีกรอบ ..
                พี่เขาไม่ถามผมสักคำว่าผมไปเจอมาอะไรมา แต่เขากลับปลอบผมโดยที่เขาไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น ซึ่งมันก็น่าแปลกที่การกระทำของเขาทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ..

                ตอนนี้ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว และกำลังตั้งใจฟังเสียงการอาบน้ำของพี่คยูอยู่ เนื่องจากผมตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้พี่เขารู้ แต่พอพี่เขาอาบน้ำจนเรียบร้อยแล้วจริงๆ ผมกลับเล่าไม่ออกซะนี่ ..ก็พี่เขาเล่นทิ้งตัวลงมานอนกอดผมจากทางด้านหลัง ทั้งๆที่เนื้อตัวก็ไม่ยอมเช็ด แถมเสื้อผ้าท่อนบนก็ไม่ยอมใส่อีกต่างหาก
                จากแต่เดิมที่ผมก็พูดออกมาเป็นประโยคได้ยากอยู่แล้ว
                พอมานาทีนี้ มันดันพูดยากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า !!!

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


มาต่อช้าไปหน่อย คือไปเที่ยว ตปท กับครอบครัวมาค่ะ แหะๆ ไปไม่บอกไม่กล่าว ไม่ร่ำลา กร๊ากกก ตอนนี้เน้นไปที่เพื่อนใหม่ของน้องแฟนกันสักหน่อยแล้วกันเนอะ แล้วก็ปิดท้ายด้วยกำลังใจจากพี่โมเม

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น