วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เพ(ร)าะรัก
 
 
Special by Kyuhyun 7


พี่อาราโทรมาหาผมแต่เช้า เธอบอกว่าคุณพ่อไปหาเธอที่คอนโด ตั้งใจว่าจะมาปรึกษาเรื่องผม แต่พอท่านทราบว่าพี่อาราก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว มิหนำซ้ำพี่เขยเองก็ทราบและยังเห็นดีเห็นงามไปด้วยอีกคน ท่านก็เลยยิ่งหงุดหงิด
จำได้ว่าคำถามแรกที่ท่านสอบถามพี่สาวกับพี่เขยก็คือ ทำไมถึงไม่มีใครบอกเรื่องนี้กับพ่อเลยสักคนทันทีที่ได้ยินคำถามแบบนั้น ทั้งพี่สาวและพี่เขยต่างก็ไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมา ด้วยเพราะสถานการณ์มันชวนให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก คุณพ่อจึงยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ แล้วถ้าหากท่านทราบว่า มูนีร์เองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี คุณพ่อจะรู้สึกยังไง จะยิ่งผิดหวังในตัวผมแล้วพาลโกรธคนรอบข้างที่เกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า?

ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ ท่านได้ตั้งคำถามกับพี่เขยโดยตรง ด้วยประโยคที่ว่า พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมชะรีฟถึงได้เห็นดีเห็นงามไปด้วย ทั้งๆที่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องผิดบาป หากเรารักและหวังดีกับคยูฮยอน ทำไมเราถึงสนับสนุนเขาในทางที่ไม่ถูกไม่ควร?’ พี่อาราบอกผมว่า หลังจากคำถามนั้นจบลง คุณพ่อก็เดินออกจากห้องและเหลือทิ้งไว้เพียงความลำบากใจ
พอได้ฟังแบบนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดกับพี่สาวและพี่เขยของตัวเองมาก เพราะพวกเขาทั้งสองคน ดีกับผมเกินกว่าจะบรรยายได้ พวกเขาพยายามจะเข้าใจผม และคอยพูดถึงเหตุผลต่างๆให้ผมฟัง แถมยังคอยให้คำแนะนำดีๆกับผมเสมอ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง ผมถูกหลอกให้ไปดูตัวกับมูนีร์ ในตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร และบังเอิญว่าตอนนั้น ผมกับซองมินก็ได้เริ่มคบหาดูใจกันแล้ว สถานการณ์ของผมจึงตึงเครียดมากเป็นพิเศษ

ในช่วงนั้นพวกเขาพยายามจะชี้ข้อดีให้ผมเห็น ยิ่งพี่เขยที่เคยมีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งเข้าใจผมมากกว่าใคร แต่ปัญหาของผมมันอยู่ตรงที่ ผมไม่สามารถทำใจยอมรับกับเรื่องแบบนี้ได้
ผมควรจะมีอิสระทางความรู้สึกและควรจะมีอิสระทางด้านความรัก พอพวกเขาทราบว่าผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว พวกเขาจึงเปลี่ยนจากการให้คำแนะนำเป็นการให้กำลังใจ ขณะที่บางทีผมก็อยากจะถามพี่เขยว่า เขาทำยังไง ครอบครัวถึงได้ยินยอมให้เขาสร้างอนาคตร่วมกันกับพี่อารา..
ผมจะได้เอาวิธีนั้นไปใช้บ้าง..
แต่ก็นั่นล่ะ พี่เขยเขาไม่ได้เป็นแบบผม ยังไงซะวิธีไหนก็คงใช้ไม่ได้ผล..

ช่วงนี้ฮาบีต้องไปเรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์ หรือบางทีก็ได้อาจารย์ผู้สูงศักดิ์เป็นคู่ทดสอบในการสนทนาด้วย พวกเขาค่อนข้างเข้ากันได้ดีกว่าที่ผมคิด อาจเป็นเพราะภาษาอังกฤษที่ถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือการที่พวกเขาทั้งสองคนทราบว่าฮาบีคือคนสำคัญของผม พวกเขาจึงให้ความสำคัญกับฮาบีด้วย
เท่าที่ทราบมา ฮาบีเขาได้รับพระราชทานชื่อในภาษาอาราบิกจากท่านอามินด้วยเหตุผลที่ว่า ภาษาเกาหลีมันออกเสียงยาก ท่านจึงประทานชื่อ นีสรินให้กับฮาบี จำได้ว่าเมื่อคืนเราสองคนต่างนอนมองหน้ากัน พลางหาเรื่องราวต่างๆ มาพูดคุยกัน เพื่อที่จะประคับประคองความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่าน ฮาบีเขาเลยหยิบยกเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ผมฟัง
สำหรับความรู้สึกแรกตอนที่ได้ยินชื่อนี้ ผมคิดว่ามันเป็นชื่อที่เหมาะกับเขามากเพราะ กุหลาบสีขาวมักจะโดดเด่นและบริสุทธิ์เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
สำหรับผม คงไม่มีชื่อไหนในภาษาอาราบิกที่เหมาะกับเขามากเท่าชื่อนี้อีกแล้ว..

ครืด ครืด..

ผมหลุดจากภวังค์ เมื่อโทรศัพท์มือถือกำลังดึงผมออกจากห้วงแห่งความคิด บนหน้าจอปรากฏรายชื่อผู้โทรเข้า ว่า คุณแม่โซเฟียยะห์ฉับพลันผมเกิดนึกลังเลใจขึ้นมา ว่าผมควรจะกดรับสายดีไหม ที่จริงผมไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจอะไรท่านหรอก เพียงแต่เมื่อวานผมพูดและคิดออกไปโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง

“ครับ..” สุดท้ายผมก็ตัดสินใจรับสาย พลางกรอกเสียงอันแหบพร่าของตัวเองออกไป
“เป็นยังไงบ้างอัสลาน?” ด้วยเพราะความเงียบกำลังห้อมล้อมผมไว้ สุ้มเสียงของเธอจึงดังก้องไปทั่วห้อง และทันทีที่ได้ยินคำถามด้วยความห่วงใย จู่ๆ ในใจของผมกลับรู้สึกวูบโหวง เพราะทุกครั้งที่ผมได้คุยกับท่าน มันจะทำให้ผมโหยหาคุณแม่ ที่ตอนนี้คงจะเฝ้ามองผมอยู่บนฟ้า ผมจึงไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับท่านมากนัก แต่ว่าในใจของผมกลับรักท่านมากกว่าที่แสดงออก

คุณแม่โซเฟียท่านสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ท่านเลยไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเองได้ ท่านจึงรักผมและพี่อาราเหมือนลูกแท้ๆ ฝ่ายพี่สาวผมน่ะ เธอทั้งกอดทั้งหอมท่านทุกครั้งที่กลับบ้าน มิหนำซ้ำยังโทรศัพท์หากันทุกวัน คุยกันมากกว่าคุณพ่อผู้ให้กำเนิดเสียอีก แต่กับผมแทบจะไม่เคยเอ่ยถึงท่านเลย จึงทำให้ไม่มีใครทราบว่าผมเองก็มีคุณแม่บุญธรรมกับเขาด้วย
“ก็ไม่ค่อยดีหรอกครับ..” ผมตอบพลางกะพริบตาปริบๆ เพื่อห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“แม่คิดว่าเราควรให้เวลาคุณพ่อเขาหน่อยนะ ที่เขาทำไป มันก็เป็นเพราะเขาห่วงเราทั้งนั้นแหละ”

” ผมเงียบ พลางเม้มริมฝีปากแน่น ขณะที่ฝ่ามือก็กำโทรศัพท์ไว้ไม่ห่างจากใบหู
“จริงๆแล้ว พวกเราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใครที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในหลักการเดียวกันหรอกนะ ฉะนั้นเรื่องความรักของลูกมันจึงไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่กลับกันถ้าหากลูกยึดถือในหลักการเดียวกันกับแม่ คุณพ่อ หรือแม้แต่อารากับคุณชะรีฟความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ พวกเราถือเป็นสิ่งที่ผิดมหันต์สมควรได้รับการลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้า” น้ำตาของผมไหลออกมาแล้ว เพียงแค่คุณแม่บุญธรรมค่อยๆ พูดออกมาทีละประโยค

“แต่ถึงอย่างนั้น ความรักของลูกก็คงไม่มีวันเป็นที่ยอมรับสำหรับที่นี่ เพราะเขามีกฏหมายระบุไว้อย่างชัดเจน แล้วกฎหมายก็ขึ้นอยู่กับหลักการที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้ ดังนั้นถ้าหากลูกเป็นพลเมืองของที่นี่ ลูกต้องเคารพกฏหมายของที่นี่ด้วย แต่ในเมื่อไม่มีใครเปลี่ยนแปลงลูกได้ คงมีทางเลือกแค่สองทางคือลูกต้องรักษาให้หาย หรือไม่ก็ต้องปกปิดความสัมพันธ์ของลูกให้เป็นความลับตลอดไป.. สังคมของลูกไม่ได้มีแค่ครอบครัว เพื่อนที่ทำงาน ท่านอะรีบ หรือแม้แต่คุณมูนีร์แค่นั้นนะ เพราะเราไม่มีวันรู้ได้เลย ว่าความลับของเรา ถ้าหากมีคนรับรู้เพิ่มขึ้น พวกเขาจะยอมรับได้มันได้หรือเปล่า แล้วถ้าเกิดว่าพวกเขายอมรับไม่ได้ ลูกจะทำยังไง..
“คนอื่นจะคิดยังไงผมไม่สนใจเขาหรอกครับ สำคัญแค่คุณพ่อ คุณแม่โซเฟีย ท่านอะรีบ มูนีร์และเพื่อนสนิทของผม ทุกคนรับกันได้หรือเปล่า ผมชอบเขามานานแล้วครับ ถ้าหากการที่ผมชอบเขา มันหมายถึงผมคือหนึ่งในกลุ่มคนที่ไม่เป็นที่ยอมรับของที่นี่ ผมก็คงห้ามความคิดพวกเขาไม่ได้ เพราะผมคงไม่มีวันเลิกรักซองมินได้จริงๆครับ”

“ลูกไม่สนใจไม่ได้หรอกนะ ถ้าเกิดคนพวกนั้นไปแจ้งรัฐบาลลูกจะทำยังไง เรื่องนี้แม้แต่ท่านอะรีบก็ไม่สามารถช่วยลูกได้หรอกนะ เผลอๆ เรื่องนี้มันอาจจะทำให้ท่านเป็นที่ครหามากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ขอโทษที่แม่ต้องพูดตรงๆ แต่มันคือความจริงที่ลูกควรต้องตระหนักถึงมันด้วย”

“ถ้าหากลูกเลือกแล้วว่าจะเป็นแบบนี้ต่อไป แม่ขออย่างเดียว อย่าให้ใครจับได้.. แม่รักลูกนะ และแม่ก็พยายามที่จะรักเขาให้ได้เพราะลูก.. สำหรับเรื่องคุณพ่อ แม่จะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านเอง แต่แม่ไม่รับปากหรอกนะว่าจะสำเร็จไหม เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนว่าชีวิตของลูกย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด”

“ที่ผ่านมา เราสองคนแทบไม่เคยคุยกันเลยเนอะ มันเลยมีบางอย่างที่แม่เผลอทำพลาดไป.. พอมานึกๆ ดูแล้วแม่ก็เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่า

“การคลุมถุงชนมันไม่เหมาะกับผู้ที่โหยหาอิสระแบบลูกเลย แม่ขอโทษนะ เพราะกว่าแม่จะเข้าใจความรู้สึกของลูกก็ตอนที่ได้ทราบข่าวของคุณมูนีร์กับท่านอะรีบ..

“แม่เลยย้อนกลับมาคิดได้ว่า บางทีสิ่งที่ดีที่สุดในความคิดของพ่อแม่ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกก็ได้.. อีกทั้งวัฒธรรมของเราก็ต่างกัน แม่อาจจะเคยชินกับการดูตัว.. แต่สำหรับลูกที่มีโลกทัศน์กว้างไกลย่อมมองว่าสิ่งที่พ่อกับแม่ทำ มันละเมิดสิทธิของลูก.. แม่ขอโทษจริงๆ นะอัสลาน”
“ครับ..” ผมตอบรับได้เพียงแค่นี้ และทำได้เพียงนอนจ้องเพดานห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า

“ความรักของลูกสำหรับแม่ ถ้าหากตัดเรื่องหลักการและกฎหมายออกไป แม่จะถือว่ามันอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะรับได้ ขอแค่ลูกไม่ทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ แม่ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิอะไร และแม่ก็เชื่อว่าอัสลานคงไม่ทำแบบนั้น เพราะลูกเป็นคนที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ตั้งแต่แม่เฝ้ามองอัสลานมาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยมีวันไหนที่แม่ไม่ภูมิใจในตัวเราเลยนะ..” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งน้ำตาเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของคุณแม่บุญธรรม
“แต่บางทีผมก็ลืมตัวครับ.. เวลาอยู่ใกล้เขาแล้ว ผมมักจะควบคุมตัวเองไม่ได้.. อันที่จริง เราเคยแอบจับมือกันข้างนอกด้วยครับ แถมฝ่ายที่เริ่มก่อนก็คือผม แต่ที่ตรงนั้นไม่มีใครเลยครับ..” ผมตัดสินใจสารภาพกับคุณแม่เสียงอ่อย โดยแอบละช่วงเวลาที่เกาหลีเอาไว้ เพราะที่นั่นผมทำอะไรเปิดเผยไปมาก ที่เป็นอย่างนั้นอาจเพราะความรักของเรากำลังผลิบาน อีกทั้งการแสดงความรักของผู้คนที่นั่นก็มักจะเป็นไปในแบบเปิดเผย ต่างกับที่นี่ที่แม้แต่คู่รักชายหญิงก็ยังเดินจูงมือกันไม่ได้

“ถ้าไม่มีใครเห็น แม่ก็จะถือซะว่าลูกยังเป็นเด็กดีอยู่ก็แล้วกัน..” ผมยกยิ้มออกมาอีกแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับคุณแม่โซเฟียแล้วไม่รู้สึกอยากจะร้องไห้เพราะคิดถึงคุณแม่ฮันนาที่อยู่บนฟ้า
ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณแม่ฮันนาจะโกรธผมไปแล้วหรือเปล่า จะน้อยใจไหมที่ผมแอบลืมท่านไปชั่วขณะ แล้วท่านจะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องราวความรักของผมบ้าง ท่านจะผิดหวังและโกรธผมเหมือนกับคุณพ่อหรือเปล่า แล้วท่านจะเกลียดซองมินของผมเหมือนกับที่คุณพ่อใช้สายตาแห่งความชิงชังจ้องมองไปที่เขาไหม ?   
ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมจะอ้อนวอนให้ท่านเอ็นดูฮาบีได้หรือเปล่า..
เพราะถ้าหากไม่มีใครเอ็นดูเขา แววตาอันน่าเจ็บปวดก็คงจะปรากฏให้ผมเห็น..

“แม่พูดแบบนี้ ผมก็เคยตัวแย่สิครับ” ผมกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ
“ฮ่าๆ ก็แม่ไม่เห็นนี่ จะให้ตัดสินว่าเราผิด มันก็ไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือไง แล้วอีกอย่างนะ แม่ก็เข้าใจคนกำลังมีความ รักว่าเรื่องแบบนี้มันห้ามกันยาก จริงไหมล่ะ? แต่ยังไงแม่ก็อยากให้มันอยู่ในขอบเขตนะอัสลาน ทางที่ดีลูกไม่ควรเคยตัวในที่สาธารณะจะดีกว่า และนอกเหนือจากนั้น การกระทำของลูกก็ยังสามารถบ่งบอกได้ว่าลูกให้เกียรติอีกฝ่ายมากแค่ไหน”

“สำหรับแม่.. การให้เกียรติคนรักถือเป็นเรื่องสำคัญนะ”
“ผมจะจำคำสอนของแม่ไว้ครับ..” ผมรับปากคุณแม่อย่างหนักแน่น แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจมากนัก ว่าการให้เกียรติคนรักของแม่ มันหมายรวมถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ผมสัญญาว่า ผมจะให้เกียรติฮาบีเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้

“เอาล่ะ แม่วางสายก่อนนะ ดูเหมือนคุณพ่อจะกลับมาจากศูนย์วิจัยแล้ว เอาไว้ว่างๆ แม่จะไปหาที่บ้านนะ จะได้ไปเจอ.. อ่า.. เขาชื่ออะไรนะ แม่ลืมแล้วสิ..
“ซองมินครับ” ผมตอบด้วยความกระตือรือร้น

“ซ..ซองมิน?” คุณแม่ออกเสียงชื่อของฮาบีอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่กลับทำให้ผมยิ้มไม่หุบ
“เขามีอีกชื่อด้วยครับ ท่านอะรีบประทานให้เมื่อไม่นานนี้เอง.. คุณแม่เรียกนีสรินน่าจะง่ายกว่าครับ”

“แสดงว่าเขาต้องน่ารักและอ่อนโยนมากแน่ๆ”
“ใช่ครับ เขาน่ารักมาก แล้วก็อ่อนโยนมากๆด้วย แต่บางครั้งเขาก็เปราะบาง และบางทีเขาก็เข้มแข็งจนน่าทึ่ง..” ผมอธิบายความเป็นอีซองมินให้คุณแม่บุญธรรมทราบอย่างไม่ละเอียดนัก แต่ก็สามารถเข้าใจความเป็นฮาบีได้ง่ายๆ
ในคืนนี้ ผมรู้สึกดีมากจริงๆ
เพราะอย่างน้อยคุณแม่โซเฟียก็เข้าใจผมเพิ่มขึ้นมาอีกคน..

เมื่อผมได้กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ผมก็เริ่มทบทวนการกระทำของตัวเองทันที เพราะคำพูดคำเตือนของคุณแม่โซเฟีย มันทำให้ผมตระหนักได้ว่า ถ้าหากเรื่องของเรามันเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้ เราก็ควรที่จะเก็บมันไว้ให้เป็นแค่เรื่องของเรา เพราะความรักมันไม่จำเป็นต้องส่งผ่านแค่ทางกาย แต่มันสามารถส่งผ่านทางสายตาได้ด้วย ที่ผ่านมา ผมทั้งพูดและกระทำตัวไม่เหมาะสมในที่สาธารณะด้วยความย่ามใจ โชคยังดีที่ไม่มีใครสนใจพวกเรานัก แต่ก็นั่นล่ะ ความโชคดีมันจะเข้าข้างเราทุกครั้งก็คงเป็นไปไม่ได้
คนรอบๆ ตัวผม ถึงแม้ปากพวกเขาจะบอกว่ายอมรับมันได้ แต่ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้ว คงไม่มีใครยินดีกับความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ของผมนัก แต่คงเพราะผมวางตัวต่อหน้าพวกเขาได้ดีในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงทำเป็นมองว่าความรักของเรา มันก็คือความรักในรูปแบบหนึ่งที่แตกต่างกันออกไป.. และผมก็หวังว่า ถ้าหากผมวางตัวได้ดีกว่านี้ คนรอบข้างก็น่าจะมองความรักของเราให้มันเป็นความรัก ที่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงความต้องการ หรือเป็นแค่อาการป่วยในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
               
พอความสบายใจเริ่มมาเยือน ผมก็หยิบสมุดวาดภาพและดินสอสีจากลิ้นชักบนโต๊ะข้างเตียงเพื่อออกไปนั่งวาดรูปเล่น ตรงมุมที่ผมชอบใช้เวลานั่งอ่านหนังสือ หรือใช้เวลาว่างไปกับสิ่งต่างๆ ระหว่างรอเวลาเลิกเรียนของฮาบี ซึ่งมุมๆนี้จะเป็นมุมเงียบสงบที่อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่นเพียงเล็กน้อย
วันนี้ผมตั้งใจจะวาดภาพฮาบีในชุดยูนิฟอร์มของสายการบิน Royal Etihad Airline พลางจินตนาการไปว่า ถ้าหากฮาบีได้มาทำงานที่เดียวกัน ไฟล์ทบินเดียวกัน ผมจะมีความสุขมากแค่ไหน แล้วฮาบีเขาจะหึงหรือเปล่า หากว่ามีสาวๆ มาแจกเบอร์ให้ผมเหมือนทุกครั้ง แล้วพอหลังจากให้บริการผู้โดยสารเสร็จ เหล่าลูกเรือจะต้องมานั่งประจำที่.. ถ้าเกิดว่าที่นั่งของเรา บังเอิญอยู่ตรงกันข้าม เราสองคนจะมัวแต่จ้องตากัน หรือว่าจะพากันหลบสายตากันแน่.. แค่วาดภาพในจินตนาการมาถึงตรงนี้ ผมก็ใจเต้นรัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เพราะในชีวิตนี้ ผมยังไม่เคยวาดฝันอนาคตร่วมกับใครสักคน

“ยิ้มอะไรครับ?” ฮาบีกลับมาพร้อมกับเจ้าเบดที่กำลังนั่งนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขน
“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมตอบ ขณะที่ฮาบีก็เดินมาทิ้งตัวลงนั่งทางฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะไม้ทรงกลมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่

“พี่กำลังคิดว่าถ้าหากในอนาคต ฮาบีมาเป็นลูกเรือด้วยกัน บินไฟล์ทเดียวกัน พี่จะมีความสุขมากแค่ไหน” ผมอธิบายพลางระบายสีน้ำตาลลงบนเนื้อกระดาษในตำแหน่งของเสื้อสูท

“แต่คิดไปคิดมา การเป็นลูกเรือมันเหนื่อยจะตาย พี่ไม่อยากให้ฮาบีต้องมาเหนื่อยกับอะไรอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาเราเองก็ลำบากมามาก..” ผมพูดพลางยกยิ้มหวาน และเน้นคำว่า ลำบากที่ไม่ได้หมายถึงสถานะทางการเงิน แต่มันหมายถึงเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่มันเคยกระทบกระเทือนจิตใจจนอีกฝ่ายเกือบจะเสียสติ

“แต่อยู่แบบนี้ ผมเหมือนกินแรงพี่เลยครับ ถ้าเกิดว่าเป็นลูกเรือมันเหนื่อยและพี่ก็ไม่อยากให้ผมทำ ถ้าอย่างนั้นผมไปทำงานกับคุณมูนีร์ที่แกลอรี่ได้ไหมครับ เธอชวนให้ผมไปทำงานในส่วนของคาเฟ่ครับ เธอจะให้เงินเดือนผมด้วย”
“เอาสิ.. ถ้ามันคือสิ่งที่เราต้องการ พี่ก็ไม่มีปัญหาหรอก” ผมเงยหน้าขึ้นตอบ จากนั้นก็ก้มหน้าระบายสีน้ำตาลลงบนแผ่นกระดาษต่อไป

“พี่ยังกังวลเรื่องของเราอยู่ไหมครับ?” หลังจากที่บทสนทนาขาดตอนไป จู่ๆฮาบีก็เริ่มต้นถามคำถามนี้ขึ้นมา พร้อมกับปล่อยเจ้าเบดให้วิ่งเล่นได้ตามใจชอบและเอื้อมมือมาจับแท่งดินสอสี พร้อมกับจ้องมองเข้ามานัยน์ตาของผม จนผมสัมผัสได้ถึงความสั่นกลัวในแววตาคู่นั้น

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่พี่จะไม่กังวล แต่ก็ดีหน่อยที่พี่อาราให้พี่พักงานเท่าที่พี่พอใจ ไม่อย่างนั้นพี่คงเป็นบ้ากับการต้องปั้นหน้ายิ้มใครต่อใครเขาทั้งๆ ที่ชีวิตตัวเองกำลังยุ่งเหยิง แต่ว่าตอนนี้พี่รู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วนะ.. เพราะอะไรรู้ไหม? ก็คุณแม่โซเฟียน่ะสิ ดูเหมือนจะทำใจให้ชอบฮาบีเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว พี่ก็เลยเบาใจได้บ้าง..” ผมตอบพลางยกยิ้มจนตาปิด เมื่อพูดไปถึงคุณแม่ที่ผมไม่ค่อยจะเอ่ยถึงนัก
“ถ้าจำไม่ผิด เท่าที่ผมทราบ คุณแม่ของพี่น่าจะเป็นคนเกาหลีนี่ครับ หรือว่าท่านอะรีบประทานชื่อให้เหมือนผม” ฮาบีเขาถามพลางทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

“ท่านเป็นคุณแม่บุญธรรมของพี่น่ะ จริงๆ เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอก เพราะทุกครั้งที่พี่ได้คุยกับท่าน มันจะทำให้พี่โหยหาคุณแม่ฮันนาที่อยู่บนฟ้า.. พี่จะร้องไห้จนปวดหัวตลอด พี่ก็เลยไม่ค่อยเข้าหาท่าน แต่จริงๆ พี่ก็รักท่านนะ แล้วท่านก็เป็นคนที่ตามใจพี่มากที่สุด สมัยเรียน พ่ออยากให้พี่เรียนสาขาวิทยาศาสตร์จะได้มาทำงานวิจัยขยายพันธุ์สัตว์ทะเลทรายให้กับอุทยานแห่งชาติของที่นี่ ประมาณว่าเดินตามรอยท่านน่ะแหละ แต่คุณแม่โซเฟียท่านไปพูดยังไงก็ไม่รู้ กลายเป็นว่าคุณพ่อยอมให้พี่เรียนโบราณคดีได้ แล้วก็.. ที่พี่ได้ทำงานเป็นลูกเรือมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนนึงก็เพราะท่านเข้าใจเหตุผลของพี่ดีว่าพี่อยากทำงานนี้เพราะอะไร? และท่านก็คงจะเห็นด้วยกับความต้องการของพี่ ท่านก็เลยสนับสนุนให้เราสองพี่น้องคอยช่วยเหลือกันและกันแบบนี้”

“ท่านดูเป็นคนที่อบอุ่นแล้วก็ใจดีมากๆ เลยนะครับ..” ฮาบีปล่อยมือผม จากนั้นก็ยกข้อศอกตั้งขึ้นทั้งสองข้าง ก่อนจะวางปลายคางลงบนฝ่ามือเล็กๆของตัวเอง
“ใช่.. ใจดีมากๆ แล้วก็อบอุ่นมากๆ เลยล่ะ..” ผมบอกความในใจที่ไม่เคยคิดจะบอกใคร แม้แต่คุณแม่โซเฟียเองก็ไม่เคยทราบว่าผมมองท่านในรูปแบบนี้ ฮาบีจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ผมอยากให้เขารู้ความลับ ที่ผมได้แต่เฝ้าบอกตัวเองในใจ
               
“ท่านบอกว่า ถ้าหากพี่ไม่ทำตัวประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ ท่านจะถือว่าพี่เป็นเด็กดีด้วยนะ” ผมเล่าให้ฮาบีฟังอย่างมีความสุข เพราะบทสนทนาระหว่างผมกับคุณแม่ในวันนี้ มันเป็นเหมือนน้ำล่อเลี้ยงความสุขท่ามกลางความกังวลใจได้เป็นอย่างดี

“จริงเหรอครับ แสดงว่าท่านไม่รู้ล่ะสิว่าพี่แอบจับมือผมทั้งตอนที่เราเดินอยู่ในเมืองบาสตากิย่ากับตอนที่เราเดินดูดาวด้วยกันในทะเลทราย แถมยังมีที่เกาหลีด้วยนะ..” ฮาบีเขายกยิ้มพลางมองจ้องสายตากับผมด้วยแววตาไหวระริกเพราะความเก้อเขิน แต่เขาก็ยังทำมันต่อไป
“ทำไมท่านจะไม่รู้ก็พี่สารภาพกับท่านเอง แล้วพี่ก็ให้เหตุผลว่า.. เวลาอยู่กับฮาบีทีไร มันก็ควบคุมตัวเองได้ยาก บางครั้งก็เลยเผลอทำอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด.. แต่ท่านก็ยังบอกว่าพี่เป็นเด็กดีอยู่นะ”

“แล้วถ้าเกิดคุณแม่ท่านทราบว่าพี่ไม่ได้ทำแค่จับมือ.. คุณแม่ต้องดุแน่ๆ ว่าพี่เป็นเด็กไม่ดี..” ฮาบีเขาพูดเหมือนเขาเหนือกว่า ที่สามารถทำให้ผมหุบยิ้มลงได้ แต่เขาคงลืมไปว่า ถ้าหากพูดเรื่องนั้นขึ้นมา ยังไงมันก็ต้องเข้าตัวเองอยู่ดี
“จะไม่ยอมแพ้กันเลยใช่ไหม? หึ คุณแม่โซเฟียท่านบอกพี่ว่า การให้เกียรติคนรักถือเป็นสิ่งสำคัญ แสดงว่าท่านไม่ชอบคนที่ไม่ให้เกียรติคนรัก.. แล้วแบบนี้.. เรื่องตอนนั้น ที่เกิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้น.. แปลว่าพี่ไม่ให้เกียรติเราหรือไง หืม? เรากอดกันในบ้าน ตรงใต้ผ้าม่านริมกำแพง สถานการณ์ในตอนนั้น มีแค่เราสองคนเองนะ คุณแม่จะมาหาว่าพี่เป็นเด็กไม่ดีไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่าง.. พอได้สติ พี่ก็ยังควบคุมตัวเองได้ แบบนี้ก็แสดงว่าพี่ให้เกียรติฮาบีแล้วนะ” ผมวางดินสอสีลงบนโต๊ะ ก่อนจะท้าวคางตอบคำถาม พลางยกยิ้มตรงมุมปาก เพียงแค่นั้นริมฝีปากของฮาบีก็เม้มแน่น อีกทั้งใบหน้ายังแดงซ่านเพราะคำพูดที่ผมตั้งใจสื่อออกไป..

อาจเป็นเพราะสถานการณ์อันยากจะควบคุมกำลังเล่นงานฮาบีอย่างหนัก ใบหน้าน่ารักจึงเสมองไปทางอื่น ผมจึงไม่คิดจะพูดอะไรที่มันชวนให้อีกฝ่ายวางตัวไม่ถูก แต่กลับเลือกที่จะสนใจอะไรบางอย่างที่ผมมองข้ามไปตั้งแต่วินาทีแรก
“มูนีร์ให้ชุดยูนิฟอร์มเรามาเลยเหรอ? คือสรุปแล้ว.. ถึงพี่จะไม่ให้ทำ ฮาบีก็คงอยากจะทำอยู่ดีน่ะแหละ” ยูนิฟอร์มที่ผมว่า มันเป็นชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดในแบบฉบับของชาวอาหรับ โดยที่แขนเสื้อจะออกแนวบานๆใหญ่ๆสักหน่อย ส่วนด้านบนมีกระดุมติดประมาณสามเม็ด ขณะที่รอบเอวก็ต้องมีเข็มขัดหนังสีดำประดับเอาไว้ด้วย ส่วนด้านล่างก็ปล่อยยาวคล้ายๆ กับกระโปรง

...” ฮาบีเขาไม่ตอบ แต่กลับยกยิ้มเผล่ให้กับคำพูดของผม
“แล้วนี่ มูนีร์ทำให้เหรอ?” ผมรั้งฝ่ามือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าผิวขาวเนียนละเอียดกำลังถูกแต่งแต้มด้วยลายเส้นสีดำจนประกอบกันเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องแฟชั่นมากมายนัก แต่เพราะศิลปะการเพ้นท์เฮนน่ากำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มของหญิงสาวชาวอาหรับเป็นอย่างมาก มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่รู้จักแฟชั่นในรูปแบบนี้

“อื้อ.. เธอบอกว่าถ้าผมทำข้อสอบผิด จะต้องให้เธอลงโทษด้วยการเพ้นท์เฮนน่าก่อนกลับบ้าน.. แต่ว่าตอนที่เธอกำลังเพ้นท์ให้ผม ท่านอะรีบกับพระพี่เลี้ยงของท่านก็อยู่ด้วยนะครับ..” ฮาบีเขาอธิบายเสียยาวเหยียด พร้อมกับผสมคำแก้ตัวจนผมอดจะยิ้มไม่ได้ แสดงว่าเขาคงจะกลัวว่าผมจะตำหนิที่ไปจับมือถือแขนคนของท่านอามินล่ะมั้ง
สำหรับผมน่ะไม่โกรธเขาหรอก
แต่ถ้าหากคนอื่นทราบ ก็คงจะเป็นเรื่องน่ะแหละ..
               
ดูอย่างตอนแรกที่ข่าวของท่านอามินกับมูนีร์ถูกเปิดเผยออกมาสิ หลายคนต่างต่อว่าต่อขานท่านกันใหญ่ แต่พอทุกคนทราบว่าความสัมพันธ์ของพวกเขามักจะอยู่ในสายตาของพระพี่เลี้ยง ข้อครหาต่างๆ จึงตกไป แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่หยิบยกเอาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของพวกเรามาเป็นประเด็น มูนีร์เองก็พลอยเสียหายไปด้วย พวกเขาจึงต้องรีบตกแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว ดูเหมือนว่ากำหนดการจะเป็นอาทิตย์หน้า ส่วนผมคงไม่ได้เข้าร่วมงานของท่านหรอก เพราะท่านบอกว่าจะจัดเป็นการภายใน งานจะสมเกียรติหรือไม่ ท่านบอกว่ามันอยู่ที่ใจ ซึ่งผมก็เข้าใจท่านดีและก็ได้แต่อวยพรให้ชีวิตคู่ของท่านพบเจอแต่ความสุข

“มีชื่อพี่ทั้งภาษาอาราบิกแล้วก็ภาษาเกาหลีเลยเนอะ คุณสอนมูนีร์เขียนเหรอ?” ผมขยับหน้าเข้าไปใกล้ฝ่ามือของอีกฝ่ายอย่างสนใจ เพราะเมื่อลองสังเกตดูดีๆ ผมก็จะเห็นชื่อของตัวเองปรากฏอยู่บนหลังฝ่ามือเล็ก แต่ไม่โดดเด่นมากนัก เพราะผู้เพ้นท์เขาบรรจงเขียนตัวหนังสือเล็กๆ โดยให้ชื่อในภาษาเกาหลีของผม ถูกเขียนเอาไว้ใกล้ๆ กับลายเส้นๆ หนึ่งที่มองดูเหมือนก้านดอกไม้ ส่วนชื่อภาษาอาราบิกก็ถูกเขียนเอาไว้ด้านบนสุดตรงตำแหน่งเกสรดอกไม้เส้นที่สาม ซึ่งเป็นเส้นที่สั้นที่สุด
“ครับ..” ฮาบีเขาตอบพลางก้มหน้าจนแทบชิดอก

“นี่เราแอบรีเควชหรือไง ถึงต้องหลบสายตาพี่ขนาดนั้น?” ผมถามแกมหัวเราะเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย

“ฮาบีนี่น่ารักดีนะ..” ผมยิ้มพลางลูบหลังฝ่ามือของเจ้าตัวเล่น ขณะที่ฝ่ายคนถูกชมก็ดูเหมือนจะวางตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที เพราะเดี๋ยวเขาก็หันหน้าไปทางซ้าย เดี๋ยวก็หันหน้าไปทางขวา ก่อนจะหันมาส่งยิ้มบางๆให้ผมเมื่อเผลอสบสายตากัน

“ฮาบี นี่คุณกินอะไรผิดสำแดงมาจากบ้านนั้นหรือเปล่าเนี่ย?” ผมปล่อยมืออีกฝ่าย พลางนั่งท้าวคางต่อไป
“ทำไมครับ?

“ไม่รู้สิ..” ผมตอบพลางยกยิ้มไปเรื่อยๆ
“อะไรของพี่เนี่ย.. พี่น่ะแหละกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า..

“ถ้าคุณอยากรู้ว่าผมกินอะไรผิดสำแดงมา คุณก็จูบผมสิ..” ผมกล่าวพลางจ้องมองอีกฝ่ายในเชิงหยอกล้อ ขณะที่ในใจก็คิดว่าหากได้จูบจริงๆ ก็คงจะดี
“เกี่ยวอะไรกันครับ..” ฝ่ายฮาบีก็เถียงกลับคอเป็นเอ็น

“เฮ้อ~ นึกว่าจะหลงกลเราซะอีก” ผมถอนหายใจ พลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมกับหลับตาโอดครวญใส่อีกฝ่ายราวกับเด็ก

“นี่.. แต่ผมอยากจูบคุณจริงๆ นะ.. คุณเริ่มก่อนไม่ได้เหรอ?” หลังจากทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบมาเป็นเวลานาน สุดท้ายผมก็ยังคงเซ้าซี้อีกฝ่าย แม้ว่าจะกำลังนอนฟุบหน้าลงกับโต๊ะก็ตาม        
 

“ผมไม่กล้า.. เพราะหลังจากที่เกิดเรื่อง ทุกอย่างก็มองดูเหมือนเราทำอะไรก็ผิดไปหมด ผมเลยไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไงให้มันถูกต้อง โดยที่เราสองคนยังสามารถรักกันแบบนี้ได้.. ผมกังวลจนผมเผลอคิดไปว่า บางทีที่เกาหลีอาจจะใช้ชีวิตได้ง่ายกว่านี้หรือเปล่า.. เมื่อลองชั่งน้ำหนักระหว่างความรักของเรา กับการยอมเจ็บตัวเพราะเรื่องในอดีตของผม ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะคุ้มค่าต่อการตัดสินใจมั้ย แต่ก็นั่นล่ะครับ ถึงมันจะคุ้มค่า แต่ผมก็เข้าใจว่าพี่คงจะไม่มีวันทอดทิ้งครอบครัวมาอยู่กับผมหรอก..

“ฮาบี..” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่าย พร้อมกับจับมือเขาไว้เพื่อสร้างความมั่นใจ
“ผมไม่ได้น้อยใจนะครับ ผมแค่ลองชั่งน้ำหนักความคิดของตัวเองดู เพราะที่จริงแล้ว การได้มาอยู่ที่นี่ ผมเองก็มีความสุขดีครับ คงเพราะได้มาอยู่กับพี่ด้วยนั่นแหละ แต่มันก็อดคิดมากไม่ได้ เพราะถึงทุกคนจะยอมรับเรื่องของเราได้ แต่ใจจริงๆ ของพวกเขา ผมคิดว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เพราะทุกครั้งที่ผมมองตาพวกเขา มันเหมือนกับพวกเขาคอยร้องขอผมให้เป็นไปในแบบที่พวกเขาต้องการ แต่.. ผมก็เป็นไปในแบบที่พวกเขาอยากให้เป็นไม่ได้ ผมก็เลยไม่รู้จะทำยังไงดีทั้งๆที่เรื่องนี้มันก็เคยเป็นสาเหตุหนึ่งที่พี่ไม่อยากให้ผมมาทำงานที่นี่.. แล้วผมก็เคยเตรียมใจรับมือกับมันมาแล้ว เพราะถ้ามาอยู่ที่นี่ยังไงก็คงไม่พ้นต้องเจอเรื่องแบบนี้ แต่พอต้องเจอสถานการณ์จริง ผมกลับกลัวและกังวลกว่าที่คิดไว้..

“พวกเขาก็แค่ห่วงพวกเราเท่านั้นเองฮาบี เอ้อ.. คุณแม่โซเฟียบอกพี่ว่า ความรักของเราสำหรับท่าน ถ้าหากตัดเรื่องหลักการและกฎหมายออกไป ท่านจะถือว่ามันอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะรับได้ ขอแค่เราไม่ทำอะไรให้มันประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ ท่านก็จะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าตำหนิอะไร.. เราก็แค่หักห้ามใจให้มากขึ้น และวางตัวให้ดีขึ้น การใช้ชีวิตที่นี่ก็คงจะง่ายขึ้น” ผมลูบหลังมือของฮาบีเบาๆ พลางยกยิ้มบางๆ ไปด้วย
” ส่วนฮาบีเขาก็พยักหน้าพลางยกยิ้มจนเต็มแก้มตอบกลับมา..

“พี่ครับ หรือว่าผมจะไปเป็นลูกเรือดีครับ วันหยุดเราก็แค่กลับมาอยู่ที่นี่ มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีของเราก็ได้นะ” ฮาบีเขาล้มตัวลงนอนบนตักผม พลางสอบถามความเห็นจากผมไปด้วย
“มันก็ดีอยู่หรอก แต่พี่ไม่อยากให้เราฝืน เพราะการทำอะไรที่เราไม่ค่อยชอบมันคงไม่มีความสุขเท่าไหร่” ผมบอกพลางลูบหัวอีกฝ่ายไปด้วย

“แต่ก็น่าจะมีความสุขกว่าต้องคอยปิดบังเรื่องของเราให้เป็นความลับอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่าครับ ถ้าเราต้องเป็นแบบนั้น แค่คิดก็น่าอึดอัดแล้ว อีกอย่างผมก็กลัวว่าถ้าหากผมทำงานกับคุณมูนีร์ พวกกลุ่มคนที่ต่อต้านจะเอาไปเป็นประเด็นหรือเปล่า จริงๆ ผมยังไม่ได้ตอบตกลงเธอหรอกครับ ผมตั้งใจจะถามความคิดเห็นจากพี่ก่อน”
“พี่แล้วแต่ฮาบีเลย..” ผมตอบพลางลูบข้างแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ เพราะยิ่งเราได้เปิดใจ ความโล่งใจก็ย่อมตามมา

“ถ้าอย่างนั้น ผมก็คิดว่าหนทางนี้แหละที่เป็นทางออกที่ดีสุด เพราะอย่างน้อยเรากับเขาก็เดินกันคนละครึ่งทาง” ฮาบีตอบพลางยกยิ้มจนตาหยี ทำเอาผมแทบอยากจะก้มลงไปจูบเขาให้รู้แล้วรู้รอด

“พี่ครับ พี่ยังอยากให้ผมจูบพี่อยู่หรือเปล่า? เพราะตอนนี้ผมไม่รู้สึกกังวลอะไรแล้ว ” จู่ๆ ฮาบีเขาก็ถามด้วยคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าเขาจะพูดมันออกมา
“อยากสิ.. ” มันก็แน่นอนว่าผมต้องไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ในเมื่อผมอยากจูบเขาจริงๆ ส่วนฝ่ายฮาบีพอผมตอบออกไปแบบนั้น เขาก็ประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากของผมเบาๆ โดยไม่ได้ล่วงล้ำใดๆ จนผมต้องทักท้วง

“ฮาบีคุณปล่อยวางทุกอย่างแล้วจูบแบบที่ผมเคยจูบคุณสิ..” พอผมบอกออกไปแบบนั้น ฮาบีเขาก็หน้าแดงซ่านและนิ่งค้างอยู่กับที่
“เวลาแบบนี้ เราน่าจะปลอบใจกันและกันนะ ปล่อยให้มันเป็นแค่เรื่องของเรา ที่ไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องได้หรือเปล่า?” ผมถามพลางลูบข้างแก้มของฮาบีเบาๆ ขณะที่ใบหน้าก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้อีกฝ่าย
...

“เราก็แค่แสดงความรักในที่ของเราแค่นั้นเอง.. ถ้าเกิดมีใครรู้เห็นนอกจากนี้ ก็แสดงว่าที่นี่คงจะมีผู้บุกรุก” ผมกล่าวติดตลก เมื่อความกังวลใจเริ่มคลี่คลาย เพราะเราต่างก็มองเห็นทางออก ที่เราสองคนสามารถเดินไปด้วยกันคนละครึ่งทางกับทุกฝ่าย
“ฮ่าๆ” ฮาบีเขายกแขนขึ้นคล้องคอผมไว้ พลางหัวเราะออกมากับคำพูดติดตลก จากนั้นริมฝีปากของเราก็ค่อยๆแตะสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างลึกซึ้ง..
และแล้วความอบอุ่นใจก็เข้ามาทักทาย..
อีกทั้งความรัก ก็ลอยฟุ้งอยู่รอบๆตัวเราไม่แปรเปลี่ยน..

 --------------------------------------------------------------------------------------

ต้องขอโทษที่มาลงช้าด้วยนะคะ พอดีมันเป็นปมดราม่าที่ละเอียดอ่อนเราเลยลังเลนิดนึง ว่าจะเขียนใหม่หรือจะลงแบบนี้ดี 
ในที่นี้เราขอใช้คำว่าหลักการนะคะ ซอฟท์สุดละ ต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณพ่อแล้วว่าจะเอายังไง เพราะตอนนี้ทั้งสองคนก็เริ่มเซฟตัวเองกันแล้ว