วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 18

เพาะรัก


 
18


            “คือแบบ กูไม่น่ามาเช่าอยู่ชั้นสองเลยนะว่ามั้ย” อีฮยอกแจบ่น เมื่อกว่าจะก้าวเดินขึ้นบันไดได้แต่ละขั้นมันก็ช่างยากเย็นดีเหลือเกิน เพราะขาข้างนึงก็ไม่ปกติ ส่วนแขนอีกข้างนึงก็ไม่ปกติ และนี่ก็คือเหตุผลที่เพื่อนรักของผมมันอิดออดไม่ยอมกลับมานอนพักรักษาตัวที่ห้องสักที
            “คนเราก็ไม่ได้รู้อนาคตล่วงหน้าป่ะวะ ?” ผมย้อนถามเพื่อนสนิท ขณะที่สองมือก็ประคองมันด้วยความใจเย็น

            “ว่าแต่มึงเถอะ ระหว่างที่กูไม่อยู่เป็นก้าง มึงกับเขาพัฒนากันไปถึงขั้นไหนแล้ว ?” อีฮยอกแจถามอย่างสอดรู้สอดเห็น
            ” ผมหันหน้าหนีทำเป็นไม่ได้ยินที่เพื่อนรักถาม เพราะจู่ๆ ก็เกิดเขินอายขึ้นมา

            “มึงอย่ามาเนียนทำเป็นไม่ได้ยินที่กูถาม.. คบกันแล้วดิ ?” ในที่สุดอีฮยอกแจก็จับไต๋ได้ ผมจึงต้องพยักหน้ารับทั้งๆที่ใบหน้าของตัวเองกำลังแดงแปร๊ด
            “จริงดิวะ เฮ้ย! ยินดีด้วยว่ะมึง ทีนี้มึงก็ไม่ต้องคอยนั่งมองรูปเขาเป็นวันๆแล้วดิ ?” อีฮยอกแจกล่าวอย่างยินดี และมันก็พอดีที่เราสองคนเดินมาจนถึงหน้าประตูห้อง

            “ไม่หรอก” ผมค่อยๆไขประตูห้องด้วยมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างยังต้องจับอีฮยอกแจอยู่
            “อะไรวะ ? กูงง” อีฮยอกแจถามอย่างงุนงง พลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างยากลำบากบนเตียงนอน

            “เขาไปแล้ว..” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ พลางเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อรินน้ำเปล่ามาให้เพื่อนดื่ม
            “อ้อ.. ก็เขาเป็นสจ๊วตนี่นะ” อีฮยอกแจเอื้อมมือมารับน้ำ จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ ส่วนผมก็ขอแยกตัวมาอาบน้ำอาบท่าให้มันสบายตัวและหวังว่ามันจะสบายใจขึ้นมาด้วย..

            จนกระทั่งอาบน้ำเสร็จ ผมก็ถูกอีฮยอกแจใช้ให้เอากะละมังไปใส่น้ำสะอาดพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กมาหนึ่งผืน เพื่อที่มันจะได้เช็ดทำความสะอาดตัวเองได้ ผมที่เห็นว่ามันคงจะลำบากน่าดูที่จะเช็ดตัวให้ตัวเองแบบนั้น ก็เลยอาสาว่าเดี๋ยวจะทำให้ ปรากฏว่าอีฮยอกแจมันไม่ยอม เอาแต่ปฏิเสธหน้าแดงหูแดง..
            เห้อ~ นี่ขนาดกับเพื่อนนะเนี่ย จะอายทำไมก็ไม่รู้!
แลจะเป็นเยอะ!

พอไม่มีอะไรจะทำแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์มือถือตรงหัวเตียงและเดินไปที่ชั้นวางหนังสือติดกับประตูระเบียง จากนั้นก็สุ่มหยิบหนังสือบางเล่มออกมาอ่านตรงบริเวณด้านนอกตรงมุมโปรด แต่เมื่อผมทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะตรงมุมคุ้นเคย จู่ๆ น้ำตามันก็พาลจะไหล เมื่อได้เห็นโถแก้วที่มีเจ้าแมวน้ำตัวเล็กกำลังว่ายวนอยู่ในนั้น..

“ถ่านหมดซะแล้ว..” ผมบ่นอย่างเศร้าๆ แล้วก็เอานิ้วไปเขี่ยๆ เจ้าแมวน้ำสีขาวเล่น

“เจ้าของ-เล่นไม่บอกวิธีเปลี่ยนถ่านเอาไว้ซะด้วย แบบนี้มันใช้ได้เหรอครับ ?” ผมหันหลังไปหยิบเจ้าตุ๊กตาดันโบะที่มีกล้องวงจรปิดซ่อนอยู่มาเกาะตรงขอบโถ เพื่อให้เจ้าของได้เห็นว่าของเล่นที่เขาซื้อมาน่ะ ผ่านไปแค่วันเดียวถ่านก็หมดซะแล้ว

“ฮื้ม~ ฮืม~~~~” ผมรีบลุกขึ้นทักทายคุณฮีชอลที่เดินเกลากีตาร์พร้อมกับฮึมเพลงอยู่ตรงระเบียงห้องของเพื่อนบ้านทางฝั่งซ้ายมือ

“ทำหน้าซึมกะทือแบบนี้ ถ้าไอ้คยูมันเห็น มันคงเลี้ยงยกลำนะว่ามั้ย ?” คุณฮีชอลพูดแกมหยอก
“คุณก็พูดเกินไปครับ..” ผมเกาศีรษะแก้เก้อ

“ไม่เกินไปหรอก หมอนั่นมันบ้าบอ-กว่าที่คิดจะตาย ไม่งั้นมันจะซื้อไอ้แมวน้ำกระพริบไฟให้นายทำไม ปัญญาอ่อนจะตาย” คุณฮีชอลกล่าวพลางวางกีตาร์เอาไว้บนโซฟาตัวยาวตรงหน้าประตูระเบียง
” ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งอึ้งที่คุณฮีชอลก็ทราบด้วยว่าพี่เขาซื้อของเล่นเด็กมาให้ผม

“งงดิ.. พอดีผมฝากมันดูเจ้าหญิงน้อยของผมน่ะ.. เอ่อ.. ผมหมายถึงตัวการ์ตูนจากในอนิเมะน่ะ” พอคุณฮีชอลเห็นผมทำหน้างงๆ เขาก็เริ่มพูดขยายความให้ผมเข้าใจมากขึ้น
“อ้อ ครับ..” ผมยิ้มพลางตอบเบาๆ

“ได้ข่าวว่าพ่อมันป่วย อาจจะไม่ได้บินรูทเอเชียแล้ว นายคงเหงาน่าดูนะ..” คุณฮีชอลเดินมาท้าวแขนคุยกับผมตรงกำแพงทางฝั่งซ้าย
” ผมยิ้มบางๆ อย่างยอมรับ

“เจ้านั่นน่ะ มันก็เหมือนอากาศนั่นแหละ ถึงจะอยู่ไกล แต่มันก็สามารถทำตัวน่ารำคาญเหมือนอยู่ใกล้ๆได้ ไม่เชื่อคอยดู” คุณฮีชอลกล่าวราวกับต้องการให้กำลังใจผม
” ผมจึงได้แต่ยิ้มรับเพียงอย่างเดียว เพราะผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ลูกเรือผิวขาวคนนั้นน่ะ ถึงตัวจะอยู่ตั้งไกล แต่เขาก็ยังสามารถทำตัวเหมือนเราอยู่ใกล้กันได้จริงๆ

“ได้ยินมาว่า สายการบิน Royal Etihad Airline จะเปิดรับลูกเรือเพิ่มอีกสองอัตรานะ ถ้านายอยากจะลองเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน สายการบินนี้ก็น่าจะโอเคดี” คุณฮีชอลพูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในห้องของพี่สาวข้างห้องทันที ส่วนผมก็เผลอคิดเรื่องการเปิดรับสมัครลูกเรือของสายการบินทางแถบตะวันออกกลางอย่างไม่รู้ตัว
“ลองสมัครดูก็ไม่เสียหายนี่ซองมิน ?” อีฮยอกแจเดินกระเผลกๆมายืนพิงประตูระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังแนะนำให้ผมลองไปสมัครงานตามที่คุณฮีชอลให้ข้อมูลมาด้วย

“แต่กูว่างานต้อนรับมันไม่ใช่กูเลยว่ะ” ผมบอกเหตุผลที่ผมไม่ค่อยอยากจะเป็นพนักงานต้อนรับสักเท่าไหร่นัก
“แล้วไงวะ ทีงาน  Airline Ticket Agent มึงก็ต้องต้อนรับลูกค้าอ่ะ” อีฮยอกแจเถียง

“เนื้องานมันเหมือนกันที่ไหนวะ” ผมเถียงกลับ
“ต่างก็ต่างวะ .. แต่มึงอย่าลืมว่านอกจากเนื้องานแล้ว ที่นั่นยังมีอีกอย่างที่ต่าง” อีฮยอกแจยักไหล่

“อะไรวะ ?” ผมย้อนถามอย่างสงสัย
“ก็ที่นั่นมีลูกเรือสายการบินอาหรับคนนั้นของมึงไง สมควรไปสมัครไหมล่ะ หรือว่ามึงจะนั่งเหี่ยวตายอยู่ตรงนี้ ?” อีฮยอกแจย้อนถามแล้วก็รีบเดินกระเผลกๆ เข้าไปในห้องทันทีโดยไม่คิดจะฟังการตัดสินใจของผมอีก

หลังจากนั้นผมก็นั่งตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่นาน เพราะอีกใจนึงผมก็อยากจะลองทำ cabin crew ดู แต่อีกใจผมก็คิดว่างานที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันก็โอเคดี ถึงเงินเดือนจะไม่มากเท่าพวกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน แต่ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเสียหน่อย
ส่วนเดือร้อนใจน่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะทนได้หรือเปล่า..

            ครืด ครืด..

            ผมเลิกคิดเรื่องเปลี่ยนงานแทบจะทันที เมื่อโทรศัพท์ของผมกำลังสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง และเมื่อเปิดออกดูก็พบกับแท็กสำหรับประชาสัมพันธ์เรื่องการรับสมัครลูกเรือของสายการบิน Royal Etihad Airline ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้เอาแท็กนี้มาแบ่งปันให้ผมทราบก็คือเพื่อนๆของลูกเรือของสายการบินดังกล่าวนั่นเอง..
            จากที่ไม่คิดเรื่องจะเปลี่ยนงาน ผมก็เริ่มคิดขึ้นมาอีกนิด แต่ก็นั่นล่ะ ใจของผมมันมีทั้งอยากและไม่อยากในคราวเดียวกัน ผมเลยเลือกที่จะไม่เปิดข้อมูลดังกล่าวดู แต่กลับเปิดใช้งานโหมดกล้องถ่ายรูป จากนั้นผมก็ถ่ายรูปเจ้าแมวน้ำสีขาวที่กำลังแน่นิ่งอยู่เหนือน้ำ

            แชะ!

            ผมอัพรูปลงในอินสตราแกรมของตัวเอง พลางเขียนแคปชั่นประโยคหนึ่งว่า เจ้านายของเจ้านี่ไม่คิดจะบอกกันหน่อยเหรอครับว่ามันเปลี่ยนถ่านยังไง! ใช้ไม่ได้เลย!’
            หลังจากที่ผมอัพไปแบบนั้น ผมก็นั่งรอข้อความตอบกลับจากลูกเรือของสายการบินอาหรับอยู่นาน แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ยังไม่ยอมตอบกลับมา อาจเป็นไปได้ว่าเขากำลังยุ่งอยู่ ผมจึงตัดสินใจเข้านอนเพื่อที่เช้าวันพรุ่งนี้จะได้เริ่มวันใหม่ด้วยสภาพที่ไม่ง่วงนอนมากนัก

            ครืด ครืด..

            ไหนว่าไม่ใช่เด็กชอบเล่นของเล่นไง ?’ ผมอมยิ้มหลังจากที่อ่านข้อความดังกล่าวจบ พร้อมกับเดินกลับมายังโต๊ะตรงมุมโปรดของตัวเองอีกครั้งเพื่อรอโทรศัพท์

            ครืด ครืด..

            “ครับ” ไม่นานเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยก็โทรกลับมา ผมจึงรีบกดรับสายด้วยความดีใจ
            “ต่อไปพี่ใช้เบอร์นี้นะ เป็นเบอร์ส่วนตัว ไม่มีเปลี่ยน” พี่เขาบอก

            “อ้อ.. ครับ” ผมตอบพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างจากการพูดที่ประหยัดคำเสียเหลือเกิน
            “ช่วงนี้อาจจะยุ่งหน่อย พอดีพี่ต้องเตรียมตัวเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กใหม่ที่เขาเตรียมจะเปิดรับด้วย” ลูกเรือของสายการบินอาหรับพูดอธิบายเพื่อที่จะให้ผมเข้าใจในความจำเป็นของเขาที่ไม่อาจตอบข้อความ หรืออาจจะโทรหาได้ทันใจนัก

            “ครับ..” ผมตอบรับ ขณะที่ในหัวก็เริ่มคิดเรื่องการเปลี่ยนงานขึ้นมาอีกครั้ง
            “เอ้อ.. ไอ้เรื่องเปลี่ยนถ่านนั่น สารภาพเลย พี่ลืมถามคนขายมา..” ปลายสายสารภาพเสียงค่อย ทำเอาผมอดหัวเราะไม่ได้

            “ไปหาคำตอบมาให้ผมเลย..” ผมต่อรองอย่างเหนือกว่า
            “โห.. กลับมาอยู่ดูไบแล้วอ่ะ จะหาคำตอบได้ไงเล่าฮาบีบี” ปลายสายเริ่มใช้น้ำเสียงออดอ้อน      

            “อินเตอร์เน็ตหรือไม่ก็เพื่อนที่บินรูทเอเชียไงครับ เยอะแยะจะตาย” ผมตอบพลางยิ้มจนเต็มแก้ม
            “โห่ เยอะมาก มีตั้งสองทางแน่ะ” ร่างสูงกล่าวแกมประชด

            “ฮ้าว ผมไปนอนแล้วนะครับ ฝันดีนะ ตี๊ด---” ผมแกล้งทำเป็นหาว แล้วก็บอกฝันดีพี่เขาก่อนที่จะวางสายไป พร้อมด้วยอาการหน้าร้อนในระดับที่มันแทบจะไหม้เสียให้ได้..
            แถมหัวใจก็ยังจะเต้นรัวเสียอีกแน่ะ!




   <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 

เราปรับตัวหนังสือให้แล้วนะคะ เห็นมีคนบอกว่ามันเล็กไป
ยังคงเรื่อยๆต่อไปแม้ว่าเรื่องจะดำเนินมาถึงตอนที่ 18 แล้วก็ตาม 5555 
หน้าตาของเจ้าแมวน้ำในเรื่องค่ะ

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 17

เพาะรัก
 

 



17


            มะรืนนี้เพื่อนรักของผมก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมคงต้องดูแลมันอย่างดีเสียหน่อย เพราะสภาพของมันก็ยังไม่สมบูรณ์มากนัก ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกเรือผิวขาวของสายการบินอาหรับก็เริ่มจะคืบหน้าไปมาก เพราะเดี๋ยวนี้พอมีเวลาว่าง เราก็จะชวนกันไปหาอะไรอร่อยๆทาน หรือไม่ก็คอยไปรับไปส่งผมทั้งๆที่ไม่จำเป็น ขนาดว่าผมอยากจะไปเยี่ยมอีฮยอกแจที่โรงพยาบาล พี่เขาก็ยังจะใจดีเสนอตัวเดินร่วมทางไปด้วย
                เพิ่งจะมีวันนี้นี่แหละที่ผมต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว เพราะร่างสูงของชายหนุ่มข้างห้องเขาโทรมารายงานแล้วว่า เขาคงไม่สามารถมารับผมกลับบ้านได้ เนื่องจากวันนี้เขาติดธุระนิดหน่อย

                ก๊อก ก๊อก..

                “มาแล้วครับๆๆๆ” ผมหยิบที่คั่นหนังสือมาคั่นหน้าที่ผมอ่านค้างไว้ แล้วก็ลุกเดินเข้าไปด้านในห้องเพื่อที่จะไปเปิดประตูให้คนที่กำลังเคาะห้องของผมอยู่
                “พี่กลับมาแล้วนะ..” ลูกเรือของสายการบินอาหรับยกยิ้ม พลางรายงานตัวทันทีที่ผมเปิดประตู
                “ครับ” ผมยิ้ม พลางเบี่ยงตัวหลบ เมื่อร่างสูงกำลังจะเดินเข้ามาในห้องของผม

                “แล้วนั่นอะไรเหรอครับ ?” ผมปิดประตู แล้วก็เดินตามร่างสูงที่ถอดรองเท้าเอาไว้ตรงมุมห้องก่อนจะเดินตรงไปยังระเบียงหลังห้อง
               
                “ของฝากจากญี่ปุ่น” พี่เขาตอบ พลางวางโถแก้วใบเล็กที่มีตัวอะไรสักอย่างที่มันสามารถเรืองแสงได้ว่ายวนอยู่ในนั้นลงบนโต๊ะ

                “แมวน้ำของเล่น ? นี่พี่เห็นผมเป็นเด็กเหรอครับ ?” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม พลางชะโงกหน้ามองของฝากจากเมืองปลาดิบที ร่างสูงที..
                “ฮึ” ร่างสูงไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยเจ้าแมวน้ำของเล่นอย่างสนอกสนใจ
               
“ซองมิน ถ้าเป็นเรา อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อนกัน ?” หลังจากที่นั่งเงียบมานาน จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถาม
“ข่าวดีสิครับ” ผมตอบ พลางเอานิ้วชี้ไปกดเจ้าแมวน้ำให้มันจมน้ำ แต่มันก็ไม่ยอมจม

“เหรอ.. พี่เพิ่งไปเช่ามอเตอร์ไซค์มา กะว่าจะเอาไว้ขี่ตระเวนหาอะไรอร่อยๆกินด้วยกัน หรือไม่วันหยุดเราก็ไปเที่ยวด้วยกัน ส่วนตอนเช้ากับตอนเย็นพี่ก็ขี่เจ้านี่ไปส่งเราที่สนามบิน แค่นี้เราก็ไม่ต้องตื่นเช้าอย่างที่ทำเป็นประจำ เพราะมอเตอร์ไซค์ไม่วุ่นวาย..” พี่เขาพูดไปด้วย แล้วก็ยิ้มไปด้วย ทำเอาผมอดจะยิ้มตามไม่ได้
“ฟังดูน่าสนุกดีนะครับ..

“ใช่ไหมล่ะ น่าสนุกจะตาย.. อ้อ.. ข่าวดียังมีอีกเรื่อง” พี่เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วก็บอกผมว่ายังมีข่าวดีอีกเรื่องนึงนะ
“ฮึ ข่าวดีอะไรล่ะครับ ?” ผมย้อนถาม

“เราเป็นแฟนกันแล้ว..” ลูกเรือของสายการบินอาหรับพูดพลางชี้มาที่ตัวเองและตบท้ายด้วยผมอย่างเฉพาะเจาะจง
“ตอนไหนครับ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย..” ผมท้าวข้อศอกลงบนโต๊ะ พลางวางปลายคางลงบนหลังมือ

“ตอนนี้แหละ” พี่คยูพูดแล้วก็ยักคิ้ว
“ฮึ” ผมหัวเราะเอามาเบาๆในลำคอ

“ไม่ปฏิเสธด้วยแฮะ” พี่เขามองผมด้วยสายตากรุ้มกริ่ม จนผมต้องเป็นฝ่ายหันหน้าออกไปด้านนอก

“ซองมิน.. แล้วข่าวร้ายล่ะ อยากรู้ไหม ?” เมื่อพี่เขาถาม ผมจึงหันกลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“ข่าวร้ายแค่ไหนครับ ?” ผมย้อนถาม เพราะจู่ๆ ก็เกิดความกังวลขึ้นมา

“ก็น่าจะร้ายไม่มากมั้ง..” ร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและแผ่วเบา
“ถ้าเกิดว่าไม่ต้องบอกข่าวร้าย พี่คิดว่ามันจะดีกว่าไหมครับ ?” ผมย้อนถาม

“คิดว่าไม่นะ” พี่เขาตอบพลางลุกขึ้นไปยืนท้าวแขนกับขอบระเบียงพลางทอดมองไปยังบรรยากาศในยามค่ำคืน

“หมดเวลาพักแล้วล่ะ..” ร่างสูงพูดขึ้นทั้งๆที่ยังคงยืนหันหลังให้ผม
” ผมตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ ขณะที่ในหัวใจมันกลับเต้นแผ่วลงเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเริ่มแปลกไป

“พี่ต้องกลับไปบินรูทบินทางแทบตะวันออกกลางแล้วล่ะ.. พอดีว่าคนไม่พอ แล้วคุณพ่อพี่ก็ป่วยด้วย..” พี่เขาหันกลับมาหาผมที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตรงนี้

“คงจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกนาน..” ทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ใจของผมเหมือนมันหลุดไปอยู่ที่ตาตุ่ม หูของผมเหมือนกับมันอื้ออึงไปชั่วขณะ

“ข่าวร้ายอีกเรื่อง..
” ผมอยากจะตะโกนออกไปว่า ข่าวร้ายอีกเรื่องที่พี่กำลังจะพูดน่ะ ไม่ต้องพูดมันออกมาได้ไหม ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องที่น่าฟังเลย แต่ผมก็ทำได้แค่เงียบ เพราะริมฝีปากของผมมันทั้งแข็งและแห้งผาก

“พี่จะต้องบินวันพรุ่งนี้..” ผมอึ้งไปแล้ว อึ้งไปแล้วจริงๆ

“พูดอะไรหน่อยสิ” พี่เขาบอกพลางกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทางฝั่งตรงกันข้ามกับผม
“ผมจะพูดอะไรได้ล่ะครับ.. ก็มันเป็นงาน..” ผมตอบด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เพราะไม่อาจตั้งรับมันได้ทัน สาเหตุที่มันเป็นอย่างนั้นก็เพราะเมื่อไม่มีกี่วันมานี้ ผมเพิ่งจะยอมรับความรู้สึกของตัวเอง และก็เพิ่งจะแสดงความรู้สึกนั้นอย่างตรงไปตรงมาให้คนตรงหน้ารู้ ซึ่งหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็เป็นไปได้ด้วยดี..
แล้วจู่ๆ พี่คยูกลับมาบอกผมว่า เขากำลังจะต้องไป และอาจไม่กลับมาที่นี่ แล้วความรู้สึกพวกนั้นล่ะ ผมควรจะทำอย่างไรกับมันดี ?

“ซองมินคิดว่าควรจะคบกับพี่ต่อหรือว่าควรจะแยกทางล่ะ ?” พี่เขาถามพลางเอื้อมมือมาลูบศีรษะผมคล้ายกับต้องการจะปลอบโยน
                “ถึงพี่ไม่กลับวันนี้ วันหน้าพี่ก็ต้องกลับไปอยู่ดี” ผมตอบ

                “สรุปว่า ?” พี่เขาย้อนถาม
                “คบครับ..” ผมตอบพลางมองใบหน้าของร่างสูงที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

               

                “ขอบคุณนะ” พี่เขาพูดราวกับเสียงกระซิบ จากนั้นร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนพลางโน้มตัวเข้ามาหาผม จนใบหน้าของเราใกล้กันมากกว่าที่เคยส่งผลให้โฟกัสทางสายตาของผมมันพล่าเบลอเมื่อริมฝีปากหนากำลังแตะลงบนกลีบปากของผม พลางบดย้ำราวกับจะให้ผมจดจำรสจูบในวันนี้ เพื่อที่จะคลายความคิดถึงในวันหน้า..
                ” จูบแรกของเรามันเกิดขึ้นในวันแรกของการคบหากันอย่างเป็นทางการ แถมยังเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน ..
แอบคิดได้เพียงเท่านี้ ผมก็รู้สึกเหงาแล้ว..

                “คืนนี้พี่ขอค้างที่ห้องซองมินจะได้หรือเปล่า” หลังจากผละตัวออกจากกัน เราสองคนก็ต่างคนต่างหันหน้าออกไปด้านนอกคนละทิศละทาง แต่แล้วพี่เขาก็เริ่มเรียกร้องความสนใจจากผมด้วยประโยคที่มันฟังแล้วชวนเก้อเขิน แต่ผมกลับไม่มีอาการอย่างนั้นเลย เพราะใจของผมมันกำลังเหม่อลอย
                “ครับ..” ทันทีที่ผมตอบรับออกไป เราสองคนก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแคบๆข้างๆกัน โดยที่ร่างสูงเป็นฝ่ายกอดผมเอาไว้อย่างแน่นหนา..

                “พรุ่งนี้.. ถ้าพี่กำลังจะบิน พี่ช่วยอย่าปลุกผมหรือโทรมาลานะครับ” ผมพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
                “อืม” พี่เขารับปาก พลางจุมพิตเส้นผมนุ่มของผมไปด้วย

                “พี่ใจดีที่สุดเลย รู้ตัวไหมครับ..” ผมพูดพลางอมยิ้ม
                “จริงเหรอ..” พี่เขาตอบรับราวกับไม่ค่อยอยากจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูด

                “อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงักกับอกแกร่ง
               

                “ผมไม่เคยเจอใครใจดีและอบอุ่นเท่านี้เลย..ฮึก..” ผมพูดพลางร้องไห้ออกมาอย่างกั้นไม่อยู่ เมื่อผมเผลอนึกไปถึงอดีตของตัวเองที่มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่โหยหาความรัก ความเอาใจใส่อย่างเงียบๆ พอมีคนมาทำดีด้วย ผมก็อดจะหวั่นไหวไม่ได้ และพอได้เอาตัวเองไปผูกตัวกับเขาแล้ว ผมก็รู้สึกอุ่นใจจนลืมเรื่องราวแย่ๆเหล่านั้นไป
                ” พี่เขาไม่พูดอะไร แต่กลับลูบหัวของผมแทนราวกับปลอบโยน

                “เดินทางปลอบภัยนะครับ..” ผมอวยพรพลางจุมพิตลงบนริมฝีปากหนาอย่างแผ่วเบาเพียงเสี้ยววินาที จากนั้นผมก็รีบซุกใบหน้าลงกับอกอุ่นๆของลูกเรือสายการบินอาหรับ..

                “ขอบคุณนะ แล้วพี่จะโทรหา..

               <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 
 มาต่อแล้วจ้า ตอนนี้สั้นนิดนึงแล้วก็หวานปนเศร้าด้วยมะ 5555 ถือเป็นจุดเปลี่ยนอีกอย่างนึงเนอะ