วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 27

เพาะรัก




 
27


หลายวันมานี้คนรักของผมจำต้องง่วนอยู่กับการตระเตรียมเอกสารสำหรับการยื่นขอวีซ่าให้กับผมที่เพิ่งจะเดินทางไปยังสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นครั้งแรก และนอกจากนี้ พี่เขาบอกกับผมอีกว่าการจะเดินทางไปยังรัฐ UAEะต้องมีการขอวีซ่าและสปอนเซอร์ด้วย ซึ่งสปอนเซอร์ในที่นี้ก็คือผู้ที่ให้ที่พักหรือโรงแรมกับเรา หรืออาจจะเป็นสายการบินที่เราใช้บริการก็ได้ แต่ในกรณีของผมสปอนเซอร์ที่พี่เขาเลือกใช้ก็คือสายการบิน Emirates Airline เหตุผลที่พี่เขาเลือกใช้บริการของสายการบินนี้ มันเป็นเพราะว่าขั้นตอนในการขอวีซ่าไม่ยุ่งยากมากนัก เพราะทางสายการบินจะเป็นคนเดินเรื่องให้ทั้งหมด..
เพราะว่าอีกไม่นานผลวีซ่าของผมก็จะออกแล้ว ผมจึงอาศัยจังหวะนี้ เดินทางกลับไปยังบ้านที่ผมไม่เคยคิดจะกลับไป เพื่อหวังจะกล่าวคำอำลาเพียงลำพัง โดยที่ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ ผมได้บอกกับพี่เขาไว้แล้วว่า ผมขอไปบอกลาพวกเขาแค่เพียงครู่เดียว พร้อมกับสัญญาว่าผมจะไม่ปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น และจะไม่เพิ่มบาดแผลให้กับตัวเองด้วย พี่เขาถึงจำยอมปล่อยผมเดินทางมาที่นี่คนเดียว..

บ้านเล็กๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ยังคงอบอุ่นในความรู้สึกของผมเสมอ แต่หากก้าวเดินเข้าไปยังด้านใน ความรู้สึกของคุณจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะภายในบ้านหลังนี้มันมีแต่ความว้าเหว่..

“ผม.. ขอโทษ.. นะครับ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือราวกับกำลังพูดคำๆ นี้ตรงหน้าคุณพ่อ คุณแม่ และพี่จองซู

“พี่จองซู.. ผมจะนึกถึงพี่เสมอ..” น้ำตาของผมหยดลงมาจนได้ ผมจึงต้องรีบเช็ดมันออกให้หมด เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่า ผมจะต้องกลับไปเป็นอีซองมินที่โจวคยูฮยอนรู้จักให้ได้

ผมยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าบ้านเป็นเวลานานสองนาน แต่เมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงเครื่องยนต์กำลังขับเคลื่อนเข้ามาในเขตหมู่บ้าน ผมก็รีบหันไปมองยังทิศทางดังกล่าว จนกระทั่งมองเห็นว่ารถคันนั้นกำลังมุ่งตรงมาเรื่อยๆ ผมจึงรีบวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ตรงข้างๆ กำแพงบ้าน จากนั้นผมก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาดูผู้มาเยือนอย่างระมัดระวัง
และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้เห็นใบหน้าของคุณพ่อ..

ก่อนที่ผมจะกลับไปที่หอ ผมก็ไม่ลืมที่จะซื้อมื้อเย็นไปฝากทั้งสองคนที่ป่านนี้คงจะพากันคลุกตัวอยู่ห้องใครห้องมัน เพราะเนื่องจากทั้งสองคนยังไม่สนิทสนมกันมากนัก
“กูซื้อส้มมาฝากมึงด้วยนะ” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องและอีฮยอกแจมันก็หันหน้ามามองทางต้นเสียง ผมก็รีบชูส้มถุงใหญ่ให้มันดูอย่างเอาใจ
“ผิดคาดแหะ กูนึกว่ามึงจะรีบไปหาคนข้างห้องก่อนมาหากู..” อีฮยอกแจมันยิ้มล้อ พลางแบมือขอถุงส้มด้วยสายตาเป็นประกาย

“กูก็ผิดคาดเหมือนกันที่มึงไม่ได้อยู่คนเดียว.. สวัสดีครับคุณซีวอน..” ผมโต้กลับอย่างเสมอภาค จากนั้นก็หันไปทักทายคุณซีวอนที่กำลังเดินออกมาจากห้องครัว
“สวัสดีครับ ซื้อมาซะเยอะแยะเลย..” คุณซีวอนเดินเข้ามาหาผมพลางแบ่งข้าวของที่ผมซื้อมาไปถือไว้เอง จากนั้นคุณซีวอนก็หยิบส้มโยนไปให้กับอีฮยอกแจที่ยังคงนั่งเดี้ยงๆอยู่บนเตียง

“ผมไม่รู้ว่าคุณจะมาเยี่ยมมัน ผมเลยไม่ได้ซื้อมื้อเย็นมาฝาก ยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ..” ผมบอกพลางสาละวนจัดเตรียมข้าวของต่างๆ ให้เข้าที่เข้าทาง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินกับไอ้จงฮยอนก็ได้.. โอ้ย!” คุณซีวอนตอบผมพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมก็เลยยิ้มตามเขาไปด้วย แต่แล้วเมื่อชื่อของใครบางคนหลุดออกมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้น รอยยิ้มของผมก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มฝืนๆในทันที อีฮยอกแจมันก็เลยปาส้มใส่หัวคุณซีวอน

“ผม..เอ่อ..” คุณซีวอนได้แต่อ้ำอึ้ง
“เขาสบายดีไหมครับ ?” ผมถามพลางยกยิ้มบางๆ

“เขาไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่หรอกครับ เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาอีกนาน เพราะดูเหมือนเขาจะถลำลึกไปมากกว่าที่ใครจะคิด..” คุณซีวอนตอบอย่างชัดเจน ทำเอาผมเผลอเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความรู้สึกผิด

“คุณสบายใจได้ ผมไม่ปล่อยให้เพื่อนผมมันทำอะไรบ้าๆ หรอก” ดูเหมือนคุณซีวอนจะกำลังปลอบใจผมอยู่เลยนะ ผมก็เลยต้องยกยิ้มให้เขาทั้งๆ ที่ผมเกือบจะยิ้มไม่ออกแล้ว
“เลิกพูดๆ มึงรีบเอามื้อเย็นไปให้พี่เขาสิ ป่านนี้น่าจะหิวแย่แล้ว..” ฮยอกแจมันพูดขัดขึ้นมา ผมก็เลยได้โอกาสปลีกตัวออกมาจากสถานการณ์นั้นได้

ก๊อก ก๊อก

“อยู่ห้องหรือเปล่าครับ ?” เมื่อเคาะประตูอยู่นาน แต่คนข้างห้องก็ยังไม่ยอมเปิดให้ผมสักที ผมก็เลยตัดสินใจโทรไปหาลูกเรือของสายการบินอาหรับเสียเลย

“อยู่ข้างล่างเหรอครับ.. เดี๋ยวผมลงไปหานะ..” ผมบอกพี่เขาแล้วจากนั้นก็รีบกดวางสายและถอยห่างจากประตูไม้ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แผลของผมไม่ตึงเหมือนช่วงแรกๆแล้ว ผมจึงสามารถวิ่งลงบันไดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่แล้วจังหวะการก้าวขาของผมก็เริ่มช้าลง เมื่อสายตาของผมมองไปเห็นคุณจงฮยอนที่กำลังนั่งเล่นอยู่ภายในสวนไม่ใกล้ไม่ไกลจากคนรักของผมนัก..
” ผมกำลังยืนลังเลว่าจะเข้าไปหาพี่เขาดีไหม เพราะผมไม่อยากไปสร้างบาดแผลให้กับใครอีกคนที่เขาก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณนี้มากนัก แต่ดูเหมือนจะไม่ทันการณ์ไปซะแล้วเพราะว่าพี่เขาร้องเรียกพลางโบกมือให้ผมอย่างร่าเริง

“ทำอะไรครับ ?” ทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้ม้านั่งตัวเดิม ลูกเรือของสายการบินอาหรับเขาก็จับผมให้ยืนหมุนตัวอยู่นาน จนผมเริ่มจะมึนหัว
“สำรวจว่ามีแผลมาเพิ่มหรือเปล่า..” พี่เขาหยุดหมุนตัวผม แล้วก็เงยหน้าตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความโล่งใจที่บาดแผลของผมไม่มีเพิ่มเติมไปจากเดิม

“ก็เราสัญญากันไว้แล้วนี่ครับ..” ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย พร้อมกับย้ำให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมรักษาสัญญาได้ดีมากแค่ไหน
“นั่นสิเนอะ..” พี่เขาพยักหน้าพลางหันไปหยิบอะไรบางอย่างยื่นมาตรงหน้าผม

“นมเหรอครับ ?” ผมรับขวดดังกล่าวมา พลางพลิกดูอย่างสนอกสนใจราวกับว่าผมอ่านภาษาอาหรับออกอย่างนั้นล่ะ
“นมอูฐรสอันทผาลัมน่ะ” พี่เขาตอบพลางยกยิ้ม ขณะที่มือข้างหนึ่งก็วางพาดเอาไว้บนพนักเก้าอี้ และขาข้างหนึ่งก็วางพาดไว้เหนือหัวเข่า

“ทำไมกลิ่นมันแย่จังครับ ?” ผมถามทันทีที่เปิดฝาแล้วกลิ่นอันไม่พึงประสงค์มันโชยมาแตะจมูก
ไม่เสียหรอก มันมีประโยชน์นะฮาบี คุณต้องดื่ม..” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนผมต้องกลั้นลมหายใจและยกขวดขึ้นดื่ม

พรวดดดด!

“แค่กๆ” ทันทีที่ปลายลิ้นสัมผัสรสชาติของนมอูฐขวดนั้น ผมก็รีบวิ่งไปพ่นมันทิ้งตรงข้างๆ พุ่มไม้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ น้ำๆ อันนี้ไม่แกล้งแล้ว..” พี่เขาเดินเข้ามาลูบหลังผมอย่างอ่อนโยน หากแต่เสียงหัวเราะของเจ้าตัวกลับตรงกันข้ามสิ้นดี

“เล่นอะไรครับ ?” ผมทำหน้าบึ้ง พลางมองจ้องอีกฝ่ายด้วยความขุ่นเคือง
“พี่ก็แค่อยากรู้ว่าไอ้นมนี่มันรสชาติเหมาะจะให้คนที่เราเกลียดอย่างเดียวจริงๆ เหรอ แต่จากที่ลองพิสูจน์ดูแล้ว เหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ เพราะว่าไอ้นมนี่ มันก็เหมาะจะให้คนที่เรารักด้วยเหมือนกัน..” พี่เขาพูดขณะที่กำลังยืนมองผมดูดน้ำเปล่าอย่างไม่ลืมหูลืมตา..

“เพราะเวลาที่เขากำลังโดนเราแกล้ง.. ดูน่ารักดี..” ลูกเรือของสายการบินอาหรับเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของผมในระยะประชิด จึงทำให้ผมได้ยินถ้อยคำหยอกเอินนั่นอย่างชัดเจน กระทั่งพี่เขาพูดทุกอย่างจนพอใจแล้ว เรียวคิ้วหนาข้างหนึ่งก็ยกขึ้นคล้ายกับจะกลั่นแกล้งให้ผมเก้อเขินไปมากกว่าเดิม..

“เริ่มหิวแล้วล่ะ ขึ้นห้องกันเถอะ..” พี่เขาฉวยถุงกล่องข้าวที่ผมซื้อ ไปถือเอาไว้เอง จากนั้นร่างสูงแสนดูดีก็เดินนำผมเข้าไปด้านใน จึงทำให้ผมได้สติว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันอยู่ในสายตาของใครบางคนที่กำลังมองมาที่ผมอย่างเจ็บปวด ผมจึงได้แต่เดินก้าวยาวๆ และก้มหน้าเข้าไปในตัวหอพักทั้งๆ ที่ใจมันรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้..


ตึ้ง!

“ไอ้เชี่ยยยยยยย!” หลังจากเสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นอันคุ้นเคยดังขึ้น ร่างสูงของลูกเรือจากสายการบินอาหรับที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงด้วยสภาพที่เส้นผมยังคงไม่แห้งหมาด ก็รีบตะโกนออกมาด้วยคำสบถพร้อมกับแสดงสีหน้าราวกับฆ่าใครได้ก็จะฆ่ามันให้หมด!
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ?” ผมที่เพิ่งกลับมาจากการไปอาบน้ำที่ห้องของตัวเองรีบถามอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง

“ดูมัน!” พี่เขาหันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ผมดู จึงทำให้ผมเห็นภาพของจิ้งจอกทะเลทรายตัวหนึ่งกำลังถูกใครสักคนดึงมุมปากให้ยืดขึ้นเป็นรอยยิ้ม และเมื่อผมเลื่อนสายตาลงมาอีกนิดจึงเห็นว่าเจ้าของมือใหญ่คู่นั้นเป็นของคุณอิมราน
A.Imran : @GaemGyu ลูกมึงนี่อารมณ์ดีเนอะ ยิ้มทั้งวัน

“แม่ง! รังแกลูกกูอีกแล้ว ไอ้ห่า!” พอพี่เขาเห็นว่าผมเข้าใจความเป็นมาเป็นไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบดึงโทรศัพท์หันเข้าหาตัวพร้อมกับตั้งอกตั้งใจพิมพ์ข้อความอย่างมุ่งมั่นจนผมถึงกับส่ายหัว จากนั้นผมก็เดินไปยังราวตากผ้าตรงหน้าห้องน้ำเพื่อไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดผมให้ลูกเรือของสายการบินอาหรับที่ในตอนนี้กำลังสติแตกอย่างถึงที่สุด

“เชี่ยยยยย! มีเช็ดผมให้กันด้วย~” ผมถึงกับชะงักในทันที เมื่อทราบแล้วว่าลูกเรือของสายการบินอาหรับเขาไม่ได้โต้ตอบกับเพื่อนรักผ่านทางข้อความอย่างที่เข้าใจ เพราะในตอนนี้เขาเปลี่ยนมาวีดิโอคอลหากันแล้ว และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ คุณอิมรามเขาสบถออกมาเป็นภาษาบ้านเกิดของเราอีกด้วย..
“เบด.. ไอ้อิมรานมันเลี้ยงเราดีไหม ? หื้อ มันรังแกเราด้วยใช่หรือเปล่า ทำไมไม่กัดมันแบบที่พ่อสอนล่ะฮึ ?” ขณะที่ผมกำลังทำตัวไม่ถูก ลูกเรือของสายการบินอาหรับก็นั่งคุยกับลูกจิ้งจอกทะเลทรายในปกครองของตนเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเสียจนผมเผลอลอบมองอีกฝ่ายด้วยสายตานิ่งงัน ขณะที่หัวใจมันก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เพราะท่าทางของพี่เขาเวลาที่กำลังคุยกับเบดมันอ่อนโยนมากจริงๆ อีกทั้งน้ำเสียงที่พี่เขาพูดกับเบดก็ยังเป็นน้ำเสียงทุ้มนุ่มคนละโทนกับผมด้วย..

“ลูกมึงเป็นเด็กดีจะตาย อยู่กับกูแม่งยิ้มทั้งวัน ฮ่าๆ” คุณอิมรานอุ้มเจ้าเบดไปอยู่ในการครอบครองอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มยืดมุมปากเจ้าจิ้งจอกน้อยให้วาดเป็นรอยยิ้มอีกหน
“พอเลยไอ้สัส!” พี่เขาต่อว่าอีกฝ่ายอย่างเหลืออด เห็นอย่างนั้นผมเลยทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพี่เขาบ้าง

“อาการดีขึ้นแล้วนี่เราน่ะ..” พอใบหน้าของผมเข้ามาอยู่ในระยะกรอบสายตา คุณอิมรานก็ปล่อยเจ้าเบดให้เข้ามาเดินวนเวียนอยู่ตรงหน้าจอโทรศัพท์และหันมาสนใจผมในทันที
“ครับ..” ผมยกยิ้มและเริ่มนั่งเงียบข้างๆ ลูกเรืออาหรับอีกครั้ง จากนั้นผมก็เริ่มสังเกตใบหน้าของคุณอิมรานอย่างละเอียดเพราะเขาไม่ใช่คนเอเชียเหมือนอย่างเรา จึงทำให้โครงหน้าของเขาดูคมเข้มอีกทั้งนัยน์ตายังดูโฉบเฉี่ยวราวกับนกเหยี่ยว ซึ่งหน้าตาแบบนี้คาดได้เลยว่าสาวๆ คงจะพากันหลงใหลใจละลายกันเป็นทิวแถว

“เออว่าแต่วันนี้มึงไม่ทำงานเหรอวะ?” พี่เขาถาม
“กูบินพรุ่งนี้ว่ะ ยาวไปๆ แล้วมึงอ่ะ จะกลับเมื่อไหร่ แล้วลูกมึงนี่จะเอายังไง ?” คุณอิมรานถามกลับ

“มะรืนนี้ มึงเอาลูกกูไปฝากไว้กับพี่อาราแล้วกัน เออ.. กูจะเอาซองมินไปอยู่ด้วยนะ ทีนี้เวลาพ่อไม่อยู่ เบดก็คงไม่เหงาแล้วล่ะเนอะ” พี่เขาพูดกับเพื่อนรักและลูกรักของเขาไปพร้อมๆ กัน ทำเอาผมอดที่จะเก้อเขินไม่ได้ เพราะเนื่องจากเรื่องที่ผมจะไปอยู่กับอีกฝ่าย ในกลุ่มของพี่เขายังไม่มีใครทราบเลยสักคน

“เหยดดดดดดด ข่าวใหญ่ครับข่าวใหญ่!” คุณอิมรานวางสายไปแล้ว แถมยังจากไปพร้อมกับประโยคน่าหวั่นกลัวนั่นด้วย

คาดว่าอีกไม่นานเรื่องที่ผมจะไปอยู่กับเพื่อนของเขา คงได้กระจายจนครบกลุ่มแน่!

แล้วแบบนี้ IG ของผมจะยังสงบอยู่อีกไหม ?

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  
เปิดตัวคุณอิมรานแล้ว คึคึ ต่อจากนี้จะไม่มีเรื่องเครียดแล้วค่ะ ให้ฮาบีได้พักจิตใจบ้างเนอะ ได้เขียนซีนทะเลทรายเมื่อไหร่จะพยายามเขียนให้ยาวกว่านี้นะ อิอิ หลังจากนี้จะได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่รวมถึงครอบครัวของคุณลูกเรือกันบ้าง แย้มๆไปแล้วว่ามีการจับดูตัวเนอะ แต่คุณลูกเรือก็หนีมาได้ตลอด ตอนหน้าไปเจอน้องเบดและพี่สาวของคุณลูกเรือกัน!

อิมเมจคุณอิมรานค่ะ จริงๆเป็นคนปากีสถานนะคะ แต่ในเรื่องเป็นคน UAE
http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2010/03/A8955863/A8955863-11.jpg 

นมอูฐรสอินทผารัมที่เขาว่ากันว่า รสชาติอยู่ในระดับที่เกลียดใครให้ซื้อเป็นของฝาก 555

ขอบคุณรูปจากคุณ bongtao 

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 26

เพาะรัก
 

 


 
26



ตื่นมาเช้านี้ ผมเกือบจะหลงคิดไปว่า เรื่องเมื่อคืนมันคือความฝัน ถ้าหากสายตาไม่ปะทะเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่งที่กำลังยืนเหม่อมองบรรยากาศในยามเช้าตรงด้านนอกระเบียง เมื่อเห็นแบบนั้นผมจึงสะบัดผ้าห่มออกจากตัว แล้วจึงวางปลายเท้าลงบนพื้นพรมพร้อมกับก้าวเดินตรงไปยังประตูระเบียงที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก แต่เมื่อผมเดินเข้ามาใกล้ประตูกระจกใส ฝ่ามือที่กำลังจะเลื่อนประตูกระจกบานนั้นก็หยุดชะงักลง เนื่องจากภาพที่เห็นเป็นภาพที่ผมไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้รู้มาก่อนว่า ร่างสูงของลูกเรือจากสายการบินอาหรับเขาจะสูบบุหรี่เหมือนอย่างคนอื่นเขาด้วย..
ภาพๆนั้น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับมีกำแพงสูงใหญ่ปิดกั้นระหว่างเราเอาไว้ จึงทำให้ผมเลือกที่จะเดินกลับมานั่งเงียบๆ บนเตียงตามเดิม..

แต่ความเงียบก็อยู่กับผมได้ไม่นาน เมื่อจู่ๆ แอพพลิเคชั่นอันคุ้นเคยกลับแจ้งเตือนขึ้นมา ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเปิดดู จึงพบสาเหตุที่ลูกเรือของสายการบินอาหรับต้องพึ่งพาบุหรี่ก้านเล็กๆ นั่น
GaemGyu: ลักพาตัว @imSMI มาที่นี่เลยได้ไหม ยิ่งปล่อยไว้ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง?

หลังจากอ่านข้อความดังกล่าวจบ ผมก็ได้แต่นั่งมองข้อความนั้นเงียบๆ เพราะใจหนึ่งผมก็เคยคิดอยากจะหนีไปจากที่ๆคุณพ่อกับคุณแม่จะตามตัวผมจนเจอ แต่อีกใจหนึ่งผมก็เป็นห่วงฮยอกแจและอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมไม่เคยหนีไปจริงๆก็คือ ผมต้องการจะไถ่โทษในความผิดที่ผมเคยได้ก่อไว้ และหนทางเดียวที่จะทำให้ความทุกข์ใจของคุณพ่อคุณแม่ค่อยๆ ถูกระบายออกมาก็คือการอดทนกับคำด่าทอและการถูกทำร้ายจากคนที่ผมรัก..

ครืดดดด

เสียงประตูระเบียงดังขึ้น จึงส่งผลให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่

“ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ แล้วหนีไปด้วยกันดีไหม?” ลูกเรือของสายการบินอาหรับกำลังยืนพิงประตูระเบียงพร้อมกับกอดอกถามผมอย่างไม่เต็มเสียงนัก คล้ายกับรู้ว่าน้ำหนักของคำตอบจากผม มันจะหนักไปในทิศทางไหน

“หากคุณตอบตกลง.. ผมมั่นใจว่า ชีวิตที่เศร้าหมองของคุณ มันอาจจะกลายเป็นอดีตที่คุณลืมมันไปเลยก็ได้นะฮาบี..” พี่คยูพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกทั้งแววตาคมกริบก็ยังฉายแววหนักแน่นจนผมเริ่มจะคล้อยตาม
“ต..แต่ผม..” ผมเม้มปากเน้น พลางคิดข้อโต้แย้งจนเต็มไปหมด แต่เพราะข้อโต้แย้งเหล่านั้นมันมากมายเกินไป ผมจึงพูดซ้ำไปซ้ำมาเพียงแค่ประโยคนั้น..

“ซองมิน.. การขังตัวเองไว้กับเรื่องราวเลวร้ายในอดีต มันมีแต่จะส่งผลเสียกับเรานะ..” ลูกเรือของสายการบินอาหรับเขาเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งตรงปลายขาของผม พลางประคองฝ่ามือของผมไว้และเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“แต่ถ้าหากผมหนีไป.. ผมก็จะยิ่งไม่สบายใจ..” ผมบอกกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“แล้วอยู่ตรงนี้เราสบายใจเหรอ? ถ้าหากหนีไปทั้งๆที่ไม่สบายใจ แต่กายไม่ต้องเจ็บ และก็อาจจะมีความสุขกับเรื่องของปัจจุบันได้บ้าง มันจะไม่ดีกว่าเหรอ?” พี่เขาพูดขึ้นมาเป็นฉากๆ พลางกุมฝ่ามือของผมเอาไว้แน่น
“ผม..ฮึก.. อยากหนีไปกับพี่.. ..แต่ถ้าผมหนี.. คุณพ่อจะต้องเกลียดผมมากกว่านี้.. ฮึก.. ผมไม่อยากถูกเกลียด ฮึก..” ผมบีบมือของพี่เขาแน่นพลางระบายความในใจที่เป็นเหตุผลอันแท้จริงที่ผมไม่เคยคิดหนีจากเรื่องราวเลวร้ายพวกนี้

“แล้วตอนนี้เขาเห็นค่าเราไหม ?” ผมส่ายหน้าตอบอย่างเจ็บปวด

“แต่พี่เห็นคุณค่าของเรานะ..” พี่เขาพูดพลางเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้ผมเบาๆ
” ผมหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่น้ำตาก็ยังคงไหลและเจ็บแปลบภายในใจอยู่ลึกๆ เพราะสิ่งที่พี่เขาพูดมันคือเรื่องจริง และผมก็รับรู้มาโดยตลอด

“ไปอยู่ด้วยกันนะ ?” พี่เขาถามย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“แต่ฮยอกแจยังไม่หายดีเลยนะครับ ผมคงทิ้งเขาไปไม่ได้ เพราะตอนที่ผมกำลังแย่ก็มีแค่เขาที่คอยอยู่เคียงข้างผม แม้ว่าผมจะทำอะไรไม่ดีเอาไว้” ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบปลายคางป้อยๆ

“รอให้เพื่อนเราหายดีก่อนก็ได้.. ยังไงพี่ก็ลางานเพิ่มมาแล้ว..” พี่เขาพูดพลางอมยิ้มบางๆ
“แล้วคุณพ่อพี่ล่ะครับ ?” ผมถามอย่างเป็นกังวลเพราะถ้าจำไม่ผิดพี่เขาบอกว่าคุณพ่อประสบอุบัติเหตุจนต้องทำกายภาพบำบัดไม่ใช่เหรอ

“จริงๆ ก็ไม่อยากจะพูดถึงเลย.. แต่ถ้าไม่พูด พี่ต้องถูกไล่กลับไปแน่ๆ คือจะว่ายังไงดีล่ะ จริงๆ แล้วพี่โดนพ่อตุ๋นซะเปื่อยเลย ท่านปกติดีทุกอย่างแต่ที่ต้องใช้มุกนี้เพราะจะเรียกพี่ไปดูตัว.. คือที่ผ่านมาก็หนีได้ตลอดน่ะแหละ แต่คราวนี้เกือบไม่รอดว่ะ.. ดีนะที่หนีมาได้..” ผมนิ่งอึ้งขึ้นมาทันที เมื่อทราบว่าที่พี่เขาต้องรีบกลับไป เป็นเพราะว่าถูกหลอกให้ไปดูตัว

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงในเรื่องนี้นะ พี่กลัวว่าถ้าเรารู้แล้วจะไม่สบายใจ.. คือมันเป็นแบบนี้มานานแล้วล่ะ แต่พี่ก็ปฏิเสธได้เรื่อยๆ ครั้งนี้ก็ปฏิเสธมา ไม่รู้ว่าครั้งต่อๆ ไปจะรอดเหมือนอย่างทุกครั้งหรือเปล่า..” พี่เขาพูดด้วยสีหน้าเครียดๆ ทำเอาผมเองก็คิดมากไปด้วย

“พี่ลางานได้อาทิตย์นึงนะ เพราะว่าพี่เลิกฝึกพนักงานใหม่แล้ว ขืนยังมีหลักแหล่งต่อไป พี่ตายห่าแน่ๆ แล้วนี่แผลเราจะหายทันหรือเปล่า อย่างน้อยถ้าต้องทิ้งเราไว้ก่อน พี่ก็อยากให้แผลพวกนี้มันหายเสียก่อน..” พี่เขาถามคล้ายกับต้องการจะเปลี่ยนเรื่อง
“น่าจะหายทันนะครับ ตอนนี้เหลือแค่สะเก็ดแผลเอง แต่อาการของฮยอกแจคงจะใช้เวลามากกว่าผม.. ผมคงจะหนีไปกับพี่เร็วๆ นี้ไม่ได้..” ผมอธิบายในเชิงตอบรับคำขอของลูกเรือจากสายการบินอาหรับอย่างแผ่วเบา เพราะ ณ ตอนนี้ จู่ๆ ผมก็เกิดหวาดกลัวว่าความอบอุ่นที่ผมสามารถไขว่คว้ามันได้ง่ายๆ จะหลุดลอยหายไป..
“ไม่เป็นไร.. แค่เราบอกว่าจะหนีไปด้วยกัน พี่ก็สบายใจขึ้น ที่อย่างน้อยในทุกๆ ปี พี่ก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะถูกลักพาตัวไปทำร้ายร่างกายและจิตใจอีกเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะคิดมากจนอาการ.. กำเริบขนาดไหน..” พี่เขายิ้มจนเต็มแก้ม ทำเอาผมอดไม่ได้ที่ยกยิ้มตาม เพราะคำพูดของลูกเรือตรงหน้านี้ มันทำให้หัวใจที่ว้าเหว่ของผมกลับมาอบอุ่นใจได้อีกครั้ง..

หลังจากได้คำตอบที่น่าพึงพอใจทั้งฝ่ายแล้ว ผมกับลูกเรือของสายการบินอาหรับก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวไปซื้อมื้อเช้ามาให้คนป่วยที่อาการหนักที่สุดได้ทาน และทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องที่ไม่ได้ล็อคเอาไว้ ผมก็ถูกเพื่อนรักแซวระงมจนผมอายม้วนอย่างห้ามไม่อยู่
“ไหนๆ ขอสำรวจหน่อยซิว่าเพื่อนฉันร่างกายชำรุดในส่วนไหนบ้าง..” อีฮยอกแจมันลุกขึ้นจากเตียงพลางเดินกระโพลกกระเพลกอย่างกระตือรือร้นจนเกินความจำเป็น
“คิดอะไรทะลึ่งๆน่ะ หยุดเลย!” ผมที่เดินหนีไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อเตรียมเครื่องอาบน้ำรีบหันกลับไปดุอีฮยอกแจที่ยังคงเดินตามมาล้อผมไม่ลดละ

“ก็ไปอยู่ด้วยกันทั้งคืน..” อีฮยอกแจลากเสียงพลางทำสายตากรุ้มกริ่มจนผมแทบอยากจะบิดแขนและขาเล็กๆนั่นให้หักอีกข้างไปเลย จะได้เดินมาต่อล้อต่อเถียงกับผมไม่ได้!
“ไม่มี! เมื่อคืนกูเล่าให้พี่เขาฟัง อาการมันเลยกำเริบ..” ผมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ทำเอาเพื่อนรักที่กำลังสนุกสนานกับการล้อผมไม่เลิกถึงกับนิ่งเงียบไป

“แล้วเขาว่าไง ?” อีฮยอกแจมันใช้มือข้างเดียวยึดไหล่ของผมเอาไว้ และพยายามดันให้ผมยอมหันมาเผชิญหน้ากับมัน
“พี่เขาก็ตกใจ.. แต่ก็ไม่ได้รังเกียจกู..” ผมตอบพลางยกยิ้ม ขณะที่นัยน์ตากำลังจะเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมาอีกครั้ง

“มึงโชคดีแล้วนะ..” ฮยอกแจมันรั้งผมเข้ามากอด พลางใช้มือข้างที่เป็นปกติลูบศีรษะของผมเบาๆ พร้อมกับบอกย้ำให้ผมรู้ว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ได้มาเจอกับโจวคยูฮยอน..
“อื้อ..” ผมตอบรับในลำคอพร้อมกับพยักหน้ากับลาดไหล่เล็กของเพื่อนรักเบาๆ จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่หลายนาที ก่อนที่ฮยอกแจมันจะบอกให้ผมรีบไปอาบน้ำอาบท่าซะ

เพราะว่ามันหิวข้าวแล้ว!

“จริงๆ พี่เอาตัวมันไปเลยก็ได้นะ ผมอยู่ได้สบายมาก” ระหว่างทานมื้อเช้า ผมก็เล่าเรื่องที่ผมเพิ่งจะได้คุยกับลูกเรือของสายการบินอาหรับไปเมื่อเช้า
“สัส! กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย ไหงมาไล่กูแบบนี้วะ” ผมทำหน้าบึ้งใส่ฮยอกแจ

“มึงก็รู้ว่าพี่กูเป็นคนยังไง.. เขาไม่มีทางปล่อยให้กูอยู่คนเดียวหรอกน่า ยิ่งสภาพเดี้ยงๆแบบนี้นะ มีแต่จะส่งลูกน้องมาปรนนิบัติพัดวีอย่างดี” อีฮยอกแจมันบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“แต่มึงไม่ชอบให้ลูกน้องของพี่เขามาคอยติดตามนี่..” ผมเถียง..
“ถ้ามันจะทำให้มึงหนีจากเรื่องบ้าๆนี่ได้ กูก็จะทำใจให้ชอบสักเดือนสองเดือนก็ได้..” อีฮยอกแจยกยิ้มจนตาหยี ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดมันไว้
“เราสองคนดูสนิทกันดีนะ เห็นแบบนี้พี่ก็เบาใจไปได้หน่อยนึง..” พี่คยูพูดขึ้นมาหลังจากที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

“จริงๆ แล้วผมกับฮยอกแจเราเคยเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันครับ แต่ตอนนั้นเราสองคนยังไม่สนิทกันแบบนี้ ผมรู้จักแค่ว่าเขาเป็นคุณหนูของตระกูลอีที่มีธุรกิจผิดกฏหมายเป็นฉากหลัง.. เพราะยาพวกนั้นผมได้มาจากลูกน้องของพี่ชายเขาน่ะครับ..” ผมยกยิ้มให้พี่คยูพลางเล่าเรื่องราวของผมกับฮยอกแจให้พี่เขาฟังด้วยความไว้วางใจ
“พูดถึงเรื่องแบบนั้น จะเป็นอะไรอีกหรือเปล่า พี่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้นะ..” พี่เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเข้ามากุมมือผมที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงข้างๆฮยอกแจ

“ผมเล่าได้ครับ..” ผมยิ้มให้พี่เขา พลางยืนยันที่จะเล่าให้ฟังต่อ
“อืม..” พี่เขาพยักหน้าเบาๆ แล้วก็นั่งลงบนเตียงไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก

“เขาเก่งมากเลยนะครับ ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางของไม่ดีแบบนั้น แต่เขาก็ไม่คิดจะแตะมันเลย แถมยังเรียนเก่งอีกด้วย สอบได้ตั้งที่หนึ่งของสายชั้นแน่ะ” ผมเล่าให้พี่เขาฟังอย่างชื่นชมในตัวเพื่อนรักของผมมาก
“พี่กูห้ามต่างหาก.. ถ้าไม่ห้าม กูคงมีความคิดอยากรู้อยากลองบ้างแหละวะ” ฮยอกแจมันเกาหัวแก้เขิน

“ไม่หรอก.. มึงไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะถ้ามึงคิดแบบนั้น มึงคงไม่ห้ามให้พี่มึงปล่อยของแถวโรงเรียน..” ผมยกยิ้มตอบเมื่อนึกไปถึงเรื่องราวในตอนนั้น ทีแรกน่ะ ผมเกลียดฮยอกแจมันมากนะ เพราะมันทำให้ผมหาของแบบนั้นยากขึ้น และเมื่อหาจากแถวๆ โรงเรียนไม่ได้ ผมก็ต้องไปหาจากกลุ่มอื่น โดยที่ผมจะต้องทำให้พวกมันไว้ใจจนขายของไม่ดีพวกนั้นให้ง่ายๆ ซึ่งกว่าพวกมันจะไว้ใจ ผมก็เกือบจะติดยาพวกนั้นไปแล้ว แต่เมื่อผมชักจูงให้พี่จองซูทำตัวไม่ดีได้สำเร็จ ผมก็ไม่แตะของพวกนั้นอีก เพราะผมตั้งใจจะเก็บมันไว้ให้พี่จองซูโดยเฉพาะ ผมจึงไม่ถึงกับติดจนเลิกไม่ได้..
“พอเข้ามหาลัย เราสองคนเป็นรูมเมทกัน และคำถามแรกที่เขาถามคือ นายติดยาหรือเปล่า ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันบอกไม่ถูกเลย..” ผมเล่าไปก็ยิ้มไป พี่เขาก็เลยยิ้มไปกับผมด้วย หากแต่นัยน์ตาของพี่เขากลับไม่ได้ยิ้มตามแม้แต่น้อย เพราะพี่เขาคงจะไม่ชอบใจอดีตของผมมากนัก แต่เพราะมันแก้ไขอะไรไม่ได้ พี่เขาถึงได้ปล่อยเลยตามเลย..

“เป็นครั้งแรกจริงๆที่มีคนเป็นห่วงผม.. จนกระทั่งผมทำร้ายพี่จองซูและต้องนอนอยู่ในคุก เขาก็ยังไม่ทิ้งผมไปไหน จนผมยังแอบหลงคิดไปเลยว่า ประวัติของผมมันใสสะอาดได้ก็เพราะมันให้พี่ชายจัดการหรือเปล่า..” ผมยังคงยิ้มอย่างมีความสุขต่อไป ถึงแม้ว่าเรื่องที่ผมกำลังเล่ามันจะเป็นเรื่องราวในช่วงขณะที่ผมไม่อยากจะจดจำ แต่เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฮยอกแจด้วยเสี้ยวหนึ่ง อาการของผมจึงไม่เคยกำเริบเพราะคิดถึงฮยอกแจในช่วงเวลาแบบนั้น..
“หึ.. มึงพ้นโทษได้ก็เพราะมึงไม่ผิด กูบอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ววะ มึงไม่ได้ฆ่าเขา..” อีฮยอกแจมันหัวเราะเบาๆในลำคอ พลางยกมือขึ้นยีหัวผมแรงๆ

“แต่สาเหตุที่เขาต้องฆ่าตัวตายมันก็มาจากกู ถึงกูไม่ได้ฆ่าก็เหมือนฆ่า..” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย
“แต่มึงก็รับโทษมามากพอแล้ว.. มากเกินไปด้วยซ้ำ.. กูขอพูดตามตรงมึงอย่าโกรธกูนะ พี่มึงน่ะ ถ้าเขาเป็นคนดีไม่คิดวอกแวกจริงๆ มึงจะชักจูงเขาได้ไหม? อ้อ แล้วกูก็ไม่อยากจะโทษพ่อบุญธรรมของมึงด้วย แต่ก็อดไม่ได้ว่ะ ถ้าเขาไม่ทำให้พี่มึงกดดันอะไรสักอย่าง พี่มึงคงไม่ต้องพึ่งยานรกพวกนั้นเหมือนอย่างที่มึงเองก็เคยคิดที่จะพึ่ง แต่จะโทษเขามากมันก็ไม่ถูก เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่การตัดสินใจของพี่มึงทั้งนั้น” ฮยอกแจมันเรียกสติของผมที่เริ่มจะจมดิ่งลงอีกครั้ง
“พี่เองก็คิดแบบเพื่อนเรานะ.. ในมุมมองของพี่ ถ้าฟังจากที่เรากับเพื่อนพูด ดูเหมือนเราจะเคยลองยาพวกนั้นแต่เราก็ไม่ลองจนถึงกับขาดมันไม่ได้ เป็นเพราะใจลึกๆแล้ว เรารู้ว่ายาพวกนั้นมันไม่ดีหรือเปล่า เราถึงได้ไม่คิดจะลองมันต่อไป ในขณะที่พี่ชายของเรายิ่งได้ลองก็ยิ่งถลำลึกแบบนั้น..” พี่เขาพูดสนับสนุนความคิดของอีฮยอกแจขึ้นมาอีกคน

“แต่ผมก็น่าจะห้ามเขา..” ผมตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อความคิดของผมมันเริ่มสั่นคลอนเพราะความคล้อยตาม
“เรื่องนั้นมึงอาจจะผิด กูไม่เถียง ที่กูพูดเพราะกูแค่อยากให้มึงหลุดจากเรื่องพวกนี้ได้แล้ว มึงอยู่กับมันมานานแล้วนะ..” ฮยอกแจมันบอกกับผมตรงๆ

“มึงไปอยู่กับพี่เขาเถอะ กูอยากเห็นมึงมีความสุข ส่วนกู เดี๋ยวกูโทรบอกพี่กูแปปเดียว เขาก็มาหากูแล้ว.. หรือถ้าเขาไม่ว่าง เดี๋ยวเขาก็ส่งลูกน้องมาหากูเองแหละ” ฮยอกแจมันจับมือของผมให้ไปวางอยู่บนฝ่ามือของลูกเรือจากสายการบินอาหรับ พร้อมกับพูดจาราวกับจะฝากฝังผมให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียอย่างนั้น..

“เพื่อนเราเขาอนุญาตแล้ว.. บินไปดูไบมะรืนนี้เลยดีไหม?
  
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  
ห่างหายไปนานเลย พอดีชั่งใจว่าจะเขียนในมุมมองของใครดี และสุดท้ายก็เขียนในมุมมองของฮาบีต่อไปดีกว่า เอาไว้โอกาสหน้าค่อยเป็นมุมมองของลูกเรือบ้าง ผ่านเรื่องเครียดๆมาแล้ว พอได้ไปอยู่ในสถานที่ใหม่ๆ คงจะสดใสขึ้นเนอะ