Melted
บทที่ 20 – เพลี่ยงพล้ำ
“พอข้าขออภัยโทษกับท่านพ่อเสร็จ อยู่ๆฟ้าก็ร้องคำรามขนาดนี้
แถมฝนก็ยังเทลงมาราวกับฟ้ารั่วอีก ข้าควรจะตีความเหตุการณ์นี้อย่างไรดีท่านพี่ .. ” บุรุษร่างเล็กทูลถามท่านพี่ผู้มีศักดิ์เป็นถึงองค์กษัตริย์ผู้สูงส่ง
พลางทำหน้ามุ่ยจ้องมองบรรยากาศโดยรอบ
เมื่อทั้งตนและท่านพี่มีที่หลบฝนอย่างเป็นกิจจะลักษณะจนเรียบร้อยแล้ว
“ท่านพ่อคงอยากให้เจ้ากับข้า มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังกระมัง
..” กษัตริย์หนุ่มในชุดเครื่องทรงไร้ชุดคลุมตัวนอกตรัสขึ้น
พลางแหงนเงยมองหยาดน้ำฝนที่ไหลรินละมุมหลังคาเป็นริ้วเป็นสาย ..
“ท่านพี่ตรัสราวกับว่าทุกค่ำคืน เราสองคนมิได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเสียอย่างนั้น
..” บุรุษร่างเล็กแหงนเงยใบหน้าขึ้นจ้องมององค์กษัตริย์ที่กำลังประทับยืนอยู่เหนือร่างของตนที่กำลังนั่งพิงขอบประตูอยู่
..
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก แต่ความหมายของข้าคือ .. กว่าฝนจะหยุด .. เราสองคนก็คงจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองจนถึงรุ่งสางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับมาพบกันอีก
เมื่อภารกิจนั้นเสร็จสิ้น .. ”
กษัตริย์หนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถมาประทับนั่งเคียงข้างกันกับร่างเล็ก
จากนั้นพระองค์ก็เริ่มต้นขยายความให้องค์หญิงน้อยของพระองค์ได้เข้าใจ
“ข้ากลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาในภารกิจของท่านพี่เหลือเกิน
.. ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจทำใจได้
หากว่าท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมจะรู้เห็นเป็นใจกับขุนนางชั่วนั่น .. ”
“เจ้าต้องรู้จักปล่อยวาง .. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ในเมื่อเราห้ามมันไม่ได้ เราก็ต้องเผชิญหน้าเพื่อเอาตัวรอด ..” กษัตริย์หนุ่มรั้งร่างเล็กขึ้นมาซบอิงแนบอก
พลางตรัสสอนสั่งให้องค์หญิงน้อยของพระองค์ต้องทำใจยอมรับกับความกลัวนั้นให้ได้ ..
“เช่นนั้นระหว่างที่ข้าต้องหลับหูหลับตาเป็นหุ่นเชิด
.. ท่านพี่ได้โปรดรักษาสัญญากับข้าด้วย
..”
“ข้าสัญญาว่าข้าจะมิปล่อยให้เจ้าต้องอยู่เพียงลำพังอีก
.. และจากนี้ข้าจะระวังตนเอง
จะมิพลีพลามทำการใดๆโดยมิคิดไตร่ตรองเป็นอันขาด .. ส่วนเจ้าเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้รู้หรือไม่
.. อีกทั้งแววตาของเจ้าในยามที่จ้องมองข้า ได้โปรดอย่าสั่นไหวหรือแสดงความรู้สึกใดๆเป็นอันขาด
.. เรื่องนี้เจ้าจงระวังให้ดี ..”
“ท่านพี่ทรงหมายความว่าอย่างไร ? แววตาของข้ามันทำไม ?” อีซองมินผละกายออกจากอ้อมอกขององค์กษัตริย์
พลางมองจ้องคาดคั้นเอาคำตอบด้วยความสงสัย
“แววตาของเจ้ามันมิเคยไม่ตรงกับความคิดของเจ้าเลยซองมิน
.. อย่างเช่นตอนนี้
แววตาของเจ้ามันเอาแต่บอกว่ารักข้า เหมือนอย่างที่หัวใจของเจ้ารู้สึก
ข้าพูดถูกหรือไม่?” กษัตริย์หนุ่มขยับดวงพักตร์เข้ามาใกล้กันกับร่างเล็ก
พลางตรัสคำตอบที่ร่างเล็กอยากรู้นักหนาด้วยสุรเสียงทุ้มนุ่มชวนใจสั่น ..
“ฝ่าบาททรงหลงพระองค์เองเป็นที่สุด ..” อีซองมินรีบถอยกายออกห่างจากกษัตริย์หนุ่มราวกับโดนของร้อน
ใจคิดอยากจะหลบหนีไปให้ไกลดังเช่นวันวาน หากแต่เพลานี้สถานการณ์กลับไม่เอื้ออำนวย
จึงทำให้บุรุษร่างเล็กทำได้เพียงแค่หลีกหนีกษัตริย์หนุ่มไปนั่งกอดเข่าอิงแอบอยู่ตรงมุมห้องเพียงเท่านั้น
..
ครืด …
เสียงบานประตูที่กำลังถูกเลื่อนปิดลงมันทำให้ร่างเล็กยิ่งใจเต้นมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า
ซ้ำร้ายเสียงฝีเท้าในจังหวะสม่ำเสมอมันก็ยังสั่นคลอนความรู้สึกของตนให้กระเจิดกระเจิงอย่างไม่มีชิ้นดี
“ข้าชักมิอยากให้เจ้าเติบโตไปมากกว่านี้ซะแล้ว ..”
กษัตริย์หนุ่มประทับนั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากร่างเล็กมากนัก
“ท..ทำไม ?”
อีซองมินทูลถามเสียงสั่น พลางตะแคงใบหน้าโดยโผล่ให้เห็นแค่ดวงตาเพียงเสี้ยวเดียวมาทางกษัตริย์หนุ่ม
“ยิ่งเจ้าเข้าใจอะไรง่ายขึ้น .. เจ้าก็ยิ่งวิ่งหนีข้าได้เร็วขึ้น
ก็เท่านั้น..”
“….”
“คืนนี้ข้าขอได้ไหม .. เจ้าอย่าวิ่งหนีข้าอีกเลยนะ ..”
“…”
“ข้าเคยบอกเจ้าว่า
หากข้าได้เป็นกษัตริย์ ข้าจะแต่งตั้งให้มูกุงเป็นบุปผาประจำแผ่นดินใช่หรือไม่ ?” เมื่อร่างเล็กเริ่มก้มหน้าก้มตาหลบหลีกพระองค์อีกหน
กษัตริย์หนุ่มก็เริ่มใช้วาจาหว่านล้อมขึ้นมาอีกครา ..
“อื้อ”
“ตอนนี้เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ข้ายังทำมิได้
..”
“อ..อะไรหรือ ?”
อีซองมินโผล่หน้าออกจากข้างแขนอันเป็นที่หลบซ่อนชั้นดีอย่างลืมตัว ด้วยความอยากรู้
จึงทำให้ดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงเนตรของกษัตริย์หนุ่ม ที่ไม่รู้ว่าขยับดวงพักตร์และพระวรกายเข้ามาใกล้ชิดกันกับตนเสียตั้งแต่เมื่อใด
“ในตอนนี้เจ้ายังอยากเป็นมเหสีของข้าอยู่หรือไม่?” กษัตริย์หนุ่มกระซิบสุรเสียงแผ่วชิดริมหูของคนร่างเล็ก
“ท่านพี่ทรงตรัสถามเหลวไหลอันใดกัน .. ในเมื่อท่านพี่ก็ทรงมีมเหสีอยู่เคียงข้างกายแล้ว
..”
อีซองมินยอมรับว่าตนเก้อเขินในคำถามของกษัตริย์หนุ่มผู้นี้อยู่มาก
แต่ตนก็มิอาจจะลืมเลือนความจริงไปได้ว่าท่านพี่ของตนทรงครองราชย์มาจนถึงบัดนี้
มิมีทางเลยที่ท่านพี่จะยังมิมีมเหสีผู้คู่บุญบารมีดังเช่นกษัตริย์องค์อื่น ..
“เจ้าเคยเห็นนางหรือ
เจ้าจึงคิดว่าข้ามี ..”
กษัตริย์หนุ่มเมื่อถูกผลักอกให้ถอยห่าง
พระองค์ก็จำต้องถอยกลับมานั่งพิงกำแพงโดยทิ้งระยะห่างระหว่างกันไม่มากนัก ..
“ถึงข้าจะมิเคยเห็น
แต่ข้าก็มิคิดว่าท่านพี่จะทรงไร้คนคู่บุญบารมีมาจนถึงบัดนี้ ..” อีซองมินกล่าวในสิ่งที่ตนคิดอย่างหวิวไหว
เมื่อในอกมันรู้สึกแปลบปลาบ เหตุเพราะตำแหน่งนั้นมันเคยเป็นของตนมาก่อน ..
แต่บัดนี้มันคงกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว
..
“กษัตริย์องค์อื่นอาจเป็นเรื่องปกติที่จะมีมเหสีคู่บุญบารมีในทันทีที่ทรงขึ้นครองราชย์
.. แต่กับข้ามันมิใช่เช่นนั้น
ในเมื่อข้าเกิดมาเพื่อเป็นเพียงกษัตริย์หุ่นเชิด
ดังนั้นข้าจึงมิอาจมีมเหสีมาคอยเกื้อหนุนอำนาจใดๆได้ .. หรือแม้แต่สนม
ข้าก็มิอาจมีได้เช่นกัน
เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้ข้ามีแขนมีขามาคอยเกื้ออำนาจทางการเมืองได้มากกว่าพวกมัน
..”
“…”
“เหตุผลที่ข้าไม่ดิ้นรนหาแขนและขาจากวิธีนั้น
ทั้งๆที่ข้าก็สามารถทำได้
อาจเป็นเพราะใจของข้ามันยึดติดในสิ่งที่ท่านพ่อทรงคอยบอกคอยสอน .. อีกทั้งข้ายังยึดติดในความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า
.. ข้าจึงมองข้ามหนทางนี้ไปอย่างไม่คิดเสียใจ ..” กษัตริย์หนุ่มตรัสพลางเอื้อมฝ่าพระหัตถ์มากอบกุมฝ่ามือเล็กที่วางขดอยู่บนหน้าขาของอีซองมินเอาไว้
..
“…”
“เราสองพี่น้องมาใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคนคนเดียวกันดีไหม
?”
กษัตริย์หนุ่มมองจ้องดวงตากลมโตของคนร่างเล็กที่กำลังหันมามองจ้องพระองค์อยู่เช่นกันอย่างแน่วแน่
..
“ความต้องการเช่นนั้น
มันมิผิดจริงๆหรือท่านพี่ ?”
“หากเจ้าคิดว่ามันผิด
แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้สึกรักข้ากันเล่า ..”
“ข้า ..”
“ท่านพ่อทรงตรัสว่า
เราสองคนมิผิดที่มีความรัก หากจะมีคนผิด
พระองค์จะขอเป็นคนผิดเองที่ทำให้เราสองคนนึกคิดในสิ่งที่มิบังควร .. ดังนั้นข้าจึงคิดว่าความรักของเรามิใช่สิ่งที่ผิดดังเช่นที่ท่านพ่อทรงตรัสไว้
..”
“…”
“เป็นมเหสีของข้าได้ไหม ?”
กษัตริย์หนุ่มตรัสถามด้วยสุรเสียงอันเต็มเปรี่ยมไปด้วยความจริงจัง ..
“หากตำแหน่งนี้มันยังมีไว้เพื่อข้า .. ข้าก็จะขอน้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ
.. ท ..อื้อ ..”
บุรุษร่างเล็กจำเป็นต้องทูลตอบองค์กษัตริย์ด้วยน้ำเสียงอันจริงจังและเรียบนิ่ง
แม้นว่าจังหวะการเต้นของหัวใจ อีกทั้งใบหน้าอันร้อนผ่าวมันจะไม่ปกติแล้วก็ตาม ..
จากนั้นแค่เพียงเสี้ยววินาทีที่คำตอบล่องลอยเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้ของกษัตริย์หนุ่ม
ความเลือดร้อนก็ส่งผลให้ริมฝีปากหนาตรงเข้าครอบครองริมฝีปากเล็กอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
สัมผัสอุ่นซ่านเริ่มรายล้อมอยู่รอบกาย
เมื่อริมฝีปากเริ่มควานหาความหวานล้ำที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้สำเร็จ ..
“อืม ..”
รสจูบละมุนนุ่มส่งผลให้อีซองมินเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก จนกระทั่งความต้องการมันเริ่มมีมากขึ้น
ร่างเล็กจึงเป็นฝ่ายไล่ต้อนรสสัมผัสที่กษัตริย์หนุ่มบรรจงมอบให้อย่างโหยหา..
หากแต่ความโหยหากลับนำพาให้สติของใครอีกคนกระเจิดกระเจิงจนรสสัมผัสจากที่มันนุ่มนวลก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
จนทำให้อีซองมินแทบจะขาดอากาศหายใจลงเสียตรงนี้ ดีที่ท่านพี่ยังทรงมีเมตตาอยู่บ้าง
มิเช่นนั้นชาตินี้ ตนคงมิมีวันได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกต่อไป ..
“อึก .. อื้อ ..ท ..ท่านพี่ ..” นึกเผลอไผลหลงชื่นชมท่านพี่ของตนอยู่มินานเท่าใด
อีซองมินก็พลันต้องร่ำร้องไม่เป็นภาษา เมื่อโอษฐ์หนาขององค์กษัตริย์เริ่มไล้เลาะผิวเนื้อตรงช่วงต้นคอ
เรื่อยมาจนถึงหลังใบหูของตนเข้าให้แล้ว ..
ส่งผลให้ร่างกายของตน ณ เพลานี้ มันถูกกักขังอยู่ภายใต้พระวรกายของท่านพี่อย่างสมบูรณ์แบบ
..
“มูกุงของข้าหอมหวนชวนชื่นใจนัก .. ยิ่งข้าได้ชื่นชมใกล้ๆ
ข้าก็ยิ่งหลงใหล ..”
กษัตริย์หนุ่มตรัสชื่นชมเพียงแผ่วโดยมิได้ต้องการให้ร่างเล็กรู้สึกปั่นป่วนแต่อย่างใด
แต่ด้วยเพราะระยะห่างอันน้อยนิด จึงทำให้สุรเสียงอันแผ่วไหวนั้นดังก้องอยู่ภายในโสตประสาทของร่างเล็กอย่างชัดแจ้ง
..
“อ..อื้อ ..” สัมผัสหวิวไหวอันอุ่นชื้นที่แต่งแต้มไปทั่วผิวกายที่โผล่พ้นจากเนื้อผ้าสีดำสนิท
นำพาให้ร่างเล็กยิ่งต้านทานต่อความไหวซ่านนั้นได้ยาก ..
ไม่นานเสียงหวานกระเส่าจึงเปล่งออกมาอย่างไม่ทันได้ควบคุม
..
“อื้อ .. ท ..ท่าน..พี่ ..” อีซองมินสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อโอษฐ์หนาเริ่มออกแรงขบเม้มผิวกายของตนด้วยรสสัมผัสอันหนักแน่น
แต่จากนั้นไม่นานนัก ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคลิ้มฝัน เมื่อท่านพี่ทรงบรรจงจูบซับบาดแผลเดิมเพื่อปลอบขวัญให้ตนหายตื่นกลัว
..
“ทูรูมากีของเจ้ามันเปียกโชกเสียขนาดนี้ เจ้ายังคิดจะดื้อดึง
มิยอมถอดมันออกอีกหรือ ?”
สิ้นคำตรัสอันทุ้มนุ่มของกษัตริย์หนุ่ม
บุรุษร่างเล็กดังเช่นอีซองมินก็ถึงกับใจหายวาบ เมื่อเชือกที่ขมวดเป็นปมอยู่กลางอก มันถูกปลดเปลื้องออกจากกันเสียตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ
..
“ข ..ข้า ..”
“ประเดี๋ยวจะไม่สบาย ..” เมื่อร่างเล็กเอาแต่อ้ำอึ้ง
กษัตริย์หนุ่มก็มิรอช้าที่จะปลดเปลื้องทูรูมากีสีดำสนิทของร่างเล็กที่ใช้อำพรางตัวท่ามกลางความมืดในวันนี้จนเสร็จสิ้น
จากนั้นหัตถ์หนาก็จัดการโยนกองผ้าอันเปียกชื้นให้ออกห่างจากร่างน้อยในทันที..
“อึก ..อืม ..”
ฉับพลันที่หัวใจมันเริ่มจะเต้นในจังหวะปกติ โอษฐ์หนาก็ตรงเข้าครอบครองกลีบปากของร่างเล็กอีกครั้ง
หากแต่ครานี้มิได้มีพิธีรีตองอันใดเหมือนคราแรก ..
ทั้งสองคนจึงก้าวเข้ามาใกล้กันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง
..
“อ๊ะ” ร่างเล็กร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ
เมื่อริมฝีปากถึงคราวได้รับอิสระในตอนที่ท่านพี่ทรงรั้งร่างของตนให้ล้มลงทาบทับกับพระวรกายของพระองค์ที่รองรับอยู่เบื้องล่าง
..
ความผลุนผลันอันไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ดวงตากลมโตมันเผลอสบจ้องดวงเนตรขององค์กษัตริย์อยู่เนิ่นนาน
และกว่าจะรู้ตัว อ้อมแขนของท่านพี่ก็ทรงกอดรัดร่างของตนให้สนิทแนบไปกับพระวรกายของพระองค์
จนมิมีช่องว่างเหลือระหว่างเรา ..
หยาดฝนโปรยปรายด้านนอกท่ามกลางคืนเดือนมืด
ราวกับบทเพลงขบกล่อมให้บุรุษร่างเล็กและกษัตริย์หนุ่มหลงใหลอยู่ในวังวนอันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ยากจะทอดถอน
..
ไม่นานหลังจากได้สบตากัน ความเผลอไผลก็เริ่มนำพามาสู่ความเพลี่ยงพล้ำ
..หากแต่คงเป็นความเพลี่ยงพล้ำที่บุรุษทั้งสองล้วนเต็มใจให้มันเกิด
…
“อ..อื้อ ..” โอษฐ์หนาเริ่มต้นตะโบมจูบกลีบปากเล็กอีกครั้งอีกครา
ราวกับทรงพอพระทัยในรสสัมผัสอันหวานล้ำพาลพาให้สูญเสียการควบคุม ปลายลิ้นร้อนเริ่มและเล็มกลีบปากเล็กทั้งล่างและบนอย่างย่ามใจ
อีกทั้งหัตถ์หนาอันซุกซนก็มิอาจจะนิ่งเฉยได้ดังวินาทีแรก ..
เมื่อ ณ ตอนนี้ร่างเล็กได้ตกอยู่ภายใต้อาณัติของพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
…
รสจูบร้อนแรงลึกซึ้งยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อกษัตริย์หนุ่มยังมิสามารถละห่างจากความน่าหลงใหลของมูกุงฮวาในกำมือของพระองค์ได้
…
“อึก ..อื้อ ..”
หลังจากกษัตริย์หนุ่มไล่กวาดไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กจนเป็นที่พึงพอพระทัยแล้ว
เรียวลิ้นแกร่งก็เริ่มเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับเรียวลิ้นเล็กอย่างจริงจัง ขณะที่ฝ่าพระหัตถ์หนาก็เริ่มซอกซอนเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนละเอียดภายใต้ชอโกรีสีขาวสะอาดตา
“อืม ..อึก ..”
ความไหวซ่านชวนสั่นสะท้านที่ท่านพี่ทรงมอบให้ ส่งผลให้อีซองมินรู้สึกหวิวไหวในช่องอกอย่างไม่บอกไม่ถูก
ยิ่งท่านพี่ทรงปลดเปลื้องปราการเบื้องบนจนหมิ่นเหม่เท่าใด
ก็ยิ่งทำให้ท่านพี่สัมผัสผิวกายของตนได้อย่างถนัดถนี่
ซ้ำริมฝีปากก็ยังถูกครอบครองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะขาดอากาศหายใจ …
มิต้องบอกก็ทราบได้เลยว่าตนกำลังทรมานถึงเพียงไหน
..
“ท..ท่านพี่ ..” กว่าริมฝีปากจะได้เป็นอิสระก็ต่อเมื่อกษัตริย์หนุ่มละความสนใจจากกลีบปากของตนไปยังสัดส่วนอื่นที่กำลังดึงดูดสายตาเป็นรายต่อไป
“หืม ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มพึมพำรับคำเรียกขานในลำคอ
ขณะที่โอษฐ์หนากำลังพรมจูบไปทั่วลาดไหล่เล็ก เรื่อยมาจนถึงช่วงไหปลาร้า
และตบท้ายด้วยยอดอก …
“อ๊ะ ..อ๊า .. อื้อ
..” ร่างเล็กบิดเร้ากายอย่างไร้ทางควบคุม
เมื่อกษัตริย์หนุ่มเป็นฝ่ายครอบครองห้วงสติของตนไปจนหมดสิ้น สุ้มเสียงหวานพร่ากระเส่าจึงดังระงมไปทั่วตำหนักท้ายวังหลวงอย่างมิอาจอดกลั้น
เมื่อปลายลิ้นหนาไล้เลียยอดอกอันไวสัมผัสอย่างหนักหน่วง อีกทั้งฝ่าพระหัตถ์ข้างที่ว่างก็ยังคงบีบคั้นเนื้อกายเนียนละเอียดอย่างสนุกมือ
..
“ชู่ววว .. ถึงด้านนอกฝนจะตก
แต่เจ้าก็มิควรจะย่ามใจรู้หรือไม่ ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มในเชิงหยอกล้อดังขึ้นอย่างไม่บอกไม่กล่าว
นำพาให้ริมฝีปากเล็กถึงกับหุบงับเข้ามาหากันอย่างเก้อเขิน ซ้ำร้ายเมื่ออีซองมินกำลังถูกแววเนตรแพรวระยับมองจ้องในระยะประชิด
หัวใจก็ยิ่งสั่นพร่าอีกทั้งในอกก็ยังจะสั่นสะท้านมากกว่าที่เป็น ..
“…”
“มูกุงของข้า
เจ้าช่างน่าเอ็นดูอะไรอย่างนี้หืม ?”
เมื่ออีซองมินเป็นฝ่ายละสายตาออกห่างจากแววเนตรแพรวพราวคู่นั้น
หัตถ์หนาก็เริ่มออกแรงบังคับให้ตนหันใบหน้าเข้ามาสบจ้องกันดังเดิม ..
“…”
“ข้าน่ะ .. อดใจทะนุถนอมเจ้ามิไหวหรอกนะ ..” สิ้นสุรเสียงทุ้มนุ่ม ปลายนิ้วเรียวก็เริ่มเกี่ยวรั้งปมเชือกที่ใช้ผูกรั้งพาจีตัวเก่งของร่างเล็กให้หลุดรอดออกจากกันในทันที
“อ๊ะ .. อึก ..อื้อ
..”
ร่างเล็กถึงคราวต้องสะดุ้งเฮือกพร้อมด้วยใบหน้าอันร้อนระอุขึ้นมาอีกครา เมื่อ ณ
เพลานี้ ฝ่าพระหัตถ์หนากำลังคืบคลานเข้ามาสัมผัสส่วนไวสัมผัสของตนอย่างจาบจ้วง
“ชู่ว ..เจ้าอย่าเอ็ดตะโรไป ..” เมื่อร่างเล็กเริ่มจะไร้การควบคุม กษัตริย์หนุ่มก็ต้องเริ่มกล่าวเตือนขึ้นมาบ้าง
หากแต่คำเตือนของพระองค์ช่างดูเหมือนการกลั่นแกล้งในความรู้สึกของอีซองมินนัก
เมื่อกษัตริย์หนุ่มส่งสุรเสียงห้ามปรามมาพร้อมกับลมหายใจแผ่วไหวตรงข้างใบหู
ส่งผลให้ร่างเล็กขนลุกซู่ขึ้นมาทันควัน ..
“อ๊า ..ม ..ไม่ ..
ท ..ท่านพี่ ..”
อีซองมินส่ายหน้าไปมา พลางปัดป่ายฝ่าพระหัตถ์อันซุกซนของท่านพี่ของตนเป็นพัลวัน
อีกทั้งร่างกายก็จำต้องบิดเร้าคอยตอบรับร่องรอยสัมผัสที่ท่านพี่ทรงฝากฝังเอาไว้จนถ้วนทั่วทั้งแผงอก
“เจ้ากำลังพูดปลด ..”
กษัตริย์หนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ร่างเล็ก พลางสอดท่อนแขนข้างที่ว่างมารองรับศีรษะของอีซองมินให้นอนหนุน
“…”
“นอกจากดวงตาของเจ้าแล้ว .. ร่างกายของเจ้าเองก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกของเจ้าเช่นกัน
..” กลีบปากหนาตะโบมจูบไล้ซอกคอกรุ่นกลิ่นบุปผาที่พระองค์ชื่นชอบ
โดยมิได้คิดจะฝากฝังร่องรอยในตำแหน่งอันเปิดเผยสู่สาธารณะชนแต่อย่างใด ..
“อื้อ ..อ๊า ..”
ใบหน้าหวานเชิดรั้นรับสำหรับเลาะเล็มผิวเนื้อของตนอย่างไหวสะท้าน
อีกทั้งดวงตากลมโตยังปิดแน่น
พลางห่อปากกลั้นเสียงหวานกระเส่าอันเกิดจากห้วงสัมผัสของคนเบื้องบน ..
“…”
“อ๊ะ ..” สติพลันหวนคืน
เมื่อพาจีตัวเก่งถูกรูดรั้งลงมากองตรงข้อเท้าอย่างรวดเร็ว หัวใจพลันเต้นระงมร้องประท้วงอย่างขวัญผวา
กระทั่งสบโอกาสเหมาะ ร่างเล็กก็กระถดกายทอยหนีจากกษัตริย์หนุ่มอย่างตื่นกลัว ..
ทั้งตำหนักพลันเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงสายฝนพรำจากด้านนอกเพียงเท่านั้น
แต่แล้วเงาร่างของใครสักคนก็ปรากฏอยู่ตรงด้านนอกประตู ..
‘คยูฮยอนเจ้ามิควรผลีผลาม
.. การกระทำของเจ้าเมื่อครู่มิบังควรเลย .. คนตรงหน้าเจ้าเขาคือมเหสีของเจ้ามิใช่หรือ
ฉะนั้นเจ้าก็ควรที่จะให้เกียรติเขาบ้าง ..’
“ส..เสด็จ ..พ่อ ..” สุรเสียงทุ้มนุ่มแผ่วไหวอย่างตื่นตะลึง วรกายพลันหนักอึ้งขึ้นมาฉับพลัน และแล้วสมองก็เริ่มพร่ามัวในบัดดล
จะมีเพียงแววเนตรที่มองจ้องไปยังบานประตูอย่างแน่วแน่ ..
“…”
“เสด็จพ่อยังทรงมิทิ้งเราไปไหนซองมิน
..” กษัตริย์หนุ่มก้าวพรวดพราดเข้าไปโอบกอดร่างเล็ก
พลางตรัสซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น
“ท่านพี่ทรงหมายความว่าอย่างไร
ข้ามิเข้าใจ ..”
“เมื่อครู่เสด็จพ่อทรงมาตำหนิข้าที่ทำให้เจ้าหวาดกลัว
.. ข้าขอโทษที่ทำอะไรมิให้เกียรติเจ้าเลย
..”
กษัตริย์หนุ่มโน้มโอษฐ์ลงไปกดจูบบนหลังเท้าของร่างเล็กที่กำลังนั่งโอบกอดตนเองในสภาพที่เสื้อแสงหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี
“อ๊ะ .. ม..เมื่อครู่ท่านพี่พูดจริงหรือ
..” อีซองมินอุทานอย่างตกใจพลางชักเท้าหนีในคำขอโทษขององค์กษัตริย์
แต่เมื่อเห็นแววเนตรของกษัตริย์หนุ่มที่กำลังห้ามปรามมิให้ตนกล่าวท้วงในการกระทำนั้น
อีซองมินก็จำต้องมองข้ามมันไปและหันไปไล่บี้เอาคำตอบในเรื่องที่ตนนึกสงสัย
พลางมองจ้องไปยังบานประตูอย่างใคร่รู้ ..
“อืม ..” สิ้นคำตอบของกษัตริย์หนุ่ม ความเงียบก็เริ่มปกคลุมขึ้นมาอีกครา
…
จะมีก็เพียงสายฝนพรำที่กำลังขับกล่อมให้สองพี่น้องตกอยู่ในวังวนแห่งอดีต
..
จนกระทั่งอีซองมินและโจวคยูฮยอนหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดของกันและกันทั้งน้ำตา
..
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ทูรูมากี - เป็นเสื้อนอก คล้ายเสื้อโค้ต ใส่เมื่อออกไปข้างนอก
ชอโกรี - เสื้อนอกท่อนบนของผู้ชายจะมีลักษณะยาวจนถึงเอว และมีแขนยาวถึงข้อมือ
พาจี - กางเกง มีความยาวคลุมถึงข้อเท้า ที่ปลายพาจีจะมีสายผูกข้อเท้า เรียกว่า แทนิม
หลังจากอ่านจบ คนเขียนอาจมีโดนตบ กร๊ากก ชื่อตอนมาเต็ม แต่ในตอนกลับไม่สุด 555 แหม่ มันก็เร็วไปเนอะ เพิ่งได้กอด และจูบ (หลายครั้ง) เอง ฝ่าบาทต้องรู้จักอดเปรี่ยวไว้กินหวานบ้าง 555 ใส่ชื่อเรียกเครื่องแต่งกายไปบ้าง คงไม่งงเนอะ แต่คนแต่งนี่โคตรงงเลย ใช้เวลาศึกษาอยู่หลายวัน ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ
[Fic KyuMin] Melted : บทที่ 20 – เพลี่ยงพล้ำ