วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Melted

http://i.imgur.com/pLbXH8B.jpg


บทที่ 20 – เพลี่ยงพล้ำ


“พอข้าขออภัยโทษกับท่านพ่อเสร็จ อยู่ๆฟ้าก็ร้องคำรามขนาดนี้ แถมฝนก็ยังเทลงมาราวกับฟ้ารั่วอีก ข้าควรจะตีความเหตุการณ์นี้อย่างไรดีท่านพี่ .. ” บุรุษร่างเล็กทูลถามท่านพี่ผู้มีศักดิ์เป็นถึงองค์กษัตริย์ผู้สูงส่ง พลางทำหน้ามุ่ยจ้องมองบรรยากาศโดยรอบ เมื่อทั้งตนและท่านพี่มีที่หลบฝนอย่างเป็นกิจจะลักษณะจนเรียบร้อยแล้ว
“ท่านพ่อคงอยากให้เจ้ากับข้า มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังกระมัง ..” กษัตริย์หนุ่มในชุดเครื่องทรงไร้ชุดคลุมตัวนอกตรัสขึ้น พลางแหงนเงยมองหยาดน้ำฝนที่ไหลรินละมุมหลังคาเป็นริ้วเป็นสาย ..

“ท่านพี่ตรัสราวกับว่าทุกค่ำคืน เราสองคนมิได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเสียอย่างนั้น ..” บุรุษร่างเล็กแหงนเงยใบหน้าขึ้นจ้องมององค์กษัตริย์ที่กำลังประทับยืนอยู่เหนือร่างของตนที่กำลังนั่งพิงขอบประตูอยู่ ..
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก แต่ความหมายของข้าคือ .. กว่าฝนจะหยุด .. เราสองคนก็คงจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองจนถึงรุ่งสางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะกลับมาพบกันอีก เมื่อภารกิจนั้นเสร็จสิ้น .. ” กษัตริย์หนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถมาประทับนั่งเคียงข้างกันกับร่างเล็ก จากนั้นพระองค์ก็เริ่มต้นขยายความให้องค์หญิงน้อยของพระองค์ได้เข้าใจ

“ข้ากลัวผลลัพธ์ที่จะตามมาในภารกิจของท่านพี่เหลือเกิน .. ถึงอย่างไรข้าก็มิอาจทำใจได้ หากว่าท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมจะรู้เห็นเป็นใจกับขุนนางชั่วนั่น ..
“เจ้าต้องรู้จักปล่อยวาง .. อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ในเมื่อเราห้ามมันไม่ได้ เราก็ต้องเผชิญหน้าเพื่อเอาตัวรอด ..” กษัตริย์หนุ่มรั้งร่างเล็กขึ้นมาซบอิงแนบอก พลางตรัสสอนสั่งให้องค์หญิงน้อยของพระองค์ต้องทำใจยอมรับกับความกลัวนั้นให้ได้ ..

“เช่นนั้นระหว่างที่ข้าต้องหลับหูหลับตาเป็นหุ่นเชิด .. ท่านพี่ได้โปรดรักษาสัญญากับข้าด้วย ..
“ข้าสัญญาว่าข้าจะมิปล่อยให้เจ้าต้องอยู่เพียงลำพังอีก .. และจากนี้ข้าจะระวังตนเอง จะมิพลีพลามทำการใดๆโดยมิคิดไตร่ตรองเป็นอันขาด .. ส่วนเจ้าเองก็ต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้รู้หรือไม่ .. อีกทั้งแววตาของเจ้าในยามที่จ้องมองข้า ได้โปรดอย่าสั่นไหวหรือแสดงความรู้สึกใดๆเป็นอันขาด .. เรื่องนี้เจ้าจงระวังให้ดี ..

“ท่านพี่ทรงหมายความว่าอย่างไร ? แววตาของข้ามันทำไม ?  อีซองมินผละกายออกจากอ้อมอกขององค์กษัตริย์ พลางมองจ้องคาดคั้นเอาคำตอบด้วยความสงสัย
“แววตาของเจ้ามันมิเคยไม่ตรงกับความคิดของเจ้าเลยซองมิน .. อย่างเช่นตอนนี้ แววตาของเจ้ามันเอาแต่บอกว่ารักข้า เหมือนอย่างที่หัวใจของเจ้ารู้สึก ข้าพูดถูกหรือไม่?” กษัตริย์หนุ่มขยับดวงพักตร์เข้ามาใกล้กันกับร่างเล็ก พลางตรัสคำตอบที่ร่างเล็กอยากรู้นักหนาด้วยสุรเสียงทุ้มนุ่มชวนใจสั่น ..

“ฝ่าบาททรงหลงพระองค์เองเป็นที่สุด ..” อีซองมินรีบถอยกายออกห่างจากกษัตริย์หนุ่มราวกับโดนของร้อน ใจคิดอยากจะหลบหนีไปให้ไกลดังเช่นวันวาน หากแต่เพลานี้สถานการณ์กลับไม่เอื้ออำนวย จึงทำให้บุรุษร่างเล็กทำได้เพียงแค่หลีกหนีกษัตริย์หนุ่มไปนั่งกอดเข่าอิงแอบอยู่ตรงมุมห้องเพียงเท่านั้น ..

ครืด

เสียงบานประตูที่กำลังถูกเลื่อนปิดลงมันทำให้ร่างเล็กยิ่งใจเต้นมากขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ซ้ำร้ายเสียงฝีเท้าในจังหวะสม่ำเสมอมันก็ยังสั่นคลอนความรู้สึกของตนให้กระเจิดกระเจิงอย่างไม่มีชิ้นดี
“ข้าชักมิอยากให้เจ้าเติบโตไปมากกว่านี้ซะแล้ว ..” กษัตริย์หนุ่มประทับนั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากร่างเล็กมากนัก
“ท..ทำไม ?” อีซองมินทูลถามเสียงสั่น พลางตะแคงใบหน้าโดยโผล่ให้เห็นแค่ดวงตาเพียงเสี้ยวเดียวมาทางกษัตริย์หนุ่ม

“ยิ่งเจ้าเข้าใจอะไรง่ายขึ้น .. เจ้าก็ยิ่งวิ่งหนีข้าได้เร็วขึ้น ก็เท่านั้น..
….

“คืนนี้ข้าขอได้ไหม .. เจ้าอย่าวิ่งหนีข้าอีกเลยนะ ..

“ข้าเคยบอกเจ้าว่า หากข้าได้เป็นกษัตริย์ ข้าจะแต่งตั้งให้มูกุงเป็นบุปผาประจำแผ่นดินใช่หรือไม่ ?” เมื่อร่างเล็กเริ่มก้มหน้าก้มตาหลบหลีกพระองค์อีกหน กษัตริย์หนุ่มก็เริ่มใช้วาจาหว่านล้อมขึ้นมาอีกครา ..
“อื้อ”

“ตอนนี้เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ข้ายังทำมิได้ ..
“อ..อะไรหรือ ?” อีซองมินโผล่หน้าออกจากข้างแขนอันเป็นที่หลบซ่อนชั้นดีอย่างลืมตัว ด้วยความอยากรู้ จึงทำให้ดวงตากลมโตสบเข้ากับดวงเนตรของกษัตริย์หนุ่ม ที่ไม่รู้ว่าขยับดวงพักตร์และพระวรกายเข้ามาใกล้ชิดกันกับตนเสียตั้งแต่เมื่อใด

“ในตอนนี้เจ้ายังอยากเป็นมเหสีของข้าอยู่หรือไม่?” กษัตริย์หนุ่มกระซิบสุรเสียงแผ่วชิดริมหูของคนร่างเล็ก
“ท่านพี่ทรงตรัสถามเหลวไหลอันใดกัน .. ในเมื่อท่านพี่ก็ทรงมีมเหสีอยู่เคียงข้างกายแล้ว ..” อีซองมินยอมรับว่าตนเก้อเขินในคำถามของกษัตริย์หนุ่มผู้นี้อยู่มาก แต่ตนก็มิอาจจะลืมเลือนความจริงไปได้ว่าท่านพี่ของตนทรงครองราชย์มาจนถึงบัดนี้ มิมีทางเลยที่ท่านพี่จะยังมิมีมเหสีผู้คู่บุญบารมีดังเช่นกษัตริย์องค์อื่น ..

“เจ้าเคยเห็นนางหรือ เจ้าจึงคิดว่าข้ามี ..” กษัตริย์หนุ่มเมื่อถูกผลักอกให้ถอยห่าง พระองค์ก็จำต้องถอยกลับมานั่งพิงกำแพงโดยทิ้งระยะห่างระหว่างกันไม่มากนัก ..
“ถึงข้าจะมิเคยเห็น แต่ข้าก็มิคิดว่าท่านพี่จะทรงไร้คนคู่บุญบารมีมาจนถึงบัดนี้ ..” อีซองมินกล่าวในสิ่งที่ตนคิดอย่างหวิวไหว เมื่อในอกมันรู้สึกแปลบปลาบ เหตุเพราะตำแหน่งนั้นมันเคยเป็นของตนมาก่อน ..
แต่บัดนี้มันคงกลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ..

“กษัตริย์องค์อื่นอาจเป็นเรื่องปกติที่จะมีมเหสีคู่บุญบารมีในทันทีที่ทรงขึ้นครองราชย์ .. แต่กับข้ามันมิใช่เช่นนั้น ในเมื่อข้าเกิดมาเพื่อเป็นเพียงกษัตริย์หุ่นเชิด ดังนั้นข้าจึงมิอาจมีมเหสีมาคอยเกื้อหนุนอำนาจใดๆได้ .. หรือแม้แต่สนม ข้าก็มิอาจมีได้เช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้ข้ามีแขนมีขามาคอยเกื้ออำนาจทางการเมืองได้มากกว่าพวกมัน ..

“เหตุผลที่ข้าไม่ดิ้นรนหาแขนและขาจากวิธีนั้น ทั้งๆที่ข้าก็สามารถทำได้ อาจเป็นเพราะใจของข้ามันยึดติดในสิ่งที่ท่านพ่อทรงคอยบอกคอยสอน .. อีกทั้งข้ายังยึดติดในความรู้สึกของข้าที่มีต่อเจ้า .. ข้าจึงมองข้ามหนทางนี้ไปอย่างไม่คิดเสียใจ ..” กษัตริย์หนุ่มตรัสพลางเอื้อมฝ่าพระหัตถ์มากอบกุมฝ่ามือเล็กที่วางขดอยู่บนหน้าขาของอีซองมินเอาไว้ ..

“เราสองพี่น้องมาใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคนคนเดียวกันดีไหม ?” กษัตริย์หนุ่มมองจ้องดวงตากลมโตของคนร่างเล็กที่กำลังหันมามองจ้องพระองค์อยู่เช่นกันอย่างแน่วแน่ ..
“ความต้องการเช่นนั้น มันมิผิดจริงๆหรือท่านพี่ ?

“หากเจ้าคิดว่ามันผิด แล้วเหตุใดเจ้าจึงรู้สึกรักข้ากันเล่า ..
“ข้า ..

“ท่านพ่อทรงตรัสว่า เราสองคนมิผิดที่มีความรัก หากจะมีคนผิด พระองค์จะขอเป็นคนผิดเองที่ทำให้เราสองคนนึกคิดในสิ่งที่มิบังควร .. ดังนั้นข้าจึงคิดว่าความรักของเรามิใช่สิ่งที่ผิดดังเช่นที่ท่านพ่อทรงตรัสไว้ ..

“เป็นมเหสีของข้าได้ไหม ?” กษัตริย์หนุ่มตรัสถามด้วยสุรเสียงอันเต็มเปรี่ยมไปด้วยความจริงจัง ..
“หากตำแหน่งนี้มันยังมีไว้เพื่อข้า .. ข้าก็จะขอน้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจ .. ..อื้อ ..” บุรุษร่างเล็กจำเป็นต้องทูลตอบองค์กษัตริย์ด้วยน้ำเสียงอันจริงจังและเรียบนิ่ง แม้นว่าจังหวะการเต้นของหัวใจ อีกทั้งใบหน้าอันร้อนผ่าวมันจะไม่ปกติแล้วก็ตาม ..

จากนั้นแค่เพียงเสี้ยววินาทีที่คำตอบล่องลอยเข้าสู่โสตประสาทการรับรู้ของกษัตริย์หนุ่ม ความเลือดร้อนก็ส่งผลให้ริมฝีปากหนาตรงเข้าครอบครองริมฝีปากเล็กอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว สัมผัสอุ่นซ่านเริ่มรายล้อมอยู่รอบกาย เมื่อริมฝีปากเริ่มควานหาความหวานล้ำที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้สำเร็จ ..
“อืม ..” รสจูบละมุนนุ่มส่งผลให้อีซองมินเคลิบเคลิ้มได้ไม่ยาก จนกระทั่งความต้องการมันเริ่มมีมากขึ้น ร่างเล็กจึงเป็นฝ่ายไล่ต้อนรสสัมผัสที่กษัตริย์หนุ่มบรรจงมอบให้อย่างโหยหา..

หากแต่ความโหยหากลับนำพาให้สติของใครอีกคนกระเจิดกระเจิงจนรสสัมผัสจากที่มันนุ่มนวลก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนแรงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนทำให้อีซองมินแทบจะขาดอากาศหายใจลงเสียตรงนี้ ดีที่ท่านพี่ยังทรงมีเมตตาอยู่บ้าง มิเช่นนั้นชาตินี้ ตนคงมิมีวันได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกต่อไป ..
“อึก .. อื้อ ....ท่านพี่ ..” นึกเผลอไผลหลงชื่นชมท่านพี่ของตนอยู่มินานเท่าใด อีซองมินก็พลันต้องร่ำร้องไม่เป็นภาษา เมื่อโอษฐ์หนาขององค์กษัตริย์เริ่มไล้เลาะผิวเนื้อตรงช่วงต้นคอ เรื่อยมาจนถึงหลังใบหูของตนเข้าให้แล้ว ..
ส่งผลให้ร่างกายของตน ณ เพลานี้ มันถูกกักขังอยู่ภายใต้พระวรกายของท่านพี่อย่างสมบูรณ์แบบ ..

“มูกุงของข้าหอมหวนชวนชื่นใจนัก .. ยิ่งข้าได้ชื่นชมใกล้ๆ ข้าก็ยิ่งหลงใหล ..” กษัตริย์หนุ่มตรัสชื่นชมเพียงแผ่วโดยมิได้ต้องการให้ร่างเล็กรู้สึกปั่นป่วนแต่อย่างใด แต่ด้วยเพราะระยะห่างอันน้อยนิด จึงทำให้สุรเสียงอันแผ่วไหวนั้นดังก้องอยู่ภายในโสตประสาทของร่างเล็กอย่างชัดแจ้ง ..
“อ..อื้อ ..” สัมผัสหวิวไหวอันอุ่นชื้นที่แต่งแต้มไปทั่วผิวกายที่โผล่พ้นจากเนื้อผ้าสีดำสนิท นำพาให้ร่างเล็กยิ่งต้านทานต่อความไหวซ่านนั้นได้ยาก ..
ไม่นานเสียงหวานกระเส่าจึงเปล่งออกมาอย่างไม่ทันได้ควบคุม ..

“อื้อ .. ..ท่าน..พี่ ..” อีซองมินสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อโอษฐ์หนาเริ่มออกแรงขบเม้มผิวกายของตนด้วยรสสัมผัสอันหนักแน่น แต่จากนั้นไม่นานนัก ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความเคลิ้มฝัน เมื่อท่านพี่ทรงบรรจงจูบซับบาดแผลเดิมเพื่อปลอบขวัญให้ตนหายตื่นกลัว ..
 “ทูรูมากีของเจ้ามันเปียกโชกเสียขนาดนี้ เจ้ายังคิดจะดื้อดึง มิยอมถอดมันออกอีกหรือ ?” สิ้นคำตรัสอันทุ้มนุ่มของกษัตริย์หนุ่ม บุรุษร่างเล็กดังเช่นอีซองมินก็ถึงกับใจหายวาบ เมื่อเชือกที่ขมวดเป็นปมอยู่กลางอก มันถูกปลดเปลื้องออกจากกันเสียตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบ ..

“ข ..ข้า ..
“ประเดี๋ยวจะไม่สบาย ..” เมื่อร่างเล็กเอาแต่อ้ำอึ้ง กษัตริย์หนุ่มก็มิรอช้าที่จะปลดเปลื้องทูรูมากีสีดำสนิทของร่างเล็กที่ใช้อำพรางตัวท่ามกลางความมืดในวันนี้จนเสร็จสิ้น จากนั้นหัตถ์หนาก็จัดการโยนกองผ้าอันเปียกชื้นให้ออกห่างจากร่างน้อยในทันที..

“อึก ..อืม ..” ฉับพลันที่หัวใจมันเริ่มจะเต้นในจังหวะปกติ โอษฐ์หนาก็ตรงเข้าครอบครองกลีบปากของร่างเล็กอีกครั้ง หากแต่ครานี้มิได้มีพิธีรีตองอันใดเหมือนคราแรก ..
ทั้งสองคนจึงก้าวเข้ามาใกล้กันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง ..

“อ๊ะ” ร่างเล็กร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อริมฝีปากถึงคราวได้รับอิสระในตอนที่ท่านพี่ทรงรั้งร่างของตนให้ล้มลงทาบทับกับพระวรกายของพระองค์ที่รองรับอยู่เบื้องล่าง ..
ความผลุนผลันอันไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ดวงตากลมโตมันเผลอสบจ้องดวงเนตรขององค์กษัตริย์อยู่เนิ่นนาน และกว่าจะรู้ตัว อ้อมแขนของท่านพี่ก็ทรงกอดรัดร่างของตนให้สนิทแนบไปกับพระวรกายของพระองค์ จนมิมีช่องว่างเหลือระหว่างเรา ..

หยาดฝนโปรยปรายด้านนอกท่ามกลางคืนเดือนมืด ราวกับบทเพลงขบกล่อมให้บุรุษร่างเล็กและกษัตริย์หนุ่มหลงใหลอยู่ในวังวนอันเต็มไปด้วยความปรารถนาที่ยากจะทอดถอน ..
ไม่นานหลังจากได้สบตากัน ความเผลอไผลก็เริ่มนำพามาสู่ความเพลี่ยงพล้ำ ..หากแต่คงเป็นความเพลี่ยงพล้ำที่บุรุษทั้งสองล้วนเต็มใจให้มันเกิด

“อ..อื้อ ..” โอษฐ์หนาเริ่มต้นตะโบมจูบกลีบปากเล็กอีกครั้งอีกครา ราวกับทรงพอพระทัยในรสสัมผัสอันหวานล้ำพาลพาให้สูญเสียการควบคุม ปลายลิ้นร้อนเริ่มและเล็มกลีบปากเล็กทั้งล่างและบนอย่างย่ามใจ อีกทั้งหัตถ์หนาอันซุกซนก็มิอาจจะนิ่งเฉยได้ดังวินาทีแรก ..
เมื่อ ณ ตอนนี้ร่างเล็กได้ตกอยู่ภายใต้อาณัติของพระองค์อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง

รสจูบร้อนแรงลึกซึ้งยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน เมื่อกษัตริย์หนุ่มยังมิสามารถละห่างจากความน่าหลงใหลของมูกุงฮวาในกำมือของพระองค์ได้
“อึก ..อื้อ ..” หลังจากกษัตริย์หนุ่มไล่กวาดไล่ต้อนเรียวลิ้นเล็กจนเป็นที่พึงพอพระทัยแล้ว เรียวลิ้นแกร่งก็เริ่มเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับเรียวลิ้นเล็กอย่างจริงจัง ขณะที่ฝ่าพระหัตถ์หนาก็เริ่มซอกซอนเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อเนียนละเอียดภายใต้ชอโกรีสีขาวสะอาดตา

“อืม ..อึก ..” ความไหวซ่านชวนสั่นสะท้านที่ท่านพี่ทรงมอบให้ ส่งผลให้อีซองมินรู้สึกหวิวไหวในช่องอกอย่างไม่บอกไม่ถูก ยิ่งท่านพี่ทรงปลดเปลื้องปราการเบื้องบนจนหมิ่นเหม่เท่าใด ก็ยิ่งทำให้ท่านพี่สัมผัสผิวกายของตนได้อย่างถนัดถนี่ ซ้ำริมฝีปากก็ยังถูกครอบครองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะขาดอากาศหายใจ
มิต้องบอกก็ทราบได้เลยว่าตนกำลังทรมานถึงเพียงไหน ..

“ท..ท่านพี่ .. กว่าริมฝีปากจะได้เป็นอิสระก็ต่อเมื่อกษัตริย์หนุ่มละความสนใจจากกลีบปากของตนไปยังสัดส่วนอื่นที่กำลังดึงดูดสายตาเป็นรายต่อไป
“หืม ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มพึมพำรับคำเรียกขานในลำคอ ขณะที่โอษฐ์หนากำลังพรมจูบไปทั่วลาดไหล่เล็ก เรื่อยมาจนถึงช่วงไหปลาร้า และตบท้ายด้วยยอดอก

“อ๊ะ ..อ๊า .. อื้อ ..” ร่างเล็กบิดเร้ากายอย่างไร้ทางควบคุม เมื่อกษัตริย์หนุ่มเป็นฝ่ายครอบครองห้วงสติของตนไปจนหมดสิ้น สุ้มเสียงหวานพร่ากระเส่าจึงดังระงมไปทั่วตำหนักท้ายวังหลวงอย่างมิอาจอดกลั้น เมื่อปลายลิ้นหนาไล้เลียยอดอกอันไวสัมผัสอย่างหนักหน่วง อีกทั้งฝ่าพระหัตถ์ข้างที่ว่างก็ยังคงบีบคั้นเนื้อกายเนียนละเอียดอย่างสนุกมือ ..
“ชู่ววว .. ถึงด้านนอกฝนจะตก แต่เจ้าก็มิควรจะย่ามใจรู้หรือไม่ ?” สุรเสียงทุ้มนุ่มในเชิงหยอกล้อดังขึ้นอย่างไม่บอกไม่กล่าว นำพาให้ริมฝีปากเล็กถึงกับหุบงับเข้ามาหากันอย่างเก้อเขิน ซ้ำร้ายเมื่ออีซองมินกำลังถูกแววเนตรแพรวระยับมองจ้องในระยะประชิด หัวใจก็ยิ่งสั่นพร่าอีกทั้งในอกก็ยังจะสั่นสะท้านมากกว่าที่เป็น ..

“มูกุงของข้า เจ้าช่างน่าเอ็นดูอะไรอย่างนี้หืม ?” เมื่ออีซองมินเป็นฝ่ายละสายตาออกห่างจากแววเนตรแพรวพราวคู่นั้น หัตถ์หนาก็เริ่มออกแรงบังคับให้ตนหันใบหน้าเข้ามาสบจ้องกันดังเดิม ..

“ข้าน่ะ .. อดใจทะนุถนอมเจ้ามิไหวหรอกนะ ..” สิ้นสุรเสียงทุ้มนุ่ม ปลายนิ้วเรียวก็เริ่มเกี่ยวรั้งปมเชือกที่ใช้ผูกรั้งพาจีตัวเก่งของร่างเล็กให้หลุดรอดออกจากกันในทันที

“อ๊ะ .. อึก ..อื้อ ..” ร่างเล็กถึงคราวต้องสะดุ้งเฮือกพร้อมด้วยใบหน้าอันร้อนระอุขึ้นมาอีกครา เมื่อ ณ เพลานี้ ฝ่าพระหัตถ์หนากำลังคืบคลานเข้ามาสัมผัสส่วนไวสัมผัสของตนอย่างจาบจ้วง
“ชู่ว ..เจ้าอย่าเอ็ดตะโรไป ..” เมื่อร่างเล็กเริ่มจะไร้การควบคุม กษัตริย์หนุ่มก็ต้องเริ่มกล่าวเตือนขึ้นมาบ้าง หากแต่คำเตือนของพระองค์ช่างดูเหมือนการกลั่นแกล้งในความรู้สึกของอีซองมินนัก เมื่อกษัตริย์หนุ่มส่งสุรเสียงห้ามปรามมาพร้อมกับลมหายใจแผ่วไหวตรงข้างใบหู ส่งผลให้ร่างเล็กขนลุกซู่ขึ้นมาทันควัน ..

“อ๊า ....ไม่ .. ..ท่านพี่ ..” อีซองมินส่ายหน้าไปมา พลางปัดป่ายฝ่าพระหัตถ์อันซุกซนของท่านพี่ของตนเป็นพัลวัน อีกทั้งร่างกายก็จำต้องบิดเร้าคอยตอบรับร่องรอยสัมผัสที่ท่านพี่ทรงฝากฝังเอาไว้จนถ้วนทั่วทั้งแผงอก
“เจ้ากำลังพูดปลด ..” กษัตริย์หนุ่มโน้มตัวเข้ามาใกล้ร่างเล็ก พลางสอดท่อนแขนข้างที่ว่างมารองรับศีรษะของอีซองมินให้นอนหนุน

“นอกจากดวงตาของเจ้าแล้ว .. ร่างกายของเจ้าเองก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกของเจ้าเช่นกัน ..” กลีบปากหนาตะโบมจูบไล้ซอกคอกรุ่นกลิ่นบุปผาที่พระองค์ชื่นชอบ โดยมิได้คิดจะฝากฝังร่องรอยในตำแหน่งอันเปิดเผยสู่สาธารณะชนแต่อย่างใด ..

“อื้อ ..อ๊า ..” ใบหน้าหวานเชิดรั้นรับสำหรับเลาะเล็มผิวเนื้อของตนอย่างไหวสะท้าน อีกทั้งดวงตากลมโตยังปิดแน่น พลางห่อปากกลั้นเสียงหวานกระเส่าอันเกิดจากห้วงสัมผัสของคนเบื้องบน ..

“อ๊ะ ..” สติพลันหวนคืน เมื่อพาจีตัวเก่งถูกรูดรั้งลงมากองตรงข้อเท้าอย่างรวดเร็ว หัวใจพลันเต้นระงมร้องประท้วงอย่างขวัญผวา กระทั่งสบโอกาสเหมาะ ร่างเล็กก็กระถดกายทอยหนีจากกษัตริย์หนุ่มอย่างตื่นกลัว ..
ทั้งตำหนักพลันเงียบกริบ จะมีก็แต่เสียงสายฝนพรำจากด้านนอกเพียงเท่านั้น แต่แล้วเงาร่างของใครสักคนก็ปรากฏอยู่ตรงด้านนอกประตู ..

คยูฮยอนเจ้ามิควรผลีผลาม .. การกระทำของเจ้าเมื่อครู่มิบังควรเลย .. คนตรงหน้าเจ้าเขาคือมเหสีของเจ้ามิใช่หรือ ฉะนั้นเจ้าก็ควรที่จะให้เกียรติเขาบ้าง ..’
“ส..เสด็จ ..พ่อ ..” สุรเสียงทุ้มนุ่มแผ่วไหวอย่างตื่นตะลึง วรกายพลันหนักอึ้งขึ้นมาฉับพลัน และแล้วสมองก็เริ่มพร่ามัวในบัดดล จะมีเพียงแววเนตรที่มองจ้องไปยังบานประตูอย่างแน่วแน่ ..

“เสด็จพ่อยังทรงมิทิ้งเราไปไหนซองมิน ..” กษัตริย์หนุ่มก้าวพรวดพราดเข้าไปโอบกอดร่างเล็ก พลางตรัสซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น

“ท่านพี่ทรงหมายความว่าอย่างไร ข้ามิเข้าใจ ..
“เมื่อครู่เสด็จพ่อทรงมาตำหนิข้าที่ทำให้เจ้าหวาดกลัว .. ข้าขอโทษที่ทำอะไรมิให้เกียรติเจ้าเลย ..” กษัตริย์หนุ่มโน้มโอษฐ์ลงไปกดจูบบนหลังเท้าของร่างเล็กที่กำลังนั่งโอบกอดตนเองในสภาพที่เสื้อแสงหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี

 “อ๊ะ .. ..เมื่อครู่ท่านพี่พูดจริงหรือ ..” อีซองมินอุทานอย่างตกใจพลางชักเท้าหนีในคำขอโทษขององค์กษัตริย์ แต่เมื่อเห็นแววเนตรของกษัตริย์หนุ่มที่กำลังห้ามปรามมิให้ตนกล่าวท้วงในการกระทำนั้น อีซองมินก็จำต้องมองข้ามมันไปและหันไปไล่บี้เอาคำตอบในเรื่องที่ตนนึกสงสัย พลางมองจ้องไปยังบานประตูอย่างใคร่รู้ ..
“อืม ..” สิ้นคำตอบของกษัตริย์หนุ่ม ความเงียบก็เริ่มปกคลุมขึ้นมาอีกครา

จะมีก็เพียงสายฝนพรำที่กำลังขับกล่อมให้สองพี่น้องตกอยู่ในวังวนแห่งอดีต ..

จนกระทั่งอีซองมินและโจวคยูฮยอนหลับใหลอยู่ภายใต้อ้อมกอดของกันและกันทั้งน้ำตา ..



<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>




ทูรูมากี - เป็นเสื้อนอก คล้ายเสื้อโค้ต ใส่เมื่อออกไปข้างนอก


http://danmee.chosun.com/wdata/photo/news/200412/20041210000040_08.gif

ชอโกรี - เสื้อนอกท่อนบนของผู้ชายจะมีลักษณะยาวจนถึงเอว และมีแขนยาวถึงข้อมือ
พาจี - กางเกง มีความยาวคลุมถึงข้อเท้า ที่ปลายพาจีจะมีสายผูกข้อเท้า เรียกว่า แทนิม


หลังจากอ่านจบ คนเขียนอาจมีโดนตบ กร๊ากก ชื่อตอนมาเต็ม แต่ในตอนกลับไม่สุด 555 แหม่ มันก็เร็วไปเนอะ เพิ่งได้กอด และจูบ (หลายครั้ง) เอง  ฝ่าบาทต้องรู้จักอดเปรี่ยวไว้กินหวานบ้าง 555 ใส่ชื่อเรียกเครื่องแต่งกายไปบ้าง คงไม่งงเนอะ แต่คนแต่งนี่โคตรงงเลย ใช้เวลาศึกษาอยู่หลายวัน ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ