เพาะรัก ✈
Special
by Kyuhyun 13 / (1)✈
ช่วงนี้ผมกับฮาบีต้องกลับมาทำไฟล์ท
turn around หรือเรียกง่ายๆว่าไฟล์ทระยะสั้น เพราะว่าฮาบีเขาเริ่มมีเรียนปรับพื้นฐานทางด้านภาษาอาราบิกสัปดาห์ละหนึ่งวัน
จึงทำให้ฮาบีเขาต้องยอมสละวันหยุดประจำสัปดาห์ของตัวเอง
เลยทำให้เวลาพักแบบจริงๆจังๆของลูกเรือต่างชาติที่ทำไฟล์ทในระยะสั้นจากที่มีตั้งสองวันก็ลดเหลือเพียงแค่หนึ่งวัน
ขณะที่ผมผู้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ถึงสองวัน
ช่วงนี้ก็ออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แต่กับเพื่อนในวงการเดียวกัน ผมไม่ได้เจอพวกมันแบบครบองค์ประชุมหรอก
เพราะวันหยุดของพวกเราไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่ จึงทำให้ผมไม่ค่อยได้ปาร์ตี้ของมึนเมาในระดับที่คนทั่วไปนิยม
แต่กลับต้องมาปาร์ตี้น้ำชา ไวน์ แชมเปญ ระดับไฮคลาสกับมูนีร์และท่านอามินแทน
“เย็นนี้จะกินอะไรดีครับ ผมจะได้ซื้อมาเผื่อ”
ฮาบีเขาถามผมก่อนที่เขาจะต้องออกไปเรียนภาษาอาราบิก ส่วนผมมีแพลนว่าจะไปหาเบดที่ศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย
เพราะหลายอาทิตย์ก่อนที่ผมได้เจอกับท่านอามิน ท่านบอกผมว่า
เบดไม่ได้ถูกดูแลตามธรรมชาติ
เพราะมันไม่เคยล่าและเริ่มจะใช้ชีวิตอย่างสัตว์ป่าไม่เป็น ทางศูนย์วิจัยจึงต้องเลี้ยงมันเหมือนสุนัขบ้าน
ซึ่งเป็นการเลี้ยงแบบปล่อยไว้ในส่วนของพื้นที่สำนักงานวิจัยแบบมีรั้วรอบขอบชิด
ซึ่งผมต้องให้ท่านอามิน ช่วยทำเรื่องขอเข้าไปในส่วนสำนักงานตั้งแต่อาทิตย์ก่อน และกว่าจะได้รับอนุญาตก็ใช้เวลาหลายอาทิตย์พอสมควร
“แล้วแต่ฮาบีสะดวกเลย แต่จริงๆพี่แวะซื้อเข้ามาให้ก็ได้นะ
ไม่เบื่ออาหารจากตลาดนัดบ้างเหรอ” ผมย้อนถามคุณลูกเรือมือใหม่ด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ครับ ตอนเย็นเจอกันนะ”
ฮาบีเขาตอบรับพลางกล่าวลา ก่อนจะเปิดประตูและเดินจากไป เพราะเวลานี้รถรับส่งภายในเขตสำนักงานใหญ่ของสายการบินได้มาจอดเทียบท่ารอผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงไม่ต้องขับรถออกไปส่ง
แต่นึกๆแล้วการกลับมาอยู่ที่คอนโดของลูกเรือ
มันอาจจะสะดวกต่อการทำงานก็จริง
แต่ลึกๆแล้วผมเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผมเสียดายพื้นที่ส่วนตัวของบ้านหลังนั้นอยู่เหมือนกัน
แต่ในเมื่อผมมีเป้าหมายแล้วว่าจะต้องทำไฟล์ทแบบ lay over หรือก็คือการทำไฟล์ทแบบระยะยาวที่จะต้องมีการค้างคืนตลอดชีวิตของการเป็นลูกเรือ
ผมก็ตัดสินใจเปิดบ้านหลังนั้นให้เป็นบ้านเช่าสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนเดิม
ซึ่งก็ได้คุณป้าแม่บ้านชาวเยอรมันที่เป็นคนเก่าคนแก่มารับหน้าที่ดูแลเหมือนเดิม
ผมนั่งดื่มกาแฟและทานขนมปังในยามเช้าอีกสักพัก
ก็ตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก โดยวันนี้ผมได้มีโอกาสขับรถ FWD ที่ใช้สำหรับการตะลุยเนินทรายอีกครั้ง
ซึ่งระหว่างเดินทางผมก็ไม่ลืมที่จะเปิดเพลงบัลลาดช้าๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในยามเช้าไปด้วย
ครืด ครืด
“ครับพี่อารา?” ผมตัดสินใจรับสายอย่างรวดเร็ว
เพราะผมใช้โทรศัพท์เชื่อมต่อบูทูธกับตัวรถ
เนื่องจากผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนขับรถเร็ว ตามประสาพลเมืองตีนผีของที่นี่
ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ขับรถที่ดูไบ ผมก็มักจะใช้วิธีเสมอ
“เห็นชะรีฟบอกว่าแกจะไปศูนย์วิจัยเหรอ?”
ทันทีที่รับสายพี่สาวของผมก็รีบรัวคำถามมาอย่างรวดเร็ว
“ก็ใช่ ว่าแต่พี่เขยรู้ได้ไง? อย่าบอกนะว่าบังเอิญไปเจอท่านอามินพอดี”
“ก็ประมาณนั้น
เมื่อวานมีคุยธุรกิจเรื่องเงินทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อขยายพันธุ์สัตว์ทะเลทรายนี่แหละถึงได้รู้”
พี่อาราว่าอย่างนั้น ซึ่งผมเองก็เข้าใจดี เพราะสายการบินของเราก็เป็นเงินทุนหลักของโครงการนี้
ยิ่งพ่อผมเป็นถึงนักวิจัยหลักด้วยแล้ว
ครอบครัวเรากับโครงการนี้ก็เลยดูเหมือนจะเกี่ยวดองกันไปด้วย
“แวะไปหาพ่อด้วยสิ”
“เอาดีๆพี่ พ่อเขาจะอยากเจอหน้าผมหรือเปล่า
ขนาดโปสการ์ดผมก็เขียนไปตั้งหลายใบแล้วนะ
แต่ก็ยังไร้วี่แววตอบกลับจากทั้งสองคนอยู่เลย
ทั้งๆที่คุณแม่โซเฟียเองก็คืนดีกับพ่อแล้วด้วยซ้ำ
ป่านนี้ก็น่าจะได้อ่านโปสการ์ดของผมกับซองมินครบแล้วสิ
หรือว่าพวกผมยังเขียนไม่มากพอ? ถ้างั้นผมต้องทำไฟล์ท Lay over เพิ่มเหรอ ? แต่ดูเหมือนเดือนนี้จะไม่ได้นะ เพราะซองมินมีเรียนคลาสภาษาอาราบิก หรือไง
ผมต้องบิน lay over คนเดียวใช่มั้ย ผมถึงจะรู้ว่าไอ้วิธีที่ทำไปเนี่ยมันไม่ได้เปล่าประโยชน์”
ผมสาธยายความอัดอั้นใจให้พี่สาวของตัวเองฟังอย่างท้อแท้
“แกเพิ่งเริ่มทำเองนะ อย่าใจร้อนสิ
ตอนนี้พวกท่านก็ถือว่ากำลังเปิดใจให้แกอยู่ จำไม่ได้หรือไงวันก่อนฉันเพิ่งบอกแกไปเองนะ
ที่คุณแม่โซเฟียเคยบอกฉันว่า
พ่ออ่านโปสการ์ดของพวกแกแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวน่ะ”
“จำได้
แต่ที่ไม่ยอมเขียนโปสการ์ดกลับมานี่คืออะไร?”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่คุณพ่อนี่
แต่ยังไงถ้าแกบังเอิญเจอคุณพ่อก็ลองหาคำตอบด้วยตัวเองไปเลยสิ
บางทีท่านอาจจะรอให้แกง้ออยู่ก็ได้ แกก็รู้ว่าพ่อเราน่ะโกรธง่ายหายเร็ว
แต่ก็ฟอร์มจัดสุดๆ ขนาดคุณแม่โซเฟียยังต้องไปง้อขอคืนดีเลย แล้วแกเป็นใครห๊ะ
คยูฮยอน พ่อถึงต้องยอมง้อแกน่ะ”
“พี่ก็พูดได้ดิ
พี่ไม่ได้เจอพ่อมองด้วยสายตาผิดหวังแล้วก็เจ็บปวดแบบผมนี่”
“แต่ถ้าแกไม่ลองง้อแบบตัวต่อตัวดู
แกอาจต้องรอไปจนแก่เลยก็ได้นะ ไม่รู้แหละตัดสินใจเอาเอง แค่นี้นะ”
พี่อาราวางสายไปแล้ว แต่ผมกลับเอาแต่ครุ่นคิดตามคำพูดของเธอไม่หยุด
เพราะใจนึงผมก็กลัวว่าความคาดหวังทั้งหมดอาจจะพังทลายลง ส่วนอีกใจนึงก็เต็มไปด้วยความหวังที่ว่า
พ่อจะต้องยอมยกโทษให้พร้อมกับตัดสินใจเดินคนละครึ่งทางกับผม
ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น ต่อให้ต้องทำไฟล์ทแบบ lay over ตลอดชีวิต ผมก็จะหมดห่วงได้อย่างแท้จริง
เพราะทุกวันนี้ผมเองก็ยังห่วงคนทางนี้ ทำให้นอนไม่ค่อยจะหลับสักเท่าไหร่
ผมถึงได้หาเรื่องจะไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อยู่บ่อยๆ ซึ่งการทำไฟล์ทแบบ lay
over มันก็มีข้อดีตรงที่เรามีเวลาพักเพียงไม่นาน
ทำให้ต้องรีบเก็บแต้มเที่ยวให้เยอะเข้าไว้ เราจึงไม่ค่อยมีเวลาไปกังวลเรื่องอื่น
เพราะเมื่อถึงคราวต้องหยุดเที่ยว ก็กลายเป็นว่าเราต้องกลับมาทำงาน
ดังนั้นวันหยุดที่ผมได้มา ผมจึงเลือกจะไปสังสรรค์กับเพื่อน
ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะอยู่ก็เลือกเฉพาะวันที่ฮาบีเขาหยุด
ซึ่งบางวันผมก็หาเรื่องพาฮาบีเขาไปทัวร์ดูไบอยู่ดี
หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองได้
บรรยากาศตลอดสองข้างทางก็แปรเปลี่ยนจากตึกสูงใหญ่ระฟ้า กลายเป็นเนินทรายที่ประดับด้วยพันธุ์ไม้ในเขตร้อน
เช่นกระบองเพชร แบล็คบอย อาเคเชีย และเมื่อขับต่อไปอีกไม่ไกล
ก็จะพบกับจุดพักรถอันเป็นที่นิยมของกรุ๊ปทัวร์ที่จะมุ่งหน้าไปยังซาฟารี
เพื่อตะลุยเนินทราย
ผมใช้เวลาขับรถประมาณสี่สิบห้านาที จากปกติที่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มกว่าจะมาถึงเขตอุทยาน
ครั้งนี้ผมเสียเวลาตรงจุดตรวจนานกว่าปกติ เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบข้อมูล และส่งข่าวไปถึงศูนย์วิจัยที่เป็นจุดหมายของผม
จากนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็บอกเส้นทางกับผมอยู่ครู่หนึ่ง
เนื่องจากเส้นทางไปศูนย์วิจัยกับเส้นทางไปซาฟารีเป็นคนละเส้นทางกัน
แต่ถึงจะเป็นคนละเส้นทาง
ก็คงหนีไม่พ้นต้องขับรถตะลุยเนินทรายเหมือนเคย เพราะศูนย์วิจัยที่ว่านี้
จะอยู่ท่ามกลางเนินทรายที่รายล้อมไปด้วยพืชพันธุ์ที่สามารถเติบโตได้ดีกลางทะเลทราย
อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลทรายในความคุ้มครองอีกด้วย
เพราะสัตว์ทะเลทรายหลายๆชนิด เท่าที่พ่อเคยบ่นให้ฟัง ผมก็ทราบมาว่าใกล้จะสูญพันธุ์จนเกือบจะหมดแล้ว
ศูนย์วิจัยที่ว่านี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
อีกทั้งยังสามารถแปรเป็นรายได้เข้าสู่ประเทศ
เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องการเที่ยวแพคเกจแบบซาฟารีที่มีกิจกรรมการส่องสัตว์อยู่ในโปรแกรม
สำหรับเขตอุทยานชั้นในแบบนี้
ผมไม่สามารถขับรถเร็วได้ เพราะบางทีก็มีสัตว์ทะเลทรายอยู่ใกล้ๆ
จึงทำให้การเดินทางของผมล่าช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร
ในเมื่อวันนี้ก็เดย์ออฟอยู่แล้ว และกว่าฮาบีจะเลิกเรียนก็ประมาณห้าโมงเย็น
ฉะนั้นเวลาของผมจึงมีถมเถจนมากเกินไปด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานสายตาของผมก็มองเห็นสถาปัตยกรรมรูปทรงตามแบบฉบับของชาวทะเลทราย
ซึ่งโดยรอบก็ประดับประดาไปด้วยต้นปาล์มทะเลทราย
และเมื่อผมขับรถเข้าไปด้านในก็ยังพบปาล์มทะเลทรายอีกหลายต้นประดับประดาอยู่ในนั้น
ครั้นเมื่อหาที่จอดรถได้เรียบร้อยแล้ว
ผมก็รีบเดินเข้าไปยังอาคารสีน้ำตาลอ่อนคล้ายคลึงกับสีของเม็ดทราย
เพื่อไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ถึงสาเหตุที่ผมเดินทางมาที่นี่ จากนั้นเธอก็ให้ผมมานั่งคอยแถวๆบริเวณชุดเก้าอี้นั่งรับแขกตรงมุมในสุด
ซึ่งผมเสียเวลานั่งรอเพียงไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็เข้ามาทักทาย
เราสองคนจึงจับมือทักทายกันแบบพอเป็นพิธี ก่อนที่คุณฮาซันจะนำทางผมเข้าไปยังส่วนใน
ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องติดต่อให้มันยุ่งยาก
ในเมื่อที่อยู่ของเบดคือส่วนของตัวออฟฟิศที่มีเจ้าหน้าที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่
“จริงๆ เลี้ยงเขาไว้ข้างนอกก็ได้นะครับ
ผมเองก็พยายามเลี้ยงให้คล้ายคลึงกับสภาพเดิมให้มากที่สุดอยู่แล้ว”
ผมพูดกับคุณฮาซัน ที่กำลังจะดันประตูกระจกเข้าไปข้างใน
ที่เมื่อมองจากข้างนอกก็ไม่พบเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ในห้องนี้
ผมจึงค่อนข้างโล่งใจ เพราะไม่อยากจะมารบกวนเวลาในการทำงานของเขามากนัก
“แรกๆเราก็เลี้ยงไว้ข้างนอกครับ
แต่ว่าเจ้าเบดมันติดคนมาก
ช่วงเวลาทำงานคุณฟาฮัทก็เลยให้เจ้าเบดเข้ามานั่งเล่นนอนเล่นในนี้
ส่วนช่วงเลิกงานก็จะฝากไว้กับยามด้านนอกแทนน่ะครับ ยังดีที่เขาพอจะปรับตัวได้”
คุณฮาซันอธิบายพลางยกยิ้มบางๆ ส่วนผมกลับพูดอะไรไม่ออก ส่วนหนึ่งเพราะสงสารเบด
และส่วนหนึ่งก็คือคาดไม่ถึงว่าพ่อจะเป็นฝ่ายออกหน้าดูแลเบดแทนผม
ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น
เจ้าเบดที่กำลังนอนหลบอยู่ตรงมุมห้อง ก็รีบผงกหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
กระทั่งมันสัมผัสถึงกลิ่นประจำตัวของผมได้ จิ้งจอกทะเลทรายที่ไม่ได้เห็นเสียนานก็ถึงกับร้องครางหงิงๆ
ก่อนจะกระโจนเข้าหาผมที่ย่อตัวลงไปรับมันไว้ในอ้อมแขน
จากนั้นเจ้าตัวดีมันก็ดีดดิ้นยกใหญ่ คงจะดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
ผมจึงก้มลงไปหอมหัวมันเบาๆอยู่หลายที ขณะที่ในใจก็รู้สึกผิดต่อมันด้วย
แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
“อยู่นี่สบายเลยสิท่า ฮึ เบด?”
ผมอุ้มเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน
พลางเขย่าตัวมันเบาๆและเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั้น เพราะกว่าที่จะรู้ตัว
คุณฮาซันเขาก็เดินออกจากห้องไปแล้ว
เวลานี้ผมจึงสามารถพูดคุยกับเจ้าลูกชายได้เต็มที่
“ส่วนพ่อก็ต้องเร่ร่อนเหมือนกัน ไม่ได้สบายเลย
ขนาดได้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ แต่ลึกๆก็ไม่ได้มีความสุขเท่าที่แสดงออกหรอก
แต่ทำไงได้ ถ้าแสดงออกว่าคิดมาก พี่ซองมินของเราก็จะต้องคิดมากตาม ถูกไหมล่ะ”
พอผมหยุดพูด เจ้าเบดมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง พลางคลางหงิงๆ คล้ายกับรับรู้และเข้าใจในความไม่สบายใจของผมเป็นอย่างดี
ก๊อก ก๊อก
ผมหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ
เมื่อใครบางคนกำลังเคาะประตูเหมือนกับจะขออนุญาตเข้ามาด้านใน ซึ่งใครคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน
“ฉันจะเข้ามาเอาเอกสารสักหน่อยน่ะ”
พ่อพูดพลางก้าวเข้ามาด้านใน และเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน
“คือผม.. มาเยี่ยมเบด แต่กำลังจะกลับแล้วครับ”
ผมวางเจ้าเบดลงกับพื้น พลางออกปากในเชิงกล่าวลา
ทั้งๆที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับในตอนนี้ แต่ในเมื่อพ่อมาแล้ว ผมก็คงจะต้องกลับ
เพราะผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำตามที่พี่อาราแนะนำหรอก ในเมื่อแววตาของพ่อในวันนั้นมันยังติดตาตรึงใจผมอยู่
“แกมีวันหยุดอีกทีเมื่อไหร่ล่ะ?” ผมที่กำลังก้มตัวลงไปแงะเจ้าเบดออกจากข้อเท้า
ถึงกับชะงักการกระทำทุกอย่างลง เมื่อจู่ๆพ่อก็ถามขึ้นมา
“วันพุธกับวันศุกร์หน้าครับ”
พ่อพยักหน้าพลางเดินเข้ามาอุ้มเจ้าเบดที่ทำท่าไม่ยอมจะปล่อยให้ผมกลับ จากนั้นท่านก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานพร้อมด้วยเจ้าเบดที่ยังคงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดไม่หยุด
เพราะเจ้านั่นคงอยากจะวิ่งมาหาผมใจจะขาด ซึ่งพอลงไม่ได้มันก็ร้องหงิงๆ
เหมือนกับวันที่ผมตัดสินใจปล่อยมันกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผิด ผมจึงเบือนสายตาหนีภาพนั้น
และตัดสินใจว่าตัวเองควรจะกลับได้แล้ว
“แล้วแฟนแกล่ะ หยุดตรงกันหรือเปล่า”
ผมชะงักรอบที่สอง เมื่อพ่อเป็นฝ่ายพูดตัดหน้าเสียก่อน
“หยุดพร้อมกันครับ
แต่ว่าเขามีเรียนภาษาอาราบิกทุกวันพุธ ก็เลยมีวันหยุดแค่วันเดียวครับ” ผมเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองไปประสานกันด้านหลัง
เพราะชักจะวางตัวไม่ถูกมากขึ้นทุกที
“อืม อย่าลืมเขียนโปสการ์ดมาอีกแล้วกัน”
“ครับ?”
“โปสการ์ดน่ะ ถ้าว่างก็เขียนมาอีกแล้วกัน ฉันจะคอยอ่าน”
“อ้อ.. ได้ครับ”
“ฝากดูแลเบดด้วยนะครับ ส่วนพ่อเองก็รักษาสุขภาพด้วย
แล้วก็ฝากความคิดถึง ถึงคุณแม่โซเฟียด้วยนะครับ” ผมยิ้มบางๆ
พลางค้อมศีรษะและตั้งท่าจะเดินออกจากห้องทำงานของพ่อ
ที่ผมเพิ่งจะเคยมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสเป็นครั้งแรก
“วันศุกร์หน้าวันเกิดโซเฟียเขาแล้ว
แกกับแฟนก็มาที่บ้านสิ”
“ครับ?” ผมชะงักรอบที่สามของวันแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องมาอึ้งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่หลายรอบ
จนทำให้เผลอตอบรับแบบโง่ๆออกไป
“ฉันหมายถึงให้แกกับแฟนมากินข้าวด้วยกันที่บ้าน”
“ค..ครับ.. ได้ครับ
งั้นผมลาเลยนะครับ เจอกันอีกทีวันศุกร์” ผมค้อมตัวให้พ่ออีกรอบ
จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องทำงานของพ่ออย่างรวดเร็ว ขณะที่ในใจมันกำลังโห่ร้องกึกก้องจนแทบจะระเบิด
จนผมต้องเดินปิดปากและก้าวขายาวๆออกจากตัวอาคารของศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย
และเมื่อเปิดประตูเข้ามาซ่อนตัวในรถได้แล้ว
ผมก็เอาหน้าผากเคาะกับพวงมาลัยรถอยู่หลายที
ส่วนริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาในลำคอเพียงเบาๆ
ขณะที่หางตามันก็เริ่มเปียกปอนด้วยหยดน้ำตาแห่งความดีใจที่สุดในชีวิต
“รับสิๆๆ”
ผมตัดสินใจโทรหาฮาบีด้วยความตื่นเต้นและดีใจมากๆ
จนอยากจะบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ให้ได้ในตอนนี้ กระทั่งฮาบีเขากดตัดสาย
ผมถึงได้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฮาบีเขามีเรียนภาษาอาราบิกจนถึงห้าโมงเย็น
ผมก็เลยหลุดหัวเราะให้กับความบ้าบอของตัวเอง จากนั้นผมก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์เอาไว้ตรงช่องใส่ของ
เพราะผมกะจะไปเซอร์ไพร์สฮาบีในตอนเย็นแทน
เชื่อเลยว่าฮาบีจะต้องตกใจมากแน่ๆ
----------------------------------------------------------
ตอนแรกว่าจะเขียนให้จบในตอนนี้เลยค่ะ แต่ว่ารายละเอียดหลังจากนี้มันจะเยอะ เพราะมันคือความหมายของคำว่า เพราะรัก ตามชื่อสเปเลยค่ะ ก็เลยแบ่งเป็น 13 (1 กับ 2) แทน เพราะอยากให้มันจบที่ 13 ตอน 55555
คุณลูกเรือเค้ามีความสุขได้สักทีเนอะ ส่วนเบดก็น่าสงสาร แต่ยังดีที่ได้คุณพ่อมาช่วยดูนะคะ ถือว่าคุณพ่อทำใจได้สักพักแล้ว ถึงได้ยอมเอาเบดมาเลี้ยง แต่แค่มีฟอร์มเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้นก็เรื่องใหญ่น่ะนะ ทั้งทะเลาะกับคุณแม่โซเฟีย แล้วยังทะเลาะกับคุณลูกเรือด้วย ท่านเองก็รู้สึกผิดถึงได้ไถ่โทษด้วยการเลี้ยงเบดนั่นเอง
ปล. ต้นนี้อาจจะสั้นหน่อย แต่เราอยากตัดพาร์ทเลย เพราะอารมณ์ของตอนมันจะไม่ต่อกัน ตอนหน้าจบของจริงค่ะ
แปะรูปให้ดู เผื่อใครอยากรู้จักต้นไม้ทะเลทราย
ต้นแบล็คบอย
ต้นอาเคเชีย
[KyuMin Fic] Spe - เพ(ร)าะรัก ✈ 13 / (1)