วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Mistake


               
[Special] It's Not Mistake – Sungmin Part

                เสียงพูดคุยของคนกลุ่มนั้นยังคงดังก้องไปทั่วทั้งคอนโด เล่นเอาผมไม่เป็นอันทำการทำงาน เนื่องจากหัวข้อสนทนาที่พวกเขาพูดคุยกันมันเรียกร้องความสนใจจากผมได้เป็นอย่างดี ..
                 ผมเลยเผลอเดินไปหยุดยืนตรงหน้าตู้เย็นเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ ครั้นพอได้สติ ผมก็ทำเป็นเปิดตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้ว แต่พอจงฮยอนร้องทักว่าหน้าของผมมันเหมือนกับน้องเทคของไอ้คยูฮยอนเข้า น้ำเย็นที่ผมดื่มอั่กๆเข้าไปก็ส่งผลให้ผมสำลักออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ..

                “กินยังไงของมึงให้สำลักวะมิสเทค ..” ไอ้คยูมันลุกขึ้นเดินมาดูความปลอดภัยของผม พลางรุนหลังให้ผมไปเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ เนื่องจากน้ำที่ผมดื่มจนกระทั่งสำลัก มันเปียกโชกไปทั่วเนื้อผ้าช่วงบน
                และเมื่อผมได้อยู่กับตัวเอง ความคิดมากมายก็เริ่มไหลบ่าเข้ามา

                จากคำพูดของเพื่อนไอ้คยู มันบอกได้ว่า ณ ตอนนั้น ไม่ใช่ผมแค่เพียงฝ่ายเดียวที่รู้สึกดีกับมันอย่างนั้นใช่ไหม ? มันเป็นความรู้สึกดีที่ได้คุยกันแบบนั้นน่ะเหรอ ? ผมไม่ค่อยจะเข้าใจนัก เพราะสำหรับผม ถ้าหากรู้สึกดี ในหัวของผมจะมีแต่เรื่องของเขาเต็มไปหมด และสายตาของผมจะต้องมีแต่เขาเท่านั้น ไม่ใช่ว่ารู้สึกดีแต่ก็ยังคบกับใครต่อใครไปทั่วได้แบบนั้น ..
แต่ก็ช่างเถอะ ในตอนนี้ผมก็รับรู้ได้แล้วว่าไอ้คยูมันชอบผมจากใจจริง ..
แล้วผมยังจะต้องสนใจเรื่องของอดีตอีกทำไม  ..

                ที่ผ่านมาผมเอาแต่ใช้สมองคิดกะเกณฑ์และทดสอบนั่นนี่ให้วุ่นวายไปหมด จนผมไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆมัน ผมจะรู้สึกเหนื่อย แต่ไม่เคยเลยที่ผมจะไม่มีความสุข ..
พอมาคิดๆดูแล้ว ถ้าหากผมลองใช้หัวใจคิดดูบ้าง ผมอาจจะไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ก็ได้มั้ง ..

            ผมเคยคิดว่าสถานะ แฟนที่ผมได้มาจากมัน ไม่สามารถเป็นเครื่องการันตีได้เลยว่ามันจะเป็นคนของผมจริงๆ เพราะที่ผ่านมาทุกคนก็สามารถเป็นแฟนกับมันได้ทั้งนั้น จึงไม่แปลกที่ผมจะคิดทดสอบมัน และผลลัพธ์ที่ได้มันก็เกินคาดไปมาก ..
                มากจนถึงกับว่า .. ผมจำเป็นจะต้องโกหกมันต่อไปเรื่อยๆ
                เพราะมันเป็นกังวลกับเรื่องโกหกของผมมากกว่าที่คิด ..
           
                อันที่จริงเรื่องของเซอึน ผมไม่ควรจะต้องเป็นกังวลเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อเธอเองก็คบกับซองจินมาเกือบจะปีแล้ว แถมยังคบกันทั้งๆที่น้องชายของผมเองก็ไม่สมบูรณ์แบบนัก .. สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น เท่าที่ทราบมา เซอึนมักจะโทษตัวเองเสมอว่าเธอคือต้นเหตุที่ทำให้ซองจินไม่สามารถมองเห็นได้อย่างปกติ
                ถึงจะรู้ทั้งรู้อย่างนั้น ผมก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าถ้าหากเซอึนได้กลับมาพบกับรักแรกของเธออีก เรื่องทุกอย่างมันอาจจะไม่เข้ารูปเข้ารอยเหมือนอย่างที่ควรจะเป็น ..

จริงๆแล้วผมเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก เพราะสิ่งที่ผมกลัว ไม่ใช่กลัวว่าซองจินจะต้องเสียใจเหมือนอย่างที่ผมบอก คยูฮยอนออกไป เพราะความจริงแล้วในหัวของผมคิดแต่เพียงว่าผมไม่อยากจะเสียคยูฮยอนไปอีก ผมถึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ทั้งสองคนได้เจอกัน ..
                แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังเจอกัน เพราะผมไม่อาจหลีกเลี่ยงโชคชะตาได้

                ยิ่งผมทดสอบเขามากเท่าไหร่ มันก็กลายเป็นว่าผมต่างหากที่โดนทดสอบเข้าเสียเอง เพราะยิ่งเห็นปฏิกิริยาของเขาที่มักจะแสดงออกราวกับหึงหวง ผมก็ยิ่งถลำลึก และยิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบนี้ ผมก็ยิ่งมองเห็นด้านดีๆของเขามากขึ้น เขาเปลี่ยนไป เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ ..
                และเพราะอย่างนั้น ความรู้สึกของผมจึงไม่อาจมีคำว่า เผื่อใจได้อีกต่อไป ..
               
                คลิก ..

                “เป็นอะไร ?” ผมหันไปมองต้นเสียง ก็เห็นไอ้คยูมันเปิดประตูเข้ามา
                “เปล่า แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ..” ผมตอบพลางเดินเลี่ยงไปอีกมุม เพื่อจะเดินออกนอกห้องนอน เพราะในตอนนี้ผมไม่มีความจำเป็นอะไรแล้วที่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ในเมื่อผมยืนคิดเรื่องระหว่างมันและผมจนกระทั่งเสื้อมันแห้ง ..

                “นอนกับกูดิ .. นะ ..” ไอ้คยูมันคว้าข้อมือของผมไว้ พลางส่งสายตาอ้อนแบบที่ผมไม่อาจทนมองได้นานๆ
                “กูต้องทำงานต่อ งานกูยังไม่เสร็จ” ผมปฏิเสธโดยเอาเรื่องงานที่ผมเองก็เครียดไม่แพ้เรื่องของมันมาอ้าง

                “กูปิดคอมให้แล้ว วันนี้มึงหักโหมมาเยอะแล้ว มึงควรพักผ่อน ..” ไอ้คยูมันพาตัวเองที่มีกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเข้ามาลากคอผมให้ล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยกัน พอสถานการณ์มันเริ่มอันตรายมากขึ้น ผมก็เริ่มดิ้นแรงขึ้นๆ แต่ไอ้คยูมันก็กอดผมแน่นขึ้นด้วยเหมือนกัน ..
                “ทำไมมึงไม่ชอบนอนบนเตียงวะ กูไม่เข้าใจ กูว่ามันต้องมีสาเหตุแต่มึงไม่ยอมบอกกู ..” ไอ้คยูมันปล่อยผม ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้อะไร แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่ยอมให้ผมเดินออกไปนอกห้องนอน ..

                “บนเตียงนี้มึงกอดใครมากี่คนแล้ว ..” ผมถามพลางมองปลายเท้าของตัวเอง
                “กูไม่เคยนับ .. แต่มึงจะเป็นคนแรกและคนเดียวที่กูอยากนอนกอดบนเตียงนี้แล้วก็หลับไปด้วยกัน .. ไม่ใช่อยากเอาให้มันสนุกไปวันๆแค่นั้น ..” ไอ้คยูมันพูดพลางลูบหลังมือของผมเล่น แต่ผมกลับใจสั่นกับคำตอบของมัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคำตอบอันตรงไปตรงมาของมัน ทำให้ผมลืมเหตุผลที่ผมไม่ชอบนอนบนเตียงของมันไปสนิทใจ ..

                “นอนกับกูนะ ..” ไอ้คยูมันรั้งตัวผมให้ล้มตัวลงนอนด้วยกัน จากนั้นมันก็กอดผมเอาไว้จากข้างหลัง ลมหายใจของมันมีกลิ่นแอลกอฮอลล์ปะปนออกมาด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่รบกวนอะไรผมมากนัก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ..
                “ที่เพื่อนมึงพูด .. มันหมายถึงตอนนั้นมึงเองก็รู้สึกดีกับกูเหรอ ?” ผมถามพลางมองไปยังวิวด้านนอกผ่านกระจกใส ..

                “จะว่ารู้สึกดีก็คงใช่มั้ง .. เพราะตอนนั้นไม่ว่ากูจะไปนอนกับใครแต่ทุกคืนกูต้องได้คุยกับมึงก่อน กูถึงจะสบายใจ ไม่รู้ดิ มันบอกไม่ถูก .. อีกอย่างความรู้แบบนั้นกูไม่รู้ว่ามันควรจะเรียกว่าอะไร .. เพราะกูไม่เคยคิดหาคำตอบ .. และกูก็ไม่เคยคิดสงสัยมันด้วย ..
               
               
                “กูขอโทษนะที่กูเคยบอกว่าอยากจะจีบมึง ทั้งๆที่ตอนนั้นกูยังไม่ได้คิดจริงจังอะไรมาก .. แต่ไม่รู้ว่ะ มึงเป็นคนเดียวจริงๆที่กูคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ ...
               

                “จะว่าไปตอนนั้นกูเองก็อยากเห็นหน้ามึงเหมือนกันนะ .. แต่มึงปฏิเสธมาก็ดีแล้ว .. เพราะกูเองก็กลัวทำหน้าไม่ถูกเหมือนกันว่ะถ้าเกิดได้เจอหน้ามึง .. เห้อ .. พอมาคิดๆดูแล้ว ตอนนั้นกูคงชอบมึงจริงๆล่ะมั้ง .. แต่มันแค่ยังไม่มากพอที่มึงจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับกู ..” คำพูดของไอ้คยู ยิ่งได้ฟังผมก็ยิ่งเจ็บนะ แต่มันเป็นความเจ็บที่ไม่ได้บาดลึกเหมือนทีแรก อาจเป็นเพราะผมมองว่ามันเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วก็ได้มั้ง ..
               

                “แต่ถ้าตอนนั้นกูชอบมึง .. แล้วตอนนี้กูก็ชอบมึงเหรอวะ .. กูว่าถ้าตอนนั้นมันเรียกว่าชอบ ตอนนี้มันก็ต้องเรียกว่ารักดิ .. อืม .. สงสัยกูคงรักมึงว่ะ เพราะกูหึงมึงชิบหาย .. ยิ่งแฟนน้องชายมึงทำเหมือนว่าสนใจมึงนะ กูยิ่งหึงมึงว่ะ .. แล้วต่อให้ในบ้านมึงมีน้องชายมึงอีกคน กูก็หึงอยู่ดี .. กูไม่รู้นะว่าสิ่งที่กูคิดมันจริงไม่จริง แต่มึงมาอยู่กับกูได้ กูถือว่าโอเคและปลอดภัยกับหัวใจกูที่สุดละ ..
               

                “ที่สำคัญกูอยากอยู่ใกล้ๆมึงว่ะ .. ไม่อยากให้มึงห่างตัวเลย ..
               

                “ความรู้สึกแบบนี้ มึงว่ามันคือรักใช่หรือเปล่าวะ ?” ไอ้คยูมันถาม พลางชะโงกหน้ามาบดบังวิวด้านนอกจนมิด สายตาของผมจึงมองเห็นแค่ใบหน้าของมันเท่านั้น ..
                ….” หัวใจของผมเต้นตึกตักอย่างแรง จนผมได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเลยทีเดียว และผมก็มั่นใจว่าไอ้คยูมันเองก็คงจะได้ยินเสียงหัวใจของผมด้วยเหมือนกัน เพราะในตอนนี้ระยะห่างระหว่างเรามันไม่ได้มากเลย ..

                “แต่กูว่ามันใช่ว่ะ ความรู้สึกแบบนั้นยังไงมันก็ต้องเพราะกูรักมึงแล้วแน่ๆ” สมองของผมมันพร่าเผลอไปหมด เมื่อคำพูดของไอ้คยูมันดังก้องอยู่ในหูราวกับเสียงสะท้อน ซ้ำร้ายหัวใจของผมในตอนนี้มันก็ยังทำงานหนักแบบเกินพอดี ..
                และที่เป็นอย่างนั้น ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์
                แต่มันเป็นเพราะคำว่ารักที่ออกจากปากของคนอย่างมันมากกว่า

                ผมหลับตาลงโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ใบหน้าของไอ้คยูมันเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้กับใบหน้าของผม จากนั้นไม่นานลมหายใจเคล้ากลิ่นแอลกอฮอลล์ก็เป่ารดปลายจมูกของผมในระยะประชิด พร้อมด้วยริมฝีปากหนาของมันที่ค่อยๆประทับลงบนกลีบปากของผมอย่างเชื่องช้า ..
                ไอ้คยูมันจูบซับริมฝีปากของผมเบาๆอยู่อย่างนั้น โดยยังไม่คิดจะล่วงเกินผมแต่อย่างใด คล้ายกับมันกำลังลองเชิงผมอยู่ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ ..

 ขณะที่ผมในสมองมีแต่ความว่างเปล่า หากแต่ความรู้สึกกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ได้รับจากคนอย่างมัน ผมจึงลืมเลือนไปแล้วว่าก่อนหน้านั้นผมเคยบอกกับมันไปว่า มันจะจูบผมได้ก็ต่อเมื่อคะแนนของมันเต็มร้อยแล้วเท่านั้น
แต่พอเราได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมกลับไม่เคยนับคะแนนที่ผมต้องให้มันอีกเลย
แบบนี้ถ้าเราจะจูบกันเหมือนแต่ก่อน ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

ทันทีที่ผมรั้งต้นคอของมันให้โน้มเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ริมฝีปากของมันก็เริ่มและเล็มกลีบปากของผมด้วยสัมผัสที่หนักหน่วง และจากนั้นไม่นานนัก ปลายลิ้นร้อนของมันก็เข้ามาทักทายกับปลายลิ้นของผมที่รอรับสัมผัสจากมันอยู่ เราสองคนหยอกล้อคลอเคลียกันอย่างเพลิดเพลิน จนลืมเวลาที่กำลังดำเนินไปในแต่ละวินาที ..ก่อนสัมผัสจะแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น เมื่อทั้งผมและมันต่างก็คิดอยากจะตักตวงความฉ่ำหวานจากปลายลิ้นของกันและกันให้ได้มากที่สุด
                ส่งผลให้เสียงจูบแลกความหวานของเรามันดังก้องไปทั่วห้อง ..
                แต่กลับไม่มีใครสนใจจะหยุดมันเลยสักคน ..

                “มึงในตอนนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับกูแล้วนะมิสเทค” ไอ้คยูมันถอนริมฝีปากออกห่าง เมื่อผมเริ่มจะขาดอากาศหายใจ จากนั้นมันก็โอบกอดผมเอาไว้จากข้างหลังเหมือนอย่างเดิม
                ….” ผมไม่สามารถพูดอะไรได้เลยจริงๆ เพราะตอนนี้ผมกำลังรวนขั้นสุด แค่จะหายใจผมยังไม่กล้าเลย คำว่ารักของมันไม่รู้ทำไมถึงทำให้ผมดีใจจนพูดไม่ออกแบบนี้ก็ไม่รู้
                หรือเพราะมันเหนือความคาดหมายไปเยอะก็ไม่รู้สิ ..
                คืนนี้ผมต้องฝันดีแน่ๆ ผมเชื่ออย่างนั้น ..

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

มาลงก่อนไปทำงาน หวังว่าจะมีความสุขกับตอนนี้นะคะ  

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Mistake 22


Mistake





Mistake 22

                อันที่จริงวันนี้คือวันหยุด ทั้งกูและมันควรจะนอนอยู่คอนโดหล่อๆ แต่กลับต้องตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ไก่โห่ นี่ชีวิตกูแม่งไม่ต่างกับได้ทำงานเจ็ดวันรวดต่ออาทิตย์เลยนะเว้ย ..
                “หน้างอไอ้สัส เอากุญแจรถมา กูไปของกูเองก็ได้ ..” มิสเทคมันแบมือออกมาตรงหน้าผมที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่ตรงหน้ากระจก

                “ไม่เอา กูจะไปส่ง ..” ผมปฏิเสธ พลางตีมือมันที่แบหลาอยู่ตรงหน้า
                “ห่า แล้วมึงจะทำหน้าบึ้งและหงุดหงิดเพื่อ ?” ไอ้มิสเทคมันถาม พลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงที่มันไม่เคยคิดจะขึ้นมานอนเลยสักครั้ง ไม่รู้ทำไม ..

                “เรื่องของกูน่ะ .. รู้แค่ว่ากูเต็มใจไปส่งมึงที่ทำงานก็พอ ..” ขณะที่พูดผมก็ยืดขาไปเตะปลายเท้าของไอ้มิสเทคที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผมนัก
                “ก ..กูไปรอข้างนอกนะ ให้เร็วด้วยทุกเวลาของกูมีค่า ..” มิสเทคมันกระเด้งตัวลุกขึ้นจากที่นอน แล้วก็สั่งผมเสียงเข้ม ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของผมไปพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อของมัน
                อะไรวะ ทำไมแค่นี้มันต้องเขินด้วย ก็กูเต็มใจจริงๆนี่หว่า ..
               
                “กินอะไรรองท้องก่อน มึงจะได้ไอเดียบรรเจิด ..” ระหว่างการเดินทาง ผมจอดแวะพาไอ้มิสเทคและตัวเองมาทานมื้อเช้าก่อนเป็นอันดับแรก เพราะวันนี้คือวันหยุดจึงไม่ต้องเข้างานเช้ามาก เวลาเข้างานจึงยึดเวลาเดียวกับวันเสาร์ ..
ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย ที่จะต้องรีบร้อนโดยไม่คิดจะทานข้าวทานปลา ..
           
                “มึงจะกลับเมื่อไหร่ โทรมาบอกกูแล้วกัน เดี๋ยวกูมารับไม่ต้องเสือกนั่งรถเมล์กลับเองล่ะ ..” ผมตักโจ๊กไก่กินหนึ่งคำ แล้วก็พูดสั่งไอ้มิสเทคเป็นตุเป็นตะ
                “รู้แล้ว ..” มิสเทคมันก็ตักโจ๊กไก่เข้าปาก แล้วก็ขมวดคิ้วตอบผมอย่างรำคาญนิดๆ

                “แดกข้าวกลางวันด้วย เข้าใจนะ ?” ผมวางช้อนหลังจากที่กินคำสุดท้ายจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็หยิบน้ำขึ้นมาดื่มและยังพูดจาสั่งความกับไอ้มิสเทคมันต่อไป ..
                “อืม ..

                “มึงตอบอ้ำๆอึ้งๆแบบนี้กูชักจะไม่มั่นใจละ ไหนมึงตอบให้มันชัดเจนหน่อยดิ๊” ผมเซ้าซี้ให้มันรับปาก เพราะผมเดาล่วงหน้าได้เลยว่าไอ้มิสเทคแม่งต้องทำงานเพลินจนลืมแดกข้าวกลางวันแน่ๆ เพราะเท่าที่สังเกตมาหลายวันแม่งเป็นแบบนี้ตลอด ดีหน่อยที่ตอนนั้นกูอยู่ด้วยไง เลยลากตัวมันออกมากินข้าวด้วยกันได้ ..
                แต่วันนี้กูไม่มีงานค้างให้ต้องสะสาง กูเลยไปนั่งเฝ้ามันไม่ได้ ..
             
                “กูเข้าใจแล้ว .. มึงจะให้กูถ่ายรูปให้ดูเลยมั้ย ?” ไอ้มิสเทคมันตอบย้ำอย่างหนักแน่นแบบช้าๆและชัดๆ พร้อมกับแถมลูกประชดมาอีกหนึ่งดอก
                “เป็นข้อเสนอที่น่าสนใจดีนะ ..” ผมท้าวคางพลางมองจ้องและยักคิ้วใส่ไอ้มิสเทคที่กำลังกินน้ำหลังจากที่ทานโจ๊กไก่จนหมดถ้วย

                “มึงแม่งบ้า ..” มิสเทคมันด่าผมแค่นั้นแล้วก็ส่ายหัว พลางร้องเรียกให้คนขายมาคิดเงิน ส่วนหน้าที่จ่ายจะเป็นของใครไปได้นอกจากผม ..
                แต่ผมไม่ถือหรอก แฟนทั้งคนทำไมจะเลี้ยงไม่ได้วะ ..
             
                หลังจากไปส่งไอ้มิสเทคมันเสร็จ ผมก็แวะซื้อของตามลิสรายการที่ไอ้มิสเทคมันสั่ง เพราะตั้งแต่มันมาอยู่ด้วยกัน ผมแทบไม่ต้องอาศัยกับข้าวตามร้านอาหารหรือรูมเซอร์วิสของที่นี่เลย ..
                ยกเว้นวันไหนมิสเทคมันขี้เกียจเท่านั้น รสชาติอันคุ้นเคยถึงได้ตกถึงท้องกู

                “นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า .. แกซื้อของมาทำอาหารกินเอง ..” ทันทีที่ผมแตะคีย์การ์ดและเดินเข้ามาในห้อง ผมก็พบกับหญิงสาวหน้าคุ้นตาคนหนึ่งกำลังนั่งไขว้ห้างอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา แต่พอเธอหันมาเห็นผมถือของพะรุงพะรังเท่านั้นแหละ เธอก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาผมทันที
                “ที่จริงพี่ก็รู้ความจริงอยู่แล้วมั้ย ..” ผมย้อน พลางเดินเอาข้าวของที่ซื้อมาไปวางไว้บนเค้าน์เตอร์ครัว เพื่อเตรียมจัดเก็บใส่ในตู้เย็น เวลามิสเทคมันกลับมาจะได้ไม่ต้องมานั่งจัดให้เหนื่อย ..

                “รู้อะไร ?” พี่อารายักไหล่ พลางเดินมาเกาะขอบเค้านเตอร์ครัวไม่ห่าง
                “ก็เรื่องคนทำอาหารและเรื่องอื่นๆ ..” ผมตอบขณะที่มือก็ลำเลียงข้าวของที่ซื้อมาใส่ในตู้เย็นให้เรียบร้อย

                “หึ ..
                “ยกเลิกทุกอย่างที่คิดไว้ในหัวเลยนะ บอกเลยว่าผมไม่สนุก ..” ผมพูดขึ้นเพื่อสื่อความนัยน์ให้หญิงสาวที่เอาแต่ยืนทำหน้าแป้นแล้นได้รับรู้

                “ฉันคิดอะไรไอ้น้องบ้า แกอย่ามาข่มขู่ฉัน .. ไปดีกว่า .. บาย ..” หลังจากประตูห้องปิดลง ผมก็เริ่มลงมือจัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาอีกครั้ง จนกระทั่งข้าวของทั้งหมดเข้าไปนอนแช่อยู่ในตู้เย็นจนครบถ้วน ผมถึงได้มีเวลามานั่งดูทีวีอย่างผ่อนคลาย ..
               
                ครืด ครืด ..

                ผมสะดุ้งตื่นทันทีที่เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกมันสั่นครืดคราดรบกวนการนอนกลางวันของผม ด้วยความสะลืมสะลือเพราะความง่วงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ กว่าผมจะทราบสาเหตุที่โทรศัพท์มันสั่นเตือนเมื่อครู่ก็เสียเวลาไปนานโข ..
                กูแดกเรียบร้อยแล้ว โอเคนะมิสเทคมันส่งรูปมาให้ผมดูจริงๆเว้ย มื้อกลางวันมันกินบิบิมบับ แล้วดูรูปที่มันส่งมาให้ผม แม่งโคตรน่ากินเลย ไข่ยางมะตูมเยิ้มๆที่กำลังจะคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเครื่องเคียงอื่นๆแม่งยั่วน้ำลายกูจริงๆ
                ว่าแล้วไปกูเองก็ควรจะหาอะไรแดกเหมือนกันนะ ..
                และรูมเซอร์วิส คือที่พึ่งของกูในเวลาอย่างนี้ ..

                “มึงนี่โคตรปัญญาอ่อน มีส่งข้อความมาเยอะเย้ยกูด้วย .. ได้ข่าวว่ากูแดกมื้อกลางวันก่อนมึงมั้ย ฉะนั้นรูปที่มึงส่งมาแม่งไม่สามารถทำอะไรกูได้ว่ะ เสียใจด้วย ..” ผมออกมารับไอ้มิสเทคตามคำสั่งของมัน และทันทีที่มันขึ้นมานั่งบนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไอ้มิสเทคมันก็เปิดฉากด่าผมทันที ..
                “แต่นั่นกูทำเองเลยนะเว้ย ” ผมโกหกออกไปคำโตเพื่อแอบดูปฏิกิริยาของมันว่าจะเป็นยังไง

                “ม..มึง .. ทำไม่เป็นหรอกอย่ามาอำกู ..” มิสเทคมันดูเหมือนจะสตั้นไปพักใหญ่ บ่งบอกได้เลยว่ามันเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้แดกอาหารฝีมือหลอกๆของกู
                “เสียดายก็บอก .. ไว้วันหลังกูสั่งให้กินนะ ร้านอยู่ใต้ถุนคอนโดนี่เอง.. ไม่ร้องๆนะมิสเทค” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวไอ้มิสเทคอยู่สองสามที จากนั้นไอ้มิสเทคมันก็ปัดมือผมออกอย่างแรง พร้อมกับเอื้อมมือมาจิกแขนผมอีก
                ไอ้ห่า .. มึงได้ตัดเล็บบ้างมั้ย กูเจ็บ!

                “กูอยากกินเมนูที่มึงกินเมื่อตอนกลางวัน สั่งให้กูด้วย กูจะอาบน้ำ” พอมาถึงคอนโดไอ้มิสเทคมันก็วางโน้ตบุค บริษัทลงบนโต๊ะกระจก บ่งบอกให้รู้ว่าคืนนี้ก็จะเป็นอีกคืนที่มันจะโหมงานหนัก ..
                “เฮ้ย .. ไรวะ มิสเทคมึงทำมื้อเย็นดิ ไม่เอาไม่สั่ง กูไม่อยากกิน ..” ผมคว้าข้อมือของไอ้มิสเทคเอาไว้ ไม่ให้มันเดินหนีไปไหน จนกว่ากูจะได้คำตอบว่ามื้อนี้กูจะได้กินมื้อเย็นฝีมือมัน
               
                “แต่กูอยากกิน และมึงต้องกินเหมือนกูด้วย ..” ไอ้เหี้ย เหมือนโลกกูแทบถล่มถลายลงมาตรงหน้า เมื่อไอ้มิสเทคมันชี้ชะตามื้อเย็นของกูให้จบลงที่รูมเมทเซอร์วิสก็แล้ว แต่มันยังไม่หยุดแค่นั้น แม่งยังกำหนดเมนูอาหารให้กูด้วย ไอ้เชี่ย มึงไม่คิดว่ากูจะเอียนบ้างเลยหรือไงวะ แดกเมนูเดิมสองมื้อติดนี่มันไม่ใช่เรื่องตลก ..
                “ไอ้มิสเทค ไอ้ห่า มึงแกล้งกู .. นิสัยว่ะ ..” ผมเตะหน้าขาของมันเบาๆ พร้อมกับตัดพ้อต่อว่า ..

                “หึ” ดูมัน ดูไอ้มิสเทคดิแม่ง กระตุกยิ้มมุมปากใส่กูอย่างมีความสุข
                “มึงจำไว้เลยนะ จำไว้เลย ..” ผมชี้หน้าปล่อยข้อมือของมันให้เป็นอิสระ แล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาอันเป็นที่หลับที่นอนของมัน ..
                คอยดู คืนนี้มึงหลับเมื่อไหร่กูจะอุ้มมึงขึ้นเตียง ให้ชักดิ้นชักงอเหมือนโดนน้ำร้อนลวกเลย สัส!

                แม่ง! ขนาดกูทำหูทวนลมไม่สั่งอาหารแล้วนะ แต่สุดท้ายพอไอ้มิสเทคมันเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นว่ากูยังไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แม่งก็เดินไปที่โทรศัพท์บ้าน แล้วกดโทรสั่งรูมเซอร์วิสซะเอง แถมยังบอกเมนูที่ต้องการจะสั่งอย่างชัดถ้อยชัดคำ ..
                ไอ้เหี้ย สาบานได้ว่ากูจะเบื่อบิบิมบับไปอีกนาน

                ติ้งต่อง~

                “ใครมาเอาป่านนี้วะ ..” ผมบ่นพลางมองนาฬิกาที่มันบ่งบอกเวลาสามทุ่ม แล้วก็เดินตรงไปยังประตูห้องที่ยังคงมีเสียงกริ่งรัวๆแบบไม่เกรงใจใคร
                เท่านั้นแหละ กูรู้เลยว่าไอ้เชี่ยที่ไหนมา ..

                “ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีนะรู้ยัง ?” พอเปิดประตูออกกว้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ยังไม่ยอมเบี่ยงตัวหลบเพื่อให้พวกมันทุกตัวเดินเข้ามาให้ห้องได้ แต่กลับยืนขวางทางจนเต็มประตูอยู่อย่างนั้น พร้อมกับด่าพวกมันแบบเจ็บๆแสบๆไปด้วย ..
                “เออ ช่างแม่ง พวกกูไม่ใช้ผู้ดีตีนแดง มึงหลบไป ..” ไอ้มินโฮ ไอ้เวรตะไล มึงเล่นเฉดหัวจนตัวกูเซข้างแบบนี้เลยเหรอวะ!

                “อู้ว ..
                “อ้า ” ทันทีที่พวกมันเดินเข้าไปในห้องผม พวกมันก็พากันอุทานเสียงอุบาทๆ จนครบแก๊งค์ ซึ่งแม่งน่าทึ่งมากที่อุทานได้ไม่ซ้ำกันเลย ..

                “ตกลงพวกมึงเป็นผัวเมียกันแล้วจริงๆใช่มั้ย ?” ไอ้ชางมินแม่งลากคอกูเซแถ่ดๆมายืนกระซิบกระซาบตรงมุมครัวแทบจะทันที แต่พวกมึงครับ พวกมึงลืมไปแล้วเหรอว่ามุมครัวมันไม่ใกล้ไม่ไกลจากมุมที่ไอ้มิสเทคมันนั่งอยู่เลย
                ….” ส่วนกูแม่งเจอคำถามเข้าไป เล่นเอาตอบไม่ถูกเลย เพราะกูกับมันก็ได้กันแค่ครั้งเดียว แล้วจากนั้นก็เรื่อยๆมาเรียงๆ ตลอด .. อีกอย่างนะ ถ้ากูตอบไม่ดี ไอ้มิสเทคแม่งได้เขวี้ยงปากกาใส่หัวกูแน่ ..
                เห็นเงียบๆทำงานไม่สนใจใครแบบนั้น หูแม่งกางเรดาห์เต็มที่เลยนะเว้ย ..
                 
                “ไม่รู้โว้ยยย พวกมึงซื้อเหล้ามาใช่มั้ย รีบแดกกันเถอะ ชีวิตกูนี่เอียนกับบิบิมบับมาทั้งวันแล้ว โชคดีที่มีเหล้ามาล้างปากตอนค่ำ..” ผมสะบัดตัวออกจากวงล้อมของไอ้เพื่อนเชี่ย แล้วก็จัดแจงคว้าข้าวของที่พวกมันซื้อมา วางเอาไว้บนเค้าน์เตอร์ครัวเพื่อจัดเตรียมการตั้งวง ..
                “ซองมินมาดื่มด้วยกันไหมครับ ?” ไอ้ซีวอนมันเดินไปชวนไอ้มิสเทคให้มาร่วมวงด้วยกัน แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าปฏิเสธ ก็แน่นอนล่ะ คนอย่างมันมีงานต้องทำตั้งมากมาย ถ้ามานั่งดื่มแบบนี้ มีหวังเวลาอันมีค่าของมันคงหมดไปกับการเมา ..

                อันที่จริงกูก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับการทุ่มเทของมันสักเท่าไหร่เพราะยังไงมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมาเหนือกว่า แต่กูก็เข้าใจแหละว่าคนมีฝีมืออย่างมัน ย่อมต้องอยากทำอะไรให้สุดความสามารถของมันก่อน คืออย่างน้อยก็ขอให้ได้พยายามให้เต็มที่ แล้วสุดท้ายผลจะเป็นยังไงค่อยว่ากัน
                กูเฝ้ามองมันมานาน กูเลยพอจะรู้ว่าเรื่องงานไอ้มิสเทคมันมีความคิดความอ่านแบบนี้ ..กูถึงไม่ห้ามและทำแค่เฝ้ามองมันต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเครียดและพยายามจนเกินความพอดี เห็นทีว่ากูคงต้องออกโรงเดินไปเคลียร์กับท่านผู้บริหารแบบตัวต่อตัว ..
                แต่ขั้นแรก กูเริ่มขู่นำร่องท่านไปแล้ว ก็หวังว่าท่านไม่มาแหยมกับคนของกูอีก ..
                ต่อให้เป็นบททดสอบหรือห่าเหวอะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเกินความพอดี กูจัดแน่ไม่ต้องห่วง..

               
                “สมัยเรียนกูจำได้ มีคนนึงทำให้ไอ้เชี่ยคยูเป็นบ้าเป็นหลังไม่ต่างกับซองมินตอนนี้เลย ..” พอเริ่มดื่มกันมานาน อาการเมาก็เริ่มถามหา และหัวข้อสนทนาในวงเหล้าส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นสมัยเรียนนั่นล่ะ
                แต่ว่า .. พวกมึงครับ กำลังหางานเข้าให้กูอยู่หรือเปล่า ?
               
                “มึงอย่ามาพูดบ้าๆ ไอ้สัส กูไม่เคยสนใจใคร .. ปากพวกมึงนี่วอนหาเรื่องตั้งแต่ครั้งนั้นแล้วนะ ..” ผมด่าพวกแม่ง อย่างเร็ว จะหาว่าร้อนตัวหรืออะไรก็ช่างเถอะ แต่กูไม่อยากให้คนที่กำลังนั่งทำงานเข้าใจกูผิด
                “เออๆ กูจำได้ .. ใช่น้องเทคของแม่งหรือเปล่า ช่วงนั้นมันเป็นบ้าเป็นหลังมาก ได้คุยโทรศัพท์กันทีงี้ยิ้มหน้าบาน” ไอ้ชางมินเสริมคำพูดของไอ้มินโฮขึ้นมาทันที
                แต่เดี๋ยวนะ น้องเทคกูเหรอ .. ใครวะ กูมึน สมองประมวลผลไม่ทัน ..

                “แถมแม่งยังมียางอายด้วยนะเว้ยช่วงนั้น แบบว่ามีโมเม้นอยากเห็นหน้าแต่ไม่กล้าไปแอบเจอเขา โถ ไอ้สัส สะดิ้งมาก ..” ไอ้ซีวอนเพื่อนต่างคณะ แต่เสือกรู้เรื่องกูเป็นอย่างดีทุกเรื่องกล่าวเสริมขึ้นมาอีกดอก ..
                “กูเคยไปแอบถ่ายรูปน้องเทคของแม่งเก็บไว้นะ กะว่าจะเอามาให้มันดูนั่นล่ะ แต่แม่งติดสัดไง วันๆไม่ค่อยเห็นหัว กูเลยไม่มีโอกาสจะให้ ..” ไอ้จงฮยอน ไอ้ห่านี่พูดน้อยต่อยหนักตลอด หมดกันภาพพจน์ของกู

                “เหี้ย!” ผมด่าพวกแม่ง พลางยกเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ อารมณ์เครียดและเหงื่อตกเริ่มถามหา ..
                “เดี๋ยวนะ กูว่าเหมือน .. ใช่เลย .. เนี่ยน้องเทคของมัน หน้าตาแบบนี้เลย!” อยู่ๆไอ้จงฮยอนมันก็หันไปจ้องหน้าไอ้มิสเทคที่เดินมารินน้ำเย็นกินตรงหน้าตู้เย็น แล้วก็ชี้ๆและร้องตะโกนยกใหญ่ว่าน้องเทคที่พวกมันพูดถึงน่ะ หน้าตาแบบไอ้มิสเทคเด๊ะ
                เออ .. จะว่าไปน้องเทคของกูก็คือไอ้มิสเทคนี่หว่า ..
แล้วเมื่อกี้กูจะเถียงพวกมันไปทำไมวะ ท่าจะบ้า ..
               

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>



                มาต่ออย่างรวดเร็ว บอกจะดราม่าแต่ก็ยังไม่เชิงดราม่า เอาเป็นว่าฟิคเราดราม่าเพื่อให้ตัวละครพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเท่านั้น มันเลยไม่เชิงดราม่า 555 งงมั้ย สำหรับตอนนี้เหมือนได้รู้อะไรมากขึ้นอีกนิด จริงๆแล้วอดีตเพี้ยนก็ชอบมิสเทคแหละถึงได้หว่านเสน่ห์ใส่ แต่ยังชอบไม่มากพอที่จะจริงจังหรือหยุด แต่ตอนนี้ชอบมากพอแล้ว เพี้ยนเลยใกล้จะเป็นบ้า