เพาะรัก
✈
11✈
ตั้งแต่เราสองคนปรับทัศนคติและค่อยๆเปิดใจให้กันทีละนิด
ลูกเรือของสายการบินอาหรับก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่บางครั้งมันก็มากเกินไปไหม ?
“ยิ้มอะไรนักหนาครับ ?” ผมสะบัดเสียงถาม ขณะที่ปลายเท้ากำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นไม้ที่กำลังเปียกชื้นเพราะเม็ดฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไปหมาดๆ
“คนกำลังมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ
หรือซองมินจะให้พี่ร้องไห้ ?”
พี่เขาหันมาตอบด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มโดยไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น
เพียงแต่ผม เกิดอาการใจสั่นของผมเอง
..
“…” ผมเงียบไม่ยอมตอบอะไรกลับไป และเอาแต่เดินมองช่อพ็อตกดที่โน้มตัวลงตรงกึ่งกลางของราวสะพานทั้งสองด้านจนกลายเป็นซุ้มดอกไม้ตลอดทาง
“ซองมินชอบที่มีพี่เป็นอากาศรอบๆตัวไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึงต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยว่าพี่มีความสุขจนอยากจะยิ้มออกมาเพราะอะไร ?” พี่เขาถาม
ขณะที่ข้างแขนของพี่เขาก็เสียดสีกับข้างแขนของผมเบาๆ เพราะตอนนี้เราสองคนกำลังเดินอยู่เคียงข้างกัน
และระยะห่างก็ยังใกล้กันมากๆอีกด้วย
“ซองมินเรารู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะ
นอกจากปากกับใจจะแข็งแล้ว ยังเป็นคนหัวแข็งอีกต่างหาก ใจร้ายชะมัด!”
พี่เขาก้าวยาวๆแล้วก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมๆกับค่อยๆก้าวถอยหลังไปทีละก้าว
เพื่อให้ผมก้าวเดินไปข้างหน้าได้ตามที่ต้องการ
“ผมฟังคำนี้จนเบื่อแล้ว
พี่ว่าผมกี่ทีๆก็บอกว่าผมใจร้าย ..” ผมต่อความยาวสาวความยืดอย่างไม่ถือสาอะไรนัก
เพราะโจวคยูฮยอนคนนี้มักจะชอบตัดพ้อผมด้วยคำๆนี้เสมอ
“ถ้าเบื่อนักเราก็อย่าใจร้ายกับพี่สิ”
พี่เขาพูดพร้อมๆกับต้องคอยหันไปมองข้างหลังด้วยว่าจะเผลอไปชนกับชาวบ้านเขาหรือเปล่า
ก็เล่นเดินพิเรนท์ๆแบบนั้นน่ะ
“พี่นี่เอาแต่ใจชะมัด!” ผมขมวดคิ้ว
พร้อมกับต่อว่าคนตัวสูงที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม
“คนไม่เคยถูกเอาใจ มันก็ต้องเอาแต่ใจเป็นธรรมดาน่ะสิ..”
“แบบนี้แถวบ้านผม เขาเรียกว่าแถครับ
แถสีข้างถลอกด้วย ..”
ผมพูดด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่รู้ทำไมริมฝีปากถึงได้วาดเป็นรอยยิ้มออกมา
“แถอะไร ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ..” พี่เขาพูด พลางกลับมาเดินข้างๆผมแบบที่คนปกติเขาทำกันสักที
“ก็แบบที่พี่กำลังทำอยู่นี่แหละ
เขาเรียกว่าแถ ..”
ผมกอดอกพลางเน้นยำพฤติกรรมที่พี่เขาทำเพื่ออธิบายความหมายของคำว่า ‘แถ’ ที่เด็กนอกอย่างพี่เขาคงจะไม่รู้จัก
“พูดมากชะมัดเลยเราน่ะ!”
พี่เขาแกล้งยกกระเป๋าเป้ของผมขึ้น แล้วจากนั้นก็ปล่อยลง ผมก็เลยชักสีหน้าใส่
แต่พี่เขาก็ยังไม่ยอมหยุด
“เลิกแกล้งผมสักทีเถอะครับ
ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน ..” ผมใช้หางตามอง
จนพี่เขาหยุดแกล้ง แต่ก็ยังไม่อาจหยุดรอยยิ้มสว่างเจิดจ้านั่นได้
“ขู่ฟ่อๆซะด้วย พัฒนาแล้วนะ ..”
พี่เขาขยี้หัวผมพร้อมกับแซวผมให้ต้องแอบเม้มปากตัวเองแน่นๆด้วยความเจ็บใจ
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมแสดงออกมันเป็นไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว อีกทั้งเสี้ยวหน้าของลูกเรือร่างสูงก็ยังเพิ่มความประหม่าให้ผมด้วย
..
“…” ผมปัดมือของพี่เขาออก
พลางเขยิบตัวทิ้งระยะห่างอีกนิด
ขณะที่ใบหน้าของผมตอนนี้มันเริ่มจะร้อนฉ่ามากขึ้นเรื่อยๆ
“หูแดง ..” พี่เขาพูดขึ้นมาลอยๆ
แต่ก็ทำให้ผมต้องรีบจับใบหูของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“หึ”
เสียงหัวเราะในลำคอที่แสร้งเค้นออกมาอย่างดังนั่น
ทำเอาผมต้องรีบเดินจ้ำอ้าวให้เร็วขึ้น
“ซุ้มเริ่มทยอยเปิดกันแล้ว
ไปหาอะไรกินกันเถอะ” พี่เขาคว้าข้อมือของผมไว้
แล้วก็ออกแรงชักจูงให้ผมเดินตามขายาวๆนั่นอย่างล่องลอย และขณะที่เรากำลังก้าวเดิน
สายตาของผมก็มองฝ่ามือของพี่เขา สลับกับมองแผ่นหลังกว้างอยู่หลายครั้ง อีกทั้งหัวใจของผมก็ยังเต้นรัวตุ้บๆไม่ยอมหยุด
ไหนจะฝ่ามืออุ่นๆของพี่เขาที่มันส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนซึมลึกมาถึงหัวใจนี่ก็อีก
..
‘ความชอบ’ นี่มันอันตรายจริงๆนะ
“พอฝนตก
ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า ..” พี่เขาพูดขณะที่กำลังก้าวเดินตรงเข้าไปในส่วนที่มีการจัดบูธมากมายเพื่อเอาไว้บริการนักท่องเที่ยว
“คิดอะไรครับ ?” ผมถามอย่างสงสัย
“บรรยากาศรอบๆตัวมันดูสวยขึ้นยังไงก็ไม่รู้
.. ประมาณว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ความสดชื่นแบบนั้นน่ะ”
พี่เขายิ้ม พลางเดินเอามือไขว้หลัง เพราะตอนนี้พี่เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระมากสักพักใหญ่แล้ว
“ฝนตกใหม่ๆก็แบบนี้แหละครับ .. แถมคนก็ไม่เยอะ ไม่วุ่นวายด้วย .. อะไรก็ดูดีหมดน่ะแหละ” ผมตอบอย่างคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย
เพราะความวุ่นวายมันก่อให้เกิดความหงุดหงิด ต่อให้ที่แห่งนั้นมันจะสวยงามแค่ไหน
แต่ถ้าเกิดความวุ่นวาย ผมก็จะมองสถานที่แห่งนั้นแบบติดลบไปเลย แต่เห็นจะมีอยู่ที่เดียวในชีวิตนี้
ที่ผมถือเป็นข้อยกเว้น เพราะต่อให้คนเยอะแยะและวุ่นวายมากมายแค่ไหน ผมก็ยังมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานภายใต้สนามบินระดับประเทศ
…
“เออ .. จะคุยไหมล่ะ ? ถามมากว่ะพี่ เดี๋ยวไปหาแน่ๆ ทำไมอยู่บ้านคนเดียว เลี้ยงแมวแล้วยังไม่หายเหงาอีกเหรอวะ
?” พี่เขาเดินนำผมเข้าไปในซุ้มๆหนึ่งที่พี่เขาคงจะพิจารณาดีแล้วว่ามื้อเช้าของเราจะฝากท้องเอาไว้ที่ซุ้มเล็กๆที่มองไกลออกไปจะเห็นสีชมพูอ่อนของดอกพ็อตกดรายล้อมไปทั่วบริเวณพื้นที่ที่จัดงาน
“…”
พี่เขาพยักเพยิดหน้าให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องเมนูอาหาร
เพราะว่าตอนนี้พี่เขากำลังคุยโทรศัพท์กับรุ่นพี่คนสนิทอยู่ แต่เพราะตอนนี้มันยังเช้ามาก
คุณป้าคนขายก็เลยยังเตรียมการอะไรไม่เรียบร้อย ผมก็เลยกลับมานั่งรอที่โต๊ะ
เพราะไม่อยากจะเร่งรีบคุณป้าแกนัก
“พี่แม่งทวงบุญคุณว่ะ..”
“…” ผมนั่งเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเล่นไปพลางๆ
ขณะที่สายตาของผมก็มองซุ้มสีเขียวอ่อนบ้างล่ะ
มองต้นพ็อตกดสีชมพูที่มันตัดกับท้องฟ้าสีเทาบ้างล่ะ จากนั้นสมองก็เริ่มจะประมวลผลได้แล้วว่าฝนที่เพิ่งจะทิ้งช่วงไป
ไม่แน่ว่ามันอาจจะโปรยปรายลงมาอีกระลอกก็ได้
“ถ้าเหงาก็เอาแมวพี่มาเล่นที่ห้องผมได้นะพี่
แต่ต้องให้มันอยู่ตรงระเบียงนะโว้ยพี่ เดี๋ยวขนมันล่วงเต็มห้อง”
พี่เขายังคงคุยโทรศัพท์ต่อไป ซึ่งบทสนทนามันก็บังเอิญผ่านเข้าหูของผมเข้าพอดี
ผมก็เลยเผลอขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“….”
“กุญแจก็เคยให้ไว้ป่ะวะ
อย่ามาตลกแดก ..” ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที
เมื่อทราบโดยบังเอิญว่ากุญแจห้องของลูกเรือร่างสูงนั้นมีสำรองเอาไว้ให้กับรุ่นพี่ปริศนาที่ปลายสายอีกด้วย
“…”
“เรื่องมากว่ะ
ไปนอนห้องเก่าตัวเองเลยไป ..”
บทสนทนาฟังแลดูสนิทสนม ทำเอาผมยิ่งเม้มปากแน่นขึ้นไปอีก ไม่รู้ทำไมในใจมันเสียดแน่นขึ้นมาแบบนี้
แถมอารมณ์ที่เคยดีๆก็เริ่มจะไม่ดีด้วย มองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด
“…” ผมพยายามจะไม่สนใจบทสนทนาและท่าทางของพี่เขามากนัก
เลยพาสายตาให้มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ว่ายังไงโสตประสาทการรับฟังก็ยังจะคอยแต่ประมวลผลในทุกคำพูดของพี่เขาอยู่ดี
“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ
เมื่อความอุ่นร้อนแตะลงตรงมุมปากของผม
‘เดี๋ยวเลือดออก’
พี่เขาดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู แล้วก็พูดแบบไม่ออกเสียง
ขณะที่ปลายนิ้วโป้งของพี่เขาก็ยังคงนวดมุมปากของผมเบาๆ
คล้ายกับจะเตือนสติไม่ให้ผมเผลอกัดปากตัวเอง
“แค่นี้นะ หิวข้าว ..” พี่เขาวางสาย แล้วจากนั้นพี่เขาก็ไม่สนใจโทรศัพท์มือถือเครื่องเช่าอีกเลย
“…”
“เป็นอะไร ?”
“เปล่าครับ …” ผมตอบ
แล้วก็เสสายตามองออกไปทางอื่น
“อะไรครับ ?”
หลังจากที่ผมหลบสายตาของพี่เขาเป็นเวลานานได้แล้ว ผมก็เผลอกวาดสายตากลับมาที่คนด้านข้างอีกครั้งจึงได้เห็นว่าพี่เขากำลังนั่งมองผมอยู่
และคงจะมองอยู่นานแล้วด้วย
“สงสัยว่าอยู่ๆซองมินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา
ถึงนั่งหน้าบึ้งแบบนี้..”
“…”
“ใครเหรอครับ
คนที่พี่คุยด้วยเมื่อกี้ ?” ผมเม้มปากแน่น
แต่สุดท้ายก็เผลอหลุดปากถามออกไปจนได้ นึกแล้วอยากจะตีแขนตัวเองชะมัด
ถ้าผมเรียกเสียงตัวเองกลับคืนมาได้ก็คงจะดีสิ
“พี่ฮีชอลน่ะ .. ซองมินไม่พอใจเหรอ ? เรื่องอะไร ?” พี่เขาถาม
พลางท้าวคางมองผมด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า ..”
“อ้อ หรือว่าหึง ?”
“หึงทำไมครับ ? ผมเปล่า ..”
ผมเถียง แต่ไม่รู้ทำไมยังพี่เขายิ้ม ริมฝีปากของผมมันก็ยิ่งพูดได้ลำบากเต็มที
และสุดท้ายก็จำเป็นต้องจบประโยคด้วยน้ำเสียงเบาหวิวซะอย่างนั้น
“เดี๋ยวพี่กลับดูไบเมื่อไหร่
พี่จะให้กุญแจเก็บไว้ ไม่ต้องน้อยใจหรอก ..”
พี่เขาพูดพลางกลั้วหัวเราะขณะที่ฝ่ามือก็ยกขึ้นมาประสานกันเอาไว้ตรงปลายคาง
“ผมไม่ได้อยากได้ ..” ผมปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด
“แต่พี่อยากฝาก ..” พี่เขาเริ่มใช้นิสัยเอาแต่ใจอีกครั้ง
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงชอบให้พี่เขาเอาแต่ใจ
ผมถึงได้นั่งนิ่งไม่ยอมเถียงอะไรพี่เขากลับไปสักคำ
จนกระทั่งคุณป้าเข้ามารับออร์เดอร์ เราสองคนก็เลยต่างคนต่างสั่งเมนูที่เราอยากทาน
แล้วก็เอามาแบ่งกันกิน
จนกระทั่งอิ่มแปล้ด้วยกันทั้งคู่
เราสองคนก็เลยเดินออกจากซุ้มสีเขียวอ่อนเล็กๆพร้อมกับรอยยิ้มในยามเช้า
จากนั้นเราสองคนก็เดินเล่นไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางสักเท่าไหร่
“ปกติเมืองนี้คงเงียบเนอะ”
พี่เขาพูดขึ้น เมื่อเรากำลังเดินเรียบฟุตบาทที่มักจะมีกลีบดอกพ็อตกดร่วงโรยเป็นระยะๆ
“ครับ
ถ้ามาตอนช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลจะให้อารมณ์อีกแบบนึงเลย”
ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้พี่เขาฟัง
“แต่ถ้ามาตอนนั้นก็จะไม่ได้เห็นอะไรสวยๆแบบนี้
ได้อย่างเสียอย่าง” พี่เขาเสริม ส่วนผมก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“กลับที่พักกัน
พี่ว่าตอนกลางคืนเราค่อยออกมาใหม่ดีกว่า
เห็นว่าจะมีการจัดแสดงไฟประดับด้วยไม่ใช่เหรอ ?” พี่เขาคว้าข้อมือของผม พลางหมุนตัวกลับหลังหันเพื่อเดินกลับไปทางเดิม
“เอางั้นก็ได้ ..” ผมไม่ปฏิเสธ เพราะผมยังไงก็ได้
ทริปนี้ผมตามใจลูกทัวร์อยู่แล้ว
“พูดจริงๆ
พี่อยากมีบ้านอยู่ที่เมืองนี้นะ ดูไม่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบดี .. ตั้งแต่เริ่มทำงานชีวิตไม่เคยได้พบเจอกับความเอื่อยเฉื่อยเลย
ทุกอย่างต้องเร่งรีบตลอด น่าเบื่อเนอะ” พี่เขาพูดในเชิงขอความคิดเห็น
ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะการทำงานในวงการสายการบินจะต้องรักษาเวลาให้ดี ชีวิตของเราก็เลยดูเหมือนจะอยู่ในกรอบนิดๆ
เพราะสมองจะต้องคอยวางแผนตลอดเวลา ว่าเราควรจะต้องตื่นนอนตอนไหน ควรจะเดินทางยังไงให้เร็วที่สุดถ้าหากเราไม่อยากตื่นเช้ามากนัก
แถมคนทำงานทางด้านนี้ต้องมีไหวพริบด้วย และต้องตื่นตัวตลอดเวลาด้วย
“แต่ทำกราวน์ก็ดูไม่ค่อยเร่งรีบเท่าไหร่นี่
?”
“ก็ผมพยายามตื่นให้เช้าที่สุด
เพื่อที่จะทำตัวเรื่อยๆเฉื่อยๆเหมือนอย่างอาชีพอื่นเขาไงครับ” ผมตอบ
“อ้อ .. ” พี่เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ
จากนั้นพี่เขาก็แวะชมวิวตรงสะพานที่เราเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อเช้า
“ทางลงมันอยู่ตรงไหนเรารู้มั้ย
พี่มองหายังไม่เห็นเจอ ..”
พี่เขายืนมองผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนพื้นที่ตรงกลางระหว่างสะพาน
ซึ่งบรรยากาศข้างล่างจะเป็นลำธารเล็กๆ แต่ก็ไม่เสมอไปนะ
บางปีน้ำขึ้นจนปริ่มขอบสะพานเลยก็มี อย่างปีนี้น้ำไม่เยอะมาก
ริมลำธารเล็กๆก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งนั้น
“โน่น!” ผมชี้ย้อนกลับไป
แต่พี่เขาก็ยังไม่ได้คำตอบอย่างแน่ชัดนัก
“ไกลๆตานั่นน่ะเหรอ ?” พี่เขาชะโงกหน้าพลางถาม
ผมจึงพยักหน้าตอบ เพราะเมื่อครู่เรายังเดินไปไม่ถึงตรงจุดนั้น
“ไว้รอเขาเอาร่มออกก่อนดีกว่าครับ
แล้วเราค่อยเดินลงไป”
“เอางั้นก็ได้
พรุ่งนี้เทศกาลก็จบแล้วนี่” ผมพยักหน้าตอบ
จากนั้นผมก็เริ่มเดินเอื่อยเฉื่อยมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก แต่พอหันกลับมามองด้านหลังแล้วไม่เจอใคร
สายตาของผมก็เลยต้องทำการสอดส่องหาร่างสูงของลูกเรือสายการบินอาหรับเป็นการด่วน
ขณะที่สองขาก็เริ่มเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมอีกครั้ง
ครืด ครืด
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างไม่คิดสงสัยอะไรนัก
เพราะผมคาดเดาเอาไว้แล้วว่าผู้ที่ทำให้โทรศัพท์ของผมเกิดปฏิกิริยาแบบนี้
ก็น่าจะมีอยู่คนเดียว
GaemGyu : @imSMI หลงทางแล้ว
กลับมารับด้วย
ผมหลุดขำออกมาทันทีที่อ่านแคปชั่นประกอบภาพถ่ายของพี่เขาจบ
ซึ่งภาพๆนั้นไม่ได้ช่วยเฉพาะเจาะจงสถานที่ที่พี่เขาอยู่ได้เลย ..
มีอย่างที่ไหนมาลงรูปดอกพ็อตกดกองขนาดย่อมบนราวสะพานแบบนั่นกันเล่า!
imSMI : @GaemGyu
พี่อยู่ตรงไหนล่ะครับ ?
GaemGyu : ที่เดิม
ไม่กล้าขยับไปไหนเลย กลัวเราหาไม่เจอ มารับเร็วๆเลย
imSMI : ไม่!
GaemGyu : ดื้อว่ะ
มารับเถอะ …นะ T_T
ผมอมยิ้มจนแก้มแทบปริ
เมื่อได้อ่านข้อความอ้อนๆของพี่เขา
จากนั้นผมก็เริ่มก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
โดยที่ผมไม่ได้มองหนทางข้างหน้าแต่อย่างใด
“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ
เมื่อผมเดินชนใครสักคนเข้า และข้อความของผมก็ถูกส่งออกไปพอดีทั้งๆที่ผมยังพิมพ์ไม่เสร็จ
imSMI : อื้
“ตกลงอื้ นี่มันแปลว่าจะมารับเหรอครับ
?”
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
วันหยุดยาว 5 วัน เราจะแก้คำผิดให้นะคะ ตอนนี้ปั่นให้อ่านกันไปก่อน T^T
หวานๆเบาๆ มองเผินๆเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันก็พิเศษอยู่นะ คึคึคึ
หาข้อมูลจนอยากไปจินเฮแล้ว สวยยยยย T__T
ตัวละครตัวอื่นๆจะค่อยๆออกมาเมื่อถึงเวลา ตอนนี้ปล่อยคุณลูกเรือทำคะแนนก่อน
[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 11