วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 11

เพาะรัก
 
 

11✈



 ตั้งแต่เราสองคนปรับทัศนคติและค่อยๆเปิดใจให้กันทีละนิด ลูกเรือของสายการบินอาหรับก็ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แต่บางครั้งมันก็มากเกินไปไหม ?
“ยิ้มอะไรนักหนาครับ ?” ผมสะบัดเสียงถาม ขณะที่ปลายเท้ากำลังเหยียบย่ำลงบนพื้นไม้ที่กำลังเปียกชื้นเพราะเม็ดฝนที่เพิ่งจะหยุดตกไปหมาดๆ

“คนกำลังมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ หรือซองมินจะให้พี่ร้องไห้ ?” พี่เขาหันมาตอบด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มโดยไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงใดๆทั้งสิ้น
เพียงแต่ผม เกิดอาการใจสั่นของผมเอง ..

” ผมเงียบไม่ยอมตอบอะไรกลับไป และเอาแต่เดินมองช่อพ็อตกดที่โน้มตัวลงตรงกึ่งกลางของราวสะพานทั้งสองด้านจนกลายเป็นซุ้มดอกไม้ตลอดทาง
“ซองมินชอบที่มีพี่เป็นอากาศรอบๆตัวไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยว่าพี่มีความสุขจนอยากจะยิ้มออกมาเพราะอะไร ?” พี่เขาถาม ขณะที่ข้างแขนของพี่เขาก็เสียดสีกับข้างแขนของผมเบาๆ เพราะตอนนี้เราสองคนกำลังเดินอยู่เคียงข้างกัน และระยะห่างก็ยังใกล้กันมากๆอีกด้วย

“ซองมินเรารู้ตัวหรือเปล่าว่าเราน่ะ นอกจากปากกับใจจะแข็งแล้ว ยังเป็นคนหัวแข็งอีกต่างหาก ใจร้ายชะมัด!” พี่เขาก้าวยาวๆแล้วก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม พร้อมๆกับค่อยๆก้าวถอยหลังไปทีละก้าว เพื่อให้ผมก้าวเดินไปข้างหน้าได้ตามที่ต้องการ
“ผมฟังคำนี้จนเบื่อแล้ว พี่ว่าผมกี่ทีๆก็บอกว่าผมใจร้าย ..” ผมต่อความยาวสาวความยืดอย่างไม่ถือสาอะไรนัก เพราะโจวคยูฮยอนคนนี้มักจะชอบตัดพ้อผมด้วยคำๆนี้เสมอ

“ถ้าเบื่อนักเราก็อย่าใจร้ายกับพี่สิ” พี่เขาพูดพร้อมๆกับต้องคอยหันไปมองข้างหลังด้วยว่าจะเผลอไปชนกับชาวบ้านเขาหรือเปล่า ก็เล่นเดินพิเรนท์ๆแบบนั้นน่ะ
“พี่นี่เอาแต่ใจชะมัด!” ผมขมวดคิ้ว พร้อมกับต่อว่าคนตัวสูงที่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม

“คนไม่เคยถูกเอาใจ มันก็ต้องเอาแต่ใจเป็นธรรมดาน่ะสิ..
“แบบนี้แถวบ้านผม เขาเรียกว่าแถครับ แถสีข้างถลอกด้วย ..” ผมพูดด้วยความหมั่นไส้ แต่ไม่รู้ทำไมริมฝีปากถึงได้วาดเป็นรอยยิ้มออกมา

“แถอะไร ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ..” พี่เขาพูด พลางกลับมาเดินข้างๆผมแบบที่คนปกติเขาทำกันสักที
“ก็แบบที่พี่กำลังทำอยู่นี่แหละ เขาเรียกว่าแถ ..” ผมกอดอกพลางเน้นยำพฤติกรรมที่พี่เขาทำเพื่ออธิบายความหมายของคำว่า แถที่เด็กนอกอย่างพี่เขาคงจะไม่รู้จัก

“พูดมากชะมัดเลยเราน่ะ!” พี่เขาแกล้งยกกระเป๋าเป้ของผมขึ้น แล้วจากนั้นก็ปล่อยลง ผมก็เลยชักสีหน้าใส่ แต่พี่เขาก็ยังไม่ยอมหยุด
“เลิกแกล้งผมสักทีเถอะครับ ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน ..” ผมใช้หางตามอง จนพี่เขาหยุดแกล้ง แต่ก็ยังไม่อาจหยุดรอยยิ้มสว่างเจิดจ้านั่นได้

“ขู่ฟ่อๆซะด้วย พัฒนาแล้วนะ ..” พี่เขาขยี้หัวผมพร้อมกับแซวผมให้ต้องแอบเม้มปากตัวเองแน่นๆด้วยความเจ็บใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมแสดงออกมันเป็นไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว อีกทั้งเสี้ยวหน้าของลูกเรือร่างสูงก็ยังเพิ่มความประหม่าให้ผมด้วย ..
” ผมปัดมือของพี่เขาออก พลางเขยิบตัวทิ้งระยะห่างอีกนิด ขณะที่ใบหน้าของผมตอนนี้มันเริ่มจะร้อนฉ่ามากขึ้นเรื่อยๆ

“หูแดง ..” พี่เขาพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ก็ทำให้ผมต้องรีบจับใบหูของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอที่แสร้งเค้นออกมาอย่างดังนั่น ทำเอาผมต้องรีบเดินจ้ำอ้าวให้เร็วขึ้น

“ซุ้มเริ่มทยอยเปิดกันแล้ว ไปหาอะไรกินกันเถอะ” พี่เขาคว้าข้อมือของผมไว้ แล้วก็ออกแรงชักจูงให้ผมเดินตามขายาวๆนั่นอย่างล่องลอย และขณะที่เรากำลังก้าวเดิน สายตาของผมก็มองฝ่ามือของพี่เขา สลับกับมองแผ่นหลังกว้างอยู่หลายครั้ง อีกทั้งหัวใจของผมก็ยังเต้นรัวตุ้บๆไม่ยอมหยุด ไหนจะฝ่ามืออุ่นๆของพี่เขาที่มันส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนซึมลึกมาถึงหัวใจนี่ก็อีก ..
                ความชอบนี่มันอันตรายจริงๆนะ

“พอฝนตก ไม่รู้ว่าพี่คิดไปเองหรือเปล่า ..” พี่เขาพูดขณะที่กำลังก้าวเดินตรงเข้าไปในส่วนที่มีการจัดบูธมากมายเพื่อเอาไว้บริการนักท่องเที่ยว
“คิดอะไรครับ ?” ผมถามอย่างสงสัย

“บรรยากาศรอบๆตัวมันดูสวยขึ้นยังไงก็ไม่รู้ .. ประมาณว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ความสดชื่นแบบนั้นน่ะ” พี่เขายิ้ม พลางเดินเอามือไขว้หลัง เพราะตอนนี้พี่เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระมากสักพักใหญ่แล้ว
“ฝนตกใหม่ๆก็แบบนี้แหละครับ .. แถมคนก็ไม่เยอะ ไม่วุ่นวายด้วย .. อะไรก็ดูดีหมดน่ะแหละ” ผมตอบอย่างคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย เพราะความวุ่นวายมันก่อให้เกิดความหงุดหงิด ต่อให้ที่แห่งนั้นมันจะสวยงามแค่ไหน แต่ถ้าเกิดความวุ่นวาย ผมก็จะมองสถานที่แห่งนั้นแบบติดลบไปเลย แต่เห็นจะมีอยู่ที่เดียวในชีวิตนี้ ที่ผมถือเป็นข้อยกเว้น เพราะต่อให้คนเยอะแยะและวุ่นวายมากมายแค่ไหน ผมก็ยังมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานภายใต้สนามบินระดับประเทศ


“เออ .. จะคุยไหมล่ะ ? ถามมากว่ะพี่ เดี๋ยวไปหาแน่ๆ ทำไมอยู่บ้านคนเดียว เลี้ยงแมวแล้วยังไม่หายเหงาอีกเหรอวะ ?” พี่เขาเดินนำผมเข้าไปในซุ้มๆหนึ่งที่พี่เขาคงจะพิจารณาดีแล้วว่ามื้อเช้าของเราจะฝากท้องเอาไว้ที่ซุ้มเล็กๆที่มองไกลออกไปจะเห็นสีชมพูอ่อนของดอกพ็อตกดรายล้อมไปทั่วบริเวณพื้นที่ที่จัดงาน  
” พี่เขาพยักเพยิดหน้าให้ผมเป็นคนจัดการเรื่องเมนูอาหาร เพราะว่าตอนนี้พี่เขากำลังคุยโทรศัพท์กับรุ่นพี่คนสนิทอยู่ แต่เพราะตอนนี้มันยังเช้ามาก คุณป้าคนขายก็เลยยังเตรียมการอะไรไม่เรียบร้อย ผมก็เลยกลับมานั่งรอที่โต๊ะ เพราะไม่อยากจะเร่งรีบคุณป้าแกนัก

“พี่แม่งทวงบุญคุณว่ะ..
” ผมนั่งเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเล่นไปพลางๆ ขณะที่สายตาของผมก็มองซุ้มสีเขียวอ่อนบ้างล่ะ มองต้นพ็อตกดสีชมพูที่มันตัดกับท้องฟ้าสีเทาบ้างล่ะ จากนั้นสมองก็เริ่มจะประมวลผลได้แล้วว่าฝนที่เพิ่งจะทิ้งช่วงไป ไม่แน่ว่ามันอาจจะโปรยปรายลงมาอีกระลอกก็ได้

“ถ้าเหงาก็เอาแมวพี่มาเล่นที่ห้องผมได้นะพี่ แต่ต้องให้มันอยู่ตรงระเบียงนะโว้ยพี่ เดี๋ยวขนมันล่วงเต็มห้อง” พี่เขายังคงคุยโทรศัพท์ต่อไป ซึ่งบทสนทนามันก็บังเอิญผ่านเข้าหูของผมเข้าพอดี ผมก็เลยเผลอขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
….

“กุญแจก็เคยให้ไว้ป่ะวะ อย่ามาตลกแดก ..” ผมหน้าตึงขึ้นมาทันที เมื่อทราบโดยบังเอิญว่ากุญแจห้องของลูกเรือร่างสูงนั้นมีสำรองเอาไว้ให้กับรุ่นพี่ปริศนาที่ปลายสายอีกด้วย

“เรื่องมากว่ะ ไปนอนห้องเก่าตัวเองเลยไป ..” บทสนทนาฟังแลดูสนิทสนม ทำเอาผมยิ่งเม้มปากแน่นขึ้นไปอีก ไม่รู้ทำไมในใจมันเสียดแน่นขึ้นมาแบบนี้ แถมอารมณ์ที่เคยดีๆก็เริ่มจะไม่ดีด้วย มองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตาไปหมด
” ผมพยายามจะไม่สนใจบทสนทนาและท่าทางของพี่เขามากนัก เลยพาสายตาให้มองโน่นมองนี่ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่ายังไงโสตประสาทการรับฟังก็ยังจะคอยแต่ประมวลผลในทุกคำพูดของพี่เขาอยู่ดี

“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อความอุ่นร้อนแตะลงตรงมุมปากของผม
เดี๋ยวเลือดออกพี่เขาดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู แล้วก็พูดแบบไม่ออกเสียง ขณะที่ปลายนิ้วโป้งของพี่เขาก็ยังคงนวดมุมปากของผมเบาๆ คล้ายกับจะเตือนสติไม่ให้ผมเผลอกัดปากตัวเอง

“แค่นี้นะ หิวข้าว ..” พี่เขาวางสาย แล้วจากนั้นพี่เขาก็ไม่สนใจโทรศัพท์มือถือเครื่องเช่าอีกเลย

“เป็นอะไร ?
“เปล่าครับ ” ผมตอบ แล้วก็เสสายตามองออกไปทางอื่น

“อะไรครับ ?” หลังจากที่ผมหลบสายตาของพี่เขาเป็นเวลานานได้แล้ว ผมก็เผลอกวาดสายตากลับมาที่คนด้านข้างอีกครั้งจึงได้เห็นว่าพี่เขากำลังนั่งมองผมอยู่ และคงจะมองอยู่นานแล้วด้วย
“สงสัยว่าอยู่ๆซองมินเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ถึงนั่งหน้าบึ้งแบบนี้..

“ใครเหรอครับ คนที่พี่คุยด้วยเมื่อกี้ ?” ผมเม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็เผลอหลุดปากถามออกไปจนได้ นึกแล้วอยากจะตีแขนตัวเองชะมัด ถ้าผมเรียกเสียงตัวเองกลับคืนมาได้ก็คงจะดีสิ

“พี่ฮีชอลน่ะ .. ซองมินไม่พอใจเหรอ ? เรื่องอะไร ?” พี่เขาถาม พลางท้าวคางมองผมด้วยรอยยิ้ม
“เปล่า ..

“อ้อ หรือว่าหึง ?
“หึงทำไมครับ ? ผมเปล่า ..” ผมเถียง แต่ไม่รู้ทำไมยังพี่เขายิ้ม ริมฝีปากของผมมันก็ยิ่งพูดได้ลำบากเต็มที และสุดท้ายก็จำเป็นต้องจบประโยคด้วยน้ำเสียงเบาหวิวซะอย่างนั้น

“เดี๋ยวพี่กลับดูไบเมื่อไหร่ พี่จะให้กุญแจเก็บไว้ ไม่ต้องน้อยใจหรอก ..” พี่เขาพูดพลางกลั้วหัวเราะขณะที่ฝ่ามือก็ยกขึ้นมาประสานกันเอาไว้ตรงปลายคาง
“ผมไม่ได้อยากได้ ..” ผมปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิด

“แต่พี่อยากฝาก ..” พี่เขาเริ่มใช้นิสัยเอาแต่ใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงชอบให้พี่เขาเอาแต่ใจ ผมถึงได้นั่งนิ่งไม่ยอมเถียงอะไรพี่เขากลับไปสักคำ จนกระทั่งคุณป้าเข้ามารับออร์เดอร์ เราสองคนก็เลยต่างคนต่างสั่งเมนูที่เราอยากทาน แล้วก็เอามาแบ่งกันกิน
จนกระทั่งอิ่มแปล้ด้วยกันทั้งคู่ เราสองคนก็เลยเดินออกจากซุ้มสีเขียวอ่อนเล็กๆพร้อมกับรอยยิ้มในยามเช้า จากนั้นเราสองคนก็เดินเล่นไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางสักเท่าไหร่

“ปกติเมืองนี้คงเงียบเนอะ” พี่เขาพูดขึ้น เมื่อเรากำลังเดินเรียบฟุตบาทที่มักจะมีกลีบดอกพ็อตกดร่วงโรยเป็นระยะๆ
“ครับ ถ้ามาตอนช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลจะให้อารมณ์อีกแบบนึงเลย” ผมพยักหน้าพร้อมกับบอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้พี่เขาฟัง

“แต่ถ้ามาตอนนั้นก็จะไม่ได้เห็นอะไรสวยๆแบบนี้ ได้อย่างเสียอย่าง” พี่เขาเสริม ส่วนผมก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“กลับที่พักกัน พี่ว่าตอนกลางคืนเราค่อยออกมาใหม่ดีกว่า เห็นว่าจะมีการจัดแสดงไฟประดับด้วยไม่ใช่เหรอ ?” พี่เขาคว้าข้อมือของผม พลางหมุนตัวกลับหลังหันเพื่อเดินกลับไปทางเดิม

“เอางั้นก็ได้ ..” ผมไม่ปฏิเสธ เพราะผมยังไงก็ได้ ทริปนี้ผมตามใจลูกทัวร์อยู่แล้ว
“พูดจริงๆ พี่อยากมีบ้านอยู่ที่เมืองนี้นะ ดูไม่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบดี .. ตั้งแต่เริ่มทำงานชีวิตไม่เคยได้พบเจอกับความเอื่อยเฉื่อยเลย ทุกอย่างต้องเร่งรีบตลอด น่าเบื่อเนอะ” พี่เขาพูดในเชิงขอความคิดเห็น ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะการทำงานในวงการสายการบินจะต้องรักษาเวลาให้ดี ชีวิตของเราก็เลยดูเหมือนจะอยู่ในกรอบนิดๆ เพราะสมองจะต้องคอยวางแผนตลอดเวลา ว่าเราควรจะต้องตื่นนอนตอนไหน ควรจะเดินทางยังไงให้เร็วที่สุดถ้าหากเราไม่อยากตื่นเช้ามากนัก แถมคนทำงานทางด้านนี้ต้องมีไหวพริบด้วย และต้องตื่นตัวตลอดเวลาด้วย

“แต่ทำกราวน์ก็ดูไม่ค่อยเร่งรีบเท่าไหร่นี่ ?
“ก็ผมพยายามตื่นให้เช้าที่สุด เพื่อที่จะทำตัวเรื่อยๆเฉื่อยๆเหมือนอย่างอาชีพอื่นเขาไงครับ” ผมตอบ

“อ้อ .. ” พี่เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นพี่เขาก็แวะชมวิวตรงสะพานที่เราเพิ่งเดินผ่านมาเมื่อเช้า
“ทางลงมันอยู่ตรงไหนเรารู้มั้ย พี่มองหายังไม่เห็นเจอ ..” พี่เขายืนมองผู้คนที่กำลังเดินอยู่บนพื้นที่ตรงกลางระหว่างสะพาน ซึ่งบรรยากาศข้างล่างจะเป็นลำธารเล็กๆ แต่ก็ไม่เสมอไปนะ บางปีน้ำขึ้นจนปริ่มขอบสะพานเลยก็มี อย่างปีนี้น้ำไม่เยอะมาก ริมลำธารเล็กๆก็จะเต็มไปด้วยดอกไม้ทั้งนั้น

“โน่น!” ผมชี้ย้อนกลับไป แต่พี่เขาก็ยังไม่ได้คำตอบอย่างแน่ชัดนัก
“ไกลๆตานั่นน่ะเหรอ ?” พี่เขาชะโงกหน้าพลางถาม ผมจึงพยักหน้าตอบ เพราะเมื่อครู่เรายังเดินไปไม่ถึงตรงจุดนั้น

“ไว้รอเขาเอาร่มออกก่อนดีกว่าครับ แล้วเราค่อยเดินลงไป”
“เอางั้นก็ได้ พรุ่งนี้เทศกาลก็จบแล้วนี่” ผมพยักหน้าตอบ จากนั้นผมก็เริ่มเดินเอื่อยเฉื่อยมุ่งหน้ากลับไปยังที่พัก แต่พอหันกลับมามองด้านหลังแล้วไม่เจอใคร สายตาของผมก็เลยต้องทำการสอดส่องหาร่างสูงของลูกเรือสายการบินอาหรับเป็นการด่วน ขณะที่สองขาก็เริ่มเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมอีกครั้ง

ครืด ครืด

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างไม่คิดสงสัยอะไรนัก เพราะผมคาดเดาเอาไว้แล้วว่าผู้ที่ทำให้โทรศัพท์ของผมเกิดปฏิกิริยาแบบนี้ ก็น่าจะมีอยู่คนเดียว
GaemGyu : @imSMI หลงทางแล้ว กลับมารับด้วย

ผมหลุดขำออกมาทันทีที่อ่านแคปชั่นประกอบภาพถ่ายของพี่เขาจบ ซึ่งภาพๆนั้นไม่ได้ช่วยเฉพาะเจาะจงสถานที่ที่พี่เขาอยู่ได้เลย ..
มีอย่างที่ไหนมาลงรูปดอกพ็อตกดกองขนาดย่อมบนราวสะพานแบบนั่นกันเล่า!

imSMI : @GaemGyu พี่อยู่ตรงไหนล่ะครับ ?
GaemGyu : ที่เดิม ไม่กล้าขยับไปไหนเลย กลัวเราหาไม่เจอ มารับเร็วๆเลย
imSMI : ไม่!
GaemGyu : ดื้อว่ะ มารับเถอะ นะ T_T

ผมอมยิ้มจนแก้มแทบปริ เมื่อได้อ่านข้อความอ้อนๆของพี่เขา จากนั้นผมก็เริ่มก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความตอบกลับไป โดยที่ผมไม่ได้มองหนทางข้างหน้าแต่อย่างใด
“อ๊ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อผมเดินชนใครสักคนเข้า และข้อความของผมก็ถูกส่งออกไปพอดีทั้งๆที่ผมยังพิมพ์ไม่เสร็จ

imSMI : อื้

“ตกลงอื้ นี่มันแปลว่าจะมารับเหรอครับ ?


 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 
วันหยุดยาว 5 วัน เราจะแก้คำผิดให้นะคะ ตอนนี้ปั่นให้อ่านกันไปก่อน T^T
หวานๆเบาๆ มองเผินๆเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันก็พิเศษอยู่นะ คึคึคึ
หาข้อมูลจนอยากไปจินเฮแล้ว สวยยยยย T__T
ตัวละครตัวอื่นๆจะค่อยๆออกมาเมื่อถึงเวลา ตอนนี้ปล่อยคุณลูกเรือทำคะแนนก่อน

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 10

เพาะรัก
 
 

10✈


ที่พักของผมกับลูกเรือสายการบินอาหรับอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชานชาลามากนัก แถมค่าห้องก็ยังไม่แพงด้วย ที่สำคัญพวกเรายังได้ห้องพักในแบบที่ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในยุคเก่าอย่างไรอย่างนั้น และพอมองไปตรงมุมห้องจะเห็นผ้าปูรองพื้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกพับเตรียมเอาไว้ให้บริการห้องทั้งหมดสองกองด้วยกัน พร้อมกับหมอนใบเล็กรูปทรงดี อีกสองใบที่วางอยู่ข้างๆกับผ้าปูที่นอนนั่นอีก อ้อ ยังมีผ้าห่มอีกสองผืนบางๆวางรองหมอนทั้งสองใบเอาไว้ด้วย ..
ส่วนวิวภายนอกหน้าต่างในเวลาหกโมงนิดๆ ให้อารมณ์เงียบเหงาได้เป็นอย่างดี เพราะถนนลาดยาวตรงหน้า ไม่มีแม้แต่รถสักคันจะวิ่งผ่าน อาจเพราะเวลานี้มันเพิ่งจะหกโมงสิบห้าเท่านั้น ถนนแห่งนี้ก็เลยยังคงเงียบสงบอยู่ หากสายๆขึ้นมาหน่อย ผู้คนก็คงจะพากันหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง รวมถึงรถราที่ก็คงจะวิ่งกันให้ขวักไขว่เหมือนอย่างเมื่อวาน ..
ช่อพ็อตกดสีชมพูอ่อนในระดับสายตา ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์อันเตะตาในยามเช้าวันใหม่อย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงเสียงนกร้องเพียงเบาๆด้วยก็เช่นกัน แต่ในสายตาของผมกลับมองเห็นกระเป๋าเป้สองใบที่วางอยู่ตรงปลายเท้าของผมที่กำลังยืนอยู่ตรงขอบหน้าต่างด้วย เพราะกระเป๋าสองใบที่ว่าเป็นกระเป๋าของผมกับลูกเรือสายการบินอาหรับคนนั้นที่ยังคงนอนกรนนิดๆอย่างสบายอารมณ์ ..
ผมยกยิ้มเพียงเบาๆกับบรรยากาศรอบตัวที่มีแต่ความเงียบสงบ พลางนึกไปถึงเมื่อวานหลังจากที่เราหาที่พักกันได้แล้ว ผมกับพี่เขาก็ออกมาเดินเที่ยวรอบๆเมืองจินเฮอย่างไม่รีบร้อนและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะแค่เพียงปลายเท้าของเราเหยียบย่ำลงไปบนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างคละเคล้าไปกับต้นพ็อตกดที่กำลังออกดอกจนบานสะพรั่งความสุขเล็กๆก็เกิดขึ้นอย่างมากมาย ..
และอาหารมื้อเย็นในวันนั้น ก็ดูเหมือนจะอร่อยกว่าทุกวัน ..

“ฝนตก!” ผมตะโกนออกมาอย่างไม่สมอารมณ์ เมื่ออยู่ๆลมฟ้าอากาศก็แปรปรวน
“หือ ?” ผมหันไปมองคนด้านหลังที่สงสัยในลำคออย่างงุนงง จึงทันได้เห็นว่าตอนนี้ลูกเรือของสายการบินอาหรับได้ตื่นจากความฝันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเสียงตะโกนของผมเอง แต่ดูเหมือนว่าเพราะสายฝนที่กำลังล่วงโรยลงมามันคงจะสร้างความเย็นสบายให้กับพี่เขาเป็นอย่างมาก ดวงตาคมๆคู่นั้นจึงยังคงปิดสนิทอยู่ ..

“ฝนตกครับ เราจะออกไปเที่ยวกันยังไง ร่มก็ไม่มี ..” ผมสะบัดหน้าพลางตั้งสติไม่ให้ตัวเองหลงละเมอไปกับท่าทางอันเป็นธรรมชาติของเขา ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้คนที่ยังไม่ตื่นดีนัก เพื่อบอกให้เขารับรู้ว่าโปรแกรมในวันนี้ของเราดูจะล่มไม่เป็นท่าซะแล้ว ..
“บ่ายๆก็ได้นี่ มันคงไม่ตกนานขนาดนั้นหรอกมั้ง ..” พี่เขาตอบ พลางขยี้เส้นผมของตัวเองจนยุ่งเหยิง แล้วจากนั้นสายตาคมก็มองสบกับผมที่เผลอมองจ้องเข้าไปเต็มๆ

“ตื่นนานแล้วเหรอ ?” พี่เขาถาม พลางยกยิ้มนิดๆ เมื่อสายตาคมประมวลผลได้แล้วว่า ณ ตอนนี้ไกด์นำเที่ยวของเขาได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมทำหน้าที่จนเรียบร้อยแล้ว ผิดกับลูกทัวร์อย่างเขา ที่แม้แต่จะล้างหน้าก็ยังไม่ได้ทำ ฟันก็ยังไม่ได้แปรง แต่ถึงอย่างนั้น ลูกทัวร์คนนี้ก็ยังดึงดูดความสนใจจากผมได้ ..
“ครับ ..” ผมพยักหน้า พลางเขยิบตัวออกห่างจากที่นอนและช่วงตัวของพี่เขาด้วย

โจวคยูฮยอนลูกเรือของสายการบินอาหรับ ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนักก็เรียบร้อย อะไรจะจัดการธุระส่วนตัวได้รวดเร็วขนาดนั้น ผมล่ะไม่อยากจะเชื่อ ขณะนี้เราสองคนก็เลยได้แต่ยืนเกาะขอบหน้าต่างมองดูเม็ดฝนที่ยังคงล่วงหล่นจากฟากฟ้าไม่ขาดสายพร้อมๆกัน

“คำว่าชอบของซองมินคืออะไร ?” อยู่ๆพี่เขาก็ถามผมขึ้นมา เล่นเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน เพราะผมไม่คิดว่าคำถามที่พี่เขาอยากรู้ จะเป็นคำถามที่มันเข้าตัวผมแบบนี้
“ครับ ?” ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยได้แต่รับคำออกไปแบบนั้น ขณะที่ในหัวมันก็อื้ออึงไปหมด

“พี่แค่อยากรู้ว่ามันคืออะไร เพราะดูเหมือนคำว่าชอบของเรามันจะคนละความหมายกัน” พี่เขาพูดพลางโน้มตัวเท้าแขนกับขอบหน้าต่าง จากนั้นก็วางปลายคางลงบนฝ่ามือหนาๆนั่น และหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นรอคอยคำตอบ

“สำหรับพี่แค่อยากเห็นหน้า อยากคุยด้วยบ่อยๆ อยากหาเวลาอยู่ด้วยกันนานๆ แล้วก็ใจเต้นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆกัน พี่ก็ถือว่าตัวเองกำลังชอบใครสักคนแล้ว แต่ถ้าเริ่มมีอาการหวง ไม่พอใจที่มีใครมาเข้าใกล้คนๆนั้น พี่ว่าอาการแบบนั้นมันเริ่มจะเข้าใกล้คำว่ารักเข้าไปทุกทีแล้ว” ผมใจเต้นจนไม่กล้ามองใบหน้าของพี่เขาเลยจริงๆ เพราะคำพูดในเชิงอธิบายนั่น มันบ่งบอกถึงความรู้สึกนึกคิดของพี่เขาที่มีต่อผมชัดๆ

“สำหรับพี่คำว่าชอบ มันไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นหลังจากที่คนสองคนได้รู้จักกันและกันให้ดีพอหรอก เพราะความรู้สึกแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจากสมองสักหน่อย หากใจมันอยากจะชอบ มันคงไม่ย้อนถามเราหรอกว่า นี่ฉันควรจะชอบเขาไหม มีแต่คนที่หลอกตัวเองเท่านั้นแหละที่ใจของเขาจะมัวแต่จะตั้งคำถามแบบนั้นกับตัวเอง ..” ผมรู้สึกเจ็บจุกขึ้นมาทันทีที่พี่เขาพูดจบ
“แล้วถ้าคนสองคนยังไม่รู้จักกันให้ดีพอ พวกเขาจะมั่นใจในกันและกันได้ยังไง ?” ผมย้อนถามอย่างลืมตัว เพราะในใจเริ่มโอนอ่อนไปกับคำพูดของพี่เขาแล้ว

“ต้นลาเวนเดอร์เวลาที่มันต้องกระแสลมน่ะ มันก็จะโอนอ่อนไปตามกระแสลมพวกนั้น พวกมันถึงได้นิยามความหมายสำหรับความรักว่า ความไม่แน่นอน แถมทุ่งลาเวนเดอร์ก็ยังเต็มไปด้วยงูพิษมากมาย คนเขาถึงต้องคอยระวังให้ดีเวลาที่เข้าไปในทุ่งลาเวนเดอร์ แต่ถึงอย่างนั้นดอกลาเวนเดอร์มันก็สวยงามมากใช่ไหม ? แถมยังหอมดีด้วย .. ก็เพราะแบบนั้นแหละเขาถึงได้นำมาเปรียบกับความรัก ..

“ความรักมันก็เป็นแบบนั้น นึกจะมาก็มา พอเราเริ่มอ่อนโอนไปตามสถานการณ์ ใจของเราก็เริ่มว้าวุ่น กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด แต่สุดท้ายเพราะว่ามันทำให้เรามีความสุข ทำให้เรายิ้ม ทำให้เราหัวเราะได้ เราถึงได้ไม่กลัวความไม่แน่นอนพวกนั้นไปโดยไม่รู้ตัว ..
“พี่กำลังจะบอกผมว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้กลัวความไม่แน่นอนพวกนั้น  แต่ผมกำลังหลอกตัวเองให้กลัวอย่างนั้นเหรอครับ?” ผมย้อนถามเมื่อจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของพี่เขา

“อืม .. อย่าหลอกให้ตัวเองกลัวอีกเลยนะ ถึงเราจะอยู่ไกลกัน แต่พี่ก็พยายามจะล่นระยะทางมาหาซองมินทีละนิด พี่ยอมเช่าโทรศัพท์ในทุกประเทศที่พี่บินไป เพราะพี่อยากให้ซองมินรู้ด้วยตัวเองว่าพี่คิดจริงจังไม่ได้แค่อยากจีบเล่นๆอย่างที่พี่แสดงออก เพราะคงไม่มีทุกคนหรอกมั้งที่ยอมทำแบบนี้ ในเมื่อสมัยนี้อะไรๆมันก็สะดวกสบายไปหมด wifi ก็มีเยอะแยะ แทบจะไม่ต้องเสียเงินเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าจำเป็นต้องเสียเงินจริงๆ คนอื่นเขาก็คงไม่เลือกจะเสียสองต่อแบบพี่หรอก ..
“แต่ผม .. แค่รู้สึกว่าระหว่างเรา มันเกิดขึ้นเร็วเกินไป ..” ผมพูดความจริงที่ตัวเองรู้สึกออกมาอย่างล่องลอย เมื่อกำลังถูกความจริงใจเล็กๆน้อยๆเข้าเล่นงาน

“ระยะเวลามันไม่ใช่ตัวกำหนดหรอกนะว่าเรารู้สึกแบบนี้เร็วไปไหม หรือว่ายังไง ในเมื่อเรารู้สึกไปแล้วมันก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ นอกจากเราต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองให้ได้ และอย่าไปกลัวกับสิ่งที่เราคิดไปเอง..ตอนนี้พี่อาจรู้จักซองมินมากกว่า แต่วันข้างหน้าซองมินอาจจะรู้จักพี่ดีกว่าก็ได้ ขอแค่เราอย่ากลัวที่จะเริ่มต้นเท่านั้น ..
“นี่พี่กำลังกล่อมผมอยู่เหรอครับ ?” ผมถาม เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังโดนตะล่อมให้ใจอ่อนเข้าไปทุกทีๆแล้ว

“เพิ่งรู้เหรอ ?” พี่เขายิ้ม แล้วก็เอื้อมมือมาขยี้หัวผมเสียยกใหญ่ ทำเอาผมยืนนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยเพราะเราสองคนยังไม่เคยแสดงท่าทางสนิทสนมกันขนาดนี้
อ่า .. ใจผมมันเต้นแรงเกินไปแล้ว

“ตกลงว่าความชอบของซองมิน ความหมายของมันเป็นแบบเดียวกันกับพี่หรือเปล่า ?” พี่เขาถาม แต่ฝ่ามืออุ่นๆนั่นก็ยังไม่ละห่างจากศีรษะของผมไปไหน
“คงงั้นมั้ง ..” ผมปัดฝ่ามือของพี่เขาออก แล้วก็โน้มตัวลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายหลังเพื่อเตรียมตัวเป็นไกด์นำเที่ยวทั้งๆที่จิตใจยังคงว้าวุ่นไม่เลิก

“นี่ฝนยังตกอยู่เลย!” พี่เขาวิ่งตามผมมา พลางเอากระเป๋าสะพายของพี่เขามาบังเม็ดฝนเหนือศีรษะให้ผม
“ผมก็มี พี่เอาไปบังตัวเองเถอะ ..” ผมผลักออก เพราะผมก็กลัวพี่เขาจะไม่สบายเหมือนกัน จากนั้นผมก็ใช้กระเป๋าของตัวเองเป็นที่กำบังฝนปรอยๆจากฟากฟ้า

“ซองมินนี่ยังปากแข็งเหมือนเดิม ..” พี่เขาพูดลอยๆ ขณะที่เรากำลังวิ่งเยาะๆบนถนนลาดยางอันล้างไร้ผู้คน
“อะไรของพี่อีกครับ ?” ผมหยุดวิ่ง พลางหันมาถามลูกเรือของสายการบินอาหรับอย่างเอาเรื่อง

“ก็เมื่อกี้หลังจากที่ซองมินยอมรับแบบเลี่ยงๆว่าตัวเองก็ชอบพี่ แล้วก็เขินจนต้องรีบวิ่งออกมาข้างนอกทั้งๆที่ฝนก็ยังตกอยู่นี่ไง มันคืออาการของคนปากแข็ง รับความจริงไม่ได้” พี่เขาพูด พลางยักคิ้วใส่
..” ผมได้แต่เงียบ พลางกัดปากของตัวเองด้วยเพราะผมทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเจอสีหน้าล้อเลียนอย่างมีความสุขของพี่เขาด้วย ผมก็ยิ่งรวนไปกันใหญ่

“ไหนใครกันนะที่บอกว่า สำหรับพี่น่ะยังไงยาวไกล ดูก็รู้ว่าเราต่างก็ชอบพอกันอยู่ ..” ผมกำมือแน่น เพราะผมไม่อาจระบายความเขินอายนี้กับใครได้
“ไม่ชอบแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมีแค่พี่คนเดียวที่ชอบผม!” ผมพูดออกไปด้วยความเหลืออด แล้วก็ตั้งท่าจะเดินหนีเพราะไอร้อนบนใบหน้ามันกำลังระอุจนได้ที่

“เผลอยอมรับอย่างเต็มปากเต็มคำแล้วนะนั่นรู้ตัวหรือเปล่า ?” พี่เขาวิ่งเข้ามาเดินเคียงข้างกับผม และก็ไม่วายจะไล่ต้อนผมเหมือนเดิม
“พี่ครับ!” ผมได้แต่ดุพี่เขาอย่างที่ก็รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางสู้พี่เขาได้ แต่ผมก็ยังจะพยายามดุให้พี่เขาหยุดต้อนผมเสียที ผมน่ะจะไม่เป็นเอามากขนาดนี้เลย ถ้าหากว่าลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนี้ไม่ใช่คนที่ผมเผลอให้ความสนใจเป็นพิเศษเพียงแค่เราบังเอิญสวนทางกัน และถ้าหากมันไม่เกิดเรื่องบังเอิญขึ้นซ้ำสองในอินสตาแกรมกับความเป็นจริงของลูกเรือคนที่คอยทำให้ตัวเองเป็นอากาศรอบๆตัวผม จิตใจของผมมันก็คงจะไม่อ่อนไหวขนาดนี้แน่ๆ เพราะผมในตอนนี้ได้นำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับพี่เขามาคละเคล้ากันไปหมดแล้ว คำว่าชอบมันถึงได้เกิดขึ้นเอาได้ง่ายๆ จนผมต้องคอยเตือนตัวเองว่ามันยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่สุดท้ายผมก็หลอกตัวเองไม่สำเร็จ เพราะคำตะล่อมของพี่เขานั่นแหละ ..

“เราสัญญากันแล้วว่าระหว่างเราจะค่อยเป็นค่อยไป พี่ไม่ผิดสัญญาหรอก แค่ชอบกันเอง ยังไม่ใช่รักสักหน่อย ฉะนั้นสิ่งที่ซองมินกำลังรู้สึก มันไม่ผิดกับตัวเองมากนักหรอก อย่ากังวลเลย ..” พี่เขาพูดพลางเดินนำผมมาหลบใต้ต้นไม้ แถวสะพาน Yeojwacheon อันเป็นจุดชมวิวพ็อตกดที่สวยงามที่สุด ขณะที่ผมกำลังทึ่งและอึ้งในความพูดของพี่เขา เพราะสิ่งที่พี่เขาพูดมันถูกต้องทุกอย่าง พี่เขาอ่านผมออกอย่างละเอียด
“ปีที่แล้วพี่ได้บินรูทเอเชียครั้งนึง เรื่องของเรื่องเพื่อนพี่มันอยากบินรูทยุโรปมากแต่รูทบินได้ไม่ว่างพอสำหรับมันเราก็เลยแลกเปลี่ยนกัน ไหนๆก็มาถึงเกาหลีแล้ว พี่ก็เลยแวะมาหาพี่ฮีชอลตอนนั้นพี่เขาพักอยู่ห้องเดียวกับพี่ฮีจิน พี่ก็เลยได้มีโอกาสบังเอิญมาเจอกับซองมิน แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเลยเพราะพี่ได้มาเจอกับซองมินในวันสุดท้ายที่พี่ต้องอยู่ที่เกาหลีแล้ว”

“เราเคยเจอกันตอนไหนครับ ผมนึกไม่ออก ?” ผมถามอย่างสงสัย
“ที่หอพักไง ซองมินกับพี่เดินสวนกันตรงหน้าหอ ตอนนั้นซองมินไม่เหลียวแลพี่สักนิด แต่พี่กลับมองเห็นซองมินตั้งแต่เดินอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหอพัก ..ใจพี่อยากเดินตามไปให้รู้แล้วรู้รอดว่าซองมินอยู่ห้องไหน แต่เวลามันก็กระชั้นชิดพี่เลยต้องตัดใจและหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่นั้น แต่อย่างว่าคนเราในเมื่อให้ความสนใจไปแล้ว มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง พี่ก็เลยให้พี่ฮีชอลสืบให้ จนได้รู้ว่าซองมินอยู่ห้องข้างๆห้องพี่ฮีจิน พี่ก็เลยให้พี่ฮีชอลไปสืบว่าห้องข้างๆอีกห้องมันว่างหรือเปล่า ถ้าหากว่างพี่จะเช่าห้องนั้น เพราะพี่ไม่อยากให้ห้องว่างๆห้องนั้นเป็นของคนอื่นที่ก็อาจจะชอบซองมินเหมือนพี่”

“พอพี่ฮีชอลหาหอพักของตัวเองได้ พี่ฮีชอลก็ย้ายออก พี่ก็เลยเริ่มจะหมดหนทาง เพราะหลังจากนั้นพี่ก็แทบจะไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับซองมินเลย ทรมานแทบบ้า ตอนนั้นพี่เลยรู้ตัวว่าพี่ชอบซองมินเข้าให้แล้ว พี่ฮีชอลมันคงเห็นใจล่ะมั้งมันถึงได้เล่นอะไรพิเรนท์ๆอย่างการติดกล้องในตุ๊กตาดันโบะตัวนั้นให้ จริงๆพี่ก็กลัวซองมินจะรู้เหมือนกัน แต่จะให้ทำยังไงได้ หนทางเดียวที่พี่จะรู้ความเป็นไปของซองมินได้ก็มีแต่ทางนี้ เพราะพี่ฮีชอลมันก็ไม่ได้ว่างจะคอยสืบเรื่องของซองมินให้พี่ทุกวัน ..

“พี่ได้รู้จักซองมินมากขึ้นก็เพราะการสังเกต สิ่งแรกที่พี่รู้คือซองมินชอบต้นไม้ ดอกไม้ ชอบอ่านหนังสือ แต่เรื่องอื่นพี่แทบไม่รู้เลย พอความรู้สึกมันมากเข้า พี่ก็เริ่มอยากรู้จักซองมินให้มากกว่านี้ แต่จะให้พี่ฮีชอลมาช่วยอีก พี่ก็กลัวว่าซองมินจะเข้าใจผิดคิดว่าพี่ฮีชอลชอบซองมิน สุดท้ายพี่ก็จะอกหักพี่เลยเริ่มขยับเข้าหาซองมินจากการคุยอินสตาแกรมกัน แล้วก็ได้แต่รอผลว่าพี่จะมีโอกาสได้บินรูทเอเชียในปีนี้หรือเปล่า พอผลออกมาว่าพี่ได้บินพี่ดีใจจริงๆนะ ตื่นเต้นไปหมด รูทบินนั้นพี่ทำตัวเหมือนคนเพิ่งได้ขึ้นบินเป็นครั้งแรกจนเพื่อนร่วมงานยังแปลกใจ ..

“ตอนที่เรากลับมาเดินสวนทางกันบนบันไดเลื่อน ทุกความสนใจของพี่มันมีแต่ซองมิน แต่เพราะความประหม่าจนเกินไป พี่ก็เลยเอาแต่ยืนก้มหน้า แต่พอครั้งที่สองพี่เริ่มแอบมองซองมินพร้อมๆกับคุยแชทไปพร้อมๆกันได้ เพราะถ้าพี่ทำไม่ได้ พี่ก็จะไม่มีโอกาสได้มองหน้าซองมินใกล้ๆอีกเลย .. พอครั้งที่สามพี่สะกิดเรียกซองมินเพราะพี่ไม่อยากเป็นแค่คนรู้จักในอินสตาแกรมอีกแล้ว พี่อยากให้เรารู้จักตัวตนของกันและกัน พี่เลยใช้วิธีนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินจริงๆ” หัวใจมันอดพองโตขึ้นมาไม่ได้ เมื่อพี่เขาเล่าให้ผมฟังถึงความลับที่พี่เขาปิดบังเอาไว้จนกระจ่างแจ้ง

“บอกตรงๆแม้แต่อากาศรอบๆตัวซองมิน พี่ก็ยังอิจฉา เพราะพี่ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ซองมินได้นานเท่าพวกมันเลย พี่ถึงได้พยายามทำตัวเหมือนอากาศรอบๆตัวซองมินเข้าไว้ ซองมินจะได้คิดถึงเรื่องของพี่จนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของคนอื่นที่เขาดีกว่าพี่ มีเวลาให้มากกว่าพี่ ..” พี่เขาหันมามองผมที่กำลังมองเสี้ยวหน้าของพี่เขาอยู่พอดี เราสองคนก็เลยได้สบตากัน
“จริงๆแล้วทุกความสนใจของผมมันเป็นของพี่ก็ตอนที่เราบังเอิญเจอกันครั้งที่สอง ผมเลยแอบไปหาข้อมูลของพี่จนได้รู้ว่าพี่เป็นถึงพรีเซ็นเตอร์ของสายการบิน Royal Etihad Airline พอหลังจากที่เราเจอกันวันนั้น สายตาของผมก็คอยแต่จะมองหาแต่พี่ที่สนามบินทุกวัน พอเราเจอกันครั้งที่สามพร้อมกับความจริงที่ว่าพี่คือเจ้าของแอคเค้าน์ GaemGyu ในอินสตาแกรม ความรู้สึกของผมก็เลยรวนไปหมด และมันก็พัฒนาขึ้นเร็วมาก เร็วจนผมยอมรับมันไม่ได้ ..” ผมยอมเปิดใจให้พี่เขาฟังบ้าง ในเมื่อพี่เขาเองก็ยอมเล่าความลับของพี่เขาให้ผมฟังแล้ว

..
“จริงๆผมควรจะกลัวเจ้าของกล้องวงจนปิดตัวนั้น แต่เพราะผมสงสัยว่าพี่คือเจ้าของมัน ผมถึงไม่กลัว แต่ถ้าหากเป็นคนอื่น ผมคงจะกลัวมากๆ ..” ผมนิ่งเงียบไป เมื่อหลังมือของผมชนเข้ากับหลังมือของพี่เขา จนเกิดความอบอุ่นแผ่ซ่านไปรอบๆกาย..

“ผมชอบที่มีพี่เป็นอากาศรอบๆตัวผมนะครับ ..” ผมยกยิ้มให้พี่เขา แม้ว่าผมจะหน้าร้อนและเขินมากๆก็ตาม แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะเลิกหลอกตัวเอง ในเมื่อความลับของพี่เขามันทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า ความรู้สึกของคนเรามันบังคับกันไม่ได้ และความรักมันก็มาไม่เป็นเวลาด้วย ฉะนั้นเราจะกำหนดกฏเกณฑ์อะไรได้ ในเมื่อความรู้สึกมันเกิดจากหัวใจไม่ใช่สมอง จะช้าจะเร็ว หากเรารู้สึกดี ใจมันก็ย่อมบอกว่าเรารู้สึกดี ถึงจะบังคับไม่ให้รู้สึกดี แต่ถ้าหากใจมันรู้สึกดีไปแล้ว มันก็ยากที่จะหลอกตัวเอง ซึ่งผมรู้ตัวมาตลอดว่าผมไม่เคยหลอกตัวเองสำเร็จเลยว่าผมไม่ได้ชอบโจวคยูฮยอนลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้น ..

ผมเดินไปยืนตรงริมสะพาน และถ่ายรูปขอบสะพานที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำฝนปะปนไปกับกลีบพ็อตกดที่ล่วงโรยเพราะสายลม ขณะที่ลูกเรือของสายการบินอาหรับตัวสูงโปร่งกำลังใช้กระเป๋าเป้ของเขาบดบังสายฝนที่กำลังโปรยปรายเหนือศีรษะของผม ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างเราสองคนเริ่มลดลงมากขึ้น เมื่อเราได้เปิดใจต่อกันอีกขั้นหนึ่ง และจากมุมมองของพี่เขาด้านบน ถ้าหากสายตาของพี่เขาซุกซนสักนิดก็คงจะเห็นแคปชั่นข้อความประกอบรูปภาพที่ผมกำลังจะอัพลงใน IG ได้อย่างชัดเจน
imSMI : พ็อตกด .. ลาเวนเดอร์ ... ทำไมผมถึงชอบลาเวนเดอร์มากกว่าล่ะ ?
GaemGyu : เพราะลาเวนเดอร์คือตัวแทนของใครสักคนหรือเปล่า คุณถึงได้ลำเอียง ?


 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ ตอนนี้ยังคงต้องใช้แอร์การ์ดกากๆอัพเหมือนเดิม อัพยากเย็นมาก ช้ามาก T^T ต่างคนต่างรู้ความลับกันไปแล้ว ระยะห่างก็เริ่มล่นเข้ามาใกล้กันอีกหน่อย ยากแล้วล่ะคุณ ATC คุณสจ๊วตแซงหน้าไปหลายขุม ยิ่งคุณกราวน์ปลื้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาตอนนี้คุณกราวน์ยอมรับแล้วด้วยว่าชอบคุณสจ๊วต คึคึคึคึ