วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 23

เพาะรัก



 
23





เช้านี้ผมจำต้องตื่นจากฝัน เพราะเสียงเคาะประตูที่ดังลั่น และเมื่อผมเดินไปเปิดประตูก็พบกับคุณชางมินที่กำลังถือจานบุลโกกิอยู่ตรงหน้า
“ผมทำเอาไว้ซะเยอะ เลยเอามาแบ่งให้” คุณชางมินกล่าวพร้อมกับยื่นจานอาหารตรงหน้ามาให้
“ขอบคุณครับ แต่ผมยังทานของพวกนี้ลำบากนะ..” ผมแกล้งหยอกคุณชางมินด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง

“อ่า.. ถ้าอย่างนั้นก็เอาให้เพื่อนคุณทานแล้วกัน พอดีผมอยากทานหมูมาก คุณก็เข้าใจใช่ไหมว่าประเทศที่ผมไปอยู่ เขาไม่ทานกัน..” คุณชางมินเกาท้ายทอยแก้เก้อ จากนั้นเขาก็งัดสารพัดเหตุผลเพื่อให้ผมรับบุลโกกิชามนี้เอาไว้
“ขอบคุณนะครับ ยังไงผมจะลองชิมดูนะ สักชิ้นนึงก็ได้..” ผมตอบ พลางยกยิ้มให้เขาสบายใจว่าอาหารที่เขาทำจะไม่ถูกทิ้งให้เสียเปล่า

“ดีมาก~ อ้อ! วัตถุดิบพวกนี้ ผมซื้อมาจากเงินเบี้ยเลี้ยงของคุณนะ อย่าบอกไอ้คยูมันล่ะ..” คุณชางมินขยิบตาให้ผม จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือขึ้นมาขยี้เรือนผมของผมจนยุ่งเหยิงไปหมด แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะกับการกระทำของเขาเบาๆ ก่อนจะปิดประตูห้องให้สนิท..

พอหลังจากทานมื้อเช้าที่คุณชางมินเอามาให้จนหมด ผมก็จัดการล้างจานให้เรียบร้อย แล้วก็แยกตัวออกมารดน้ำต้นไม้ตรงข้างระเบียง จากนั้นก็จัดการย้ายราวตากผ้าออกมาไว้ข้างนอก เพราะวันนี้ท้องฟ้ากำลังปลอดโปร่ง
“ผมบอกคุณแล้วว่าเดี๋ยวผมย้ายเอง ทำไมไม่เชื่อกันเลย..” คุณจงฮยอนที่ไม่รู้ว่ามาถึงห้องของผมเอาตอนไหน ถึงได้เข้ามาแย่งผมย้ายราวตากผ้าออกมาไว้ตรงนอกระเบียงซะได้
“ผมเห็นว่าแดดมันกำลังออกพอดีน่ะครับ.. ก็เลยจะย้ายมันเอง..” ผมตอบ พลางถอยออกมายืนอยู่ตรงมุมกำแพง เพื่อที่คุณจงฮยอนจะได้ลากราวตากผ้าที่ทั้งหนักทั้งสูงใหญ่ได้ถนัดๆ

ครืดดดดดดดด

“ผมขอคุยอะไรกับคุณหน่อยได้ไหม ?” พอคุณจงฮยอนจัดการเลื่อนราวตากผ้าให้เข้าที่เข้าทางจนเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ เขาก็เลื่อนประตูระเบียงให้ปิดสนิทลง ส่งผลให้เราสองคนตัดขาดจากอีฮยอกแจที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้านในทันที
“ครับ ?” ผมตอบพลางส่งสายตาแห่งความสงสัยไปให้คุณจงฮยอน จากนั้นก็เหลือบไปมองยังตุ๊กตาดันโบะที่มีกล้องวงจรปิดแอบซ่อนอยู่อย่างกังวลใจ เพราะในใจของผมมันรู้สึกว่า เรื่องที่คุณจงฮยอนต้องการจะพูด มันอาจจะเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของเขาที่มีต่อผม..

“ที่ผมเคยถามคุณว่า ผมจีบคุณได้ไหม.. คำตอบของคุณคือไม่ได้ใช่หรือเปล่า ?” คุณจงฮยอนถามผมอย่างตรงไปตรงมาเสียจนผมไม่กล้าที่จะปริปากบอกหรือแม้กระทั่งจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เพราะสายตาของเขามันฉายแววแห่งความเจ็บปวด อีกทั้งยังผสมปนเปไปด้วยความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด
“ผ..ผม..” ผมได้แต่อมพะนำอยู่อย่างนั้น แต่แล้วก็ต้องตัดสินใจพยักหน้าเพื่อยืนยันคำตอบ

ครืด ครืด..

ทันทีที่โทรศัพท์มันสั่น ฝ่ามือของผมก็รีบยกขึ้นกอบกุมกระเป๋ากางเกงของผมแน่น ขณะที่สายตาของผมกำลังจดจ้องไปยังตุ๊กตาดันโบะอย่างตื่นตระหนก ด้วยเพราะผมกำลังคาดเดาเอาไว้ว่า คนปลายสายที่กำลังโทรหาผมในตอนนี้ อาจจะเป็นลูกเรือของสายการบินอาหรับ ที่อาจจะตื่นนอนแล้วและคงจะเข้าไปเช็คโปรแกรมสำหรับตรวจจับความเคลื่อนไหวของกล้องวงจรปิดตามกิจวัตรประจำวันของเขาก็เป็นได้..
“ผมขอตัวนะครับ..” ผมบอกคุณจงฮยอนเบาๆ จากนั้นผมก็รีบแทรกตัวเพื่อไปเปิดประตูระเบียงและตั้งใจจะเดินลงไปคุยกับพี่เขาที่สวนของหอพัก โดยขณะที่ผ่านบริเวณเตียงนอนผมถึงได้เหลือบไปเห็นว่าอีฮยอกแจไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะเขากำลังอยู่กับคุณซีวอนที่อาการดีขึ้นกว่าอีฮยอกแจอยู่มาก ผมจึงก้มหัวทักทายเขาแล้วก็รีบเดินเร็วๆออกจากห้องไป

“หมอนั่นมันเข้ามาในห้องเรากี่ครั้งแล้ว?” ทันทีที่ผมโทรกลับไปยังปลายสาย พี่เขาก็รีบตัดสายของผมทิ้งเพื่อที่จะโทรกลับมาหาผม จากนั้นอีกฝ่ายก็รีบตั้งคำถามใส่ผมด้วยน้ำเสียงแข็งๆ
“ก็หลายครั้งแล้วครับ.. พอดีว่าคุณจงฮยอนเขาเห็นว่าผมอาการไม่ค่อยดี ก็เลย..” ผมตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิว พลางเบ้หน้าเพราะความเจ็บเมื่อต้องเดินลงบันได

“เฮ้อ!” พี่คยูยังไม่ทันจะฟังที่ผมตอบคำถามจนจบ จู่ๆเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหงุดหงิด
“เป็นอะไรไปครับ..” ผมถามทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าพี่เขากำลังรู้สึกอย่างไร

“หึง” ลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้น ตอบผมด้วยน้ำเสียงจริงจังด้วยคำเพียงสั้นๆ แต่กลับทำให้ผมใจสั่นได้อีกนาน
...

“ถ้าพี่กลับไปหาเราเมื่อไหร่ พี่ไม่อนุญาตให้มันเข้ามาดูแลเราที่ห้องอีกแล้วนะ.. แล้วถ้าเกิดมันยังเข้ามาอีก เราน่ะแหละที่จะเจอดี!” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ แต่ผมกลับยิ้มร่าที่พี่เขาไม่ได้ไม่พอใจจนถึงขนาดโกรธผมที่อนุญาตให้คุณจงฮยอนมาดูแลถึงห้องแบบนั้น..
“พี่ก็รีบๆกลับมาสิครับ ผมน่ะ.. อยากให้พี่มาทายาให้ แล้วก็อยากให้พี่เรียกผมมากินยา กินข้าว แล้วก็กินน้ำด้วย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ จนอีกฝ่ายต้องหลุดหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ถ้าเจอหน้ากัน ขอให้อ้อนได้แบบนี้นะ” พี่เขาพูดดักคออย่างรู้ทัน จนผมถึงกับหุบยิ้มแทบจะทันที เพราะถ้าหากได้เจอหน้ากัน ผมคิดว่าผมคงจะไม่กล้าพูดแบบนี้ออกไปแน่ๆ

“เชี่ย! สายแล้วโว้ย! พี่ไปอาบน้ำก่อนนะฮาบี ตี๊ด---” ผมยิ้มขำกับอาการร้อนรนของอีกฝ่าย จนกระทั่งพี่เขาวางสายไปแล้ว ผมก็ยังคงนั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ในสวนของหอพักเงียบๆคนเดียว

“รู้สึกดีจัง..” ผมกุมโทรศัพท์เอาไว้แน่น พลางมองจ้องราวกับว่าจะได้เห็นคนไกลปรากฏอยู่ในนั้น
“ไอ้น่ารักเอ๊ย!” ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ คุณชางมินก็เข้ามาทักทายผมด้วยการขยี้หัวของผมจนยุ่งเหยิงไปหมด แถมยังเรียกผมว่า ไอ้น่ารักอีกต่างหาก

“ระวังนะซองมิน ถ้าเกิดไอ้คยูมันคลั่งมากๆ จะโดนรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัว~ ยิ่งมีหนุ่มหน้าตาดีใส่เครื่องแบบ ATC มาหาถึงห้องทุกวัน โอ้ววว! แย่แน่ๆ” คุณชางมินทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม พร้อมกับพาดแขนไว้บนพนักพิงของเก้าอี้ทางฝั่งของผม อีกทั้งยังนั่งไขว้ห้างพูดจาข่มขู่ผมอย่างโจ่งแจ้งอีกต่างหาก
“พี่เขาทราบแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้ไม่พอใจมากนี่ครับ..” ผมหันไปตอบคุณชางมิน

“ผู้ชายอย่างไอ้คยูน่ะนะ.. ถ้ามันหวง มันหึง มันจะไม่ค่อยพูดหรอก.. แต่ถ้ามันพูดออกมาเมื่อไหร่ แสดงว่ามันกำลังรู้สึกแบบนั้นในระดับที่..มาก..” คุณชางมินชี้นิ้วพลางขยับไปมาตรงหน้าผม คล้ายกับกำลังสั่งสอนเด็กที่ไม่ประสีประสาอย่างผม
” หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของคุณชางมิน แก้มของผมก็ร้อนฉ่า อีกทั้งสายตาก็ไม่กล้าจะมองสบคุณชางมินอีกด้วย

“ผู้ชายแถบตะวันออกกลางน่ะ ขี้หึงมากนะ..” คุณชางมินบอกกับผมแบบนั้น แล้วก็ขยี้เรือนผมของผมแล้วก็ลุกเดินจากไปอีกแล้ว

อ่า.. ใจของผม..

ทำไมมันเต้นรัวแบบนี้นะ..

“อ่า.. ฝนตกแล้ว..” ผมยกมือขึ้นรองสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า พลางยกยิ้มจนเต็มแก้มไปพร้อมๆกับการเบ้หน้าน้อยๆ เมื่อหยาดฝนมันตกกระทบลงบนเนื้อแผล

“นึกถึงเดทแรกเลยแฮะ..” ผมยกยิ้มคนเดียว พลางหัวเราะเบาๆ เมื่อคิดย้อนไปถึงทริปแรกระหว่างผมกับลูกเรือของสายการบินอาหรับที่เมืองจินเฮ ซึ่งในตอนนั้นความสัมพันธ์ของเรายังไม่พัฒนามาไกลจนถึงขั้นที่จะเรียกว่า คบหากัน
“เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกน่ะ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองยังต้นเสียง ก็พบว่าคุณฮีชอลกำลังยืนกางร่มให้ผมอยู่

“คุณฮีชอลมาหาผมเหรอครับ ?” ผมย้อนถามพลางลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปพร้อมๆกับคุณฮีชอลที่ส่งสายตาบอกผมว่า นายควรจะขึ้นห้องได้แล้ว
“เปล่า.. หมอนั่นต่างหากที่อยากมาหานาย” คุณฮีชอลตอบหน้านิ่ง ผมที่ได้ฟังอย่างนั้นก็ถึงกับนิ่งเงียบเพราะความเขิน
เนื่องจาก หมอนั่นที่คุณฮีชอลเขาพูดถึงคือโจวคยูฮยอนคนรักของผม

“ล้อเล่นน่ะ ฉันมาหานายนั่นแหละ.. ว่าแต่อาการดีขึ้นมากแล้วนี่” คุณฮีชอลวางร่มชื้นน้ำฝนไว้บนพื้นตรงหน้าประตูกระจกตรงหน้าหอพัก จากนั้นก็หันมาสำรวจร่างกายของผมอย่างละเอียด

“ครับ.. ตอนนี้ผมหายไข้แล้ว เหลือแค่แผลที่หน้ากับหัวเข่า แล้วก็รอยช้ำตรงหน้าท้องแค่นั้นเองครับ..” ผมตอบพลางยกยิ้มให้คุณฮีชอลสบายใจ
“ดีแล้ว ไอ้คยูมันจะได้สบายใจ” คุณฮีชอลยกยิ้มให้ผมเป็นครั้งแรก ผมจึงรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ที่คนรอบๆกายของลูกเรือจากสายการบินอาหรับ นามว่าโจวคยูฮยอนกำลังนึกเอ็นดูในตัวผม

“ก็อย่างที่บอก ไอ้หมอนั่นมันชอบทำตัวเป็นอากาศรอบๆ ตัวนายอยู่เรื่อย พอได้เห็นนายในสภาพนั้น ฉันเลยพลอยเป็นห่วงไปด้วย” พอคุณฮีชอลกล่าวจบ เขาก็ก้มลงไปหยิบร่มขึ้นมากางเหนือศีรษะอีกครั้ง

“ตากฝนซะตัวชื้นขนาดนั้น.. ฉันว่านายได้ป่วยต้อนรับไอ้หมาบ้าแน่ๆ” คุณฮีชอลบอกผมแบบนั้น แล้วก็เดินเอามือล้วงกระเป๋าจากไปพร้อมกับร่มคันใหญ่
” หลังจากที่ได้ยินคำเตือนด้วยความหวังดีของคุณฮีชอล ร่างกายของผมมันก็เริ่มรู้สึกหนาวๆขึ้นมาบ้างแล้ว ผมจึงเลิกมองตามคุณฮีชอลที่กำลังจะเดินหายลับไปจากประตูรั้วหน้าหอพักในทันที

แค่ก แค่ก

“มึงต้องบ้าแค่ไหนวะ ถึงไปนั่งตากฝนซะมอมแมมแบบนั้น ?” อีฮยอกแจต่อว่าผมด้วยประโยคๆนี้เป็นรอบที่ร้อยแล้ว ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาในห้องที่ว่างเปล่า เพราะคุณจงฮยอนกับคุณซีวอนเขากลับไปแล้ว กระทั่งอาบน้ำสระผมจนเสร็จ อีฮยอกแจก็ยังคงบ่นผมด้วยประโยคนี้ไม่เลิก
” ผมก็ได้แต่เงียบ เพราะผมเองก็บ้ามากจริงๆ ที่ไปนั่งตากฝนแบบนั้น

“กินยาเลยมึง เอาไดร์มาเป่าผมด้วย อย่าขี้เกียจ” อีฮยอกแจมันสั่ง พร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเพื่อแย่งผ้าผืนเล็กไปจากมือของผม เพื่อไล่ให้ผมไปยืนเป่าผมตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
” ผมอมยิ้มพลางยืนเป่าผมตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างว่าง่าย

“ยังจะยิ้มอีก กูกำลังด่ามึงอยู่นะ!” อีฮยอกแจรีบโวยวายทันทีที่มองเห็นผมกำลังยิ้มผ่านทางกระจกบานใหญ่ของโต๊ะเครื่องแป้ง
” ผมก็เลยต้องเม้มปากเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดยิ้มตลอดการเป่าผมในครั้งนี้ กระทั่งเส้นผมมันเริ่มแห้งสนิท ผมก็เดินไปหยิบยาแก้ไข้มากินดักเอาไว้ก่อน เพราะตอนนี้หัวผมเริ่มมึนๆ เบลอๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

“นอนเลย โทรศัพท์อะไรนั่นก็เลิกสนใจไปก่อน..” พอผมจะหยิบโทรศัพท์เครื่องเก่งขึ้นมาดูว่ามีข่าวคราวอะไรที่มันเกี่ยวกับลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้นไหม อีฮยอกแจมันก็รีบพูดขัดคอขึ้นมาอีก
“ห้านาทีได้ไหม ? พี่คยูอัพไอจีหากูพอดีเลย..” ผมหันหน้าจอโทรศัพท์ที่มันเด้งเตือนว่ามีใครบางคนเขากำลังพูดถึงผมผ่านทางแอปพลิเคชั่นอันคุ้นเคยอยู่
“เออ.. อ่านเสร็จแล้วนอนนะมึง” พออีฮยอกแจมันอนุญาตผมเสร็จ มันก็ล้มตัวลงนอนตะแคงหันหลังให้ผมเพื่อมอบพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับคนรักเพียงครู่

ลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้น เขาอัพโหลดรูปของเจ้าเบดกำลังอ้าปากคล้ายกับจะแยกเขี้ยวใส่กล้อง พร้อมด้วยแคปชั่นยาวๆว่า
GaemGyu: คุณพ่อบอกเบดว่า พี่ @ImSMI กำลังป่วย ถ้างั้นเบดให้ไปก็ได้.. แต่ถ้าหายป่วยแล้ว ต้องคืนคุณพ่อมาให้เบดนะ..
ImSMI: ไม่คืนไม่ได้เหรอเบด..
GaemGyu: ไม่ได้! เบดก็คิดถึงคุณพ่อนะ
ImSMI: พี่ก็.. คิดถึงเหมือนกันนี่..
GaemGyu: เอ้าๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน เดี๋ยวพ่อพาพี่ซองมินมาอยู่ด้วยเลยดีกว่า เบดจะได้ไม่ต้องคิดถึงพ่อ ส่วนซองมินก็จะได้ไม่ต้องคิดถึงพี่ด้วย คึคึคึคึ
Chimchang: อ้วกได้มั้ย ?
Mino : กระโถนพร้อม อ้วกเลยเพื่อน คึคึคึ
A.Imran : เดี๋ยวนี้ @ImSMI เป็นคนแบบนี้เหรอวะ? อ้อนว่ะ!
Chimchang: เชี่ยยยยยยยยยยยยยย
Mino : เหยดดดดดดดดดดด
GaemGyu: ไอ้เชี่ย! มึง! อ่านออกเหรอวะ ?
Mino: ตามที่พวกกูเข้าใจ มึงไม่ใช่แค่ฟังออกเฉยๆเรอะ?
A.Imran: กูรู้ กูเรียนมา! กูเข้าใจหมดแหละ ไอ้สัส! แค่กูไม่แสดงออกเฉยๆเว้ย!
Mino: เชี่ยแล้ว แยกย้ายตัวใครตัวมัน ไอ้สัส! อิมรานแม่งร้ายยยยย~~~~~~

                <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
วันนี้มาอัพดึกหน่อย เพราะว่าออกไปตะลอนข้างนอกมาทั้งวันเลย 555 
หยุดยาวสัปดาห์นี้ใครได้หยุดก็ขอแสดงความยินดีด้วย ฮือออ เราไม่หยุด ได้แต่นั่งอิจฉา เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ฟิคอาจจะไม่ได้อัพทุกวันก็เป็นได้  เพราะมันขึ้นอยู่กับความง่วงหลังเลิกงาน 555


วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 22

เพาะรัก




22

เชื่อไหมว่า เมื่อวานผมตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนลืมดูปฏิทินไปเลย ก็วันนี้มันเพิ่งจะวันที่สิบเองน่ะสิ เหลืออีกตั้งสามวัน กว่าลูกเรือของสายการบินอาหรับจะเดินทางมาหาผมที่นี่
“ฮาบี คุณเป็นยังไงบ้าง ?” พี่เขาโทรมาหาผมตอนประมาณใกล้ๆเที่ยงแล้ว ซึ่งตามเวลาท้องถิ่นของดูไบก็น่าจะประมาณหกโมงเช้า เรียกได้ว่าพี่คยูรีบโทรมาสอบถามอาการของผมทันทีที่ตื่นนอนเลยแหละ
“หายไข้แล้วล่ะครับ แต่ยังเจ็บๆแผลอยู่” ผมตอบเบาๆ พลางกุมแก้มไปด้วย

“แล้วไอ้ชางมินมันซื้ออะไรมาให้เรากินบ้าง ?” ทันทีที่พี่เขาถาม สายตาของผมก็เสลงมองข้าวของที่ผู้ชายผิวเข้มคนนั้นเพิ่งจะเอามาให้เมื่อเช้านี้
“นมถั่วเหลือง น้ำผลไม้ ส้ม องุ่น โจ๊ก กล่องปฐมพยาบาล” ขณะที่ตอบคนปลายสาย ผมก็ทำหน้านึกไปด้วยว่าของเหล่านั้นใช่ของที่คุณชางมินซื้อมาให้หรือเปล่า เพราะว่าก่อนหน้านั้นคุณจงฮยอนก็ซื้อของฝากมาให้ผมด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมเองก็นึกลำบากใจที่จะรับมันไว้ เพราะเนื่องจากความรู้สึกของเขามันเป็นสิ่งที่ผมตอบรับกลับไปในรูปแบบเดียวกันไม่ได้..

“พอเหรอ ? ร่างกายยิ่งไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่ด้วย ต้องกินเยอะๆสิ เบี้ยเลี้ยงที่พี่ให้ไอ้ชางมินมันไปน่ะ เรายังใช้ไปไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ” ลูกเรือของสายการบินอาหรับพูดระรัวออกมาเป็นชุด จนผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มจนเต็มแก้ม แม้ว่ามุมปากมันจะปวดช้ำมากๆก็ตาม..
“โธ่ พี่ครับ ผมอยู่กับฮยอกแจแค่สองคนนะ แค่นี้ก็จะทานกันไม่หมดอยู่แล้ว อีกอย่างนะ ผลไม้ที่คุณชางมินเขาซื้อมาน่ะ ตั้งสองโลเชียวนะครับ เยอะจะตาย” ขณะที่ผมพูดไปก็แอบหัวเราะไปด้วยที่พี่คยูดันเป็นห่วงกลัวว่าผมจะไม่ได้อยู่ดีกินดีตามที่หวัง

“ถ้าเกิดอยากได้อะไรเพิ่มบอกเลยนะ ไม่ต้องเป็นของกินก็ได้” คนปลายสายยังคงจะยัดเยียดให้ผมตอบรับความหวังดีของเขาอยู่เรื่อย ซึ่งผมเองก็เต็มใจจะรับมันมาและอุ่นใจทุกครั้งที่ได้รับความห่วงใยในรูปแบบนี้
“ผม.. อยากให้วันที่ 13 มาถึงเร็วๆ.. พี่ทำให้ผมได้ไหมล่ะครับ ?” ผมย้อนถามด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวแกมออดอ้อนเป็นครั้งแรก

“ทำไงดีล่ะ พี่ไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกวันที่ 13 มาให้ฮาบีซะด้วย” พี่เขาทำน้ำเสียงเศร้า คงเพราะพี่เขารู้ว่าจิตใจของผมกำลังอ่อนแอ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ลงทุนออดอ้อนเขาขนาดนี้

“เพราะพี่เป็นแค่คนธรรมดา ที่รักและห่วงฮาบีมากๆ แค่นั้นเอง..” ทันทีที่คนปลายสายพูดประโยคสุดท้ายจนจบ ใบหน้าของผมมันก็เริ่มจะร้อนฉ่า ขณะที่หัวใจกลับอบอุ่นมากยิ่งขึ้น..
“ขอบคุณนะครับ..” ผมไถลตัวลงนอนคุมโปงอีกครั้ง พลางกระซิบบอกคนปลายสายเบาๆ จากนั้นอีกฝ่ายก็หลุดหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู แล้วก็รีบขอตัววางสาย เพราะว่าจะต้องรีบไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงานเหมือนทุกวัน..

“เหมือนกูจะหลับอยู่ใช่ป่ะ แต่ที่จริงกูแอบฟังมาตั้งแต่ต้นเลยเนี่ย ทุกวันเลยด้วย!” ผมมุดตัวออกจากผ้าห่มด้วยความตกใจ เมื่อเพื่อนรักที่คิดว่ามันน่าจะนอนหลับฝันดีในตอนใกล้เที่ยงไปแล้ว กลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น แถมยังได้ยินทุกอย่างที่ผมพูดกับคนปลายสายอีกต่างหาก
” ผมอายมาก อายจนหน้ามันร้อนฉ่าไปหมด

“มึงมีความสุขก็ดีแล้ว” อีฮยอกแจลูบหัวผมเบาๆ พลางอมยิ้มให้ผม ราวกับต้องการจะบอกว่าเขายินดีกับผมจริงๆ ไม่ใช่สักแต่พูดมันออกมา ผมจึงยกยิ้มอย่างมีความสุข..
เพราะในชีวิตของผม..
ก็มีเพียงแค่อีฮยอกแจที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม..

“เสื้อผ้ามันเริ่มจะไม่พอใส่แล้วว่ะ” ผมหันไปบอกฮยอกแจเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วพบว่า เสื้อของพวกเรามันแทบจะไม่พอใส่อยู่แล้ว เพราะเราสองคนเอาแต่ใส่มัน โดยไม่ได้ซักตากเหมือนปกติ
“มึงจะเอาลงไปซักไหวเหรอ ?” อีฮยอกแจลุกขึ้นจากที่นอนพลางถามผมอย่างเป็นห่วง เพราะมันทราบดีว่าบาดแผลตามร่างกายของผมมันยังไม่หายดีนัก

“ไหวดิ กูแค่ช้ำในนะเว้ย ไม่ได้พิการ” ผมตอบพลางยกยิ้มแล้วก็เอาเสื้อผ้าที่ใส่แล้วทั้งของผมและของอีฮยอกแจยัดลงในตระกร้าอันใหญ่ เพราะผมไม่อยากจะเดินขึ้นลงหลายๆรอบ เนื่องจากบาดแผลตรงหัวเข่าของผมมันยังตึงๆอยู่มาก เวลาเดินจึงยังเจ็บจี๊ดๆ อยู่ตลอด
อีกอย่างนะ ตลอดหลายวันมานี้ มีคนดูแลผมเป็นอย่างดี จนผมแทบจะไม่ต้องหยิบจับอะไรเองเลยสักอย่าง ซึ่งมันทำให้ผมรู้สักเบื่อที่ต้องนอนอยู่บนเตียงทั้งวันทั้งคืนแบบนั้น

“อ๊ะ” ผมอุทานพลางหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ เมื่อตระกร้าใบใหญ่มันขยับตำแหน่งจนมาสะกิดแผลช้ำตรงข้างเอวของผมเข้าอย่างจัง เพราะเนื่องจากการก้าวเดินลงบันไดมันทำให้ผมลืมตัวไปว่าเนื้อตัวภายใต้ล่มผ้าของผมก็ยังมีบาดแผลช้ำๆ ปรากฏอยู่
“จะซักผ้าทำไมไม่ไปเรียกผมให้มาช่วยคุณล่ะครับ ผมอยู่ข้างๆห้องคุณเองนะ ?” ผมหันไปมองต้นเสียงด้วยความตกใจ จากนั้นผมก็ยกยิ้มบางๆ เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนมายื้อแย่งตระกร้าผ้าของผมไป

“ผมเกรงใจครับ” ผมตอบคุณชางมินที่คงจะเดินลงมาซื้ออะไรสักอย่างขึ้นไปทานบนห้องล่ะมั้ง
“ไม่ต้องเกรงใจเลยครับ คุณสามารถเรียกใช้ผมได้จนกว่าไอ้คยูมันจะมาถึง” คุณชางมินตอบ พลางยกยิ้มนิดๆ ขณะที่กำลังก้าวเดินลงบันไดอย่างช้าๆ ไปพร้อมๆกับผม

“พี่เขาสั่งไว้ใช่ไหมครับ ?” ผมหยุดการก้าวเดิน แล้วก็หันไปยืนกอดอกและยกยิ้มถามอีกฝ่ายอย่างคาดเดาการกระทำของเขาได้
“ถูกต้อง!” คุณชางมินยักคิ้วพลางตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ถ้าอย่างนั้นผมอนุญาตให้คุณไปเที่ยวให้สมกับการมาพักร้อนดีไหมครับ ถ้าพี่เขากลับมา ผมก็จะช่วยปิดบังให้ เรื่องนี้จะมีแค่เราที่รู้กันสองคน จริงๆนะ ผมสัญญา” ผมเสนอพลางยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าของผู้ชายร่างสูง โดยที่ผมก็ลืมไปว่าอีกฝ่ายน่ะมือไม่ว่างอยู่นะ เพราะเขาต้องกอดตระกร้าผ้าของผมเอาไว้ทั้งสองมือ
“มือผมไม่ว่าง เพราะฉะนั้นผมไม่ตอบรับคำสัญญาของคุณดีกว่า!” คุณชางมินเขาตอบแบบนั้น แล้วก็รีบวิ่งลงบันไดไปจนถึงชั้นล่างสุดอย่างรวดเร็ว ผมจึงได้แต่อมยิ้มและค่อยๆก้าวเดินตามเขาไปข้างล่าง

การซักผ้าในคราวนี้ ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเองเลย เพราะคุณชางมินที่เขาไปถึงตัวเครื่องซักผ้าก่อนผม เขาเป็นคนจัดการทำให้ผมหมดทุกอย่าง และระหว่างรอให้ผ้ามันซักจนเสร็จ เขาก็ชวนผมไปหาซื้อไอศกรีมกินที่มินิมาร์ทใกล้ๆที่พัก..
“คุณจะสัญญาไหมว่าคุณจะไม่บอกไอ้คยู ว่าไอศกรีมที่ผมกำลังทานอยู่ มันเป็นเงินในส่วนเบี้ยเลี้ยงของคุณ” คุณชางมินชูนิ้วก้อยข้างที่ว่างมาทางผมที่กำลังก้าวเดินอยู่เคียงข้างกัน
“สัญญาครับ..” ผมตอบพลางยกนิ้วก้อยข้างที่ว่างไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของอีกฝ่าย พร้อมกับตอบรับอย่างหนักแน่น จากนั้นเราสองคนก็พากันไปหาที่นั่งบริเวณสวนขนาดย่อมของทางหอพักเพื่อรอเวลาให้เครื่องซักผ้ามันทำงานจนครบกระบวนการ

“อ้าว ตายห่า! จู่ๆฝนก็เทลงมาซะงั้น” คุณชางมินสบถออกมา พลางยกมือขึ้นบังสายฝน แต่แล้วเขาก็คงจะนึกขึ้นมาได้ล่ะมั้ง ว่ามันคงจะไม่ช่วยอะไร เขาก็เลยเลิกทำแบบนั้น
“เห้อ.. อุตส่าห์ซักเสื้อ” ผมลุกขึ้นตามแรงฉุดรั้งของคุณชางมิน จากนั้นก็รีบก้าวเดินเข้าไปยังด้านในอาคารที่พัก พร้อมๆกับที่ผมต้องคอยกัดฟันเล็กน้อย เมื่อน้ำฝนมันตกกระทบลงบนบาดแผล ส่งผลให้ผมรู้สึกแสบๆขึ้นมานิดๆ

“คุณรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย ส่วนเสื้อถ้าตากไม่ไหวก็มาเรียกผมได้” คุณชางมินยก ตระกร้าผ้ามาส่งผมถึงหน้าห้อง จากนั้นเขาก็รีบกำชับผมอย่างเป็นห่วง
“คุณชางมินก็ด้วยนะครับ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน” ผมเองก็แสดงความห่วงใยตอบกลับไปเช่นกัน

“อ้อ.. คุณต้องสัญญากับผมนะ ว่าคุณจะไม่บอกไอ้คยูว่าวันนี้ผมชวนคุณมานั่งเล่นข้างนอกจนเปียกฝน” คุณชางมินยื่นนิ้วก้อยออกมาตรงหน้าผม
“สัญญาครับ..” ผมจึงยกนิ้วก้อยเข้าไปเกี่ยวกับเขาตอบ และจากนั้นเราสองคนต่างก็แยกย้ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เร็วที่สุด เพราะเดี๋ยวจะไม่สบายไปกันใหญ่ ในเมื่อสายฝนที่เราได้สัมผัสเมื่อครู่มันตกลงมาเสียจนน้ำฝนพากันเจิ่งนองที่พื้นไปเสียหมด ขณะที่เนื้อตัวของเราก็พากันชุ่มโชกไปด้วย..

หลังจากอาบน้ำล้างตัวจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็พบกับคุณจงฮยอนที่เข้ามาเยี่ยมไข้ผมกับอีฮยอกแจในตอนเย็น เพียงแต่ในวันนี้เขาไม่ได้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับมื้อเย็นของพวกเราทั้งคู่เพียงอย่างเดียว เพราะเขาต้องมายุ่งวุ่นวายกับการตากผ้าที่ผมเอามันลงไปซักเมื่อครู่
“กูใช้ให้มันทำเองแหละ มึงน่ะกินข้าวแล้วรีบแดกยาดักไว้ก่อนเลย” ผมกำลังจะอ้าปากห้ามคุณจงฮยอนอยู่แล้ว แต่อีฮยอกแจดันพูดสวนออกมาก่อน ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย และมานั่งทานข้าวบนโต๊ะเล็กๆที่วางตั้งอยู่บนที่นอนพร้อมกับเพื่อนรักที่ในตอนนี้กำลังทานผลไม้ที่คุณชางมินซื้อมา
“ถ้าฝนหยุดเมื่อไหร่ คุณไม่ต้องย้ายราวตากผ้าออกไปเองนะ เดี๋ยวตอนเช้าผมมายกให้” คุณจงฮยอนหันมาพูดกับผมเป็นประโยคแรก

“ครับ..” ผมตอบพลางยกยิ้มบางๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทานมื้อเย็นที่คุณจงฮยอนเป็นคนไปหามาให้ผมทาน ขณะที่ในหัวก็กำลังคิดว่า ผมควรจะบอกเขายังไงดี โดยที่คำพูดของผมจะไม่กระทบต่อความรู้สึกของอีกฝ่ายมากนัก
“ผมไปล้างให้ เอามาสิ” พอผมทานมื้อเย็นเสร็จ เขาก็อาสาหยิบชามของผมและของอีฮยอกแจไปเก็บล้างให้สะอาด

“เห้อ~” ผมถอนหายใจออกมา พลางล้มตัวลงนอนแหมะกับที่นอนอย่างคิดไม่ตก
“คนนึงก็แสนดี อีกคนนึงก็เผลอรักเขาไปแล้ว..” อีฮยอกแจมันล้อเลียนผมที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“กูกำลังเครียดอยู่นะ..” ผมปัดมือเล็กๆของมันให้ออกห่างจากหว่างคิ้วของผม
“ลุกขึ้นมา เดี๋ยวกูทายาให้ หน้ามึงเสียโฉมขนาดนี้ มึงต้องรีบรักษา จะได้หายทันเวลาที่ลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้นจะกลับมา..” อีฮยอกแจใช้มือข้างที่สมประกอบที่สุดฉุดผมให้ยอมลุกขึ้น จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่คุณชางมินซื้อมาให้ออกมาวางไว้บนตัก

“ซี๊ดดด.. เบาๆดิ” ผมทำหน้าเบ้ พลางดุเพื่อนรักไปด้วย เพราะมันน่ะมือหนักมาก ผมถึงได้เลือกที่จะทำแผลเองมาตลอด
“ฮึ” ผมหยุดการกระทำทุกอย่างลง เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของใครบางคนดังขึ้น และเมื่อหันไปทางต้นเสียงผมก็มองเห็นคุณจงฮยอนกำลังมองมาที่เราสองคนและกำลังยกยิ้มอย่างสดใส

“ให้ผมช่วยไหม ?” เขาอาสาทั้งๆที่ยังคงยืนกอดอกพิงกำแพงตรงหน้าห้องครัวอยู่แบบนั้น
“เออ มึงมาช่วยมันดิ๊ แม่ง! ทำให้ก็บ่น ไม่ทำให้ก็สงสาร!” อีฮยอกแจว่าอย่างนั้น แล้วก็ขยับตัวเลี่ยงให้คุณจงฮยอนมาทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอนในตำแหน่งที่เขาน่าจะทำแผลบนใบหน้าของผมได้ถนัด

ดวงตาของคุณจงฮยอนเป็นสีนิลดำ ชวนให้ผมไม่กล้าจะสบนัยน์ตาของอีกฝ่ายต่อ ยิ่งผมรู้ตัวว่าเขากำลังมองจ้องผมในระยะประชิด ผมก็ยิ่งเกร็งอย่างบอกไม่ถูก แล้วไหนจะลมหายใจของเขาอีก มันทำให้ผมรู้สึกวางตัวไม่ถูก
“เอ่อ.. พอแล้วครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า..” ผมบอกพลางแย่งเครื่องมือทำแผลไปจากเขา แล้วก็นั่งหันหลังทำแผลให้ตัวเองเพียงลำพัง ส่งผลให้ทั้งห้องเกิดความเงียบขึ้นมาในทันที..
“ถ้าอย่างนั้น ผมกลับก่อนนะ” คุณจงฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง หากแต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด คงเพราะเขาเข้าใจแล้วว่าผมกำลังปฏิเสธความรู้สึกดีๆ ของเขาอยู่

“ครับ..” ผมตอบรับเพียงแค่นั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องมันปิดสนิทลง ผมถึงได้ยอมหันหน้ากลับมา
“กูขอโทษนะเว้ย กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มึงลำบากใจ..” อีฮยอกแจมันลูบหัวผม เมื่อมันเห็นว่าผมกำลังรู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องเมื่อครู่ที่เกิดขึ้น

“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ ถ้าเกิดเขาถาม กูจะได้บอกความจริงกับเขาได้ง่ายขึ้น.. หรือไม่.. บางทีกูก็อาจจะไม่ต้องพูดมันเลยก็ได้..” ผมยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำแผลบริเวณหัวเข่าของตัวเองให้เสร็จ จากนั้นถึงค่อยเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงในกล่องให้เรียบร้อย
“ถ้ามีโอกาส มึงก็ต้องพูด.. ไม่พูดแบบนั้น มันน่าสงสารเกินไปเว้ย..” ฮยอกแจมันเริ่มแย้ง ผมจึงพยักหน้ารับอย่างขอไปที เพราะที่แน่ๆ ผมคงยังไม่กล้าพูด เพราะถ้าหากเขายังไม่คิดจะถามเอาคำตอบอีกครั้ง มันก็อาจเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังไม่พร้อมที่จะฟังคำตอบจากผมก็เป็นได้..
ซึ่งสิ่งที่ผมทำให้เขาได้ ก็มีเพียงแค่รอให้เขาพร้อมที่จะรับฟังความจริงเท่านั้น..

ครืด ครืด..

หลังจากที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์กำลังเรียกร้องความสนใจ ผมก็เอื้อมมือไปหยิบและสไลด์หน้าจอเพื่อเปิดแอปพลิเคชั่นอันคุ้นเคยทันที..
GaemGyu: ฮันแน่~ พ่อจะหนี Baid (เบด) ไปหาพี่ @ImSMI อีกแล้วใช่ไหม?

ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่อ่านข้อความที่พี่เขาโพสต์เอาไว้จนจบ ก็ดูพี่เขาสิ มีการคิดแทนเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายที่พี่เขาคงจะเลี้ยงเอาไว้ซะด้วย และเจ้าตัวคงจะกลัวว่าผมจะอ่านชื่อเจ้าลูกชายของเขาไม่ออกล่ะมั้ง ถึงได้มีการวงเล็บคำอ่านเอาไว้ด้วย..
ผมจึงรีบคอมเม้นต์โต้ตอบกลับไปทันทีว่า..

ImSMI: @GaemGyu คุณพ่อเขาหนีเบดไปหาคนอื่นล่ะสิ เพราะกว่าคุณพ่อเขาจะมาหาพี่ซองมิน ก็ตั้งวันมะรืนแน่ะ :(
GaemGyu: โธ่ ฮาบี.. พี่กำลังเคาน์ดาวน์อยู่นะ D-3 เนี่ยๆ เขียนอยู่ทนโท่

อ่า.. ทำไมลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนี้..

เขาถึงได้มีเสน่ห์ ขนาดนี้นะ!

   <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
วันนี้อัพแต่หัววันเลย มาเร็วมาก และตอนนี้ยังเป็นตอนที่ยาวที่สุดในบรรดาทุกตอนที่เคยแต่งแล้วมั้งเนี่ย 555 แต่พระเอกเหมือนตัวประกอบเลย คึคึคึ หวังว่าจะชอบเรื่องนี้กันนะคะ อีกนิดเดียว เดี๋ยวจะได้ไปเที่ยวดูไบพร้อมฮาบีแล้ว