วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เพ(ร)าะรัก


Special by Kyuhyun 11


“พี่ครับ.. พี่..” แรงเขย่าพร้อมกับเสียงเรียกหวานๆของฮาบี ทำให้ผมหลุดจากภวังค์อย่างรวดเร็ว และเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผมก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆมองไปรอบๆทิศทางอย่างงุนงง
คือเดี๋ยวนะ..

เมื่อกี้ฮาบีเขายังรุก ยังยั่วผมอยู่เลย จำได้ว่าริมฝีปากเล็กๆนั่น แอบมากระซิบให้ผมใจสั่นเล่นๆ ด้วยประโยคที่ว่า ผมน่ะอยากจูบกับพี่ เพราะเราไม่ได้จูบกันนานแล้ว
แถมสถานที่ตรงจุดเกิดเหตุ ก็ยังเป็นในห้องที่ทางสายการบินจับจองไว้ให้ แต่ตอนนี้มันคืออะไร ทำไมผมยังยืนนิ่งอยู่ข้างนอก
แล้วทำไมฮาบีถึงต้องมองผมด้วยสายตาห่วงใยขนาดนั้น?

“พี่เหนื่อยมากเลยเหรอครับ?” ฮาบีเขายิ้มพลางลากกระเป๋าทั้งของตัวเองและของผมเข้ามาในห้อง พร้อมกับเปิดไฟให้สว่างวาบไปทั่วบริเวณ
“ก็นิดหน่อย..” ผมตอบพลางเดินเข้ามาในห้องและถอดรองเท้าหนังสีดำข้างๆรองเท้าแบบเดียวกันแต่คู่เล็กกว่าของฮาบี ซึ่งพอมองจากมุมนี้ มันทำให้ผมรู้สึกอยากจะยิ้มอย่างไม่มีเหตุผล
ก็ดูสิรองเท้าของผมคู่ตั้งใหญ่ พอมาวางข้างๆกับรองเท้าคู่เล็กๆของฮาบี ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ารักดี

“แค่ผมไขกุญแจแป๊ปเดียว แต่พี่ก็สามารถยืนหลับได้ ผมว่าพี่ไม่ได้แค่เหนื่อยนิดหน่อยแล้วมั้งครับ” ฮาบีเขาว่าพลางเดินลากกระเป๋าทั้งของผมและของเขาไปวางไว้ข้างๆโต๊ะเครื่องแป้ง จากนั้นเขาก็ถอดสูทสีน้ำตาลออก ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อนำเสื้อสูทไปแขวน
” ผมเงียบเพราะไม่รู้จะแก้ตัวว่ายังไง เดี๋ยวเรื่องมันจะพีคยิ่งกว่านี้ ถ้าหากฮาบีรู้ว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากผมจะยืนหลับแล้ว ผมยังสามารถฝันได้อีกด้วย แถมยังเป็นฝันดีชนิดที่ผมแทบไม่อยากจะตื่น
เห้อ! นึกแล้วก็เสียดาย เพราะฮาบีในลักษณะช่างรุก มันไม่เคยมีอยู่จริง  

“อย่าเพิ่งนอนสิครับ เดี๋ยวเสื้อยับ” ฮาบีเขาบ่น พลางดึงแขนของผมไว้ไม่ให้ล้มตัวลงนอน จากนั้นร่างเล็กในเชิ้ตขาวของสายการบินอาหรับก็ค่อยๆช่วยผมถอดสูทออกและนำมันไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นฮาบีเขาก็กลับมาปลดเนคไทพร้อมกับปลดกระดุมเม็ดบนสุดออกให้เสร็จสรรพ
ผมจึงได้แต่บอกตัวเองว่า เอาเถอะ ถึงจะไม่เป็นแบบในฝัน แต่แบบนี้ก็โอเคดี..’

“มาถึงสวิสทั้งที คุณจะปล่อยให้ผมนอนจริงๆเหรอฮาบี?” ผมลุกขึ้นนั่ง พลางถามฮาบีที่ล้มตัวลงมานอนข้างๆ เมื่อเขาเปลี่ยนเป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว
“ไว้พี่ตื่นแล้วเราค่อยไปเที่ยวกันก็ได้นี่ครับ”

“พูดเหมือนเรามีเวลากันเยอะแยะเนอะ” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปดีดหน้าผากของอีกฝ่ายที่ช่างเอาอกเอาใจ
“งั้นผมให้เวลาพี่นอนพักสักสามชั่วโมงก็ได้ พอหกโมงเราก็ค่อยออกไปหาอะไรกินที่ตลาดหรือไม่ก็ร้านอาหารริมทะเลสาบไงครับ” ฮาบีเขาเสนอ พลางยื้อแขนให้ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ผมก็ยังกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งอีกรอบอยู่ดี

“ดื้อ!

“ดื้อเด้ออะไรกัน นี่พี่จะลุกไปเปลี่ยนชุด จะได้นอนสบายๆไง” ผมแก้ตัวพลางยักคิ้ว ก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางเพื่อหยิบชุดลำลองออกมาเปลี่ยน กระทั่งทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ ผมก็รีบกระโดดขึ้นเตียงและนอนกอดก่ายฮาบีให้สมใจอยาก!

ก๊อก ก๊อก

          หลังจากนอนพักผ่อนตามคำแนะนำของคุณลูกเรือมือใหม่ได้สักพัก วันนี้ผมก็ต้องเปิดประตูต้อนรับเพื่อนๆ ชาวต่างชาติในสายอาชีพเดียวกัน มาห้ารอบแล้ว
เรื่องของเรื่องพวกเขาจะชวนพวกผมกับฮาบีไปเดินเที่ยวเมืองซูริคด้วยกัน โดยมีกัปตันเจ้าบ้านเป็นไกด์นำทาง แต่ผมก็จัดการปฏิเสธคำชวนทั้งหมดทันทีแบบไม่ต้องคิด เพราะว่าผมกับฮาบีมีนัดส่วนตัวกันแล้ว

คลิก!

มีอะไรเหรอครับ?” ฮาบีเขาลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงัวเงีย เมื่อได้ยินเสียงผมปิดประตูเป็นครั้งที่ห้าของวัน
พวกนั้นมันมาชวนไปเที่ยวน่ะ แต่พี่ปฏิเสธไปหมดแล้ว เพราะเรามีนัดเดทกัน ผมยืนกอดอกพิงขอบประตู พลางยืนไขว้ขามองไปที่ฮาบี พร้อมกับยักคิ้วให้กับคนเพิ่งตื่นที่กำลังทำหน้าเขินๆ เมื่อผมพูดในทำนองที่ว่า เราสองคนมีนัดเดทกัน

เอ่อ.. ยังไม่หกโมงเลยครับ พี่จะไม่นอนต่อเหรอ?” เมื่อผมเอาแต่ยืนยิ้มไม่หุบ ฮาบีเขาก็เลยต้องเปลี่ยนเรื่องคุยแบบไม่เนียน
อะไรกัน นี่คุณเขินผมหรือไง? ทำมาเปลี่ยนเรื่องนะ พอผมจับโกหกเจ้าเด็กน่ารักนี่ได้ มันก็แน่นอนว่าผมต้องล้อเขาอยู่แล้ว เพราะเวลาฮาบีเขาเขินจะน่ารักมากขึ้นเป็นสิบเท่า

“อ่าๆ เข้าใจแล้วๆ คุณไม่ได้เขินผม แต่คุณแค่ไม่ชินที่ผมบอกว่าเราจะไปเดทกัน?” ผมเดินเข้าไปหาฮาบีที่กำลังจะเดินหนีไปเข้าห้องน้ำ เพราะทนดูรอยยิ้มบานๆของผมไม่ได้

“อื้อ ตามนั้น.. พี่ปล่อยผมได้แล้ว ผมจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ เราจะได้ออกไปหาอะไรกินกัน” ฮาบีเขาหยุดเดิน พลางหันมาทำหน้าหงิกแต่ซับสีเลือดฝาดตรงข้ามแก้มให้ดูเป็นขวัญตา ผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ พลางใช้มือข้างที่เคยจับยึดข้อมือของเขาเพื่อมาขยี้เส้นผมนุ่มๆจนกระจุยกระจายด้วยความเอ็นดูแกมหมั่นเขี้ยว
“อาบเร็วๆนะ พี่ว่าจะไปหาซื้อโปสการ์ดเอามาเขียนให้คุณพ่อกับคุณแม่น่ะ” ผมว่าพลางเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน พลางมองฮาบีที่กำลังเปลี่ยนทิศทางไปยังกระเป๋าเดินทาง เพื่อหยิบข้าวของเครื่องใช้ในการเตรียมตัวอาบน้ำ เพราะเมื่อครู่เจ้าตัวมัวแต่ตั้งใจจะหลีกหนีจากสถานการณ์อันน่าเขินอายอย่างสุดความสามารถ
แต่ก็ไม่สำเร็จ..
วันนี้เราสองคนสวมใส่เสื้อยืดสีขาวไร้ลวดลายกับกางเกงยีนส์ขายาวโดยไม่ได้นัดหมาย ธีมการแต่งตัวของเราจึงเข้ากันดีกับกิจกรรมสำหรับคู่รักที่เรียกว่า การเดท  

“ซื้อสองใบเลยเหรอครับ?” ฮาบีเขาถามด้วยความสงสัย เมื่อผมเลือกโปสการ์ดอย่างพิถีพิถันเพิ่มอีกหนึ่งใบ
“อื้อ ต้องสองใบสิ ก็ตอนนี้พ่อกับแม่อยู่กันคนละบ้านแล้วนี่” ผมตอบพลางเดินเข้าไปในร้านเพื่อคิดเงิน

“พี่ไม่เขียนแล้วฝากเขาส่งเลยเหรอครับ?” เจ้าหนูจำไมอย่างฮาบีเริ่มถามคำถามขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อผมจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินตัวปลิวออกมานอกร้าน
“เดี๋ยวค่อยไปส่งที่ไปรษณีย์หรือเอาไปหย่อนตู้ก็ได้ แสตมป์เราก็มีนี่”

“แต่เราต้องแบ่งกันเขียนคนละใบนะ เอาเป็นเรื่องที่ต้องเขียนต่อกัน แต่ต้องเอามาแลกกันอ่านถึงจะได้ใจความน่ะ” ผมบอกแผนการที่วางไว้ในหัวคร่าวๆ
“ยากจัง ผมเขียนอะไรแบบนี้ไม่ค่อยเก่งซะด้วย”

“พี่ก็เขียนไม่ค่อยเก่งเหมือนกัน แต่ที่พี่คิดไว้ พี่กะจะเล่าเรื่องของเราให้พวกท่านฟัง เช่นว่าเราทำอะไรบ้าง ยุ่งวุ่นวายแค่ไหน แล้วได้ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ได้กินอะไรบ้าง รสชาติเป็นยังไง ประมาณนี้น่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องรีบหาที่นั่ง แล้วมาช่วยกันเขียนดีกว่าครับ” ฮาบีเขาเสนอ แล้วก็เริ่มแนะนำว่าเราสองคนควรจะไปหาอะไรทานที่ริมแม่น้ำ จากนั้นก็ค่อยช่วยกันนั่งเขียนโปสการ์ด เพื่อที่พรุ่งนี้เช้าก่อนทำไฟล์ท เราจะได้มีเวลาไปส่งไปรษณีย์ เพราะไฟล์ทของเราเริ่มบินประมาณบ่ายโมง แต่เราต้องรีบมาเตรียมตัวตั้งแต่สิบเอ็ดโมง

ด้วยความที่วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หลายๆที่จึงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและประชากรเจ้าบ้านอย่างคึกคัก แม้กระทั่งถนนบานโฮฟซตราสเซอที่เรากำลังเดินอยู่นี้ ก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เพราะว่าถนนสายนี้มันเป็นย่านการค้าอันเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าและร้านค้ามากมายตลอดสองข้างทาง โดยเฉพาะร้านค้าจากแบรนด์ดังระดับโลก ต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ จึงทำให้ย่านนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น ถนนช็อปปิ้งที่แพงที่สุดในโลก
ซึ่งข้อมูลอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ ฮาบีเขาบอกว่า เขาทราบมาจากกัปตันเมื่อตอนที่เขาไปนั่งอยู่ในค็อกพิท

ระหว่างเดินทางไปร้านอาหาร เราสองคนที่ยังวนเวียนอยู่ในแหล่งช็อปปิ้ง ก็ต้องหยุดดูวงดุริยางค์ที่กำลังขับกล่อมบทเพลงอย่างไพเราะสักเพลง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมาจากถนนเส้นนั้น เพื่อมุ่งตรงไปยังแม่น้ำลิมมัติที่เป็นจุดหมายเดิมของเรา
โดยที่ผมก็แอบเสียดายที่มัวแต่ห่วงนอนมากกว่าห่วงเที่ยว..

“กัปตันบอกผมว่า ถ้ามีเวลาอยากให้ไปเดินเล่นริมแม่น้ำช่วงเย็นๆ ประมาณห้าโมงถึงหกโมง จะได้บรรยากาศมากกว่าช่วงนี้อีก”
“อ่าฮะ ถ้างั้นเราก็ต้องรีบเขียนให้เสร็จ จะได้มีเวลามาเดินเล่นน่ะสิ.. โปรแกรมเยอะชะมัด ไม่น่าเสียเวลานอนเลย” ผมเริ่มโอดครวญอีกหน

“ขืนไม่นอนพี่คงได้เผลอยืนหลับกลางทางอีกน่ะสิ ไม่น่าไว้ใจ”
“บ่นๆ” ผมทำเสียงกระเง้ากระงอดราวกับเด็กใส่อีกฝ่ายเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกดุ

“ไม่ได้น่ามองเลยครับ” ฮาบีเขาว่าพลางมองผมด้วยสายตาเรียบนิ่ง จนผมต้องเลิกเล่นบทโศกไปเอง
“ว่าแต่แถวนี้ดูเหมือนจะเป็นย่านเมืองเก่าเลยนะ” ผมมองไปรอบๆตัว เมื่อเดินทะลุมาจนถึงเขตเมืองเก่าที่อยู่ติดริมแม่น้ำ

“ผมว่าแล้วพี่ต้องชอบ” ฮาบีเขายิ้มจนแก้มแทบปริ
“แสดงว่าประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่แม่น้ำ แต่อยู่ที่เขตเมืองเก่าใช่หรือเปล่า?” ผมถามพลางยกมือขึ้นโยกศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูในความช่างวางแผน แถมยังช่างเสาะหาข้อมูลอีกต่างหาก

” ฮาบีเขาไม่ตอบ แต่กลับเอาแต่ยิ้มจนตาปิด
“รู้ใจกันจัง”

“นี่ถ่ายรูปให้หน่อยสิ เอาหล่อๆเลยนะ” พอเดินชมวิวในเขตเมืองเก่ามาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำลิมมัติที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าที่อยู่ทางซ้ายมือกับเขตเมืองใหม่ที่อยู่ทางขวามือ ผมก็รีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายพลางหยุดเดิน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ส่งให้ฮาบีถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นผมก็พาดเสื้อคลุมสีดำเอาไว้บนริมสะพานเพื่อที่จะได้ถ่ายรูปได้เต็มที่
“ถ้าคนไม่หล่อ ให้ตั้งใจถ่ายยังไงก็ไม่หล่อหรอกครับ”

“ร้ายกาจนักนะ” ผมบ่น แต่ก็ยอมตั้งท่าถ่ายรูปแบบที่คิดเอาเองว่ามุมนี้จะต้องหล่อที่สุด

แชะ!

“พี่ขอแบบใส่เสื้อคลุมด้วยสิ” ผมว่าพลางเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่ จากนั้นก็ยืนมุมเดิม แต่เปลี่ยนท่าใหม่โดยทำเป็นไม่มองกล้อง ภาพจะได้ออกมาอาร์ตๆ เพราะเบื้องหลังของผมมันเป็นผิวน้ำที่ตัดกับท้องฟ้าสีคราม ที่มีสถาปัตยกรรมสมัยเก่าด้านหนึ่ง สมัยใหม่อีกด้านหนึ่ง

แชะ!

“พี่ลองดูรูปสิครับ ใช้ได้ไหม”
“ฝีมือดีนี่เรา..” ผมชมเมื่อดูรูปที่ฮาบีเขาถ่ายแล้วรู้สึกพอใจมากๆ

“ว่าแต่เราจะถ่ายมั้ย พี่จะถ่ายให้”
“อื้อ รูปเดียวนะ” ฮาบีพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปในเฟรมภาพอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย เพราะเขาทำเพียงแค่ยืนพิงราวสะพานพร้อมกอดอกและยกยิ้มมองมาที่กล้อง ขณะที่เบื้องหลังของเขาสามารถมองเห็นยอดโบสถ์กรอสมุนเตอร์อยู่ไม่ไกลนัก

“มีคนเคยบอกว่า รูปที่สวยงามที่สุด คือรูปที่คนถูกถ่ายส่งยิ้มให้กับคนหลังกล้อง..” ผมว่าพลางเดินเข้าไปยืนพิงราวสะพานข้างๆอีกฝ่าย เพื่อให้เจ้าตัวดูรูปที่ผมเพิ่งถ่ายเมื่อครู่
” ฮาบีเขาไม่ปฏิเสธ แต่กลับหันมายิ้มให้ผมหลังจากที่ดูรูปจนครบแล้ว

“เซลฟี่กันฮาบี” ผมว่าพลางชูโทรศัพท์จนสุดแขน จากนั้นก็หมุนหามุมกล้องที่เหมาะกับเราสองคน

แชะ!

“นี่มันรูปคู่รูปแรกของเราเลยมั้งเนี่ย” ผมจ้องรูปถ่ายของเราอยู่นาน พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ส่งให้ผมด้วยสิครับ” ฮาบีเขายิ้ม พลางเอ่ยปากขอ

“เอาสิ ตั้งเป็นภาพล็อคสกินคู่กันเลยดีมั้ย?” ผมส่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ฮาบี จากนั้นก็เดินกอดคอคนตัวเล็กตรงไปยังร้านอาหารข้างสะพาน ที่มองๆดูแล้วเหมือนด้านบนจะเป็นโรงแรม
“คุณพ่อพี่เห็นคงทำหน้ายักษ์ใส่แบบนี้แน่ๆ” ฮาบีเขาไม่พูดเปล่า แถมยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดให้ดูเป็นตัวอย่าง ราวกับกลัวว่าผมจะนึกสีหน้าของคุณพ่อไม่ออก

“ล้อพ่อพี่เหรอ เดี๋ยวเถอะ!” ผมเขกมะเหงกใส่ฮาบีไม่แรงนักไปหนึ่งที
“ผมแค่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างเฉยๆ ไม่ได้ล้อเลยครับ” ฮาบีเขาลูบหัวตัวเองป้อยๆ แต่พอเดินมาจนถึงหน้าร้านอาหารก็ต้องทำตัวสำรวมกันเล็กน้อย เพราะว่าร้านนี้คนเยอะมาก อาจเป็นเพราะทำเลดี บรรยากาศดี แถมด้านบนยังเป็นโรงแรมอีก คนก็เลยเลือกจะฝากท้องกันที่นี่

“ท่าทางจะแพงไม่ใช่เล่น ดีนะที่ได้นั่งข้างนอก” ผมกระซิบกับฮาบีระหว่างเดินตามบริกรออกไปยังโต๊ะนั่งที่อยู่ด้านนอก ที่บังเอิญว่ามีบางโต๊ะเช็คบิลพอดี เราก็เลยได้ที่นั่งทำเลดีอย่างไม่คาดคิด
“ถือว่ามานั่งกินบรรยากาศไงครับ จะได้เขียนโปสการ์ดไหลลื่น” ฮาบีเขายิ้มแห้ง เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่า อาหารของที่นี่ท่าทางจะแพงไม่หยอก แต่เขาก็ยังมีเหตุผลข้ออ้างในแง่ดีให้มันฟังดูคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่าย
ณ จุดๆนี้ก็ต้องยอมเขาแหละครับ
ส่วนผมมีหน้าที่แค่จ่าย ทุกอย่างก็จบ..

เมื่อนั่งมองเมนูที่เต็มไปด้วยภาษาต่างบ้านต่างเมืองได้สักพัก ผมก็ตัดสินใจถามบริการว่ามีอะไรจะแนะนำไหม สุดท้ายเราก็เลยได้สั่ง Zürcher Geschnetzeltes หรือเนื้อลูกวัวย่าง ที่เป็นจานเด็ดของร้าน แต่ดูเหมือนว่าเมนูดังกล่าวจะเป็นเมนูเด็ดของเมืองซูริคด้วย เพราะกัปตันเขาบอกกับฮาบีว่า ทีเด็ดที่ว่าน่ะ มันอยู่ที่ซอสราด
เราสั่งแค่เพียงเมนูเดียวเพราะเราจะแบ่งกันกิน พร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆไปด้วย กระทั่งอาหารมาเสิร์ฟผมก็รู้สึกว่าเราคิดถูกแล้วที่สั่งมาแบ่งกันกิน เพราะเขาเล่นมาเสิร์ฟเป็นหม้อใหญ่ ซึ่งพอได้ลิ้มรสก็รู้สึกว่าเมนูมันก็สมค่ำร่ำลือจนถูกยกให้เป็นเมนูคู่บ้านคู่เมืองขนาดนี้

“ใครจะเริ่มเขียนก่อน?” หลังจากทานมื้อเย็นเรียบร้อย ผมก็หยิบอุปกรณ์สำหรับเขียนโปสการ์ดมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับจิบเบียร์ไปหนึ่งอึก ก่อนจะถามความเห็นจากผู้ร่วมเจตนารมย์
“ยกให้เจ้าของความคิดเป็นคนเขียนก่อนเลยครับ” ฮาบีเขาออกตัว จากนั้นก็เริ่มก้มหน้าก้มตาสนใจโทรศัพท์ของผมต่อ ท่าทางว่าอีกฝ่ายจะยังส่งรูปเข้าเครื่องตัวเองไม่เสร็จ ผมจึงนั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกระเบียงเพื่อดูวิวข้างทาง ขณะที่ในหัวก็ยังคงคิดคำพูดในการเริ่มต้นทักทายคุณพ่อคุณแม่

“ถึงคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้ผมอยู่ซูริคครับ แต่พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว น่าเสียดายมากเลยเนอะ บ้านเมืองของเขาสวยและคลาสสิคในแบบที่พ่อกับแม่ชอบเลย ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะมาเที่ยวกับทุกคนบ้าง จริงๆแล้ว ไฟล์ทนี้เป็นไฟล์ทแรกที่ผมกับซองมินได้ทำร่วมกัน ผมน่ะกังวลไปต่างๆนาๆว่าเขาจะทำได้ไหม เพราะว่างานนี้มันเป็นงานที่ซองมินไม่ชอบ แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้ดีเกินคาด ผมมีเรื่องนึงอยากจะเล่าให้พ่อกับแม่ฟังมากๆ คือวันนี้มีผู้โดยสารบกพร่องทางร่างกายขึ้นเครื่องมาด้วยคนนึง น้องเขาน่ารักมาก แต่ว่ามือของเขาไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ ซองมินเขาก็เลยเข้าไปป้อนข้าวแล้วก็เล่นกับน้อง จนน้องหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ผมเห็นหลายๆคนแอบมองซองมินอย่างชื่นชมด้วยแหละครับ ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นในบ้านเรา เผลอๆซองมินคงได้ลงข่าวแน่ๆเลยเนอะ” พอผมเขียนเสร็จ ผมก็ให้ฮาบีเขาอ่านเป็นไกด์ไลน์ กระทั่งเขาอ่านจบ แก้มที่แดงเรื่อเพราะฤทธิ์ของมึนเมาก็เริ่มแดงมากขึ้นเพราะความเขินอาย

ผมปล่อยให้ฮาบีเขานั่งเขียนโปสการ์ดใบที่สองเงียบๆ เพราะการเขียนจะต้องใช้สมาธิอย่างมาก แถมยังต้องบรรจงคัดลายมือให้สวยที่สุด เพราะว่าเราจะต้องเขียนให้ตัวเล็กๆ จะได้เขียนข้อความได้เยอะๆ และเมื่อเราต้องเขียนตัวเล็กๆ เราก็ต้องตั้งใจเขียนให้เป็นลายมือมากขึ้นด้วย ดีที่โปสการ์ดที่เราเลือกมันไม่มีเส้นแบ่งบรรทัด ไม่อย่างนั้นคงเขียนสิ่งที่อยากเล่าไม่หมดแน่
เมื่อมีเวลาว่าง ผมก็เปิดอินสตาแกรมเพื่อเตรียมจะลงรูปให้ไอจีดูไม่ร้างสักนิด เพราะไหนๆก็ได้มีโอกาสมาตั้งสวิสทั้งที ผมกะจะลงรูปตัวเอง ส่วนรูปคู่ผมก็จัดการตั้งเป็นล็อคสกินโทรศัพท์ไปแล้วเรียบร้อย แต่พอเลื่อนไทม์ไลน์ไอจีไปเรื่อยๆ ก็พบว่าคนที่เอาแต่นั่งเงียบๆ เขาแอบขโมยรูปของผมไปลงไอจีตัวเองแล้วเรียบร้อย จึงทำให้รูปนี้เป็นรูปแรกที่ฮาบีเขาอัพรูปผมอย่างเปิดเผย

imSMI : มีคนเคยบอกว่า รูปที่สวยงามที่สุด คือรูปที่คนถูกถ่ายส่งยิ้มให้กับคนหลังกล้อง..

“ตั้งใจจะเปิดวอร์ในไอจีต่อว่างั้น?” ผมถาม พลางยื่นโทรศัพท์ไปทำลายสมาธิของคนข้างตัวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนโปสการ์ดอย่างตั้งใจ
“เปล๊า” ฮาบีเขาแก้ตัวเสียงสูงจนฟังดูไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้คิดจะหาเรื่องกัน

imSMI : มีคนเคยบอกว่า รูปที่สวยงามที่สุด คือรูปที่คนถูกถ่ายส่งยิ้มให้กับคนหลังกล้อง..
Mino : คือจะสื่อว่ารูปนี้ไอ้คยูมันไม่หล่อถูกมะ
A.Imran : แบบนี้ก็แสดงว่าตั้งใจจะเปิดวอร์ถูกมะ
Chimchang : อั่ยยะ! งี้ก็ต้องเลือกข้างถูกมะ  
Tawan : อยู่ข้างซองมินกันทั้งบาง ถูกมะ                     
GaemGyu : @imSMI รูปหน้าตรงมองกล้องแล้วยิ้มหวานก็มี แต่ไม่ยอมลง จริงๆก็หวงกันถูกมะ

ติ้ง!

” ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ของคนข้างๆมันสั่นเตือนพร้อมกับส่งเสียงร้องเรียกความสนใจอยู่หนึ่งที ฮาบีเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พลางสไลด์หน้าจอไปยังแอพพลิเคชันที่คุ้นเคย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผม
“หลงตัวเองชะมัด” ฮาบีเขาว่า จากนั้นก็วางโทรศัพท์เอาไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม พร้อมกับก้มหน้าก้มตาเขียนโปสการ์ดถึงคุณพ่อคุณแม่ของผมต่อ

GaemGyu : Model Lee Sungmin @imSMI, Photo by Cho Kyuhyun

ติ้ง!

“รูปสวยดีเนอะ แถมคนในรูปก็น่ารัก ยิ้มก็หวาน เห้อ~ คนหลังกล้องแทบลืมหายใจแน่ะ” 


------------------------------------------------------

มาอัพพร้อมกับวันคยูมินแล้วค่า หายไปนานอีกแล้วเนอะ ช่วงนี้มันเขียนอะไรไม่ค่อยออกจริงๆค่ะ สมองว่างเปล่ามาก สำหรับตอนนี้ก็จะหวานๆมึนๆหน่อยๆ ถือว่าไปเที่ยวกับคุณลูกเรือทั้งสองแล้วกันเนอะ หลังจากนี้ก็มาลุ้นกันว่าคุณพ่อคุณแม่จะได้คืนดีกันหรือยัง แล้วคุณพ่อจะเข้าใจคุณลูกเรือเขาหรือเปล่า

คาดว่าอีกไม่กี่ตอนก็น่าจะจบเรื่องอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ เพราะตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญมันก็จะออกแนวซอฟท์ๆเพราะมาอยู่ต่างประเทศกันแล้ว เหลือแค่ครอบครัวเข้าใจก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลล่ะเนอะ


  Related image

      cockpit (ห้องนักบิน)
 

ถนนบานโฮฟซตราสเซอ (credit)

Image result for hotel zum storchen Related image
Image result for kyuhyun zurich
บรรยากาศเมืองเก่าแถวแม่น้ำลิมมัติ 


Image result for Zürcher Geschnetzeltes
Zürcher Geschnetzeltes (เนื้อลูกวัวย่าง ราดซอสเกรวี่ เสิร์ฟพร้อมเร้อช-ติ ข้าว พาสตา หรือมันฝรั่งบด)