วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 28

Mistake
 

Misatake 28

                เมื่อคืนหลังจากไอ้ทิสเทคมันสบายอกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ท้องไส้ของมันก็เริ่มร้องประท้วงอย่างหนัก แล้วลองคิดดูว่าดึกดื่นขนาดนั้นร้านอาหารที่ไหนมันจะยังเปิดขายอยู่ล่ะวะ ดีที่คอนโดกูมีบะหมี่ให้แดก ไม่งั้นนะมึงเอ้ย ได้มีคนหิวจนไส้ขาดแน่

                “ถ้าเที่ยงแล้วกูยังไม่ลงมาคอยหน้าออฟฟิศ มึงโทรตามกูเลยนะ..” ผมลงจากรถ แล้วก็เดินอ้อมไปหยุดยืนตรงหน้ากระจกด้านข้างคนขับ พลางเคาะหลังมือลงบนกระจกเบาๆ ไม่นานนักไอ้มิสเทคมันก็ลดกระจกลง ผมเลยยืนท้าวแขนกับขอบหน้าต่างคุยเพื่อกับมัน
                “อืม”

                “ขับรถดีๆนะมึง อย่าลืมจัดกระเป๋าให้กูด้วย ..” ผมยืดตัวตรง พลางถอยออกห่างจากตัวรถเพียงเล็กน้อยเมื่อเริ่มกล่าวคำอำลา เพื่อเตรียมตัวแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง คืออย่างนี้ระหว่างรอผล ท่านประธานเขาให้สิทธิ์มันลาพักผ่อนได้หนึ่งอาทิตย์ ส่วนผมเมื่อคืนได้โทรไปขอลาหยุดกับท่านประธานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งท่านก็อนุมัติแต่มีข้อแม้ว่าถ้ากลับมาทำงานต่อเมื่อไหร่ ผมจะต้องเคลียร์งานของตัวเองให้ทัน
                บริษัทนี้เขาไม่ซีเรียสเรื่องวันลาวันหยุดนะ คือคุณจะหยุดเป็นอาทิตย์ก็ได้ แต่ว่าคุณจะต้องกลับมาสะสางงานของคุณให้เสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด ซึ่งการทำงานกับบริษัทที่มีสาขามากมายทั่วประเทศแบบนี้ งานของคุณจะมีเข้ามาทุกวัน เพราะการทำงานของสาขาไม่มีวันหยุด ..
                ฉะนั้นมีปัญญาหยุดได้คุณหยุดไป แต่ถ้างานที่คุณรับผิดชอบเกิดทำไม่ทันขึ้นมาเมื่อไหร่ ..
                หัวหน้ามันเอามึงตายอย่างเขียดสถานเดียว กูบอกเลย!
               
                “ไงมึง ขี้แข็งแล้ว ?” ผมที่กำลังจะสแกนบัตรเพื่อตอกเวลาเข้าทำงาน มีอันต้องหยุดชะงักกับคำถามเหี้ยๆของไอ้เพื่อนเหี้ยในทันที ..
                “สัส .. มึงมีกายหยาบเท่านั้นไม่พอ สันดานยังเสือกหยาบอีกด้วย ..” ผมสบถด่าไอ้มินโฮเน้นๆ แล้วก็หันไปสแกนบัตรตรงเครื่องสแกน ก่อนจะเดินเลี้ยวขวาเข้ามาในห้องทำงาน

                “ด่ากูเน้นๆยังพอทน แต่น้ำลายกระเซ็นนี่มันยังไง ?” ไอ้มินโฮมันโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานของผม พลางกอดอกมองหน้าหาเรื่องกูเต็มที่ .. แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้เชี่ย กูไปด่ามึงน้ำลายกระเซ็นตอนไหน แม่งปรักปรำกู ..
                “มึงต้องแดกน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าเชื้อโรคมั้งไอ้สัส” เลว! ไอ้หัวหน้าส้นตีนแม่งแนะนำลูกน้องได้ดีมาก เหี้ยเหอะ ด่ากูซะอ้อมโลกแบบนั้น กูว่ามึงด่ากูเป็นตัวเชื้อโรคซึ่งๆหน้าเลยดีกว่ามั้ย ?

                “เงียบปากเลยไอ้พวกเชี่ย กูมีงานการต้องสะสาง ไม่ต้องเสือกมายุ่งกับกู ” ผมด่าพวกแม่งอย่างเหลืออด จากนั้นก็คว้าแก้วกาแฟเดินขึ้นไปบนห้องครัว เพื่อชงกาแฟมาดื่มระหว่างทำงาน เห้อ แค่เช้าวันแรกของการทำงาน กูก็เซ็งพวกแม่งจะแย่ เสือกกวนตีนกูได้ตลอด
                “ชงให้กูแก้วดิ ..” ไอ้ซีวอน ไอ้ห่าคุณชาย แม้แต่ชงกาแฟแดกเองยังชงไม่เป็น

                “ใช่เรื่อง อยากแดกก็ชงเอง งานกูมีเยอะแยะ ..” ผมส่ายหัว พลางมองนาฬิกาเพื่อดูเวลาว่านี่กูเสียเวลาไปกี่วินาทีแล้ว ประเดี๋ยวตอนบ่ายไอ้มิสเทคมันมารับแล้วงานกูเคลียร์ไม่ทันจะแย่เอา
                “คนอย่างมึงนี่แม่งไม่รู้จักคำว่าน้ำใจเลยไอ้สัส .. ว่าแต่เมียมึงโอเคนะ ?” ไอ้ซีวอนแม่งถีบก้นกู ไอ้เหี้ย รอยฝ่าตีนติดกางเกงกูเลอะเทอะไปหมด ..
เชี่ย! กูมีเพื่อนกี่คนแม่งก็เชี่ยกันทั้งนั้น!

                “ก็น่าจะโอเคมั้ง .. มึงว่าท่านประธานจะเขี่ยมันทิ้งจริงๆเหรอวะ ?” ผมถามไอ้ซีวอนเมื่อสมองเริ่มเข้าสู่โหมดเคร่งเครียด
                “ไม่รู้ดิ .. แต่แผนกการตลาดครอสมันเต็มแล้วนี่ ถ้าไม่เขี่ยทิ้งจะให้เก็บเอาไว้ตรงไหนวะ ?” เงียบแดกสิกู เล่นอ้างถึงครอสกันโต้งๆแบบนี้ แต่ว่า .. มิสเทคมันเก่งนะเว้ย แถมพี่กูยังซื้อตัวมาชนิดที่แบบว่าหว่านล้อมสุดๆเลยนะเว้ย จะทิ้งง่ายๆไม่เสียดายเงินแบบนี้ สุรุ่ยสุร่ายไปหรือเปล่าวะ ?

                “ไอ้เชี่ยยยยยย! อย่าทำกูไขว้เขว” ผมด่าไอ้ซีวอนอย่างคนต้องการที่ระบายอารมณ์ จากนั้นผมก็ยีหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ถึงค่อยคว้าแก้วกาแฟของตัวเองถือติดมือกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองด้วย ..
                โจวอารา อยากให้ฉันบ้าตายนักใช่ไหมถึงเงียบหายไปแบบนี้ .. เลิกทดสอบได้แล้ว ห้ามๆเข้าใจมั้ย.. ’ ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ ผมก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาพี่สาวของตัวเองอย่างคนสติแตก
                เพราะไอ้ซีวอนแม่งคนเดียว จากที่ความเชื่อมั่นของกูมีเต็มร้อย
                ณ ตอนนี้มันหดเหลือแค่ศูนย์เองนะเว้ย!

            “เมียทิ้งแล้วมั้ง บ่ายโมงแล้วยังไม่มา ” กูเกลียดไอ้สี่ตัวนี่จริงๆ ได้เวลาทำงานแล้วมั้ย ทำไมยังไม่เสือกไปทำงานกันอีก มานั่งเฝ้ากูรอมิสเทคมันเพื่ออะไรไอ้พวกห่านี่
                “ไม่ใช่ว่าซองมินมันเครียดจัด เส้นเลือดแตกคาห้องไปแล้วเหรอวะ ?” ไอ้เชี่ยมินโฮ กูขอโบกหัวมึงเน้นๆ ไม่พูดคงไม่มีเขาหาว่ามันเป็นใบ้หรอกมั้ง ..

                “ไอ้พวกเหี้ย ขึ้นไปทำงานเดี๋ยวนี้ อย่าให้กูเล่นไม้แข็ง เดี๋ยวพวกมึงจะหนาว ..” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา พลางกดเข้าไปในสมุดโทรศัพท์ที่ผมเมมเบอร์พี่อาราเอาไว้ จากนั้นก็โชว์ให้พวกมันดูว่าถ้าหากยังเสือกมากวนตีนกูอยู่อีก กูโทรฟ้องพี่กูแน่ว่าพวกมึงอู้งาน รับรองพวกมึงโดนหักเงินเดือนชัวร์ป้าป ..
                “อูยยย .. เล่นของสูง พวกผมไปทำงานแล้วก็ได้ครับคุณคยูฮยอน ..” ไอ้ชางมิน ไอ้หัวหน้าเวรตะไลมันทำตัวนอบน้อมใส่ผมอย่างกวนตีนสัสๆ พอกูทำท่าว่าตีนจะกระตุกพวกแม่งทั้งหมดก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ..

                “มึงอยู่ไหนแล้ว ?” บ่ายสองแล้ว นี่มันเลยเวลานัดโคตรๆแล้วนะเว้ย กูเลยต้องโทรตามอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่อะไรกูเป็นห่วงมัน กลัวจะเกิดเรื่องไม่พึงประสงค์
                “กำลังจะขับเข้ามาในบริษัทแล้ว มึงออกมายืนรอเลย”

                “กูมายืนรอมึงหน้าตึกนานแล้วเถอะ ..” ผมบ่นพลางกดวางสาย เมื่อสายตามองเห็นรถคันคุ้นเคยขับเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าออฟฟิศ ..
                “ทำอะไรอยู่วะ ช้าว่ะ ” ผมเดินดุ่มๆไปเปิดประตูด้านข้างคนขับ แล้วก็ต้องหยุดชะงักไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาคนหนึ่งกำลังนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของผมอยู่ ...
                คือไอ้เชี่ยนี่แม่งเป็นใครวะ ?
                   
                “ไม่ทราบว่ามึงเป็นใครถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของกูได้ ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พลางกำคอเสื้อของไอ้เชี่ยนี่อย่างโมโห ก็ดูแม่งดิ ทำเป็นลอยหน้าลอยตา แถมยังมองกูเหมือนอากาศธาตุอีก ไอ้สัส กวนส้นตีน!
                “แล้วมึงล่ะเป็นใคร ?” โอยไอ้เหี้ย กูปรี๊ดจนเกือบจะซัดหน้าไอ้ห่านี่เข้าให้แล้ว ถ้าไอ้มิสเทคแม่งไม่รีบวิ่งลงจากรถตั้งแต่ตอนที่กูกำลังจะมีเรื่องแล้วเข้ามาชาร์ตตัวกูแบบนี้ล่ะก็นะ กูรับรองเลยว่าไอ้หน้าจืดนี่ได้หน้าแหกคาหมัดกูแน่ ..

                “ปล่อยกูไอ้มิสเทค กูจะต่อยมัน แม่งเสือกกวนตีนกู ..” ผมดีดดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนในที่สุดกูก็เป็นอิสระ
                “อย่าทำน้องกูไอ้คยู..” มิสเทคมันรีบเข้ามาชาร์ตตัวผมอีกรอบ แต่คราวนี้กูหยุดบ้าคลั่งได้ด้วยตัวเอง เพราะประโยคบอกเล่าของมันประโยคเดียว
                น้องชายที่ตาบอดน่ะเหรอ ?

                “เมื่อกี้กูขอโทษมึงแล้วกัน ..” ผมเบลอไปชั่วขณะ แล้วพอรู้ว่าตัวเองผิด ผมเลยขอโทษน้องชายของมันไป
                “อืม .. พี่จะไปทำธุระต่อไม่ใช่เหรอ ? รีบไปส่งผมที่บ้านเถอะ ..” น้องชายของไอ้มิสเทคหันหน้ามาทางผม และยกยิ้มบางๆ แต่คือรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้กูนะเว้ย ไอ้เด็กนั่นมันยิ้มให้พี่ชายของมันต่างหาก แต่เพราะมันมองไม่เห็นก็เลยยิ้มมั่วซั่ว ..

                “อ้อ อื้ม .. เดี๋ยวกูจะพาน้องไปส่งบ้าน มึงไปนั่งข้างหลังก่อนแล้วกัน ..” มิสเทคมันกระตุกแขนผม พร้อมกับเปิดประตูรถด้านหลังให้อย่างดิบดี เจออย่างงี้กูเลยยอมอย่างไม่มีข้อแม้ ..
                “ไอ้คยู ..นี่อีซองจินน้องชายกูเอง ..” ระหว่างขับรถท่ามกลางความเงียบ ไอ้มิสเทคมันก็เป็นหน่วยกล้าตายแนะนำน้องชายของมันให้ผมรู้จัก

                “อืม” ผมพยักหน้ารับพลางส่งเสียงเป็นเชิงว่ารับรู้ในลำคอ
                “ซองจินนั่นโจวคยูฮยอน .. เอ่อ .. เป็น ” มิสเทคมันอ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน จนกูลุ้นจนไส้กิ่ว คือแม่งอายจนหน้าแดงเลยมั้งนั่น ถึงได้พูดไม่เป็นคำซะแบบนั้น ..

                “พูดให้ดีนะมึง ..” ผมโน้มตัวไปกระซิบขู่เบาๆตรงซอกเบาะทางฝั่งคนขับ แล้วก็กลับมานั่งกอดอกตัวตรงเหมือนเดิม
                “แฟน ?” แต่จู่ๆอีซองจินมันก็เฉลยคำตอบที่กูอยากได้ยินจากไอ้มิสเทคขึ้นมาซะงั้น
                คือน้องครับ พี่อยากได้ยินแฟนพี่แนะนำตัวพี่เว้ย!
                มึงจะรีบฉลาดทำไมนักหนา !!!!

                “อืม ..” ไอ้มิสเทคมันตอบน้องชายของมันงึมงำในลำคอ
                “มีแฟนกับเขาสักทีนะ วันๆเห็นพี่ยุ่งแต่เรื่องของผมจนผมคิดว่าพี่จะขึ้นคานแล้ว .. ” อีซองจินแปะป่ายมือลงบนใบหน้าของไอ้มิสเทค แล้วจากนั้นก็ลูบหัวเบาๆราวกับเอ็นดู เห็นแล้วกูรู้สึกว่ามันสองคนกำลังสลับหน้าที่กันอยู่มั้ย .. คือไหงน้องชายถึงได้ทำท่าทางราวกับเอ็นดูพี่ชายไปได้วะ..

                “ไอ้บ้า .. ดูพูดเข้า ไม่มีหวงกันเลย ..” มิสเทคมันยกยิ้ม แล้วก็จับมือซนๆของน้องชายมันออกจากหัวของมัน
                “ก็หวงนะ แต่เล่นขนเสื้อผ้าไปอยู่กับเขาแล้วจะให้ผมทำไง .. พี่อย่าทำให้ซองมินเสียใจนะ ผมอยากให้ซองมินมีความสุขที่เป็นของตัวเองบ้าง ..” ผมงงไปพักใหญ่ เมื่ออยู่ๆไอ้ซองจินมันก็หันมาพูดจาฝากฝังซองมินกับผมเสียอย่างดิบดี

                “อืม .. มึงไม่ต้องห่วง กูจะดูแลพี่มึงอย่างดี ..
                “ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นนะเว้ยพี่ ..

                “เออ” ผมตอบรับไอ้ซองจินอย่างหนักแน่น น่าแปลกที่มันกับผมดันเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ จากทีแรกผมมองว่าไอ้ซองจินมันดูจะเข้ากับคนอื่นยาก แต่เปล่าเลย มันกลับวางตัวสบายๆใส่ผมเสียอย่างนั้น
                “ซองจินไม่โกรธพี่เหรอที่ช่วงนี้พี่ชอบทิ้งให้นายอยู่คนเดียวบ่อยๆ ..” มิสเทคมันถามพลางลูบหัวน้องชายของมันเบาๆระหว่างรถกำลังติดไฟแดง
                “ผมอยู่คนเดียวซะที่ไหน เซอึนก็อยู่ ..พี่เลิกคิดมากเถอะ ผมอยู่ในสภาพแบบนี้มาตั้งนาน ผมช่วยเหลือตัวเองได้น่า ..

                ..
                “จริงๆนะพี่ เชื่อผมเถอะ ผมเก่งจะตายพี่ก็รู้ ..” อีซองจินยังคงพูดเจื้อยแจ้วกับพี่ชายของตัวเองไม่หยุด เพราะเขากำลังกล่อมให้พี่ของเขาสบายใจและไม่เป็นห่วงเขามากนัก

                “มากอดหน่อย ..” พอขับรถมาถึงบ้านไอ้มิสเทคมันเรียบร้อยแล้ว อีซองจินก็รีบเดินลงจากรถแล้วเปิดประตูรั้วบ้านอย่างคล่องแคล่ว ส่วนกูนี่ตกใจจนตาเหลือกเพราะกลัวว่าน้องมันจะเดินชนโน่นชนนี่เข้าให้
                “ถอยไปห่างๆเลย ผมโตแล้ว ..” อีซองจินแกว่งมือไปมาจนรอบทิศทางเพื่อไม่ให้ไอ้มิสเทคมันเข้าไปกอด

                “ทุกทียังให้กอดเลย .. อายไอ้คยูมันเหรอ โห อายเป็นด้วย ..” มิสเทคแม่งกวนตีนน้องตัวเองหรือเปล่าวะ ยืนยิ้มร่าเลยเนี่ย
                “จะไปไหนก็ไปเลยไป .. พี่เอาซองมินไปแล้วไม่ต้องเอามาคืนเลยนะ กวนประสาทแบบนี้ไม่รับคืนแล้ว ..” อีซองจินคลำทางมาหาอีซองมิน แล้วก็ออกแรงดันหลังไล่ให้ออกไปจากเขตรั้วบริเวณบ้าน

                “ถ้ามึงไม่รับคืน ก็อย่าโทรมาทวงแบบคืนนั้นนะเว้ย รู้มั้ยมันเดือดร้อนกู ..” ผมอมยิ้มพลางตบมุขกับน้องชายของมันอย่างเข้ากันได้ดี
                “พี่.. ผมฝากด้วยนะ ..” พอถูกผลักจนออกมายืนข้างนอกบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีซองจินก็ย้ำกับผมอีกครั้งคล้ายกับกลัวว่าผมจะดูแลพี่ชายของมันไม่ดี

                “เออน่า มึงสบายใจได้ ..” ผมกำมือชนกำปั้นกับซองจินที่ยกกำปั้นไว้รอเพื่อแทนคำสัญญา
                “ดูแลตัวเองด้วยนะซองจิน ช่วงนี้ก็ช่วยๆกันประหยัดหน่อย เดี๋ยวจะไม่มีทุนไปผ่าตัดเข้าใจไหม ?” มิสเทคมันเขย่งปลายเท้าไปขยี้ผมน้องชายของมันที่ตัวสูงกว่าอย่างเอ็นดู

                “ครับ .. ผมรักพี่นะ .. แล้วผมดีใจที่พี่เองก็มีคนมาคอยดูแลเหมือนกัน ..” อีซองจินยกยิ้มจนเต็มแก้ม พลางเป็นฝ่ายกอดพี่ชายของตัวเองอย่างไม่มีการอิดออด
                “ผมยังไม่รู้จักพี่ดีนัก แต่ถ้าซองมินเลือกพี่แล้ว ผมเชื่อว่าพี่คงมีดีพอตัว .. แต่อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าที่ผมยอมปล่อยผ่านได้ง่ายๆ มันคือการตัดสินใจที่ผิด .. ไม่อย่างนั้นผมเอาพี่ตายแน่โจวคยูฮยอน” อีซองมินผละตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายตัวเอง แล้วก็หันมาพูดกับผมด้วยท่าทางเรียบๆ หากแต่น้ำเสียงมันแฝงแววข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด

               
                “ถึงตอนนี้ผมจะมองไม่เห็น แต่ผมเคยเป็นนักกีฬาแม่นปืนนะพี่ .. แค่อยากบอกให้รู้”

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  

เปิดตัวน้องชายของซองมินอย่างเป็นทางการ 5555 
เรื่องนี้ซองจินอาจไม่เด็ด แต่ก็เอาเรื่องอยู่นะ มีขู่คนเพี้ยนด้วย
ตอนหน้าไปเที่ยวกันค่ะ

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 27

Mistake




Misatake 27

                วันนี้ไอ้มิสเทคมันคงขับรถผมไปทำงาน เพราะผมเอาแต่หลับเป็นตายเลยไปส่งมันไม่ได้ คือกูไม่ได้เหนื่อยเพราะกิจกรรมกรุบกริบช่วงดึกดื่นนั่นหรอกนะ แต่กูเหนื่อยสะสมมาตั้งแต่เริ่มเขียนโปรแกรมให้มันแล้ว พอได้นอนจนหลับสนิทมันก็เลยลากยาวซะเลยเถิดขนาดนี้
                ฉะนั้นสิ่งแรกที่กูต้องทำในวันนี้คือการโทรไปแอ๊บกับไอ้หัวหน้าว่ากูท้องเสียไม่หยุดจนต้องนอนในห้องน้ำ เท่านั้นไม่พอ กูต้องดัดเสียงแบบคนกำลังเหนื่อยและเพลียเหี้ยๆ มันถึงได้ยอมให้กูหยุดโดยที่กูไม่โดนด่าจนหูชา แต่ก็ใช่ว่ามันจะอนุญาตให้กูไม่ต้องหอบสังขารไปแอ๊บกับหมอที่โรงพยาบาลนะเว้ย!
            เชี่ยเหอะ ขี้เกียจขนาดนี้ กูยอมโดนหักเงินดีกว่าต้องไปแอ๊บให้หมอจับได้มั้ยมึง
            กูอายเค้า โตจนมีเมียแล้วยังสำออยแสดงความขี้เกียจเหมือนเด็กๆแบบนี้อีก ถ้าหมอรู้ความจริง หมอแม่งล้อกูตายชัก ..

                มื้อเช้าค่อนไปทางบ่ายของกูในวันนี้มีแค่ขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นกับกาแฟหนึ่งแก้ว คือมันน้อยมากนะ แต่กูใช้เวลาแดกเป็นชั่วโมง วันทั้งวันกูนั่งไม่ติดที่ เดี๋ยวลุกเดินไปนั่นมานี่ เดี๋ยวก็เปิดทีวีแล้วก็ปิด เดี๋ยวก็เปิดนั่นปิดนี่อยู่ตลอดเวลา เพราะกูกำลังตื่นเต้นและเป็นกังวลแทนไอ้มิสเทคมันอยู่ ..
ดูสิดู ..กูลุ้นยังกับว่างานพรีเซ็นต์แม่งเป็นงานของกูซะงั้น ..

                “กูขอให้มันผ่านไปด้วยดีนะมิสเทค ..” ผมถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอนมองเพดานนิ่งๆ จิตใจกูจะได้นิ่งด้วย ไม่คิดเลยว่าไอ้มิสเทคมันจะมีอิทธิพลกับผมมากมายขนาดนี้ ยิ่งผมรู้ดีว่ามันตั้งใจกับงานของมันมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งกลัวว่าถ้าหากผลลัพธ์ที่ได้มันไม่เป็นอย่างที่หวัง ไอ้มิสเทคมันจะเครียดและคิดมาก ..
                บอกตามตรง ถึงพี่อาราบอกว่าเธออยากจะรู้จักไอ้มิสเทคมันด้วยวิธีการแบบนี้ แต่เชื่อเลยว่านั่นเป็นแค่คำขู่เพื่อกวนตีนกูเล่นเท่านั้น เพราะความจริงพี่กูคงอยากได้คนของตัวเองมาร่วมงานด้วยจริงๆ แต่ก็คงจะเสียดายไอ้มิสเทคอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นพี่กูไม่ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เสียเวลาแข่งขันกันอยู่แบบนี้หรอก ..
                ซึ่งถ้าเกิดว่าผลงานมันเข้าตากรรมการทั้งสองฝ่ายล่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ?
            น้องชายต๊อกต๋อยอย่างกูที่ถูกห้ามไม่ให้ยุ่งกับเรื่องนี้ มีสิทธิ์จะร้องเรียนอะไรบ้างไหมวะ ?

                กูนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งฟ้ามืด กูเลยโทรสั่งมื้อเย็นมากินคนเดียว พอห้องเงียบๆไม่มีไอ้มิสเทคคอยเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ทำเอากูรู้สึกเหงาจนถึงขั้นเคว้งคว้างไปเลยว่ะ ..
                เป็นไปได้ว่ากูคงจะเคยชินกับการมีมันอยู่ร่วมห้องไปแล้วแน่ๆ
                 
                “เป็นยังไงบ้างวะ เงียบหายไปเลย ..” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ แล้วก็วางลงบนโต๊ะกระจกที่เดิม เมื่อทุกอย่างยังคงอยู่ในความสงบ และต่อให้ผมอยากโทรหามันใจจะขาดแค่ไหน ผมก็โทรไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่าป่านนี้การพรีเซ็นต์ผลงานของมันจะเสร็จสิ้นไปแล้วหรือยัง ..
                ผมนอนดูนาฬิกาทุกชั่วโมงจากทุ่มนึงจนกระทั่งเที่ยงคืน ไอ้มิสเทคมันก็ยังไม่กลับ เท่านั้นแหละผมเริ่มนอนนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว เพราะการพรีเซ็นต์แม่งไม่น่าจะดึกดื่นถึงขนาดนี้ ผมเลยกดโทรออกหามันอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ แต่ผลปรากฏว่าไอ้มิสเทคมันปิดเครื่อง ผมก็ยิ่งร้อนรนเพราะผมเป็นห่วงมัน ..

                “พี่ประชุมเสร็จหรือยัง ?” ผมโทรหาพี่สาว และทันทีที่เธอรับสายผมก็รีบรัวคำถามใส่อย่างรวดเร็ว
                “เสร็จตั้งแต่ทุ่มนึงแล้ว ..” พอได้ยินพี่อาราตอบแบบนั้น ผมก็รีบกดวางสายแล้ววิ่งออกจากห้องอย่างรนราน จึงทำให้ผมลืมแม้กระทั่งการใส่รองเท้า เพราะฉะนั้นเงินสักแดงผมก็ไม่มีติดตัว จะมีก็แต่ความมืดแปดด้านและความเป็นห่วงไอ้มิสเทคมันเท่านั้น ..

                “มึงอยู่ไหนวะ กูจะสติแตกแล้วนะเว้ย ..” ผมหันซ้ายแลขวาไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหน เพราะสมองตอนนี้มันตื้อไปหมด
                ….” ผมนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์แถวๆคอนโดของผมอยู่นานสองนาน แต่แล้วผมก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ เท่านั้นล่ะผมก็รีบวิ่งไปยังที่แห่งนั้นทันที พลางภาวนาในใจอย่างเป็นกังวลว่าปลายทางที่ผมกำลังจะไปถึง ขอให้มีมันอยู่ที่นั่นด้วยเถอะ ..
               
                แฮ่กๆ
               
                ผมยืนหอบหายใจอย่างโล่งอก เมื่อในสายตามองเห็นไอ้มิสเทคมันกำลังห้อยตัวอยู่บนราวเหล็กเหมือนอย่างที่ผมเคยแนะนำมันไปว่า หากมีเรื่องไม่สบายใจจนถึงขั้นอยากร้องไห้ให้ลองทำแบบนั้นดู สนามเด็กเล่นแถวๆคอนโดของผมในเวลานี้ยังคงเหมือนวันนั้นที่ผมพามันมาที่นี่ ด้วยเพราะช่วงเวลาในตอนนี้เด็กๆคงจะพากันนอนหลับฝันหวานกันหมดแล้ว สนามเด็กเล่นที่ควรจะครึกครื้นเลยเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย ..
                “มึงเป็นยังไงบ้าง ?” ผมเดินเข้าไปหามันอย่างแผ่วเบา เพราะไม่อยากรบกวนความคิดของมัน แต่พอผมเดินเข้าไปใกล้จนมองเห็นใบหน้าของมันในระยะประชิด ผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียกมันให้ตื่นจากภวังค์ ด้วยเพราะใบหน้าอันเศร้าหมองของมันทำเอาผมนึกเป็นห่วง ..

                “ก็..ดีมั้ง ..” มิสเทคมันม้วนตัวกลับหัวแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัย ผมก็เลยยืดตัวขึ้นแล้วยืนเต็มความสูง ขณะที่สายตาของผมกำลังจดจ้องใบหน้าของมันแน่นิ่ง ..
                “ได้ข่าวว่ามึงพรีเซ็นต์งานเสร็จตั้งแต่ทุ่มนึงแล้วไม่ใช่เหรอวะ มานั่งงมโข่งอยู่ที่นี่เพื่อ ?” ผมถามกวนตีนมันเพื่อหวังจะให้มันโวยวายอะไรออกมาบ้าง แต่ก็เปล่าเลย มิสเทคมันกลับนิ่งเงียบ ผมก็เลยได้แต่ยกยิ้มอย่างยากลำบาก

                “มึงโอเคนะ ?” ผมถามพลางลูบหัวไอ้มิสเทคที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งตั้งแต่ผมถามคำถามเมื่อสักครู่จบ
               

                “ถ้ามึงเสียใจก็ร้องไห้สิ ทำไมต้องเก็บไว้ ..” ผมบังคับมันให้เงยหน้าขึ้นมามองผม เลยทำให้ผมเห็นว่าดวงตาของมันกำลังสั่นไหวอีกทั้งแววตาก็ยังคลอแววน้ำจนแทบจะล้นปริ่ม ..
                ….” ริมฝีปากของมันเม้มแน่นคล้ายกับกำลังห้ามปรามไม่ให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ

                “กูเข้าใจว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอมึงอยู่ มึงเลยร้องไห้ออกมาไม่ได้ แต่ในตอนนี้มึงเป็นแฟนกูนะ มึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งกับกูเลย .. มิสเทคกูขอเห็นด้านอ่อนแอของมึงอีกได้ไหม .. ทีวันนั้นมึงยังยอมให้กูเห็นน้ำตาของมึงเลย ทำไมวันนี้มึงถึงไม่อยากให้กูเห็น หรือว่าเป็นเพราะเรื่องงานมึงเลยรู้สึกว่ามันน่าอายที่มึงจะเสียใจ ..” ผมถามพลางประครองใบหน้าของมันเอาไว้เบาๆ คือผมเข้าใจมันนะ ตลอดเวลามันไม่เคยร้องไห้เลย ยกเว้นวันนั้นที่ผมกับเซอึนบังเอิญเจอกัน มิสเทคมันก็เลยสติแตกจนถึงขั้นร้องไห้เพราะกลัวจะเสียผมไป
                ไอ้มิสเทคมันเป็นคนคิดเยอะ คิดอะไรซับซ้อน คงเพราะมันต้องดูแลน้องชายของมันตามหน้าที่พี่ชายที่ดีแถมยังเป็นเสาหลักของครอบครัว เวลามันมีปัญหาอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้ในใจคนเดียว เท่าที่เห็นมันดูคิดเยอะเรื่องน้องชายของมันมาก อะไรที่มันกระทบกระเทือนจิตใจของน้องชายมันได้ ไอ้มิสเทคมันจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด อย่างวันก่อนน้องชายมันโทรหา ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับ ท่าทางดูเหมือนจะทะเลาะกันนิดหน่อยด้วย ซึ่งสาเหตุก็คงไม่พ้นกูที่ห้ามไม่ยอมให้มันกลับบ้านกลับช่อง เท่านั้นล่ะมันรีบทิ้งงานทิ้งการที่กำลังจะต้องพรีเซ็นต์อยู่ล่อมล่อ แถมยังรีบทิ้งกูกลับบ้านอย่างไม่สนใจใยดีอีกต่างหาก
                บอกเลยว่าต่อให้มันรักกูมาก แต่ก็คงไม่มากเท่าน้องชายของมันหรอก ..
                ซึ่งกูรู้ตัวดี และกูไม่อาจเทียบชั้นกับน้องชายเขาว่ะ ..

                เมื่อคืนกูเลยทนรอมันแดกน้ำแค่ครึ่งชั่วโมงไม่ได้ไง เพราะมันกลับบ้านไปอยู่กับน้องมันต้องหนึ่งคืน ความเหงาแม่งเลยกัดกินหัวใจกูซะพังยับเยิน คิดดูดิ กูแม่งเป็นคนติดแฟนไม่ใช่ติดสัดซะแล้วว่ะ
                กูควรแสดงความยินดีกับตัวเองไหมวะนั่น ?

                “กูมืดแปดด้านไปหมด กูไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงกับชีวิตกู .. แล้วกูก็ไม่รู้ว่ากูควรจะเอายังไงกับชีวิตตัวเอง ” น้ำเสียงแหบพร่าของมันเรียกสติของกูที่กำลังจะเตลิดให้กลับมาสนใจมันอย่างตื่นตระหนก เมื่อน้ำตาที่มันกักเก็บเอาไว้กำลังไหลทะลักจนมือกูสั่น เพราะคราวนี้มันร้องไห้หนักกว่าตอนที่มันร้องไห้เพราะกูอีก ..
               

                “กูมั่นใจในความสามารถของตัวเองเกินไป จนกูลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีคนที่เขาเก่งกว่ากู .. คนของท่านประธานเก่งจริงๆนะมึง เขามองการณ์ไกลมากกว่ากูเยอะ ไม่แปลกเลยที่ท่านประธานจะเลือกเขาแล้วทิ้งกู ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นท่านประธานเป็นคนไปซื้อตัวกูมาจากบริษัทอื่น ..
                ….

                “กูย่ามใจเกินไป กูเลยไม่คิดหาทางออกให้ตัวเอง พอทุกอย่างมันพัง กูถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า กูยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ แล้วกูก็ยังมีน้องที่ต้องคอยดูแล .. กูคิดแต่ว่ากูเก่ง กูได้เปรียบเขาเพราะกูอยู่ที่บริษัทนี้มานานกว่าเขา กูย่อมรู้จุดแข็งจุดอ่อนของบริษัท แต่กลับกลายเป็นว่ามุมมองของกูมันแคบเกินไป .. เพราะกู .. เพราะกูคนเดียวที่ทำให้น้องกูอาจจะพลาดโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้ง ..” มิสเทคมันสติแตกไปแล้ว เพราะมันเอาแต่ร้องไห้ พลางพลั่งพลูเรื่องราวของมันที่ผมไม่เคยรู้ออกมาจนหมด ซึ่งคำพูดของมันเป็นมุมมองจากคนที่ไร้ทางออก แต่สำหรับกูพอได้ฟังแล้วกูรู้สึกว่าชีวิตมันยังไม่แย่ขนาดนั้น ถึงมันจะตกงาน แต่ก็ใช่ว่าอนาคตมันจะไม่มีงานนี่หว่า ..

                “มึงตั้งสติมิสเทค! มึงตกงานวันนี้ แต่ใช่ว่าวันหน้ามึงจะไม่มีงาน .. มึงไม่ได้ทำชั่วจนเขาให้มึงติดแบล็คลิสสักหน่อย แล้วแบบนี้น้องมึงจะพลาดโอกาสได้ไงวะ ..” ผมเขย่าตัวมันให้หยุดฟูมฟายไม่เข้าเรื่องอย่างแรง พลางตะโกนใส่หน้ามันไปด้วย ..
               

                “มึงแค่เสียเซลฟ์เท่านั้น มึงเลยคิดมากจนหลอนประสาท ..” ผมลูบหัว และข้างแก้มของมันเบาๆ
               

                “มึงยังอยู่ข้างๆกูใช่มั้ย ?” มิสเทคมันเขย่งปลายเท้า พลางวาดวงแขนขึ้นโอบรอบลำคอของผม พลางซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของผม พลางกระซิบถามเบาๆอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง
                “กูคิดกับมึงเกินกว่าคำว่าชอบไปมากแล้ว รู้จักมั้ยรักน่ะรัก .. กูถึงได้หยุดทุกอย่างไว้ที่มึงไงมิสเทค .. เพราะแบบนี้ ถ้ากูไม่อยู่ข้างๆมึง แล้วจะให้กูอยู่ข้างๆใครวะ ?” ผมตอบมันแบบกวนตีนๆและไม่ตรงคำถามสักเท่าไหร่ แต่น่าแปลกที่มิสเทคมันไม่ทำร้ายร่างกายกู แต่กลับกอดกูให้แน่นขึ้นกว่าเดิมซะงั้น ..

                “คยูมึงทำให้กูรู้สึกดีมากกว่าที่กูเคยคิดเอาไว้ตั้งเยอะ ..” มิสเทคมันเงยหน้าขึ้นมามองจ้องผม พร้อมกับยกยิ้มทั้งๆที่ใบหน้ายังคงเปื้อนน้ำตาจากความกังวลเมื่อครู่อยู่ ..
                “ก็แน่นอน ..กูบอกแล้วว่ากูคนนี้ถ้าตัดเรื่องมั่วไม่เลือกออกไป รับรองว่ามึงจะไม่มีวันเสียใจ เพราะกูซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองเยอะอยู่นา ..” ผมกอดอก พลางยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจกับคำชมของมันเสียหนึ่งที ส่วนริมฝีปากของกูนี่แม่งหุบไม่ลงเลยว่ะ
คือกูดีใจที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของมัน เพราะจากคำพูดนั้น มันทำให้ชีวิตกูดูมีคุณค่ามากขึ้น ..

                กูไม่เคยสนใจความรัก กูไม่เคยคิดอยากจะรู้จัก เพราะกูแค่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขและสนุกไปวันๆ ซึ่งความจริงแล้วความสุขที่กูอยากได้ ไม่ใช่ความสุขจากการปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบนั้น ..
                น่าเสียดายที่กูค้นพบความสุขของตัวเองมานานแล้ว แต่กูแค่ปล่อยปละละเลยมันไปจนทำให้มันเสียใจ เสียน้ำตาเพราะกูมานาน จากนี้กูเลยตั้งปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่า
                ความเสียใจของมัน ควรจบลงตั้งแต่ที่กูเริ่มเหยียบย่ำมันไปครั้งหนึ่ง ..
                ฉะนั้นครั้งที่สองและสามมันไม่ควรจะมีอีก เพราะโอกาส มักไม่ได้ถูกหยิบยื่นให้ใครซ้ำๆซากๆ

                “ทำไมมึงวิ่งออกมาข้างนอกทั้งสภาพแบบนี้ ..” มิสเทคมันถาม ขณะที่เราสองคนกำลังเดินกลับไปที่รถ ซึ่งจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้นัก
                “กูเป็นห่วงมึงนี่ กูเลยลืมทุกอย่าง ..” ผมตอบพลางมองไปทางอื่น เพราะกูกำลังเขิน

                “ขอบคุณนะ .. แต่มึงอย่าห่วงแบบนี้บ่อยๆ เพราะแผลมึงเองก็ยังไม่หาย ..” มิสเทคมันสอดปลายนิ้วเข้ามากอบกุมกับปลายนิ้วมือของผม จนกลายเป็นว่าเราสองคนกำลังเดินจับมือกันอยู่ ผมจึงแอบลอบยิ้มกับการกระทำของมัน แล้วยังต้องยิ้มมากขึ้นไปอีก เมื่อมันกำลังบอกผมว่ามันเองก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน ..
                ….

                “อาทิตย์นี้กูคงรอคำตอบจากท่านประธานที่กำลังเดินทางไปดูงานที่สาขาต่างจังหวัดจนนั่งไม่ติดที่ .. มึงอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยได้ไหม .. พากูไปที่ไหนหรือทำอะไรก็ได้ที่มันทำให้กูไม่คิดมาก ..” มิสเทคมันหยุดเดินพลางก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม
                “หยุดนานขนาดนั้น มึงไม่กลัวกูตกงานอีกคนนึงหรือไง ?” ผมย้อนถาม

                ….” คำถามของผมทำเอามิสเทคมันเงียบไปทันที แถมสีหน้าของมันก็ยังเศร้าๆอีกต่างหาก
                “มิสเทคมึงควรรู้ .. กูไม่มีทางตกงานหรอก ตราบใดที่กูกับท่านประธานยังเป็นพี่น้องกันอยู่ .. แต่ถึงอย่างนั้นกูก็เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยกินเงินเดือนไปวันๆเท่านั้น .. ” ผมบอกความลับกับมันพลางยักคิ้วให้

                “มึงอย่าไปเล่นตามเกมพี่กู .. ถึงเธอจะไม่อยากเอามึงเข้าตำแหน่งนั้นแล้ว แต่กูคิดว่าเธอไม่น่าจะทิ้งขว้างมึงง่ายๆ .. กูว่ากูเดาใจพี่สาวกูไม่ผิดหรอก .. ไม่งั้นวันนี้มึงต้องได้รับใบลาออกแล้วสิ ใช่ไหม ?” ผมบอกมันในสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันตั้งแต่ที่เห็นมันสติแตกคิดบ้าคิดบอจนแทบจะเลยเถิดแล้ว
                “กูงงว่ะ คือมึง ..” มิสเทคมันทำหน้างง แม้ว่ามันจะเข้าใจในคำพูดของกูตามประสาคนไม่โง่ แต่มันก็ยังคงมึนกับความรู้ใหม่อยู่ไม่น้อย ..
                เอาดีๆเรื่องกูเนี่ย มีแค่เพื่อนเชี่ยของกูเท่านั้นนะที่รู้ ..
                นอกจากนั้นก็มีไอ้มิสเทคอีกคนเนี่ยแหละที่ได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นมา ..
               
                “พี่กูบอกว่าเธออยากจะทำความรู้จักกับมึงจากงานนี้ .. กูว่าที่เธอไม่ยอมบอกว่าจะเอายังไงกับชีวิตมึงเนี่ย คงกำลังจะศึกษาล่ะมั้งว่ามึงเป็นคนยังไง และจะหาทางออกแบบไหนให้ชีวิตตัวเอง ..
               

                “ที่สำคัญ กูว่าพี่กูกำลังเร่งเวลาให้กูพามึงไปเปิดตัวอยู่ว่ะ ..
                ….

                “หรือถ้าไม่ได้เร่งเวลา พี่กูก็อาจจะมีแผนงานที่อยากให้กูเข้าไปช่วย แต่คงรู้ว่ากูไม่น่าจะตอบตกลงถึงได้กวนตีนกูแบบนี้ ..
                ….

                “เรื่องของมึง .. กูต้องเก็บเป็นความลับใช่ไหม ?” มิสเทคมันถามและเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
                “อืม .. กูไม่อยากวุ่นวาย ..” ผมตอบมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ผมกับมันกำลังเดินจับมือกันไม่ปล่อย

                “นอกจากกูมีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม ?
                “มีแค่เพื่อนกูสี่คนแค่นั้น ..” ผมตอบพลางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมันที่กำลังอมยิ้มบางๆกับคำตอบของผม

            อะไรวะ แค่มันรู้ความลับของกูแค่นี้ต้องยิ้มดีใจด้วย ..
               
                คือมึงเริ่มจะน่ารักมากไปแล้วนะมิสเทค .. กูชักจะหมั่นเขี้ยวมึงแล้วไง!
  
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  

งดความเกรียน มาซึ้งๆกันบ้างเนอะ
ดราม่ามีแค่นี้แหละ (นี่เรียกว่าดราม่าบ้านแกเหรอ)
จากตอนนี้คนอ่านจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้วเพี้ยนมันก็มีดีนะเว้ยเฮ้ย 
คำพูดคำจาดูเป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นมากกกก แม้จริงๆแล้วมันจะเป็นคนเพี้ยนก็ตาม
ส่วนมิสเทคก็เผยตัวตนออกมาจนหมดเปลือกแล้วล่ะเนอะ เพราะตั้งแต่ที่มิสเทคตัดสินใจรู้จักกับคยูฮยอนคนใหม่
มิสเทคคนยั่วและกวนตีนก็เริ่มจะหายไป เหลือแต่มิสเทคคนน่ารักเมื่อหลายปีก่อนซะแล้ว