Mistake
Misatake 27
วันนี้ไอ้มิสเทคมันคงขับรถผมไปทำงาน
เพราะผมเอาแต่หลับเป็นตายเลยไปส่งมันไม่ได้
คือกูไม่ได้เหนื่อยเพราะกิจกรรมกรุบกริบช่วงดึกดื่นนั่นหรอกนะ
แต่กูเหนื่อยสะสมมาตั้งแต่เริ่มเขียนโปรแกรมให้มันแล้ว
พอได้นอนจนหลับสนิทมันก็เลยลากยาวซะเลยเถิดขนาดนี้ …
ฉะนั้นสิ่งแรกที่กูต้องทำในวันนี้คือการโทรไปแอ๊บกับไอ้หัวหน้าว่ากูท้องเสียไม่หยุดจนต้องนอนในห้องน้ำ
เท่านั้นไม่พอ กูต้องดัดเสียงแบบคนกำลังเหนื่อยและเพลียเหี้ยๆ
มันถึงได้ยอมให้กูหยุดโดยที่กูไม่โดนด่าจนหูชา แต่ก็ใช่ว่ามันจะอนุญาตให้กูไม่ต้องหอบสังขารไปแอ๊บกับหมอที่โรงพยาบาลนะเว้ย!
เชี่ยเหอะ ขี้เกียจขนาดนี้ กูยอมโดนหักเงินดีกว่าต้องไปแอ๊บให้หมอจับได้มั้ยมึง
…
กูอายเค้า โตจนมีเมียแล้วยังสำออยแสดงความขี้เกียจเหมือนเด็กๆแบบนี้อีก
ถ้าหมอรู้ความจริง หมอแม่งล้อกูตายชัก ..
มื้อเช้าค่อนไปทางบ่ายของกูในวันนี้มีแค่ขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่นกับกาแฟหนึ่งแก้ว
คือมันน้อยมากนะ แต่กูใช้เวลาแดกเป็นชั่วโมง วันทั้งวันกูนั่งไม่ติดที่
เดี๋ยวลุกเดินไปนั่นมานี่ เดี๋ยวก็เปิดทีวีแล้วก็ปิด
เดี๋ยวก็เปิดนั่นปิดนี่อยู่ตลอดเวลา เพราะกูกำลังตื่นเต้นและเป็นกังวลแทนไอ้มิสเทคมันอยู่
..
ดูสิดู ..กูลุ้นยังกับว่างานพรีเซ็นต์แม่งเป็นงานของกูซะงั้น
..
“กูขอให้มันผ่านไปด้วยดีนะมิสเทค ..”
ผมถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอนมองเพดานนิ่งๆ จิตใจกูจะได้นิ่งด้วย
ไม่คิดเลยว่าไอ้มิสเทคมันจะมีอิทธิพลกับผมมากมายขนาดนี้
ยิ่งผมรู้ดีว่ามันตั้งใจกับงานของมันมากแค่ไหน ผมก็ยิ่งกลัวว่าถ้าหากผลลัพธ์ที่ได้มันไม่เป็นอย่างที่หวัง
ไอ้มิสเทคมันจะเครียดและคิดมาก ..
บอกตามตรง ถึงพี่อาราบอกว่าเธออยากจะรู้จักไอ้มิสเทคมันด้วยวิธีการแบบนี้
แต่เชื่อเลยว่านั่นเป็นแค่คำขู่เพื่อกวนตีนกูเล่นเท่านั้น
เพราะความจริงพี่กูคงอยากได้คนของตัวเองมาร่วมงานด้วยจริงๆ
แต่ก็คงจะเสียดายไอ้มิสเทคอยู่ไม่น้อย ไม่งั้นพี่กูไม่ทำให้ต่างฝ่ายต่างก็เสียเวลาแข่งขันกันอยู่แบบนี้หรอก
..
ซึ่งถ้าเกิดว่าผลงานมันเข้าตากรรมการทั้งสองฝ่ายล่ะ ใครจะอยู่ใครจะไป ?
น้องชายต๊อกต๋อยอย่างกูที่ถูกห้ามไม่ให้ยุ่งกับเรื่องนี้
มีสิทธิ์จะร้องเรียนอะไรบ้างไหมวะ ?
กูนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งฟ้ามืด
กูเลยโทรสั่งมื้อเย็นมากินคนเดียว
พอห้องเงียบๆไม่มีไอ้มิสเทคคอยเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
ทำเอากูรู้สึกเหงาจนถึงขั้นเคว้งคว้างไปเลยว่ะ ..
เป็นไปได้ว่ากูคงจะเคยชินกับการมีมันอยู่ร่วมห้องไปแล้วแน่ๆ
“เป็นยังไงบ้างวะ เงียบหายไปเลย ..”
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ แล้วก็วางลงบนโต๊ะกระจกที่เดิม
เมื่อทุกอย่างยังคงอยู่ในความสงบ และต่อให้ผมอยากโทรหามันใจจะขาดแค่ไหน
ผมก็โทรไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่าป่านนี้การพรีเซ็นต์ผลงานของมันจะเสร็จสิ้นไปแล้วหรือยัง
..
ผมนอนดูนาฬิกาทุกชั่วโมงจากทุ่มนึงจนกระทั่งเที่ยงคืน
ไอ้มิสเทคมันก็ยังไม่กลับ เท่านั้นแหละผมเริ่มนอนนิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว
เพราะการพรีเซ็นต์แม่งไม่น่าจะดึกดื่นถึงขนาดนี้
ผมเลยกดโทรออกหามันอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ แต่ผลปรากฏว่าไอ้มิสเทคมันปิดเครื่อง
ผมก็ยิ่งร้อนรนเพราะผมเป็นห่วงมัน ..
“พี่ประชุมเสร็จหรือยัง ?” ผมโทรหาพี่สาว
และทันทีที่เธอรับสายผมก็รีบรัวคำถามใส่อย่างรวดเร็ว
“เสร็จตั้งแต่ทุ่มนึงแล้ว ..” พอได้ยินพี่อาราตอบแบบนั้น
ผมก็รีบกดวางสายแล้ววิ่งออกจากห้องอย่างรนราน จึงทำให้ผมลืมแม้กระทั่งการใส่รองเท้า
เพราะฉะนั้นเงินสักแดงผมก็ไม่มีติดตัว
จะมีก็แต่ความมืดแปดด้านและความเป็นห่วงไอ้มิสเทคมันเท่านั้น ..
“มึงอยู่ไหนวะ กูจะสติแตกแล้วนะเว้ย ..”
ผมหันซ้ายแลขวาไม่รู้จะก้าวเดินไปทางไหน เพราะสมองตอนนี้มันตื้อไปหมด
“….” ผมนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงหน้าป้ายรถเมล์แถวๆคอนโดของผมอยู่นานสองนาน
แต่แล้วผมก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ เท่านั้นล่ะผมก็รีบวิ่งไปยังที่แห่งนั้นทันที
พลางภาวนาในใจอย่างเป็นกังวลว่าปลายทางที่ผมกำลังจะไปถึง ขอให้มีมันอยู่ที่นั่นด้วยเถอะ
..
แฮ่กๆ
ผมยืนหอบหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อในสายตามองเห็นไอ้มิสเทคมันกำลังห้อยตัวอยู่บนราวเหล็กเหมือนอย่างที่ผมเคยแนะนำมันไปว่า
หากมีเรื่องไม่สบายใจจนถึงขั้นอยากร้องไห้ให้ลองทำแบบนั้นดู
สนามเด็กเล่นแถวๆคอนโดของผมในเวลานี้ยังคงเหมือนวันนั้นที่ผมพามันมาที่นี่
ด้วยเพราะช่วงเวลาในตอนนี้เด็กๆคงจะพากันนอนหลับฝันหวานกันหมดแล้ว
สนามเด็กเล่นที่ควรจะครึกครื้นเลยเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย ..
“มึงเป็นยังไงบ้าง ?” ผมเดินเข้าไปหามันอย่างแผ่วเบา
เพราะไม่อยากรบกวนความคิดของมัน
แต่พอผมเดินเข้าไปใกล้จนมองเห็นใบหน้าของมันในระยะประชิด
ผมก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียกมันให้ตื่นจากภวังค์
ด้วยเพราะใบหน้าอันเศร้าหมองของมันทำเอาผมนึกเป็นห่วง ..
“ก็..ดีมั้ง ..”
มิสเทคมันม้วนตัวกลับหัวแล้วกระโดดลงมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัย
ผมก็เลยยืดตัวขึ้นแล้วยืนเต็มความสูง
ขณะที่สายตาของผมกำลังจดจ้องใบหน้าของมันแน่นิ่ง ..
“ได้ข่าวว่ามึงพรีเซ็นต์งานเสร็จตั้งแต่ทุ่มนึงแล้วไม่ใช่เหรอวะ
มานั่งงมโข่งอยู่ที่นี่เพื่อ ?” ผมถามกวนตีนมันเพื่อหวังจะให้มันโวยวายอะไรออกมาบ้าง
แต่ก็เปล่าเลย มิสเทคมันกลับนิ่งเงียบ ผมก็เลยได้แต่ยกยิ้มอย่างยากลำบาก
“มึงโอเคนะ ?”
ผมถามพลางลูบหัวไอ้มิสเทคที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งตั้งแต่ผมถามคำถามเมื่อสักครู่จบ
“…”
“ถ้ามึงเสียใจก็ร้องไห้สิ
ทำไมต้องเก็บไว้ ..” ผมบังคับมันให้เงยหน้าขึ้นมามองผม
เลยทำให้ผมเห็นว่าดวงตาของมันกำลังสั่นไหวอีกทั้งแววตาก็ยังคลอแววน้ำจนแทบจะล้นปริ่ม
..
“….” ริมฝีปากของมันเม้มแน่นคล้ายกับกำลังห้ามปรามไม่ให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ
“กูเข้าใจว่าศักดิ์ศรีมันค้ำคอมึงอยู่
มึงเลยร้องไห้ออกมาไม่ได้ แต่ในตอนนี้มึงเป็นแฟนกูนะ
มึงไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งกับกูเลย .. มิสเทคกูขอเห็นด้านอ่อนแอของมึงอีกได้ไหม
.. ทีวันนั้นมึงยังยอมให้กูเห็นน้ำตาของมึงเลย ทำไมวันนี้มึงถึงไม่อยากให้กูเห็น
หรือว่าเป็นเพราะเรื่องงานมึงเลยรู้สึกว่ามันน่าอายที่มึงจะเสียใจ ..” ผมถามพลางประครองใบหน้าของมันเอาไว้เบาๆ คือผมเข้าใจมันนะ
ตลอดเวลามันไม่เคยร้องไห้เลย ยกเว้นวันนั้นที่ผมกับเซอึนบังเอิญเจอกัน
มิสเทคมันก็เลยสติแตกจนถึงขั้นร้องไห้เพราะกลัวจะเสียผมไป
ไอ้มิสเทคมันเป็นคนคิดเยอะ
คิดอะไรซับซ้อน คงเพราะมันต้องดูแลน้องชายของมันตามหน้าที่พี่ชายที่ดีแถมยังเป็นเสาหลักของครอบครัว
เวลามันมีปัญหาอะไรก็มักจะเก็บเอาไว้ในใจคนเดียว เท่าที่เห็นมันดูคิดเยอะเรื่องน้องชายของมันมาก
อะไรที่มันกระทบกระเทือนจิตใจของน้องชายมันได้ ไอ้มิสเทคมันจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด
อย่างวันก่อนน้องชายมันโทรหา ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับ
ท่าทางดูเหมือนจะทะเลาะกันนิดหน่อยด้วย ซึ่งสาเหตุก็คงไม่พ้นกูที่ห้ามไม่ยอมให้มันกลับบ้านกลับช่อง
เท่านั้นล่ะมันรีบทิ้งงานทิ้งการที่กำลังจะต้องพรีเซ็นต์อยู่ล่อมล่อ แถมยังรีบทิ้งกูกลับบ้านอย่างไม่สนใจใยดีอีกต่างหาก
…
บอกเลยว่าต่อให้มันรักกูมาก แต่ก็คงไม่มากเท่าน้องชายของมันหรอก ..
ซึ่งกูรู้ตัวดี และกูไม่อาจเทียบชั้นกับน้องชายเขาว่ะ ..
เมื่อคืนกูเลยทนรอมันแดกน้ำแค่ครึ่งชั่วโมงไม่ได้ไง
เพราะมันกลับบ้านไปอยู่กับน้องมันต้องหนึ่งคืน ความเหงาแม่งเลยกัดกินหัวใจกูซะพังยับเยิน
คิดดูดิ กูแม่งเป็นคนติดแฟนไม่ใช่ติดสัดซะแล้วว่ะ …
กูควรแสดงความยินดีกับตัวเองไหมวะนั่น ?
“กูมืดแปดด้านไปหมด
กูไม่รู้ว่าเขาจะเอายังไงกับชีวิตกู .. แล้วกูก็ไม่รู้ว่ากูควรจะเอายังไงกับชีวิตตัวเอง
…”
น้ำเสียงแหบพร่าของมันเรียกสติของกูที่กำลังจะเตลิดให้กลับมาสนใจมันอย่างตื่นตระหนก
เมื่อน้ำตาที่มันกักเก็บเอาไว้กำลังไหลทะลักจนมือกูสั่น
เพราะคราวนี้มันร้องไห้หนักกว่าตอนที่มันร้องไห้เพราะกูอีก ..
“…”
“กูมั่นใจในความสามารถของตัวเองเกินไป
จนกูลืมไปว่าในโลกนี้ยังมีคนที่เขาเก่งกว่ากู .. คนของท่านประธานเก่งจริงๆนะมึง
เขามองการณ์ไกลมากกว่ากูเยอะ ไม่แปลกเลยที่ท่านประธานจะเลือกเขาแล้วทิ้งกู ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นท่านประธานเป็นคนไปซื้อตัวกูมาจากบริษัทอื่น
..”
“….”
“กูย่ามใจเกินไป
กูเลยไม่คิดหาทางออกให้ตัวเอง … พอทุกอย่างมันพัง กูถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า กูยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ
แล้วกูก็ยังมีน้องที่ต้องคอยดูแล .. กูคิดแต่ว่ากูเก่ง
กูได้เปรียบเขาเพราะกูอยู่ที่บริษัทนี้มานานกว่าเขา
กูย่อมรู้จุดแข็งจุดอ่อนของบริษัท แต่กลับกลายเป็นว่ามุมมองของกูมันแคบเกินไป ..
เพราะกู .. เพราะกูคนเดียวที่ทำให้น้องกูอาจจะพลาดโอกาสกลับมามองเห็นอีกครั้ง
..” มิสเทคมันสติแตกไปแล้ว เพราะมันเอาแต่ร้องไห้
พลางพลั่งพลูเรื่องราวของมันที่ผมไม่เคยรู้ออกมาจนหมด ซึ่งคำพูดของมันเป็นมุมมองจากคนที่ไร้ทางออก
แต่สำหรับกูพอได้ฟังแล้วกูรู้สึกว่าชีวิตมันยังไม่แย่ขนาดนั้น ถึงมันจะตกงาน
แต่ก็ใช่ว่าอนาคตมันจะไม่มีงานนี่หว่า ..
“มึงตั้งสติมิสเทค! มึงตกงานวันนี้
แต่ใช่ว่าวันหน้ามึงจะไม่มีงาน .. มึงไม่ได้ทำชั่วจนเขาให้มึงติดแบล็คลิสสักหน่อย
แล้วแบบนี้น้องมึงจะพลาดโอกาสได้ไงวะ ..”
ผมเขย่าตัวมันให้หยุดฟูมฟายไม่เข้าเรื่องอย่างแรง พลางตะโกนใส่หน้ามันไปด้วย ..
“…”
“มึงแค่เสียเซลฟ์เท่านั้น
มึงเลยคิดมากจนหลอนประสาท ..” ผมลูบหัว และข้างแก้มของมันเบาๆ
“…”
“มึงยังอยู่ข้างๆกูใช่มั้ย ?”
มิสเทคมันเขย่งปลายเท้า พลางวาดวงแขนขึ้นโอบรอบลำคอของผม
พลางซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของผม พลางกระซิบถามเบาๆอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง
“กูคิดกับมึงเกินกว่าคำว่าชอบไปมากแล้ว
รู้จักมั้ยรักน่ะรัก .. กูถึงได้หยุดทุกอย่างไว้ที่มึงไงมิสเทค .. เพราะแบบนี้
ถ้ากูไม่อยู่ข้างๆมึง แล้วจะให้กูอยู่ข้างๆใครวะ ?”
ผมตอบมันแบบกวนตีนๆและไม่ตรงคำถามสักเท่าไหร่
แต่น่าแปลกที่มิสเทคมันไม่ทำร้ายร่างกายกู แต่กลับกอดกูให้แน่นขึ้นกว่าเดิมซะงั้น ..
“คยูมึงทำให้กูรู้สึกดีมากกว่าที่กูเคยคิดเอาไว้ตั้งเยอะ
..” มิสเทคมันเงยหน้าขึ้นมามองจ้องผม พร้อมกับยกยิ้มทั้งๆที่ใบหน้ายังคงเปื้อนน้ำตาจากความกังวลเมื่อครู่อยู่
..
“ก็แน่นอน ..กูบอกแล้วว่ากูคนนี้ถ้าตัดเรื่องมั่วไม่เลือกออกไป รับรองว่ามึงจะไม่มีวันเสียใจ
เพราะกูซื่อสัตย์กับหัวใจตัวเองเยอะอยู่นา ..” ผมกอดอก
พลางยักคิ้วอย่างภาคภูมิใจกับคำชมของมันเสียหนึ่งที ส่วนริมฝีปากของกูนี่แม่งหุบไม่ลงเลยว่ะ
คือกูดีใจที่ได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของมัน
เพราะจากคำพูดนั้น มันทำให้ชีวิตกูดูมีคุณค่ามากขึ้น ..
กูไม่เคยสนใจความรัก กูไม่เคยคิดอยากจะรู้จัก
เพราะกูแค่อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขและสนุกไปวันๆ ซึ่งความจริงแล้วความสุขที่กูอยากได้
ไม่ใช่ความสุขจากการปล่อยเนื้อปล่อยตัวแบบนั้น ..
น่าเสียดายที่กูค้นพบความสุขของตัวเองมานานแล้ว
แต่กูแค่ปล่อยปละละเลยมันไปจนทำให้มันเสียใจ เสียน้ำตาเพราะกูมานาน
จากนี้กูเลยตั้งปฏิญาณกับตัวเองเอาไว้ว่า …
ความเสียใจของมัน
ควรจบลงตั้งแต่ที่กูเริ่มเหยียบย่ำมันไปครั้งหนึ่ง ..
ฉะนั้นครั้งที่สองและสามมันไม่ควรจะมีอีก
เพราะโอกาส มักไม่ได้ถูกหยิบยื่นให้ใครซ้ำๆซากๆ
“ทำไมมึงวิ่งออกมาข้างนอกทั้งสภาพแบบนี้
..” มิสเทคมันถาม ขณะที่เราสองคนกำลังเดินกลับไปที่รถ
ซึ่งจอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้นัก
“กูเป็นห่วงมึงนี่
กูเลยลืมทุกอย่าง ..” ผมตอบพลางมองไปทางอื่น เพราะกูกำลังเขิน
“ขอบคุณนะ .. แต่มึงอย่าห่วงแบบนี้บ่อยๆ
เพราะแผลมึงเองก็ยังไม่หาย ..”
มิสเทคมันสอดปลายนิ้วเข้ามากอบกุมกับปลายนิ้วมือของผม
จนกลายเป็นว่าเราสองคนกำลังเดินจับมือกันอยู่ ผมจึงแอบลอบยิ้มกับการกระทำของมัน
แล้วยังต้องยิ้มมากขึ้นไปอีก เมื่อมันกำลังบอกผมว่ามันเองก็เป็นห่วงผมเหมือนกัน ..
“….”
“อาทิตย์นี้กูคงรอคำตอบจากท่านประธานที่กำลังเดินทางไปดูงานที่สาขาต่างจังหวัดจนนั่งไม่ติดที่
.. มึงอยู่เป็นเพื่อนกูหน่อยได้ไหม .. พากูไปที่ไหนหรือทำอะไรก็ได้ที่มันทำให้กูไม่คิดมาก
..” มิสเทคมันหยุดเดินพลางก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม
“หยุดนานขนาดนั้น
มึงไม่กลัวกูตกงานอีกคนนึงหรือไง ?” ผมย้อนถาม
“….” คำถามของผมทำเอามิสเทคมันเงียบไปทันที
แถมสีหน้าของมันก็ยังเศร้าๆอีกต่างหาก
“มิสเทคมึงควรรู้ .. กูไม่มีทางตกงานหรอก
ตราบใดที่กูกับท่านประธานยังเป็นพี่น้องกันอยู่ ..
แต่ถึงอย่างนั้นกูก็เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยกินเงินเดือนไปวันๆเท่านั้น .. ” ผมบอกความลับกับมันพลางยักคิ้วให้
“มึงอย่าไปเล่นตามเกมพี่กู .. ถึงเธอจะไม่อยากเอามึงเข้าตำแหน่งนั้นแล้ว
แต่กูคิดว่าเธอไม่น่าจะทิ้งขว้างมึงง่ายๆ .. กูว่ากูเดาใจพี่สาวกูไม่ผิดหรอก
.. ไม่งั้นวันนี้มึงต้องได้รับใบลาออกแล้วสิ ใช่ไหม ?”
ผมบอกมันในสิ่งที่ผมอยากจะบอกมันตั้งแต่ที่เห็นมันสติแตกคิดบ้าคิดบอจนแทบจะเลยเถิดแล้ว
“กูงงว่ะ คือมึง ..” มิสเทคมันทำหน้างง
แม้ว่ามันจะเข้าใจในคำพูดของกูตามประสาคนไม่โง่ แต่มันก็ยังคงมึนกับความรู้ใหม่อยู่ไม่น้อย
..
เอาดีๆเรื่องกูเนี่ย
มีแค่เพื่อนเชี่ยของกูเท่านั้นนะที่รู้ ..
นอกจากนั้นก็มีไอ้มิสเทคอีกคนเนี่ยแหละที่ได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นมา ..
“พี่กูบอกว่าเธออยากจะทำความรู้จักกับมึงจากงานนี้
.. กูว่าที่เธอไม่ยอมบอกว่าจะเอายังไงกับชีวิตมึงเนี่ย คงกำลังจะศึกษาล่ะมั้งว่ามึงเป็นคนยังไง
และจะหาทางออกแบบไหนให้ชีวิตตัวเอง ..”
“…”
“ที่สำคัญ
กูว่าพี่กูกำลังเร่งเวลาให้กูพามึงไปเปิดตัวอยู่ว่ะ ..”
“….”
“หรือถ้าไม่ได้เร่งเวลา
พี่กูก็อาจจะมีแผนงานที่อยากให้กูเข้าไปช่วย
แต่คงรู้ว่ากูไม่น่าจะตอบตกลงถึงได้กวนตีนกูแบบนี้ ..”
“….”
“เรื่องของมึง .. กูต้องเก็บเป็นความลับใช่ไหม
?” มิสเทคมันถามและเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
“อืม .. กูไม่อยากวุ่นวาย ..” ผมตอบมันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขณะที่ผมกับมันกำลังเดินจับมือกันไม่ปล่อย
“นอกจากกูมีใครรู้เรื่องนี้อีกไหม
?”
“มีแค่เพื่อนกูสี่คนแค่นั้น ..”
ผมตอบพลางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมันที่กำลังอมยิ้มบางๆกับคำตอบของผม
อะไรวะ แค่มันรู้ความลับของกูแค่นี้ต้องยิ้มดีใจด้วย
..
คือมึงเริ่มจะน่ารักมากไปแล้วนะมิสเทค
.. กูชักจะหมั่นเขี้ยวมึงแล้วไง!
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
งดความเกรียน มาซึ้งๆกันบ้างเนอะ
ดราม่ามีแค่นี้แหละ (นี่เรียกว่าดราม่าบ้านแกเหรอ)
จากตอนนี้คนอ่านจะรู้สึกได้ว่า จริงๆแล้วเพี้ยนมันก็มีดีนะเว้ยเฮ้ย
คำพูดคำจาดูเป็นผู้ใหญ่ อบอุ่นมากกกก แม้จริงๆแล้วมันจะเป็นคนเพี้ยนก็ตาม
ส่วนมิสเทคก็เผยตัวตนออกมาจนหมดเปลือกแล้วล่ะเนอะ เพราะตั้งแต่ที่มิสเทคตัดสินใจรู้จักกับคยูฮยอนคนใหม่
มิสเทคคนยั่วและกวนตีนก็เริ่มจะหายไป เหลือแต่มิสเทคคนน่ารักเมื่อหลายปีก่อนซะแล้ว
[Fic KyuMin] Mistake 27