วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 24

Mistake


Mistake 24

               “มึงอย่าเดินนักเร็วดิวะ ..” ผมร้องเรียกไอ้มิสเทค พลางเดินด้วยท่าทางแปลกๆอย่างหวาดเสียว คือเมื่อคืนกูเจอเรื่องสยองถึงขั้นเสียเลือดไม่พอ ไอ้เชี่ยเอ้ย กูยังต้องโดนฉีดยาชาเพื่อถอดเล็บ ทำเอาน้ำตากูนี่เล็ดยังกับเขื่อนแตก
                “มึงก็หายดีแล้วนี่ ทำไมกูต้องสนมึงด้วย ?” ไอ้มิสเทคมันหยุดการก้าวเดินตรงหน้าลิฟต์ เพราะว่าแม่งต้องรอลิฟต์ครับ ไม่ใช่รอกู
                               
                “หายเชี่ยไรล่ะ .. กูยังต้องเสนอหน้าไปให้หมอล้างแผลอยู่นะเว้ย ..” ผมก้าวเดินเข้ามาในลิฟต์ พลางเถียงไอ้มิสเทคอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ดูแม่งดิ ก่อนพูดนี่พิจารณาท่าเดินของกูหรือยังว่ามันทุเรศแค่ไหน อีกอย่างนะ กูต้องเกร็งหัวแม่ตีนตลอดเวลาเลยนะเว้ย เพราะกูกลัวมันโดนเพดานรองเท้า
แม่ง กูต้องอยู่กับความอึดอัดและหวาดเสียวขนาดนี้ พูดมาได้ว่ากูหายดี

“แล้วคนหายดีที่ไหนเขาใส่รองเท้าแบบนี้ ? ความจริงมึงควรใส่แตะมั้ย ?” มิสเทคมันกดอกพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดตีนแบบจิกๆ คือเจอแบบนี้แม่งจี๊ดถึงใจเลยว่ะ
“กูอายนี่หว่า .. กูมันมนุษย์ไม่มีเล็บ ไอ้เชี่ยพวกนั้นล้อตายเลย ..” ผมเถียงไอ้มิสเทคเสียงเบาลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ เนื่องจากกูอายจริงๆไม่อิงนิยาย กูเลยใส่รองเท้าหุ้มส้นคู่เก่งของกูมาทำงาน ..

“มึงหันหน้าไปอ่านป้ายโฆษณาข้างหลังมึงเลยไป กูเหม็นขี้หน้ามึง ..” ไอ้มิสเทคมันชี้นิ้วสั่ง พลางถลึงตาใส่กูอีก
“อะไรวะ อย่าเคืองกูดิ .. คนมันอายให้ทำไง .. ” กูชักสีหน้าและน้ำเสียงใส่เต็มที่ คือแม่งกูก็บอกเหตุผลแล้วนะ ทำไมแม่งไม่เข้าใจกูบ้างวะ ต่อหน้ามันจะให้กูทุเรศทุรังแค่ไหนกูไม่อายหรอก แต่กับคนอื่นกูอายนะเว้ย
สาบานได้ มีมึงคนเดียวเท่านั้นนะ ที่กูยอมให้เห็นสภาพเหี้ยๆแบบนี้ ..
                เข้าใจกูบ้างดิ สัส!
            หลังจากสาดอารมณ์ใส่กันในลิฟต์แล้วต่างฝ่ายต่างก็หันหลังให้กัน มาจนถึงตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราก็ยังมึนตึงใส่กันอยู่ ผมนั่งทำงานของผม ส่วนไอ้มิสเทคมันขึ้นไปประชุมตั้งแต่เช้ากว่าจะเสร็จก็บ่าย เราก็เลยต่างคนต่างหามื้อกลางวันทานกันเอง ..
                แต่ถึงมิสเทคมันไม่มีประชุม ยังไงวันนี้ก็ต่างคนต่างแดกอยู่ดีแหละวะ!

                “กูไปหาอะไรแดกแป้บ” ผมลุกขึ้นยืนพลางบอกไอ้หัวหน้าแผนก แล้วก็ฉวยแก้วกาแฟติดมือขึ้นไปบนห้องครัวด้วย พอถึงที่หมายอย่างแรกที่กูทำคือ ถอดรองเท้าออกก่อนเลย คือนิ้วหัวแม่ตีนกูนี่ปวดเชี่ยๆ จากนั้นกูก็ถอดถุงเท้าออก แล้วก็วางส้นเท้าลงบนรองเท้าคู่เก่งอีกที ..
                 “ปวดว่ะ ..” ผมบ่นพลางเบ้หน้ามองนิ้วโป้งเท้าของตัวเองที่มีผ้าพันเอาไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค

                “ลำพังแค่เดินก็เจ็บอยู่แล้ว .. มึงยังจะใส่รองเท้าแบบนั้น แถมยังใส่ถุงเท้าอีกชั้น ไม่ปวดก็ให้มันรู้ไปดิ ..” มิสเทคมันเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับมองหน้าผมและแผลของผมด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ จากนั้นมันก็วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะข้างๆตัวผม ..
                “มึง ” ผมคว้าข้อมือของไอ้มิสเทคที่ยื่นยาแก้ปวดมาให้ แล้วก็ได้แต่มองหน้ามันอย่างพูดไม่ออก ..

                “กินดิ ไม่ปวดหรือไง ?” ไอ้มิสเทคมันสะบัดข้อมือออก แล้วก็เดินไปรินน้ำเปล่ามาให้
                ” ผมอมยิ้มแล้วก็กินยาที่มันให้ และดื่มน้ำจนหมดแก้ว  

                “ใส่รองเท้าแบบนี้เถอะ ถือว่ากูขอ ..” มิสเทคมันหยิบถุงผ้าสีขาวออกมาจากถุงกระดาษที่มันเป็นคนถือมา จากนั้นมันก็หยิบรองเท้าแตะสีน้ำตาลที่อยู่ในถุงผ้า วางลงตรงปลายเท้าของผม ..
                “ฝุ่นมันจะไม่โดนแผลกูเหรอ ?” ผมเริ่มหาข้ออ้าง เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าอีกไม่นาน กูปฏิเสธมันไม่ได้แน่

                “มึงก็ระวังดิ ..
                “แต่ เฮ้ย! ….” กูกำลังจะหาข้อโต้แย้งต่อไป แต่ปรากฏว่าไอ้มิสเทคมันทรุดตัวลงนั่งยองๆตรงหน้ากูเลยครับ จากนั้นมันก็คว้าข้อเท้าของกูข้างที่ยังปกติดีอยู่ เพื่อถอดรองเท้าออกให้ แล้วก็ถอดถุงเท้าให้ด้วย ..
                คือเจอแบบนี้ กูโคตรกลัวว่ามันจะใส่รองเท้าแตะให้กูด้วยเลยนะนั่น ..
                กูว่ากูใส่เองดีกว่า .. มึงไม่ต้องทำให้กูขนาดนี้ก็ได้ ..

            “เย็นนี้มึงจะไปส่งกูที่โรงพยาบาลก่อน หรือว่ามึงจะไปบ้านก่อน ?” ผมถามไอ้มิสเทคที่กำลังเก็บรองเท้าคู่เก่งของผมใส่ในถุงกระดาษให้อย่างดิบดี
                “ส่งมึงแหละ ไว้ค่อยไปเอาวันหลัง รอมึงหายก่อน ..” มิสเทคมันตอบ พลางเดินไปรินน้ำใส่แก้วที่ผมดื่มเมื่อครู่มาดื่มซะเอง ..

                “อืม ..” ผมตอบรับในลำคอ พลางอมยิ้มบางๆ
                “ยิ้มเชี่ยไร ?” มิสเทคมันถามอย่างเอาเรื่อง แต่กูก็หาได้หุบยิ้มไม่ ทำไมล่ะ กูอยากยิ้มนี่หว่า ..

                “ขอบคุณสำหรับไอ้นี่ ..” ผมบอกมัน พลางชี้ไปที่รองเท้าแตะสีน้ำตาล ที่เป็นเหมือนของขวัญชิ้นแรกที่ผมได้จากมัน ..
                ” มิสเทคมันเงียบ พลางเสมองไปทางอื่น แต่ริมฝีปากของมันกำลังกลั้นยิ้มอยู่ว่ะเฮ้ย

                “เขินทำไมวะ ไม่ต้องเขินดิ” ผมเลี่ยงไปชงชาได้สักพักใหญ่ พอหันกลับมาอีกทีก็ยังเห็นไอ้มิสเทคมันยืนอยู่ท่าเดิม ผมก็เลยเดินเข้าไปใกล้มัน แล้วก็ยกมือข้างที่ว่างขยี้หัวมันเบาๆ จากนั้นก็เอื้อมแขนและใช้นิ้วก้อยเกี่ยวถุงกระดาษติดมือมาด้วย ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว โดยทิ้งไอ้มิสเทคให้ยืนเขินอยู่ข้างหลังต่อไป ..
                เชี่ยเอ้ยยยยยย .. น่ารัก สัส!

                หมดกันไอ้เชี่ย ความละมุนละไมที่กูสร้างมาเมื่อกี้ พอกูเดินเข้ามาในออฟฟิศเท่านั้นแหละ ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้แม่งก็พากันหัวเราะกูชิบหายวายวอด จากที่กูลืมความอายไปหมดแล้ว มาเจองี้กูสตั้นนะเว้ย แม่ง!
                กูมันคนไม่มีเล็บ!
                กูมันตัวตลก!

            “ตลกเชี่ยไร มึงไม่เคยถอดเล็บบ้างให้มันรู้ไป ..” ผมเหวี่ยงถุงกระดาษใส่รองเท้าคู่เก่งเข้าไปกลางวงแดกผลไม้ของพวกแม่งทันทีที่มันเอ่ยปากแซวเรื่องเล็บตีนกู
                “เอ้าๆ มึงหลุดปากบอกกูเองนะ ช่วยไม่ได้ที่กูจะฮา ..” ไอ้ชางมิน ไอ้หัวหน้าเวร มึงมันหัวโจกเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้ให้กับลูกน้อง มึงควรโดนปลด สัสเอ้ย!

                “มึงอย่าเดินอย่างนั้นสิวะ เดี๋ยวกูคิดลึก ..” ไอ้มินโฮแม่งทำหน้าตาสยอง พลางมองท่าเดินของกูอย่างหวาดระแวง คือเชี่ยไรแม่งอีกเนี่ย กูจะสติแตกแล้ว ไอ้เชี่ยแค่มึงเรียกกูว่าไอ้คนไม่มีเล็บกูก็อับอายจะแย่แล้วนะเว้ย แม่งผู้หญิงก็มี ไว้หน้ากูบ้าง ..
                “มึงจะคิดเชี่ยไรอีก ?” ผมสะบัดเสียงถาม พลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม เพราะความคิดแม่งแต่ละอย่างไม่ธรรมดาทั้งนั้น

                “คิดว่ามึงเป็นเมียซองมินน่ะสิวะ ” หมดกัน น้ำชากูพุ่งใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มๆ กระจกนี่ลายพร้อยเลย แถมแก้วยังเสือกคว่ำใส่คีย์บอร์ดอีก
                มึงเอ้ยยยย ความซวยมาเยือนกูแล้ว!

                “เหี้ยเหอะ .. แม่ง .. ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนออกมาด่าพวกแม่งดี เลยได้แต่ก้มหน้าหยิบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดจอ แล้วก็เช็คคีย์บอร์ดเป็นการด่วน เนื่องจากกูมีลางสังหรณ์ว่ากูจะต้องเสียเงินชดใช้ให้บริษัทแน่ๆ
                “ม ..มีอะไรกันเหรอ ?” ไอ้มิสเทคที่เพิ่งจะเดินเข้ามาทำหน้าตาเหลอหลา เมื่อโดนทุกคนในห้อง ยกเว้นกูที่จ้องมองมันแบบมีเลศนัย

                “เปล๊า .. ใช่มั้ยเฮซอน ฮยอกแจ ” ไอ้มินโฮ ตอบเสียงสูงเชียวนะมึง แถมยังมีหน้าหันไปถามความเห็นลูกน้องมันอีก ท่าทางมึงนี่ปกติมาก ไอ้เชี่ย ความคิดส้นตีนแบบนี้มึงอย่าหลุดพูดออกมาเชียว เดี๋ยวตีนกูลั่น
                “อื้อๆ” ฝ่ายลูกน้องไอ้มิสเทคก็รีบพยักหน้าหัวสั่นหัวคลอนกันเลยทีเดียว

                “ท่าทางจะบ้า ..” ไอ้มิสเทคมันบ่นพึมพำ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่กูเสือกหูดีไงเลยได้ยิน จากนั้นกูก็หน้าซีดเลยครับ คีย์บอร์ดแม่งพังของแท้ งานการกูไม่ต้องทำแม่งแล้ว แถมคีย์บอร์ดสำรองก็ไม่มี
                ชีวิตกูนี่แม่งโคตรของโคตรซวย!
               
                ก่อนไปล้างแผล กูต้องรีบไปหาซื้อคีย์บอร์ดเพราะพรุ่งนี้กูยังมีงานต้องทำ ครั้นจะให้ไอ้มินโฮมันสั่งซื้อให้ก็ทำไม่ได้ เพราะมันต้องเปิดพีโอด้วย กูเลยต้องลากสังขารตัวเองมาหาซื้อคีย์บอร์ดเป็นอันดับแรก
                คิดดู คีย์บอร์ดสำคัญกว่าสุขภาพนิ้วตีนกูแค่ไหน ..
               
                “ใส่หม้อไฟแบบเมื่อวานดิ แบบนี้มันหายร้อนเร็ว ..” พอกลับมาถึงคอนโด อย่างแรกที่ต้องทำคือกิน เพราะผมและไอ้มิสเทคโคตรจะหิว แต่ที่ต้องหิ้วท้องมากินถึงห้องเนี่ย ก็เพราะเมื่อคืนมื้อเย็นของเรามันเป็นหมันไปแล้ว ด้วยความเสียดายอาหารทะเล วันนี้เลยต้องกลับมากินก่อนที่มันจะไม่สดยิ่งกว่าเดิม ..
                คิดดูเมื่อวานผมขวนขวายจะกินแฮมุลทังแค่ไหน ต้องทนรอตั้งนานเท่าไหร่กว่าจะได้แดก แต่สุดท้ายกูอด เท่านั้นไม่พอ กูยังเจ็บตัวด้วย
                คุ้มไหมล่ะ ?
                กูไม่รู้โว้ย เอาเป็นว่ากูให้ห้าสิบๆแล้วกัน ..

                “เรื่องเยอะนะมึงน่ะ ..” ไอ้มิสเทคมันบ่น แต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี มื้อเย็นของเราในวันนี้ก็เลยออกมาสมบูรณ์แบบ
                “มึงทำอร่อยดีว่ะ .. กูชอบ ..” ผมชมมันขึ้นมาโต้งๆ และนี่เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมชมมันในเรื่องนี้

                “ชอบก็กินให้มันเยอะๆ มองหน้ากูอยู่ได้ ..” มิสเทคมันชักสีหน้าใส่ พลางคีบกุ้งยัดปากผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว กูก็สำลักดิครับ
                “มึงใจเย็นดิวะ ..” ผมทุบอกตัวเองอั่กๆ พลางหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่ม แต่ปรากฏว่าน้ำหมด กูเลยขโมยน้ำไอ้มิสเทคมาแดกจนหมดแก้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาทั้งเหยือกเลย กูจะได้ไม่ต้องเดินมันหลายรอบ

                พอกินเสร็จไอ้มิสเทคมันก็จัดการเก็บล้างอย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมที่อิ่มท้องแล้วก็เดินไปนั่งตรงโซฟาไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณครัวนัก สายตาของผมมองจ้องแผ่นหลังของไอ้มิสเทคที่ยืนอยู่ตรงหน้าอ่างล้างจานเงียบๆ พลางอมยิ้มนิดๆ เมื่อได้เห็นมันเดินว่อนไปทั่วห้อง ..
                บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าเรื่องของเราจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้เลยว่ะ ..
                โคตรเหมือนฝัน ..

            “กูโคตรมีความสุขเลยว่ะ ..” ผมเดินไปนั่งบนโต๊ะที่เราทานมื้อเย็นกันเมื่อครู่
                ” ถึงไอ้มิสเทคมันไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ผมก็รู้ว่ามันกำลังตั้งใจฟังที่ผมพูดอยู่ ..

                “มึงอยู่กับกู .. มีความสุขไหมวะ ?” ผมถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจนัก เพราะผมไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับมัน ทุกครั้งที่ผมนึกไปถึงอดีต ผมมักจะรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบคิดถึงเรื่องราวพวกนั้น ..
                หรืออาจเป็นเพราะว่าผมรักมัน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันผมถึงไม่อยากลืม ?
                และทุกเรื่องของเรา ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ผมก็จำมันได้ทั้งหมด ..

                “เพราะกูไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับมึง .. กูเลยกังวลว่ามึงมีความสุขอยู่หรือเปล่า ..” ผมขยายความมากขึ้น เมื่อมิสเทคมันนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบ
                “คยู ..

                “อะไร ?” ผมจ้องหน้าไอ้มิสเทคที่เดินเข้ามาใกล้ผม พลางถามมันกลับไปเมื่อมันไม่ยอมพูดอะไรต่อ แต่กลับหยุดทุกคำพูดเอาไว้แค่การเรียกชื่อของเพียงเท่านั้น
                “มึงเป็นคนที่พอดีสำหรับกูก็พอแล้ว ..” มิสเทคมันทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆตัวมัน ซึ่งก็คือตรงหน้าของผม จากนั้นมันก็ท้าวคางและจ้องเข้ามาในดวงตาของผม แล้วมันก็ยิ้ม ..
ยิ้มแบบที่ผมเห็นแล้วยังอยากจะยิ้มตาม ..
และคำตอบของมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงจนเกินความพอดี ..
 
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

รีบเอามาลงก่อน เดี๋ยวพอทำงานแล้วคงอีกนานกว่าจะได้ลง 
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ เรื่องนี้ก็เรื่อยๆเรียบๆตามสไตล์ฟิคเราเหมือนเดิม
อาจมีฮาบ้าง ดราม่านิดหน่อย แต่ก็แนวๆอบอุ่นใจประมาณนั้น
ตอนที่แล้วที่ให้อ่านให้ครบเพราะเดี๋ยวทุกคนจะไม่รู้ว่าชีวิตคยูมันน่าสงสาร 5555
อาจจะลำบากในการหาลิงค์หน่อยก็ต้องขออภัย เรื่องก่อนเคยแปะลิงค์แล้วโดนแบนอย่างรวดเร็ว
เราเลยไม่อยากเสี่ยง
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น