Mistake
Mistake 24
“มึงอย่าเดินนักเร็วดิวะ ..” ผมร้องเรียกไอ้มิสเทค พลางเดินด้วยท่าทางแปลกๆอย่างหวาดเสียว
คือเมื่อคืนกูเจอเรื่องสยองถึงขั้นเสียเลือดไม่พอ ไอ้เชี่ยเอ้ย กูยังต้องโดนฉีดยาชาเพื่อถอดเล็บ
ทำเอาน้ำตากูนี่เล็ดยังกับเขื่อนแตก
“มึงก็หายดีแล้วนี่
ทำไมกูต้องสนมึงด้วย ?” ไอ้มิสเทคมันหยุดการก้าวเดินตรงหน้าลิฟต์ เพราะว่าแม่งต้องรอลิฟต์ครับ
ไม่ใช่รอกู …
“หายเชี่ยไรล่ะ .. กูยังต้องเสนอหน้าไปให้หมอล้างแผลอยู่นะเว้ย
..” ผมก้าวเดินเข้ามาในลิฟต์
พลางเถียงไอ้มิสเทคอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ดูแม่งดิ
ก่อนพูดนี่พิจารณาท่าเดินของกูหรือยังว่ามันทุเรศแค่ไหน อีกอย่างนะ
กูต้องเกร็งหัวแม่ตีนตลอดเวลาเลยนะเว้ย เพราะกูกลัวมันโดนเพดานรองเท้า …
แม่ง
กูต้องอยู่กับความอึดอัดและหวาดเสียวขนาดนี้ พูดมาได้ว่ากูหายดี …
“แล้วคนหายดีที่ไหนเขาใส่รองเท้าแบบนี้
? ความจริงมึงควรใส่แตะมั้ย ?”
มิสเทคมันกดอกพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดตีนแบบจิกๆ คือเจอแบบนี้แม่งจี๊ดถึงใจเลยว่ะ
“กูอายนี่หว่า .. กูมันมนุษย์ไม่มีเล็บ
ไอ้เชี่ยพวกนั้นล้อตายเลย ..”
ผมเถียงไอ้มิสเทคเสียงเบาลงจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ เนื่องจากกูอายจริงๆไม่อิงนิยาย
กูเลยใส่รองเท้าหุ้มส้นคู่เก่งของกูมาทำงาน ..
“มึงหันหน้าไปอ่านป้ายโฆษณาข้างหลังมึงเลยไป
กูเหม็นขี้หน้ามึง ..” ไอ้มิสเทคมันชี้นิ้วสั่ง พลางถลึงตาใส่กูอีก
“อะไรวะ
อย่าเคืองกูดิ .. คนมันอายให้ทำไง .. ” กูชักสีหน้าและน้ำเสียงใส่เต็มที่
คือแม่งกูก็บอกเหตุผลแล้วนะ ทำไมแม่งไม่เข้าใจกูบ้างวะ
ต่อหน้ามันจะให้กูทุเรศทุรังแค่ไหนกูไม่อายหรอก แต่กับคนอื่นกูอายนะเว้ย …
สาบานได้ มีมึงคนเดียวเท่านั้นนะ
ที่กูยอมให้เห็นสภาพเหี้ยๆแบบนี้ ..
เข้าใจกูบ้างดิ สัส!
หลังจากสาดอารมณ์ใส่กันในลิฟต์แล้วต่างฝ่ายต่างก็หันหลังให้กัน
มาจนถึงตอนนี้บรรยากาศระหว่างเราก็ยังมึนตึงใส่กันอยู่ ผมนั่งทำงานของผม
ส่วนไอ้มิสเทคมันขึ้นไปประชุมตั้งแต่เช้ากว่าจะเสร็จก็บ่าย
เราก็เลยต่างคนต่างหามื้อกลางวันทานกันเอง ..
แต่ถึงมิสเทคมันไม่มีประชุม ยังไงวันนี้ก็ต่างคนต่างแดกอยู่ดีแหละวะ!
“กูไปหาอะไรแดกแป้บ” ผมลุกขึ้นยืนพลางบอกไอ้หัวหน้าแผนก แล้วก็ฉวยแก้วกาแฟติดมือขึ้นไปบนห้องครัวด้วย
พอถึงที่หมายอย่างแรกที่กูทำคือ ถอดรองเท้าออกก่อนเลย
คือนิ้วหัวแม่ตีนกูนี่ปวดเชี่ยๆ จากนั้นกูก็ถอดถุงเท้าออก แล้วก็วางส้นเท้าลงบนรองเท้าคู่เก่งอีกที
..
“ปวดว่ะ ..”
ผมบ่นพลางเบ้หน้ามองนิ้วโป้งเท้าของตัวเองที่มีผ้าพันเอาไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค
“ลำพังแค่เดินก็เจ็บอยู่แล้ว .. มึงยังจะใส่รองเท้าแบบนั้น
แถมยังใส่ถุงเท้าอีกชั้น ไม่ปวดก็ให้มันรู้ไปดิ ..” มิสเทคมันเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับมองหน้าผมและแผลของผมด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ
จากนั้นมันก็วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะข้างๆตัวผม ..
“มึง …”
ผมคว้าข้อมือของไอ้มิสเทคที่ยื่นยาแก้ปวดมาให้ แล้วก็ได้แต่มองหน้ามันอย่างพูดไม่ออก
..
“กินดิ ไม่ปวดหรือไง ?” ไอ้มิสเทคมันสะบัดข้อมือออก แล้วก็เดินไปรินน้ำเปล่ามาให้
“…” ผมอมยิ้มแล้วก็กินยาที่มันให้ และดื่มน้ำจนหมดแก้ว
“ใส่รองเท้าแบบนี้เถอะ ถือว่ากูขอ
..” มิสเทคมันหยิบถุงผ้าสีขาวออกมาจากถุงกระดาษที่มันเป็นคนถือมา
จากนั้นมันก็หยิบรองเท้าแตะสีน้ำตาลที่อยู่ในถุงผ้า วางลงตรงปลายเท้าของผม ..
“ฝุ่นมันจะไม่โดนแผลกูเหรอ ?” ผมเริ่มหาข้ออ้าง
เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าอีกไม่นาน กูปฏิเสธมันไม่ได้แน่
“มึงก็ระวังดิ .. ”
“แต่ … เฮ้ย! ….” กูกำลังจะหาข้อโต้แย้งต่อไป
แต่ปรากฏว่าไอ้มิสเทคมันทรุดตัวลงนั่งยองๆตรงหน้ากูเลยครับ
จากนั้นมันก็คว้าข้อเท้าของกูข้างที่ยังปกติดีอยู่ เพื่อถอดรองเท้าออกให้ แล้วก็ถอดถุงเท้าให้ด้วย
..
คือเจอแบบนี้ กูโคตรกลัวว่ามันจะใส่รองเท้าแตะให้กูด้วยเลยนะนั่น ..
กูว่ากูใส่เองดีกว่า .. มึงไม่ต้องทำให้กูขนาดนี้ก็ได้
..
“เย็นนี้มึงจะไปส่งกูที่โรงพยาบาลก่อน
หรือว่ามึงจะไปบ้านก่อน ?” ผมถามไอ้มิสเทคที่กำลังเก็บรองเท้าคู่เก่งของผมใส่ในถุงกระดาษให้อย่างดิบดี
“ส่งมึงแหละ ไว้ค่อยไปเอาวันหลัง
รอมึงหายก่อน ..” มิสเทคมันตอบ พลางเดินไปรินน้ำใส่แก้วที่ผมดื่มเมื่อครู่มาดื่มซะเอง ..
“อืม ..” ผมตอบรับในลำคอ พลางอมยิ้มบางๆ
“ยิ้มเชี่ยไร ?”
มิสเทคมันถามอย่างเอาเรื่อง แต่กูก็หาได้หุบยิ้มไม่ ทำไมล่ะ กูอยากยิ้มนี่หว่า ..
“ขอบคุณสำหรับไอ้นี่ ..” ผมบอกมัน
พลางชี้ไปที่รองเท้าแตะสีน้ำตาล ที่เป็นเหมือนของขวัญชิ้นแรกที่ผมได้จากมัน ..
“…” มิสเทคมันเงียบ พลางเสมองไปทางอื่น
แต่ริมฝีปากของมันกำลังกลั้นยิ้มอยู่ว่ะเฮ้ย …
“เขินทำไมวะ ไม่ต้องเขินดิ” ผมเลี่ยงไปชงชาได้สักพักใหญ่
พอหันกลับมาอีกทีก็ยังเห็นไอ้มิสเทคมันยืนอยู่ท่าเดิม ผมก็เลยเดินเข้าไปใกล้มัน
แล้วก็ยกมือข้างที่ว่างขยี้หัวมันเบาๆ
จากนั้นก็เอื้อมแขนและใช้นิ้วก้อยเกี่ยวถุงกระดาษติดมือมาด้วย
ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว โดยทิ้งไอ้มิสเทคให้ยืนเขินอยู่ข้างหลังต่อไป ..
เชี่ยเอ้ยยยยยย .. น่ารัก สัส!
หมดกันไอ้เชี่ย
ความละมุนละไมที่กูสร้างมาเมื่อกี้ พอกูเดินเข้ามาในออฟฟิศเท่านั้นแหละ ไอ้เพื่อนเวรพวกนี้แม่งก็พากันหัวเราะกูชิบหายวายวอด
จากที่กูลืมความอายไปหมดแล้ว มาเจองี้กูสตั้นนะเว้ย แม่ง!
กูมันคนไม่มีเล็บ!
กูมันตัวตลก!
“ตลกเชี่ยไร
มึงไม่เคยถอดเล็บบ้างให้มันรู้ไป ..”
ผมเหวี่ยงถุงกระดาษใส่รองเท้าคู่เก่งเข้าไปกลางวงแดกผลไม้ของพวกแม่งทันทีที่มันเอ่ยปากแซวเรื่องเล็บตีนกู
…
“เอ้าๆ มึงหลุดปากบอกกูเองนะ ช่วยไม่ได้ที่กูจะฮา ..”
ไอ้ชางมิน ไอ้หัวหน้าเวร มึงมันหัวโจกเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้ให้กับลูกน้อง
มึงควรโดนปลด สัสเอ้ย!
“มึงอย่าเดินอย่างนั้นสิวะ เดี๋ยวกูคิดลึก ..”
ไอ้มินโฮแม่งทำหน้าตาสยอง พลางมองท่าเดินของกูอย่างหวาดระแวง คือเชี่ยไรแม่งอีกเนี่ย
กูจะสติแตกแล้ว ไอ้เชี่ยแค่มึงเรียกกูว่าไอ้คนไม่มีเล็บกูก็อับอายจะแย่แล้วนะเว้ย แม่งผู้หญิงก็มี
ไว้หน้ากูบ้าง ..
“มึงจะคิดเชี่ยไรอีก ?” ผมสะบัดเสียงถาม พลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม
เพราะความคิดแม่งแต่ละอย่างไม่ธรรมดาทั้งนั้น
“คิดว่ามึงเป็นเมียซองมินน่ะสิวะ …” หมดกัน
น้ำชากูพุ่งใส่หน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มๆ กระจกนี่ลายพร้อยเลย แถมแก้วยังเสือกคว่ำใส่คีย์บอร์ดอีก
…
มึงเอ้ยยยย ความซวยมาเยือนกูแล้ว!
“เหี้ยเหอะ .. แม่ง .. ”
ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนออกมาด่าพวกแม่งดี เลยได้แต่ก้มหน้าหยิบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดจอ
แล้วก็เช็คคีย์บอร์ดเป็นการด่วน
เนื่องจากกูมีลางสังหรณ์ว่ากูจะต้องเสียเงินชดใช้ให้บริษัทแน่ๆ
“ม ..มีอะไรกันเหรอ ?” ไอ้มิสเทคที่เพิ่งจะเดินเข้ามาทำหน้าตาเหลอหลา เมื่อโดนทุกคนในห้อง
ยกเว้นกูที่จ้องมองมันแบบมีเลศนัย
“เปล๊า .. ใช่มั้ยเฮซอน
ฮยอกแจ …” ไอ้มินโฮ ตอบเสียงสูงเชียวนะมึง
แถมยังมีหน้าหันไปถามความเห็นลูกน้องมันอีก ท่าทางมึงนี่ปกติมาก ไอ้เชี่ย
ความคิดส้นตีนแบบนี้มึงอย่าหลุดพูดออกมาเชียว เดี๋ยวตีนกูลั่น …
“อื้อๆ” ฝ่ายลูกน้องไอ้มิสเทคก็รีบพยักหน้าหัวสั่นหัวคลอนกันเลยทีเดียว
“ท่าทางจะบ้า ..”
ไอ้มิสเทคมันบ่นพึมพำ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่กูเสือกหูดีไงเลยได้ยิน
จากนั้นกูก็หน้าซีดเลยครับ คีย์บอร์ดแม่งพังของแท้ งานการกูไม่ต้องทำแม่งแล้ว
แถมคีย์บอร์ดสำรองก็ไม่มี
ชีวิตกูนี่แม่งโคตรของโคตรซวย!
ก่อนไปล้างแผล
กูต้องรีบไปหาซื้อคีย์บอร์ดเพราะพรุ่งนี้กูยังมีงานต้องทำ
ครั้นจะให้ไอ้มินโฮมันสั่งซื้อให้ก็ทำไม่ได้ เพราะมันต้องเปิดพีโอด้วย
กูเลยต้องลากสังขารตัวเองมาหาซื้อคีย์บอร์ดเป็นอันดับแรก …
คิดดู คีย์บอร์ดสำคัญกว่าสุขภาพนิ้วตีนกูแค่ไหน ..
“ใส่หม้อไฟแบบเมื่อวานดิ
แบบนี้มันหายร้อนเร็ว ..” พอกลับมาถึงคอนโด อย่างแรกที่ต้องทำคือกิน เพราะผมและไอ้มิสเทคโคตรจะหิว
แต่ที่ต้องหิ้วท้องมากินถึงห้องเนี่ย ก็เพราะเมื่อคืนมื้อเย็นของเรามันเป็นหมันไปแล้ว
ด้วยความเสียดายอาหารทะเล วันนี้เลยต้องกลับมากินก่อนที่มันจะไม่สดยิ่งกว่าเดิม ..
คิดดูเมื่อวานผมขวนขวายจะกินแฮมุลทังแค่ไหน
ต้องทนรอตั้งนานเท่าไหร่กว่าจะได้แดก แต่สุดท้ายกูอด เท่านั้นไม่พอ
กูยังเจ็บตัวด้วย …
คุ้มไหมล่ะ ?
กูไม่รู้โว้ย เอาเป็นว่ากูให้ห้าสิบๆแล้วกัน ..
“เรื่องเยอะนะมึงน่ะ ..” ไอ้มิสเทคมันบ่น
แต่ก็ยอมทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี มื้อเย็นของเราในวันนี้ก็เลยออกมาสมบูรณ์แบบ
“มึงทำอร่อยดีว่ะ .. กูชอบ ..” ผมชมมันขึ้นมาโต้งๆ และนี่เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมชมมันในเรื่องนี้
“ชอบก็กินให้มันเยอะๆ
มองหน้ากูอยู่ได้ ..” มิสเทคมันชักสีหน้าใส่ พลางคีบกุ้งยัดปากผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
กูก็สำลักดิครับ
“มึงใจเย็นดิวะ ..” ผมทุบอกตัวเองอั่กๆ
พลางหยิบแก้วน้ำของตัวเองขึ้นมาดื่ม แต่ปรากฏว่าน้ำหมด กูเลยขโมยน้ำไอ้มิสเทคมาแดกจนหมดแก้ว
จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาทั้งเหยือกเลย กูจะได้ไม่ต้องเดินมันหลายรอบ
พอกินเสร็จไอ้มิสเทคมันก็จัดการเก็บล้างอย่างคล่องแคล่ว
ส่วนผมที่อิ่มท้องแล้วก็เดินไปนั่งตรงโซฟาไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณครัวนัก
สายตาของผมมองจ้องแผ่นหลังของไอ้มิสเทคที่ยืนอยู่ตรงหน้าอ่างล้างจานเงียบๆ
พลางอมยิ้มนิดๆ เมื่อได้เห็นมันเดินว่อนไปทั่วห้อง ..
บอกตรงๆ ผมไม่คิดว่าเรื่องของเราจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้เลยว่ะ ..
โคตรเหมือนฝัน ..
“กูโคตรมีความสุขเลยว่ะ
..” ผมเดินไปนั่งบนโต๊ะที่เราทานมื้อเย็นกันเมื่อครู่
“…” ถึงไอ้มิสเทคมันไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่ผมก็รู้ว่ามันกำลังตั้งใจฟังที่ผมพูดอยู่ ..
“มึงอยู่กับกู .. มีความสุขไหมวะ ?” ผมถามออกไปด้วยความไม่มั่นใจนัก เพราะผมไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับมัน
ทุกครั้งที่ผมนึกไปถึงอดีต ผมมักจะรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเอง
แต่ก็ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบคิดถึงเรื่องราวพวกนั้น ..
หรืออาจเป็นเพราะว่าผมรักมัน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมันผมถึงไม่อยากลืม ?
และทุกเรื่องของเรา ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ผมก็จำมันได้ทั้งหมด ..
“เพราะกูไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับมึง .. กูเลยกังวลว่ามึงมีความสุขอยู่หรือเปล่า
..” ผมขยายความมากขึ้น เมื่อมิสเทคมันนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบ
“คยู ..”
“อะไร ?”
ผมจ้องหน้าไอ้มิสเทคที่เดินเข้ามาใกล้ผม พลางถามมันกลับไปเมื่อมันไม่ยอมพูดอะไรต่อ
แต่กลับหยุดทุกคำพูดเอาไว้แค่การเรียกชื่อของเพียงเท่านั้น
“มึงเป็นคนที่พอดีสำหรับกูก็พอแล้ว
..” มิสเทคมันทิ้งตัวลงนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆตัวมัน ซึ่งก็คือตรงหน้าของผม
จากนั้นมันก็ท้าวคางและจ้องเข้ามาในดวงตาของผม …แล้วมันก็ยิ้ม
..
ยิ้มแบบที่ผมเห็นแล้วยังอยากจะยิ้มตาม
..
และคำตอบของมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงจนเกินความพอดี
..
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
รีบเอามาลงก่อน เดี๋ยวพอทำงานแล้วคงอีกนานกว่าจะได้ลง
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ เรื่องนี้ก็เรื่อยๆเรียบๆตามสไตล์ฟิคเราเหมือนเดิม
อาจมีฮาบ้าง ดราม่านิดหน่อย แต่ก็แนวๆอบอุ่นใจประมาณนั้น
ตอนที่แล้วที่ให้อ่านให้ครบเพราะเดี๋ยวทุกคนจะไม่รู้ว่าชีวิตคยูมันน่าสงสาร 5555
อาจจะลำบากในการหาลิงค์หน่อยก็ต้องขออภัย เรื่องก่อนเคยแปะลิงค์แล้วโดนแบนอย่างรวดเร็ว
เราเลยไม่อยากเสี่ยง
[Fic KyuMin] Mistake 24