Mistake
Misatake 26
พรุ่งนี้ตอนบ่ายไอ้มิสเทคมันต้องเข้าพรีเซ็นต์แล้ว
ส่วนตอนเช้าท่านประธานเขามีคำสั่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่
จะว่าไปจนป่านนี้ผมก็ยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของคู่แข่งมันเลย กูล่ะอยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใคร
เก่งมาจากไหนถึงได้บังอาจคิดมาเลื่อยขาเก้าอี้ไอ้มิสเทคมันแบบนี้ ..
แล้วพี่กูก็นะ เต็มใจให้เขาเลื่อยขาเก้าอี้แฟนกูอีก ..
แม่งมีดีอะไรวะ
?
สรุปโปรแกรมที่มิสเทคแม่งให้กูเขียนนี่ทำเอากูแทบลมจับ
เพราะกูต้องอดหลับอดนอนเขียนให้มัน คือแม่งกวนตีนกูไง
ตอนขอให้ช่วยล่ะเสือกบอกว่าเขียนไม่ทันก็ไม่เป็นไร เอาแค่แบบร่างโปรแกรมก่อนก็ได้
ถุย! ไอ้สัส แค่ข้ามวันเท่านั้น แม่งก็บีบบังคับกูชิบหาย แล้วเป็นไง
ขอบตากูนี่สภาพเหมือนหมีแพนด้าผสมหมีควายเลยมั้ง ห่า..
ดีนะแม่งทำแผลให้กูเป็นการตอบแทน
…
ไม่งั้นนะ
มีเฮแน่มึง!
“เสร็จซะที .. ถึงมันจะยังไม่สมบูรณ์ก็เถอะ
..” ผมทิ้งตัวลงนอนราบกับพื้นทันทีที่โปรแกรมมันออกมาเป็นรูปเป็นร่างให้ไอ้มิสเทคมันเอาไว้โชว์เวลาพรีเซ็นต์
แต่ถ้าเกิดจะใช้งานจริง กูต้องมาเขียนโค้ดอะไรเพิ่มก่อนนะเว้ย
นี่กูแค่ทำให้มันพอใช้งานได้เท่านั้น ..
“กี่โมงแล้ววะ
น้ำท่ากูก็ยังไม่ได้อาบ ..” ผมนอนหลับตาพลางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากเพื่อบดบังแสงไฟจากเพดานห้อง
แต่สักพักผมก็ต้องกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อดูเวลาว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ..
“เหี้ย! ตีหนึ่งแล้ว
พรุ่งนี้กูจะตื่นไปทำงานไหวรึเปล่าวะนั่น”
ผมรีบเก็บโน้ตบุคที่ไอ้มิสเทคมันเอาไว้ใช้พรีเซ็นต์ในวันพรุ่งนี้ทันที จากนั้นก็ถือกระเป๋าโน้ตบุคเข้าไปเก็บไว้ในห้องนอน
แต่กูต้องอย่าทำเสียงดังเด็ดขาด เพราะไอ้มิสเทคมันนอนหลับไปแล้ว …
ซึ่งกว่าแม่งจะยอมนอน
กูต้องขู่แล้วขู่อีก …
คือแม่งมีอย่างที่ไหนวะ
แม่งจะพรีเซ็นต์อยู่แล้ว เสือกจะมาเคร่งเครียดกับมันอีก คือมึงควรพักผ่อนมั้ย
พรุ่งนี้สมองจะได้ปลอดโปร่งโล่งสบาย งานของแม่งจะได้ฉลุย
ไม่ใช่ตื่นเช้ามาก็มัวแต่นั่งอึน เพราะเมื่อคืนนอนไม่พอ…
ก็ถ้าเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้มันพลาด
กูจะสมน้ำหน้าให้ ..
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก
เพราะตั้งใจจะประหยัดเวลาส่วนตัว เพื่อเพิ่มเวลานอนตายให้ยาวนานอีกนิด แล้วก็นะ
พรุ่งนี้เช้ากูคงตื่นไม่ไหวแน่ๆ อาจจะต้องโทรไปสำออยลางานกับไอ้ชางมิน
แล้วก็แอ๊บเบาๆว่ากูป่วย ใกล้จะตายแล้วอะไรแบบนี้
พอหลังจากนั้นกูก็ต้องไปแอ๊บกับหมอที่โรงพยาบาลด้วย เพื่อเอาใบรับรองแพทย์
กูจะได้ไม่โดนหักเงิน…
คิดแล้วก็นึกสงสารตัวเอง
ถ้าเกิดกูป่วยหนักใกล้ตายขึ้นมาจริงๆ กูยังต้องลากสังขารไปหาหมอถึงโรงพยาบาลอีก
เหี้ยเหอะ ใกล้ตายขนาดนั้น
กูยังต้องมีความพยายามเพื่อเอาใบรับรองแพทย์มายืนยันกับฝ่ายบุคคลว่ากูป่วยจริงไม่อิงมโน
คือแม่งใครมันเป็นคนริเริ่มคิดกฏเกณฑ์นี้ให้ได้ใช้กันทั่วโลกวะ
ไอ้เหี้ย!
อย่าให้กูรู้นะ
กูจะไปสังหารแม่ง!
หลังจากคิดอะไรเพลินๆ
ผมก็ใกล้จะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว คือถ้าเกิดไอ้มิสเทคแม่งไม่ลุกขึ้นมานั่งกลางดึกแบบนี้ซะก่อนน่ะ
กูได้หลับเป็นตายจนถอดจิตลอยขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดไปนานแล้ว ..
คือไอ้มิสเทคแม่ง
ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่ตอนกูจะนอนแม่งก็ยังรังแกกูได้
กูได้แต่คิดเหน็บแนมมันอยู่ในใจ
ขณะที่สายตาของกูก็เอาแต่มองมัน แม้ว่ากูจะง่วงโคตรๆแล้วก็เถอะ
เลยเห็นว่าไอ้มิสเทคมันนั่งอึนของมันอยู่พักใหญ่
แล้วแม่งก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็เปิดประตูออกไปนอกห้อง กูเดาว่ามันคงหิวน้ำ
เลยตื่นขึ้นมากลางดึก พอคิดได้อย่างนั้นกูก็หลับตาเตรียมตัวจะนอนต่อ ..
คือตากูมันหลับจริง
แต่ใจของกูแม่งคอยแต่จะสนใจฟังเสียงเปิดประตูห้องนอนของมันอยู่นั่นแหละ …
แล้วเมื่อไหร่แม่งจะแดกน้ำอิ่มสักทีวะ
กูจะได้นอนบ้างไรบ้าง ..
“แม่งๆ
กูโคตรรำคาญตัวเองเลยไอ้สัส! แค่เตียงข้างๆมันว่าง กูก็เสือกนอนไม่หลับ! แค่แม่งหายไปแดกน้ำนานแค่นั้นกูเสือกคอยไม่ได้ ไอ้คยูฮยอน! มึงมันบ้า มึงมันน่ารำคาญเหี้ยๆ!”
กูดีดดิ้นถีบผ้าห่มอย่างหงุดหงิด
พลางร้องโวยวายเสียงดังในแบบที่กูต้องได้ยินคนเดียวเท่านั้น
แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งจ้องประตู …
กูจ้องประตูอยู่แบบนั้นนานจนถึงครึ่งชั่วโมง
ไม่นับรวมกับเวลาที่มันหายหัวไปแดกน้ำนะเว้ย ตีสองพอดี
กูเชื่อว่ากูคงนอนไม่หลับอีกแล้ว กูเลยลุกขึ้นจากเตียง
แล้วเปิดประตูห้องนอนให้เบาที่สุด ..
แต่เพียงแค่กูชะโงกหน้าออกไปด้านนอกเท่านั้น
กูก็เห็นมันยืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ท่ามกลางความมืด ในมือที่ไขว้กันไว้ข้างหลังของมัน
มีกระดาษสีขาวแผ่นเท่าเอสี่อยู่ด้วย ถ้าให้เดาไม่ผิด
น่าจะเป็นโพยที่มันจดเอาไว้เตรียมการสำหรับพรีเซ็นต์ในวันรุ่งขึ้น ..
และเมื่อลองเงี่ยหูฟังดีๆ
ผมก็ได้ยินเสียงท่องจำราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้พูดตามสคริปต์นั้นๆอย่างชัดเจน
…
ภาพของไอ้มิสเทคในสายตาของผม
ณ ขณะนี้ มันให้อารมณ์น่าเป็นห่วงจริงๆ
ความเครียดของมันถูกปลดปล่อยออกมาเป็นความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
และนั่นก็เป็นข้อเสียของคนที่พยายามจะเข้มแข็ง
..
อย่างที่ผมเคยบอก
จริงๆแล้วตัวตนของไอ้มิสเทคมันไม่ใช่คนกร้านโลกอย่างที่ผมเคยเจอ และมันก็ไม่ใช่คนเข้มแข็งมากอย่างที่แสดงออก
..
ฉะนั้นภายใต้สีหน้านิ่งๆของมัน
บางครั้งก็อ่านยากอยู่เหมือนกัน ..
“นี่มันใช่เวลามาท่องสคริปต์เหรอวะ
?” ผมเดินเข้าไปใกล้มัน แต่มันก็ยังไม่รู้ตัว
จนกระทั่งผมคว้าข้อมือของมันที่ถือโพยเอาไว้ แล้วเอาคางเกยลาดไหล่ของมันนั่นล่ะ
มันถึงได้รู้สึกตัว ..
“ก็รู้
แต่กูนอนไปตั้งนานแล้ว พอตื่นมามันเลยไม่ง่วง .. อีกอย่างมันผิดเวลาด้วย
ปกติกูเคยนอนก่อนเที่ยงคืนซะที่ไหนวะ ..” มิสเทคมันเถียง
โดยที่มันไม่ได้คิดอยากจะผลักไสผมให้ถอยห่างจากตัวมันสักนิด ..
“เครียดก็บอกว่าเครียดดิ
…” ทันทีที่ไอ้มิสเทคมันพูดจบ ผมก็รีบพูดสวนมันขึ้นมา
“เออ ..กูเครียด ..” มิสเทคมันขยับตัวหันหน้าเข้าหาผม ส่วนแผ่นหลังของมันก็พิงกระจกบานใหญ่
พร้อมกับสารภาพความจริงของมันผ่านทางคำพูดและแววตา ..
“แล้วกูควรจะทำยังไงให้มึงหายเครียด
?” ผมถามพลางท้าวฝ่ามือข้างหนึ่งกับบานกระจกขนาดใหญ่
ที่เมื่อมองออกไปก็จะเห็นดาวบนดินลอยเกลื่อนถนน …
แต่ ณ
ขณะนี้สายตาของผมไม่ได้โฟกัสอยู่ที่ความสวยงามเหล่านั้น
เพราะสายตาของผมกำลังมองสบกับดวงตาของไอ้มิสเทคอย่างคาดคั้นและค้นหาคำตอบที่ต้องการ
..
“ทำให้กูคิดถึงแต่เรื่องของมึงสิ
..” ไอ้มิสเทคมันตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่การกระทำของมันไม่นิ่งเลย
เพราะแม่ง ยกมือขึ้นมาโอบรอบลำคอของกูเฉย …
แล้วแบบนี้จะไม่ให้กูสตั้นยังไงไหว!
เชี่ย! จากคำพูดของมัน
สมองกูตีความได้เรื่องเดียวเท่านั้นนะ .. เรื่องใต้สะดืออ่ะมึง!
“หึ”
ทันทีที่ผมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้กับใบหน้าของไอ้มิสเทค อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ริมฝีปากของเราก็จะแตะกันอยู่แล้ว แต่จู่ๆก็เสือกมีเสียงกวนตีนในลำคอดังขึ้นมาเบาๆ
เล่นเอากูชะงักกึกเลยครับ ..
ชีวิตกูถึงกับค้างคากันเลยทีเดียว ..
“มึง …”
ผมกลับหลังหันไปมองไอ้มิสเทคที่เมื่อครู่เพิ่งจะทำตัวยั่ว แต่ตอนนี้แม่งเสือกทำตัวกวนตีน
ไอ้เหี้ย คือมึงกอดคอกู แล้วมองกูด้วยสายตาเชิญชวนแบบนั้น
ซ้ำยังพูดในเชิงที่กูสามารถคิดลึกได้อย่างไม่ต้องเปลืองสมองอีก
แล้วอยู่ๆก็เสือกเดินหนีกูไปแบบนี้
มันหมายความว่ายังไงวะ ?
มึงทำตัวยั่วโดยไม่จำเป็นใส่กู แล้วก็ปล่อยลอยแพใส่กูเนี่ยนะ ไอ้เหี้ย
กูไม่ยอม!
“มึงแกล้งยั่วกูเหรอมิสเทค
มึงกล้าดียังไงถึงเอาความเครียดมาลงที่กู ..” ผมเดินไปคว้าข้อมือของมันไว้
อย่างน้อยไม่มีได้เสีย แต่มีได้จูบสั่งสอนก็ยังดี …
ถือว่าแลกกัน ..
“แกล้งกันแบบนี้ มันไม่ดีนะมึง กูจะบอก ..”
ผมค่อยๆก้าวเดินเข้าไปประชิดตัวมันมากขึ้น
ขณะที่ฝ่ามือก็ยังคงจับข้อมือของมันเอาไว้แน่น ส่วนไอ้มิสเทคมันก็ค่อยๆถอยหลังหนีผมอย่างระแวดระวัง
แต่ขอโทษที มึงลองดีเองนะ ..
มึงหนีกูไม่พ้นหรอก ..
“มึงเล่นเชี่ยไร
พรุ่งนี้กูมีพรีเซ็นต์นะเว้ย ..” มิสเทคมันเริ่มโวยวายเมื่อแผ่นหลังของมันกำลังแนบชิดติดกำแพงห้อง
“มีแล้วไง ไหนมึงบอกมึงนอนจนพอแล้วนี่
.. พรีเซ็นต์ก็ไม่ต้องท่องหรอก เดี๋ยวเครียด ..”
ผมใช้ลำตัวคอยกันไม่ให้มิสเทคมันดิ้น
ส่วนมืออีกข้างก็จับข้อมือของมันไว้กันเหนียวเหมือนอย่างเดิม
ขณะที่มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็จัดการคีบกระดาษแผ่นเล็กในมือของไอ้มิสเทคโยนทิ้งไป..
“ไอ้คยู กูไม่โอเคนะมึง .. ปล่อย ..” มิสเทคมันทำหน้าบึ้ง แต่ผมกลับยิ้ม
พร้อมกับค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้น จนปลายจมูกของเราแนบชิดกัน ..
“มิสเทค .. มึงอย่าเครียด เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย
กูยังเชื่อเลยว่ามึงต้องทำได้ ..” ผมพูดให้กำลังใจไอ้มิสเทคมัน
ขณะที่ริมฝีปากของผมก็พรมจูบไปทั่วใบหน้าของมันที่หยุดดีดดิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างแผ่วเบา
โดยเริ่มตั้งแต่หน้าผากเนียนใส มาจนถึงเปลือกตาทั้งสองข้าง
ก่อนจะลามไล้ไปถึงข้างแก้มขวา และวกกลับไปจูบรั้งตรงปลายจมูกอยู่นานสองนาน ถึงค่อยปิดท้ายที่ริมฝีปากอันอวบอิ่มของมันเป็นอย่างสุดท้าย
…
ผมเริ่มจูบซับกลีบปากของมันอย่างแผ่วเบา
คล้ายกับหยอกล้อคลอเคลียเล่น แล้วก็ถอนริมฝีปากออกห่าง
ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมองดวงตาของมันที่อยู่ตรงหน้า
จึงทำให้ผมเห็นว่าดวงตาของมันกำลังยิ้มไม่ต่างจากริมฝีปากของมันเลย
“ทุกอย่างมันต้องผ่านไปด้วยดีใช่ไหมมึง ?”
มิสเทคมันถามคล้ายมันต้องการความเห็นสนับสนุนความคิดของมันที่เริ่มจะมีความมั่นใจขึ้นมาบ้างแล้ว
เห็นอย่างนั้นผมจึงพยักหน้าตอบมันกลับไป แต่ผลปรากฏว่าไอ้มิสเทคครับมึง! มันจูบกูก่อน จูบแบบลึกซึ้งซะด้วยสิ ..
กูนี่ถึงกับสตั้นขึ้นมาอีกรอบ! หัวใจแม่งเต้นตุบๆเลยเว้ย!
ผมไม่ปล่อยให้ไอ้มิสเทคมันคุมเกมได้นานนัก
เพราะเดี๋ยวมันจะเสียเชิงโจวคยูฮยอนคนนี้เสียหมด
ก็เลยส่งผลให้ห้องทั้งห้องอันเงียบสงบเต็มไปด้วยเสียงจูบสัมผัสอันลึกซึ้งของเราสองคน
ปลายลิ้นของผมเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกับปลายลิ้นของไอ้มิสเทคอย่างไม่มีพิธีรีตรองมากนัก
เพราะเนื่องจากว่าเมื่อครู่มิสเทคมันเองก็นำร่องไปมากแล้ว …
ฉะนั้นกูจะมัวมาเสียเวลาอยู่ทำไม ?
“อืม ..”
ผมครางครวญในลำคออย่างถูกอกถูกใจกับรสสัมผัสหอมหวานที่ได้รับจากไอ้มิสเทค
พร้อมกับเพิ่มแรงจูบสัมผัสลึกซึ้งให้หนักหน่วงขึ้นจนริมฝีปากของเราสองคนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
จูบแล้วจูบเล่าก็เหมือนกับว่ามันจะไม่เพียงพอ
เราสองคนก็เลยยิ่งจูบสัมผัสกันรุนแรงขึ้น ขณะที่ผิวกายของเราก็สัมผัสเสียดสีกันอย่างแนบชิด
…
“อื้อ ..คยู ..”
ผมถอดถอนริมฝีปากออกห่างจากกลีบปากบวมช้ำของมันอย่างนึกสงสาร
พร้อมกับหันมาให้ความสนใจที่ลำคอขาวอันหอมกรุ่นเป็นลำดับต่อมา
และทันทีที่ปลายจมูกของผมลากไล้สัมผัสผิวเนื้อนุ่มลื่นของมัน
ไอ้มิสเทคก็ร้องครางอื้ออึงอย่างหวามไหว …
ผมจูบซับลำคอขาวของมันแผ่วเบา โดยไม่คิดจะทำรอยแต่อย่างใด ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างมันก็เริ่มจะซุกซนไม่ต่างกับโคนขาที่มันเอาแต่จะคลอเคลียช่วงขาอ่อนของไอ้มิสเทคผ่านเนื้อผ้าบางๆ
ที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรๆมันยากที่จะไปต่อเลยสักนิด ..
“อืม .. อื้อ ..” ยิ่งไอ้มิสเทคมันใส่เสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของผม
มันก็ยิ่งง่ายที่อะไรๆจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีการขวางกั้น เพราะแม้แต่สติที่มี
ก็ยังไม่อาจห้ามการกระทำของเราสองคนได้ ..
“กูไม่เคยนึกชอบกลิ่นสบู่ที่กูใช้เท่ากับตอนที่มันอยู่บนตัวของมึงเลยมิสเทค
..” ผมจูบไล้คอเสื้อที่มันเปิดกว้างให้ยิ่งเปิดกว้างมากขึ้น
ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของมันจากข้างล่างขึ้นบนทีละเม็ด ..
ละเม็ด ..
“อื้อ .. มันก็กลิ่น ..เดียวกัน
..มึงอย่าโอเว่อร์” มิสเทคมันเถียงผมเสียงกระเซ่า
เมื่อมันกำลังถูกปลุกเร้าอารมณ์ โดยที่มันก็เต็มใจให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ..
“กูไม่ได้โอเว่อร์ ..” ผมเถียงกลับ แล้วก็สูดลมหายใจลึกๆจนเต็มปอด
เพื่อพิสูจน์ให้มันเห็นว่ากูชอบจริงๆนะเว้ย
กูถึงได้ทั้งจูบทั้งหอมไปทั่วช่วงไหล่ของมึงแบบนี้ …
“กอดกันไหมมึง .. แค่ภายนอก .. จะได้ไม่เหนื่อย ..”
ผมถามเสียงกระเซ่าเมื่อช่วงล่างของเราที่มันกำลังสัมผัสแนบสนิทกันเริ่มจะออกอาการไม่สู้ดีนัก
ส่วนฝ่ามือข้างซ้ายของผมก็ทำหน้าที่ลูบไล้ปลุกเร้าอารมณ์ของไอ้มิสเทค
โดยเริ่มจากขอบกางเกงนอนลากไล้ขึ้นมาจนถึงหน้าท้อง
ก่อนจะวนลูบไปยังสีข้างเรื่อยมาจนถึงช่วงอก …
“อ๊ะ .. อื้อ ..”
ผมรั้งข้อมือของมันให้ยกขึ้นสูงด้วยมือข้างเดียว ส่วนมืออีกข้างก็ยังคงทำหน้าที่ปลุกเร้าอารมณ์ของมันอยู่อย่างนั้น
พร้อมๆกับช่วงล่างที่ยังคงคลอเคลียกันไม่ห่าง …
“กอดกันไหมมิสเทค กูอยากกอดมึง” ผมเริ่มออดอ้อน
พลางไล้ปลายลิ้นลงบนผิวเนื้อนวลของมันบริเวณลาดไหล่เรื่อยมาจนถึงซอกคอและจูบลงที่ใบหูซึ่งเป็นจุดอ่อนของมันที่ผมรู้เป็นอย่างดี
“อืม …”
มิสเทคมันเอียงคอหลีกหนีสัมผัสจากผม
ขณะที่ริมฝีปากของมันกลับแสดงออกในทางตรงกันข้าม
แล้วแบบนี้จะไม่ให้สติกูกระเจิงได้ยังไง …
“มึง ..ตกลง ?” ผมหยุดการกระทำทุกอย่างจนหมดสิ้น
เพื่อค้นหาคำตอบที่มันชัดเจนจากไอ้มิสเทคแทบจะทันที
“ไม่ตกลงมั้ง ไอ้เชี่ยถามอยู่ได้!”
มิสเทคมันตะโกนด่าผมหน้าแดง แถมปลายเท้าของมันยังซุกซนอีกต่างหาก
ดีนะกูชักตีนหลบทัน ไม่งั้นแม่งกระทืบตีนกูเต็มๆ ทีนี้ล่ะงานงอกแน่ …
เล็บกูยังไม่หายดีนะเว้ย!
“สัส กวนตีนกูนะมึง เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูจะทำให้ร้องลั่นเลย ..” ผมกระชากมันแล้วเหวี่ยงลงบนโซฟาพร้อมกับตามลงมาคร่อมทับมันไว้แทบทั้งตัว
“ลองดิ .. คะแนนมึงยังไม่เต็มร้อยนะอย่าลืม
กูให้ได้เท่าไหร่คือเท่านั้น
และที่สำคัญวันพรุ่งนี้คือวันสำคัญต่อชีวิตการทำงานของกู .. ถ้ามึงทำมันพัง
กูบอกเลยว่ากูจะเกลียดมึงทั้งชีวิต ต่อให้กูรักมึงกูก็เกลียดมึงได้ ..” ไอ้มิสเทคมันจ้องตาผมเขม็ง ส่วนมือของมันแม่งก็กระชากหัวกูเป็นการข่มขู่ซะด้วย
…
“กูช่วยมึงตั้งขนาดนี้ ใครจะอยากทำให้มันพังวะ
.. เรายังต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน กูจะทำให้มึงร้องลั่นเพราะกูเมื่อไหร่ก็ได้
จริงป่ะ ..” ผมตอบพลางยักคิ้วใส่มันอยู่หลายที กูเลยโดนไอ้มิสเทคแม่งฟาดกะบาลเข้าให้
“พูดมาก ..”
มิสเทคมันด่าผมเพียงแค่นั้น แล้วมันก็จูบปิดปากผมเฉย
คือมึงวันนี้กูสตั้นไปกี่รอบแล้ววะเนี่ย
“อืม ..”
ผมครางในลำคออย่างพึงพอใจกับรสจูบเย้าหยอกของมันอยู่นานสองนาน
กว่าจะเอาจริงเอาจังก็อีตอนที่ความรู้สึกร้อนรุ่มเริ่มปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ผมจึงสลับตำแหน่งกับมันอย่างทะลักทุเลด้วยเพราะพื้นที่อันจำกัด
“มึง ..หวาน ..” ผมเอ่ยชมงึมงำในลำคอเมื่อปลายลิ้นสามารถเข้ามาสัมผัสทักทายภายในโพรงปากเล็กของมันได้สำเร็จ
ขณะที่ฝ่ามือของผมก็เริ่มลากเลื่อนและผลุบหายเข้าไปภายใต้เสื้อผ้าตัวโคร่งที่มันใส่อย่างรวดเร็ว
ผิวเนื้อนุ่มลื่นบริเวณแผ่นหลังของมันสร้างความเพลิดเพลินให้กับผมเป็นอย่างมาก …
ผมเลยทั้งจูบทั้งลูบทั้งคลำอย่างไร้สติ
…
“มิสเทค ..” ผมกระซิบข้างใบหูเล็ก พลางร้องเรียกมันด้วยชื่อที่ผมเป็นคนตั้งให้อย่างอ่อนหวาน
พลางกดจูบลงบนหลังใบหูของมันอยู่หลายที ส่งผลให้ขนอ่อนของมันลุกชันไปทั่วร่าง
ขณะที่ฝ่ามือของผมก็เริ่มลากเลื่อนขึ้นมาจนถึงต้นคอ
ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวตัวเสื้อให้หลุดล่วงลงจากช่วงไหล่ของไอ้มิสเทคอย่างง่ายดาย
ด้วยเพราะกระดุมทุกเม็ดมันถูกปลดออกจนหมดสิ้นก็ตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังตะล่อมขอมันแล้ว
…
“อึก ..อื้อ ..”
ผมไล้ปลายลิ้นและเล็มใบหูของไอ้มิสเทคที่กำลังเนื้อตัวอ่อนปวกเปียกอย่างเต็มรูปแบบ
พร้อมกับโอบรัดรอบลำตัวของมันให้แนบชิดกับตัวผมจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่ง …
“อ๊ะ .. อื้อ .. ”
ผมพลิกกายมาอยู่เหนือร่างของมันอีกครั้ง
พร้อมกับบรรเลงสัมผัสจากปลายลิ้นจนถ้วนทั่วผิวเนื้อเนียน
และเน้นย้ำบริเวณส่วนอ่อนไหวทั้งสองข้างอย่างหนักหน่วง
ส่งผลให้ไอ้มิสเทคมันเกร็งหน้าท้องอย่างเสียวซ่าน พร้อมกับครวญครางอย่างหวามไหว
ยิ่งเห็นร่างกายของมันบิดเร้าภายใต้ร่างของผม
ก็ยิ่งน่าพึงพอใจกับปฏิกิริยาเช่นนั้น
สัมผัสต่อมาจึงเร่งร้อนและหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆจนเสียงครวญครางของไอ้มิสเทคมันดังระงมแทบไม่หยุด
..
“อ๊า ..คยู ..” ผมลากไล้ริมฝีปากฝากฝังรอยจูบสีกลีบกุหลาบเอาไว้บริเวณหน้าท้องใกล้ๆกับจุดไวสัมผัสของมันอย่างรู้งาน
มิสเทคมันก็ยิ่งครางเสียงหลง ผมจึงยิ่งเน้นย้ำสัมผัสซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้นอยู่นานสองนาน
..
“อืม .. มิสเทค ..”
ผมหลับตาแน่นพลางบดเบียดช่วงล่างเข้าหาไอ้มิสเทคอย่างยั่วเย้า พร้อมกับต้องพยายามบังคับสติไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไปกับสัมผัสชวนหวิวไหวนั่นอย่างยากลำบาก
เพราะยิ่งร่างกายมันรุ่มร้อน ช่วงล่างก็ยิ่งอยากจะปลดปล่อยด้วยวิธีการอันแนบสนิทที่ผมยังไม่อาจทำถึงขั้นนั้นได้
..
“ค..คยู …”
มิสเทคมันเองก็ขยับกายเข้าหาผมด้วยห้วงแห่งอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
มันจึงกล้าที่จะเป็นฝ่ายจูบสัมผัสผิวกายของผมบ้าง แต่นั่นกลับกลายเป็นดาบสองคม
เพราะมันทำให้ผมยากที่จะควบคุมสติของตัวเองให้โฟกัสอยู่แค่เพียงขั้นที่มันอนุญาติมาเท่านั้น
..
“กู..ถอดนะ” ผมร้องบอกแกมขออนุญาต
จากนั้นผมก็เริ่มปลดเปลื้องช่วงล่างของมัน
ก่อนจะพรมจูบตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาจนถึงต้นขาอย่างแผ่วเบา
“อ๊ะ ..อ๊า ..อื้อ ..”
มิสเทคมันบิดเร้าอย่างเสียวซ่านเมื่อผมเริ่มลงลิ้นสัมผัสผิวเนื้อบริเวณขาอ่อนด้านในของมันอย่างหนักหน่วง
ขณะที่ปลายเส้นผมของผมก็คลอเคลียไม่ห่างจากส่วนอ่อนไหวของมันนัก ..
“กูจะพยายามเป็นเด็กดี ..” ผมบอกมัน
พร้อมกับปลดเปลื้องช่วงล่างของผมด้วย จนกระทั่งเราสองคนเริ่มเท่าเทียมกันบ้างแล้ว
สัมผัสวาบหวามก็เริ่มดำเนินขึ้นอีกครั้ง ผมบรรจูบซับกลีบปากของมันเพียงเบาๆ ละเลียดชิมอย่างไม่ตะกละตะกราม
ขณะที่ช่วงล่างของผมยังคงเสียดสีกับช่วงล่างของไอ้มิสเทค
โดยเริ่มจากจังหวะอันเชื่องช้าแผ่วไหว ก่อนจะเริ่มหนักหน่วงและร้อนแรงขึ้น ..
“อื้อ ..อืม ..อึก ..” ผมยกช่วงขาของมันขึ้นพาดเอว ขณะที่ช่วงล่างยังคงขยับไหวคลอเคลียกันในจังหวะเดิมๆ
ส่งผลให้หยาดเหงื่อเริ่มผุดผาดเมื่อเราสองคนต่างก็ต้องใช้ความพยายามให้มากขึ้นเป็นสองเท่า
…
เพราะเราตั้งใจหยุดไว้แค่เพียงสัมผัสจากภายนอก
..
“ค..คยู ..อึก ..” มิสเทคมันจิกข้างแขนของผมอย่างอึดอั้น เมื่อช่วงล่างเริ่มออกอาการประท้วงหนัก
จังหวะการบดเบียดแนบชิดเสียดสีจึงยิ่งเร่งเร้าขึ้น ส่งผลให้ช่องว่างระหว่างเรามันยิ่งน้อยลงทุกที
ทุกที ….
“มิสเทค ..” ผมกดจูบลงตรงข้างขมับของไอ้มิสเทคมันเบาๆ
จากนั้นก็ลากเลื่อนมายังเปลือกตาทั้งสองข้าง ก่อนจะปิดท้ายที่ปลายจมูก
ผมวนลูฟอยู่แบบนั้นจนกระทั่งเราสองคนเดินทางมาถึงปลายทางฝัน ความสุขก็เริ่มแผ่ซ่านอยู่รอบกายเราสองคน
…
มันจึงทำให้ผมรู้ว่า ..
ที่จริงแล้วความสุขสมในรูปแบบนี้ มันก็ผมทำให้ใจเต้นได้เหมือนกัน ..
“มิสเทคมึงนอนนะ กูไม่กวนมึงแล้ว .. ถ้าพรุ่งนี้ผลออกมาไม่ดีเพราะกู
.. กูยอมให้มึงกระทืบเลย ..” ผมกดจูบลงบนหลังใบหูของมันพลางทิ้งตัวลงนอนเบียดไอ้มิสเทคบนโซฟาแคบๆ
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะมึง ..”
“เออ .. กูลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น
..” ผมยืนยันอย่างหนักแน่น พลางกอดก่ายร่างกายอันเปลือยเปล่าของมันเอาไว้
..
“ตอนนี้สมองของกูมีแต่เรื่องของมึงเต็มไปหมด
ถ้าพรุ่งนี้กูจำพรีเซ็นต์ตัวเองไม่ได้ …มึงเตรียมตัวนอนให้กูกระทืบได้เลยไอ้คยู
..” มิสเทคมันกดเสียงเข้ม พลางดึงหัวข่มขู่กูอีกแล้ว ..
“ที่จริงมันเป็นความผิดมึงนะเว้ย เสือกร้องขอกูเองแต่แรกทำไม .. แต่เอาเถอะ กูยอมมึงทุกอย่างแหละ อยากกระทืบก็กระทืบไป ..” ไว้กูมีโอกาสเอาคืน กูค่อยคิดบัญชีทีหลัง ..นี่ ..
กูแอบเติมความลับในใจกูซะเลย มึงไม่มีทางรู้เท่าทันกูหรอกไอ้มิสเทค ..มึงยังอ่อนเกินไป ..
“กูเคยคิดว่ากูโชคดีนะที่กูได้รู้จักโจวคยูฮยอนคนที่กำลังกอดกูอยู่ตอนนี้ ..
แต่พอเห็นสายตาเจ้าเล่ห์ของมึงแล้ว กูขอถอนคำพูด ไอ้สัส ปล่อยกู!”
ตุ้บ!
ไอ้เหี้ยยยยยย! มึงถีบกูตกโซฟานี่มันชักจะมากไปแล้วนะเว้ย!
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
คึคึคึ พออ่านจบหลายคนอาจจะอยากเตะอิคนเขียนก็เป็นได้
ตอนนี้เหมือนมิสเทคมันจะยอมง่ายๆแต่ที่จริงมันก็มาจากความจริงใจของคนเพี้ยนที่บอกว่าอยากจะพาไปแนะนำตัวด้วยนั่นแหละ
คนเพี้ยนมันถึงมีวันนี้ได้ .. ส่วนวันหน้าคงต้องรอโชคช่วย 5555555555
[Fic KyuMin] Mistake 26