เพาะรัก
✈
30✈
วันนี้พี่อารายังคงสวมอบายะห์และฮิญาบตามขนบธรรมเนียมของผู้คนในแถบนี้เหมือนอย่างเดิม
เพียงแต่ต่างกันตรงที่เครื่องแต่งกายของหญิงสาวนั้นออกแนวแฟชั่นอย่างเห็นได้ชัด
โดยตัวอบายะห์ถูกถักทอด้วยผ้าลูกไม้สีดำและประดับตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้สีขาวตัดกันอย่างลงตัว
ส่งผลให้อบายะห์ที่หญิงสาวสวมใส่ออกแนวกึ่งซีทรูนิดๆ แต่ก็ไม่ได้อุจาดตาแต่อย่างใด
เพราะด้านในพี่อาราสวมใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีดำเอาไว้ ส่วนฮิญาบที่ใช้คลุมผมก็เป็นผ้าสีดำไร้ลวดลาย
หากแต่ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างบอกไม่ถูก
“กลิ่นลาเวนเดอร์” พี่อาราพึมพำออกมาเบาๆ คล้ายพูดกับตัวเองเมื่อเธอจุดเครื่องหอมตรงมุมห้องของน้องชายด้วยความเคยชิน
จากนั้นหญิงสาวก็เดินกลับมาฉีดน้ำหอมที่วางตั้งอยู่ตรงโต๊ะมุมกำแพงที่จัดเตรียมเอาไว้เพื่อต้อนรับแขกตามขนบธรรมเนียมของผู้คนในแถบนี้
“แต่งตัวสวยขนาดนี้ จะไปเดทหรือเปล่าครับเนี่ย ?” ผมทักทายพี่สาวคนสวยที่ตอนนี้กำลังจัดเตรียมมื้อเช้าให้ผมทานเหมือนกับช่วงเวลาที่เธอต้องคอยดูแลน้องชายของเธอด้วยท่าทางหยอกล้อ
“แน่นอนอยู่แล้ว!” พี่สาวยกยิ้มหวานโดยเห็นเพียงแค่ดวงตาเหมือนกับเมื่อวาน
แต่ผมก็ยังคงรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่ารอยยิ้มของเธอมันงดงามมากแค่ไหน
“เมนูนี้เขาเรียกว่าอะไรเหรอครับ
คล้ายกับแซนวิสเลย” ผมถามอย่างสนใจเมื่อพี่สาวคนสวยกำลังนำเมนูที่เธอตั้งใจทำ มาจัดเรียงใส่จานกระเบื้องให้ผมทาน
“มันเรียกว่า Shawarma (ชวาม่า) น่ะ
จริงๆก็คือแซนวิสแบบที่เราๆคุ้นเคยกันนั่นแหละ เพียงแต่มันต่างกันแค่ ที่นี่เขาจะใช้แป้ง
ส่วนที่บ้านเราเขาจะใช้ขนมปัง” ผมหยิบชวาม่าที่ถูกม้วนเป็นทรงกรวยโดยไส้ด้านในมีทั้งผักและเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากพอสมควร
“เอ้อ! พี่ลืมบอกไป นั่นเนื้อแกะนะ มันจะมีกลิ่นสาบนิดๆ
ไม่รู้ว่าเราทานได้หรือเปล่า แต่เนื้อแกะที่นี่แพงเชียวนะ ยังไงก็ลองทานดู.. เนอะ” พี่สาวอุทานจนเสียงดังลั่น เมื่อผมกำลังจะกัดชวาม่าคำใหญ่
ซึ่งมันก็ไม่ทันเสียแล้วล่ะเพราะกว่าที่พี่สาวจะพูดจบ
ผมก็ได้ลิ้มลองรสชาติของเนื้อแกะเข้าไปเต็มคำ
“ก็อร่อยดีครับ” ผมยกยิ้มแห้ง พลางเคี้ยวช้าๆ เนื่องจากรสชาติติดกลิ่นสาบของมันทำเอาผมหมดอร่อยไปเลย
แต่ถ้าหากผมไม่กินก็คงจะอดตายและเสียน้ำใจแน่ๆ เพราะพี่อาราเธออุตส่าห์ตั้งใจทำมาให้ผมทานแท้ๆ
ครืด ครืด
เมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋าหนังแบรนด์หรูกำลังสั่นครืดคราด
พี่อาราก็รีบควานหาโทรศัพท์เครื่องเก่งและกดรับสายอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะพูดด้วยภาษาอาราบิกที่ผมไม่เข้าใจพร้อมกับท่าทางรีบร้อนของหญิงสาวที่จู่ๆก็รีบคว้ากระเป๋าถือและวิ่งออกจากห้องครัวเพื่อมุ่งตรงไปยังประตูหน้าห้องโดยไม่มีแม้แต่คำกล่าวลา
จึงทำให้ผมต้องรีบเดินตามออกไปดูด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าพี่สาวแสนใจดีจะประสบกับปัญหาบางอย่างเลยออกอาการร้อนรนเสียขนาดนั้น
“พี่ไปแล้วนะซองมิน ชะรีฟมาแล้ว บาย~” หลังจากวางสายจากผู้ชายที่ชื่อ ‘ชะรีฟ’ เรียบร้อยแล้ว พี่สาวคนสวยก็รีบใส่รองเท้าส้นเตารีดสีดำสนิทที่ประดับตกแต่งด้วยเพชรเม็ดเล็กเป็นรูปดอกไม้อย่างสวยงาม
จากนั้นพี่อาราก็รีบเปิดประตูห้องและเดินออกไป แต่ไม่นานนักก็หมุนตัวกลับมาร่ำลาผมก่อนจะรีบวิ่งด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยถนัดนัก
อาจเป็นเพราะหญิงสาวไม่ค่อยได้สวมใส่รองเท้าส้นสูงก็เป็นได้ ผมจึงยกยิ้มให้กับท่าทางกระโดกกระเดกของพี่อารา
ก่อนจะปิดประตูห้องให้เรียบร้อยและเดินกลับมาทานชวาม่าต่อให้หมด แล้วจึงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เพื่อเตรียมจัดของให้เข้าที่เข้าทางเพราะเนื่องจากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ ผมก็ยังปล่อยให้ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวมันนอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าตามเดิม
ผมใช้เวลาจัดของไม่นานนัก เพราะข้าวของที่เตรียมมาไม่เยอะเท่าไหร่เลยสามารถเตรียมอาหารเช้าให้เบดได้ในตอนสายนิดๆ
และก็ตามสเต็ปเดิม เจ้าเบดยังคงไม่ยอมออกมาหาอะไรกินตามที่ผมร้องเรียก
ต้องรอให้ผมเดินห่างออกไปก่อน มันถึงจะยอมเดินออกมา
ผมจึงปล่อยให้เจ้าจิ้งจอกทะเลทรายทานมื้อเช้าในตอนสายเงียบๆ และเดินเลี่ยงออกมายังห้องนั่งเล่น
เพื่อหาหนังสือที่ผมสนใจไปอ่านแก้เหงา ซึ่งชั้นหนังสือของคุณลูกเรืออาหรับส่วนใหญ่ก็จะเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แทบทั้งนั้น
จะมีหนังสือนิยายหลงมาก็เพียงแค่เล่มเดียว คือเล่มที่ผมหยิบไปอ่านเมื่อวานนั่นแหละ
“ไม่น่าเชื่อว่าพี่จะสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย”
ผมเปิดหนังสือในทางโบราณคดีที่มีชื่อว่า ‘The Ancient Civiliztion of Anatolia’
แบบผ่านๆ พลางพึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าคนรักของผมจะให้ความสนใจกับเรื่องที่ผู้คนส่วนมากเขาไม่ค่อยจะสนใจ
“อินทผาลัมนี่..” ขณะที่ผมกำลังจะเดินผ่านห้องครัวเพื่อไปหามุมนั่งอ่านหนังสือที่ห้องของเจ้าเบด
ผมก็เหลือบไปเห็นถุงกระดาษสีน้ำตาลที่เมื่อครู่พี่อาราเป็นคนถือมา
พอลองแง้มปากถุงออกดูถึงได้เห็นผลอินทผาลัมอบแห้งบรรจุอยู่ในนั้น ผมจึงกำปากถุงกระดาษเอาไว้และเดินตรงลึกเข้าไปจนถึงด้านในสุดของตัวห้องพัก
ตึ้ง!
จู่ๆเสียงเตือนจากโทรศัพท์ทั้งเครื่องของผมและเครื่องที่ร่างสูงยกให้มันก็ดังขึ้นพร้อมๆกัน
ผมเลยต้องเดินย้อนกลับมาให้ความสนใจกับมันแทนที่จะเดินเข้าไปในห้องของเจ้าเบด
จากนั้นผมก็คว้าโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องนั่นติดมือมาด้วย กระทั่งเดินมาจนถึงด้านในกระโจมที่มีเจ้าเบดกำลังนอนสงบนิ่งอยู่
แต่แล้วข้าวของอันเต็มไม้เต็มมือก็ร่วงหล่นลงพื้นทำเอาเจ้าเบดสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
จากนั้นร่างน้อยๆของเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายก็รีบวิ่งปรู๊ดเข้าไปหลบภัยในโพรงดินทันที
“ดีนะหน้าจอไม่แตก” เมื่อทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นพรมได้
ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องขึ้นมาดู พอเห็นว่าสภาพของมันยังดีอยู่
ผมก็บ่นออกมาอย่างโล่งใจ จากนั้นก็รีบก้มหน้าก้มตาเก็บผลอินทผาลัมที่มันกระเด็นกระดอนออกจากถุงกระดาษในตอนที่ผมกำลังตกใจเพราะโทรศัพท์จะร่วงลงพื้น
หลังจากที่ลองชิมอินทผาลัมอบแห้งของที่นี่
ผมก็รู้สึกว่ารสชาติของมันหอมหวานอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่ามันเพิ่งถูกเก็บมาอบแห้งใหม่ๆก็เป็นได้
รสชาติของมันถึงได้ยอดเยี่ยมสมกับที่พี่เขาเคยโฆษณาชวนเชื่อเอาไว้ จนทำให้เรื่องราวของอารยธรรมอนาโตเรียที่ผมถือติดมือมาด้วย
ไม่ได้เข้าหัวของผมเลย เพราะผมมัวแต่ทานอินทผลาลัมอบแห้งไม่หยุดปาก
“มีแต่ตึกทั้งนั้นเลยแฮะ..” ผมนั่งมองวิวด้านนอกที่เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ตระการตา
คั่นด้วยคลองขนาดใหญ่ที่ถูกขุดล้อมรอบตัวเมืองดูไบอย่างตื่นตาตื่นใจ พลางกวาดตามองหาทะเลทรายที่พี่เขาเคยพูดจาโอ้อวดเอาไว้
ว่ามันเป็นสถานที่ที่จะสามารถมองเห็นดวงดาวได้อย่างสวยงามที่สุด แต่จากมุมมองที่ผมเห็นอยู่ในขณะนี้
แทบจะมองไม่เห็นเนินทรายที่ว่านั่นเลย
“หรือลานโล่งๆนั่นจะเป็นทะเลทรายที่พี่เขาพูดถึง..” ผมยกยิ้มอย่างตื่นเต้น
เมื่อได้เห็นลานโล่งๆที่คาดเดาเอาเองว่ามันอาจจะเป็นเนินทรายอันกว้างใหญ่
ตึ้ง!
เสียงเตือนจากแอพพลิเคชั่นอันคุ้นเคย เริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง
ผมจึงละสายตาจากภาพทิวทิศน์ตรงหน้ามาให้สนใจกับโลกโซเชียลโดยสมบูรณ์แบบ
จึงทำให้ผมทราบว่าก่อนหน้านี้คุณลูกเรืออาหรับเขาโพสต์รูปเมืองอิสตันบูลในตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นลงในอินสตาแกรม
บ่งบอกได้ว่าสถานที่ที่เจ้าตัวกำลังปักหลักอยู่ที่ขณะนี้
เป็นสถานที่หนึ่งที่พี่เขาให้ความสนใจเอามากๆ เพราะอารยธรรมของที่นั่นเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่พี่เขาซื้อหนังสือเก็บไว้..
ซึ่งอารยธรรมที่ว่านั่นก็คืออารยธรรมอนาโตเรีย..
GaemGyu :
อนาโตเลีย.. ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย!
A.Imran : สัส!
มาตุรกีทั้งที มึงต้องนั่งชื่นชมสาวๆสิวะ จะมานั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นทำเชี่ยอะไรเนี่ย!
Chimchang : สัสอิมราน!
มึงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ บรรยากาศดีขนาดนั้น กูว่านั่งจิบไวน์ชิวๆแม่งเจ๋งกว่าส่องสาวๆอีกว่ะ!
Mino : พวกมึงนี่ก็แนะนำเหมือนไม่รู้จักมันไปได้
มาตุรกีทั้งที กูว่าป่านนี้แม่งฟินแตกกับอารยธรรมอะไรของแม่งไปแล้วมั้ง มันคงจะสนใจที่พวกมึงเพ้อเจ้อออกมาหรอก!
จากข้อความที่กลุ่มเพื่อนของคุณลูกเรืออาหรับเขาพูดคุยกัน
ทำให้ผมทราบว่าความชื่นชอบในโบราณคดีของพี่เขาเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อน จึงทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าเพราะเหตุใดพี่คยูถึงได้หลงใหลในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากมายขนาดนี้
ขนาดผมที่เคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ยังไม่คิดสนใจจะค้นคว้ามันต่อเลยด้วยซ้ำ
เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและเข้าใจยาก
แถมเรื่องบางเรื่องยังเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานอีกต่างหาก
แต่เพราะผมต้องมาอยู่ที่นี่กับจิ้งจอกทะเลทรายอีกหนึ่งตัวที่ไม่สามารถเป็นเพื่อนพูดคุยกับผมได้
เพราะเจ้าเบดมันชอบเก็บตัว ผมก็เลยต้องใช้หนังสือเป็นเพื่อนคลายเหงาแทนการใช้โซเชียลที่ผมให้ความสนใจได้เพียงไม่นานก็เริ่มเบื่อ
เพราะโลกโซเชียลของผมมันไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากมายอะไรนัก..
“อื้อ~” ผมขยับหนีสัมผัสบางอย่างที่มันกำลังก่อกวนอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ว่าผมจะขยับหนีมากมายเท่าไหร่ เจ้าตัวก่อกวนก็ยังไม่ยอมแพ้เอาง่ายๆ
“เห้!” ผมลุกขึ้นนั่งพลางตะโกนฮึดฮัดออกไปจนสุดเสียง
จึงทำให้เจ้าเบดที่กำลังเอาจมูกมาป้วนเปี้ยนแถวๆใบหน้าของผมถึงกับวิ่งหนีไปหลบอยู่ในโพรงดินตามเดิม
“เจ้าเบด! หน้าฉันมีแต่น้ำลายของแกทั้งนั้น ให้ตายสิ!” ผมลูบหน้าลูบตาของตัวเองที่มันชื้นแฉะ จากนั้นก็ยกปลายนิ้วขึ้นมาดมพิสูจน์
จึงทำให้ทราบว่าเจ้าตัวก่อกวนนั่นมันแอบเลียหน้าของผมในตอนที่ผมกินยาหลับนอนชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า
‘หนังสือ’ และต้องเป็นหนังสือแนวประวัติศาสตร์ด้วยนะ
ผมถึงได้หลับได้หลับดีขนาดนี้!
ผมลุกขึ้นยืนและเดินเลยผ่านห้องนอนเพื่อไปล้างหน้าที่ห้องน้ำ
จากนั้นก็หาผ้าขนหนูเล็กๆมาซับหน้าให้แห้งและโยนมันลงตระกร้าไม้สานตรงมุมห้องแต่งตัว
ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปนั่งปักหลักที่มุมเดิม
แต่แล้วปลายเท้าของผมก็ต้องหยุดลง
เมื่อสายตาของผมมองเห็นเจ้าเบดมันกำลังยืนแอบมองผมที่กำลังล้างหน้าจากมุมๆหนึ่งของปากประตูห้องนอน
“จะหนีไปไหน มาให้ทำโทษซะดีๆเจ้าเบด!”
พอเจ้าเบดมันรู้ตัวว่าผมจับได้แล้วว่าถูกแอบมอง มันก็รีบวิ่งหนีผมแทบจะทันที
ผมก็เลยวิ่งตามไปไล่จับมันเพื่อจะได้ทำโทษซะให้เข็ด
แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวแสบจะสนุกกับการที่ตัวเองถูกผมวิ่งไล่จับเสียเหลือเกิน
เพราะเจ้าเบดมันก็วิ่งไปมุดต้นไม้ต้นโน้นบ้าง ต้นนี้บ้าง
หรือไม่ก็วิ่งเข้าไปนอนเกลือกกลิ้งบนดอกไม้ทะเลทรายบ้าง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหอบแหกๆ
เพราะวิ่งไล่ตามเจ้าเบดไม่ทัน
“เบด.. แกไม่มีวิธีจะอ้อนที่มันดีกว่านี้แล้วหรือไง
?” ผมเกาพุงเจ้าเบดที่จู่ๆก็เดินเข้ามานอนหงายอยู่ตรงปลายเท้า
“ชอบเหรอ ฮึ?” ผมถามเจ้าเบดด้วยความเอ็นดู
เพราะเจ้าเบดมันหลับตาพริ้มเลย
“…”
ผมเล่นกับเจ้าเบดอยู่นานพอสมควร จู่ๆก็มีใครสักคนมากดออดตรงหน้าห้อง
ผมก็เลยต้องละมือออกจากขนนุ่มๆของเจ้าเบด เพื่อเดินไปดูว่าใครกันที่มากดออดเรียกอยู่ตอนนี้
เพราะถ้าหากเป็นพี่อาราราน่ะ ไม่ต้องกดออดหรอก
เพราะเธอมีคีย์การ์ดห้องนี้อยู่ในมือ
ท่าทางว่าคนที่มากดออด
เขาจะไม่ทราบว่าเจ้าของห้องตัวจริงไม่อยู่แน่ๆ
“มาหาคุณคยูฮยอนเหรอครับ ?” ผมส่องตาแมวดู
จึงเห็นว่าคนที่มากดออดเขาสวมใส่ชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกันกับเจ้าของห้องตัวจริงเลยล่ะ
ผมจึงเปิดประตูและถามออกไปด้วยภาษาเกาหลีอย่างลืมตัวว่า ณ
ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่เกาหลีอีกแล้ว
“ครับ..” ร่างสูงผิวคล้ำรีบพยักหน้าพลางยกยิ้ม
“เอ่อ.. ตอนนี้พี่เขาบินอยู่น่ะครับ..”
ผมตอบพลางเกาท้ายทอยด้วยท่าทางเกร็งๆ เพราะไม่รู้ว่าคนตรงหน้านี้จะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดหรือไม่
เพราะเขาเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว
“ทราบแล้วครับ แค่จะมาชวนไปทานจิ้มจุ่มด้วยกันเฉยๆ”
ผมขมวดคิ้วด้วยท่าทางสงสัย เมื่ออีกฝ่ายพูดเชิญชวนให้ผมไปทานอะไรสักอย่างด้วยกัน ทั้งๆที่ผมไม่ได้รู้จักเขาเลย
“เชี่ยมินโฮ ไอ้น่ารักมันงงตายห่าแล้วนั่น
มึงนี่ก็ไม่แนะนำตัวกับน้องมันเลย!” ผมรีบหันไปมองทางต้นเสียงอันคุ้นเคย
จึงเห็นพี่ชางมินเขาเดินเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
“หมดเวลาพักร้อนแล้วเหรอครับ ?” ผมยกยิ้มกว้าง
พลางถามพี่ชางมินทันทีที่พี่เขาเดินมาถึงหน้าประตูห้อง
“หมดแล้วดิ.. เออ! นี่ไอ้มินโฮนะ
เพื่อนพี่กับไอ้คยูน่ะ จำได้ไหมที่มันใช้ชื่อแอคเคาน์ในอินสตราแกรมว่า Mino
น่ะ” พี่ชางมินตอบพลางกอดพี่มินโฮและแนะนำให้ผมรู้จักอย่างเป็นทางการ
“อ้อ”
ผมพยักหน้าพลางอุทานออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผมนึกออกแล้ว
“โห่ ไรวะ นอกจากส่องไอ้คยูมันแล้ว เราไม่เคยคิดจะส่องอะไรรอบๆตัวมันบ้างเหรอ?” พี่มินโฮบ่นออกมาแทบจะทันที
เมื่อผมไม่เคยรู้จักหน้าคร่าตาของพี่เขาเลย นอกจากรู้จักกันผ่านตัวหนังสือแค่นั้น
“ก็น้องมันไม่ได้ขี้เสือกป่ะวะ.. ไปๆ ไปทานจิ้มจุ่มกัน.. มาเร็วซองมิน..”
พี่ชางมินล็อคคอพี่มินโฮก่อนจะลากให้เดินตามกันไป
แต่ทั้งสองก็เดินทิ้งห่างจากผมไปได้ไม่นาน ก็หันกลับมาย้ำชวนให้ผมเดินตามไปด้วย
ผมจึงก้าวถอยหลังไปหยิบคีย์การ์ดที่เสียบเอาไว้ใกล้ๆกับบานประตู และเดินออกจากห้องตามคำชักชวนของพี่ชางมิน
ผมลงลิฟต์มายังชั้น 43 จากนั้นก็เดินตามพวกพี่ชางมินตรงไปยังด้านซ้ายมือและหยุดลงที่ห้องหมายเลข
438 เมื่อเข้ามาด้านในห้องพักของหนึ่งในกลุ่มลูกเรือของสายการบินอาหรับ
ผมก็รับรู้ได้ถึงความแตกต่างของการเป็นอยู่ระหว่างโจวคยูฮยอนและเพื่อนๆของเขา
เพราะห้องๆนี้ ไม่ได้กว้างขวางและหรูหราเหมือนกับห้องที่พี่เขาอยู่
อีกทั้งชั้นนี้ทั้งชั้นก็ไม่ได้มีแค่สองห้องเหมือนกับชั้นบนสุด
“นี่ไอ้ตะวัน เพิ่งรู้จักกันตอนบินไฟล์ทไปกรุงเทพ”
ผมโค้งตัวทักทายร่างสูงไทยผิวสีน้ำผึ้งอย่างนอบน้อม
ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นข้างๆเตียงเพื่อล้อมวงทานหม้อไฟที่ผมจำชื่อมันไม่ได้
เพราะเนื่องจากมันเป็นเมนูที่ผมไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย อีกอย่างนะ
หม้อที่ใช้ยังเป็นหม้อดินรูปร่างแปลกตาซะด้วย
แถมเตาที่ใช้ยังไม่ใช่เตาไฟฟ้าแบบที่ผมคุ้นเคยอีกต่างหาก..
“แหมเพื่อนกู มีความขี้อิจฉา..”
ระหว่างนั่งทานเมนูไทยๆเป็นครั้งแรก
จู่ๆพี่มินโฮที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่ก็อุทานขึ้นมา จากนั้นก็โชว์หน้าจอให้ผมดู
ถึงได้รู้ว่าพี่คยูที่อยู่แดนไกลถึงตุรกีกำลังร่ำร้องอยากจะมาร่วมวงทานด้วยกัน
“อดแดกไปเถอะมึง!” พี่มินโฮพิมพ์ไปด้วยแล้วก็พูดไปด้วย
ราวกับต้องการให้พวกรับรู้โดยทั่วกันว่าเจ้าตัวจะแกล้งเพื่อนอย่างไรดี
“อร่อยไหม ?” พี่ตะวันเอ่ยถามผมเป็นภาษาเกาหลีไม่ค่อยชัดมากนัก
เพราะจริงๆแล้วพี่เขาเป็นลูกครึ่งไทย-เกาหลี แต่ตอนนี้ครอบครัวย้ายไปปักหลักอยู่ที่ไทย
พี่เขาก็เลยคุ้นเคยกับความเป็นไทยมากกว่า
“อร่อยดีครับ ผมชอบน้ำจิ้ม”
ผมยิ้มตอบพลางชี้ไปที่น้ำจิ้ม
“มีความวอแวเว้ยไอ้นี่!”
พี่มินโฮบ่นพลางยื่นโทรศัพท์มาให้ผมที่กำลังจะทานอย่างต่อเนื่อง
เพราะรสชาติของเมนูนี้ผมรู้สึกว่ามันถูกปาก
“ครับ ?” ผมวางตะเกียบลงบนปากถ้วยขนาดเล็ก
จากนั้นผมก็รับโทรศัพท์ของพี่มินโฮมาถือไว้ เลยทำให้ทราบว่าพี่คยูเขาวีดิโอคอลมา
“ฮาบีคุณไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยเหรอ?”
ทันทีที่ผมมองจ้องเข้าไปยังหน้าจอโทรศัพท์ พี่เขาก็รีบเอ่ยถามผมทันที
“ครับ”
ผมตอบพลางพยายามจะหลบสายตาแกมล้อเลียนของกลุ่มรุ่นพี่ที่กำลังนั่งอยู่ในขณะนี้
เพราะทันทีที่พี่คยูเรียกผมว่า ‘ฮาบี’ พวกเขาก็พากันมองผมด้วยสายตาชวนเก้อเขิน
ยิ่งพี่ชางมินกับพี่มินโฮนะ ตัวดีเลย!
“แล้วเอาเบดมาด้วยหรือเปล่า ?” แต่เมื่อพี่เขาถามถึงเบด
ท่าทางเก้อเขินของผมก็หายวับในทันที เพราะเนื่องจากผมลืมเจ้าเบดไปสนิทใจเลย
ป่านนี้ไม่รู้ว่ามันจะตกใจแค่ไหน เพราะผมทิ้งมันอยู่ในห้องตามลำพังจนเกือบจะครบชั่วโมงแล้ว
“ป..เปล่าครับ..”
ผมตอบพี่เขาพลางยัดโทรศัพท์ในมือของพี่มินโฮแล้วผมก็รีบวิ่งออกไปจากห้อง
ขณะที่กำลังยืนรอลิฟต์ผมก็ได้แต่เดินไปเดินมาอย่างกังวลใจ
กระทั่งเข้ามาในลิฟต์ความกังวลใจเหล่านั้นก็ยังไม่หมดลง
เมื่อตัวเลขที่ค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปชั้นบนมันเคลื่อนตัวช้ากว่าใจคิด
“อ๊ะ” ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป
ผมก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเจ้าเบดมันกระโดดเข้าใส่ผมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
“ขอโทษนะ” ผมก้มลงไปอุ้มเจ้าเบดมากอดไว้
พลางเอ่ยขอโทษมัน แม้ว่ามันจะไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ตามว่าผมรู้สึกผิดมากแค่ไหนที่ลืมมันไป
ยิ่งคิดถึงตอนที่เจ้าเบดมันขูดประตูร้องตามพี่เขาเมื่อวันก่อนผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่
แต่แล้วผมก็อดยิ้มบางๆออกมาไม่ได้เมื่อเจ้าเบดมันซุกตัวเข้าหาไออุ่นจากผม
คล้ายกับว่ามันเริ่มจะวางใจแล้วที่ผมกลับมา..
“คืนนี้เรามานอนด้วยกันเนอะ”
ผมบอกกับเจ้าเบดพลางก้มลงไปฟัดเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู
และเมื่อเดินมาถึงห้องนอนผมก็ปล่อยมันลงบนที่นอน ส่วนตัวเองก็เดินไปเก็บหนังสือและโทรศัพท์ที่กระโจมในห้องของเจ้าเบด
โดยที่เจ้าของห้องไม่ยอมนั่งรออยู่บนเตียง แต่กลับตามติดผมทุกฝีก้าวคล้ายกับกลัวว่าผมจะหนีหายไปอีก
“พี่..”
ผมอุ้มเจ้าเบดที่เดินตามเข้ามาในห้องนอนขึ้นมานั่งบนเตียง จากนั้นผมก็หันมาดูหน้าจอโทรศัพท์ที่ก่อนหน้านี้ผมกดวีดิโอคอลเอาไว้
“เบดร้องหรือเปล่า ?” พี่เขาถามเมื่อผมพิงโทรศัพท์เอาไว้กับหมอนข้างใบหนึ่งได้แล้ว
พร้อมกับขยับตัวลงนอนจนเข้าที่เข้าทางโดยมีเจ้าเบดเข้ามานอนซุกอยู่ไม่ห่าง
“ตอนผมมาไม่ได้ยินนะครับ” ผมตอบพลางลูบตัวเจ้าเบดเบาๆ
ขณะที่สายตาก็คอยจับจ้องไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ปราฏใบหน้าของร่างสูงในเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้นตัวบางที่กำลังนอนตะแคงข้างพูดคุยกับผมอยู่
“น่าจะร้องหรอก เล่นเกาะติดเราขนาดนี้”
พี่เขาคาดเดาพลางบุ้ยใบ้ให้ผมเข้าใจพฤติกรรมของเจ้าลูกรักมากขึ้น
“ตอนนี้พี่บินมาอาบูดาบี ใกล้กันแค่นี้เองแต่ก็ไปหาไม่ได้
เพราะเดี๋ยวตอนเช้าก็ต้องบินกลับไปตุรกีอีก แต่มะรืนนี้จะบินไปดูไบแล้วก็บินกลับไปตุรกีอีกรอบ..”
พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แต่แล้วก็หยุดพูดเอาดื้อๆ
“…”
“น่าเสียดายที่คืนที่มาดูไบไม่ได้ค้างคืน..”
“…”
“ผมอยากเจอคุณจังฮาบี..”
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ตอนนี้ไม่ค่อยหวานอะไรมากมาย
แต่เริ่มได้รู้จักคุณลูกเรือมากขึ้นเรื่อยๆ
และตอนนี้น้องเบดก็ติดฮาบีไปแล้วเรียบร้อยหลังจากลองเชิงอยู่นาน ส่วนพี่ชางมินก็กลับมาแล้วพร้อมกับพี่มินโฮและเพิ่มตัวละครใหม่เข้าไปเป็นชายหนุ่มสัญชาติไทย เพราะสายการบินในแถบนี้คนไทยนิยมไปทำกันเยอะพอสมควร เพราะเงินดี สวัสดิการเริ่ด ตอนนี้น่าจะยาวที่สุด 5555 และจะพยายามให้ตอนนึงยาวขึ้นเรื่อยๆนะ 555 เนื้อเรื่องยังคงเรื่อยเปื่อยต่อไป คู่นี้พัฒนาการช้าค่ะ
ฮิญาบ คือผ้าคลุมศีรษะ ส่วนอบายะห์ คือเสื้อคลุมตัวยาว ด้านล่างเป็นชุดแนวแฟชั่น
Shawarma (อาหารที่พี่อาราเอามาให้ทาน)
[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 30