วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Mistake 15

Mistake


               
Mistake 15

                การช่วยงานคลังสินค้ารอบแรกผ่านพ้นไปได้ด้วยดีพร้อมกับการที่กูมีอาการยอกหลังสัสๆติดตัวมาด้วย คืออาการที่ว่านี้แม่งยังไม่ทันจะหายดี อีเมลตัดสินชะตาชีวิตกูก็ออกมาอีกหนึ่งฉบับ ซึ่งอารมณ์นี้ใครจะเอากูไปไว้วันไหนก็เชิญเถอะ ขอแค่อย่ามายุ่งกับกูตอนนี้เป็นพอ ..
                “กูเอามึงไปไว้วันเสาร์แล้วกัน ท่าทางอาการมึงจะแย่ ..” ไอ้ชางมินลุกจากโต๊ะที่มีหมาสองตัวยืนรุมอยู่ เพื่อเดินมาตบไหล่ผมเบาๆสองสามที
                ห่าราก .. ร่างกูสะเทือนเลยดิงานนี้

                “คำพูดเหมือนดูดีเนอะ แต่มือมึงนี่กำลังทำร้ายกูอยู่ อย่ามาเนียนไอ้สัส!” ผมด่าแกมเหน็บแนมไอ้หัวหน้ามันด้วยความเจ็บแค้น ก็รู้ทั้งรู้ว่ากูหลังยอกยังจะมายุ่งวุ่นวายกับกูอีก ..
                “ขอบคุณพวกกูหรือยังที่เห็นแก่ความโง่ของมึงเลยยอมยกวันเสาร์ให้ ..” ไอ้มินโฮ มึงยังจะมีหน้ามาทวงบุญคุณกับกูอีก มึงด่ากูว่าโง่จนความโง่แม่งครอบงำกูขนาดนี้ มึงไม่ควรหน้าด้านมาทวงบุญคุณกูจริงๆ..

                “พ่องมึงเหอะ” ผมด่าพวกมัน แล้วหันหน้าไปทางโต๊ะทำงานของไอ้มิสเทคที่ตอนนี้กำลังออกไปทำงานนอกสถานที่พร้อมกับลูกทีมของมันเพื่อตัดความรำคาญ
                “ไอ้ชางมินมึงต้องได้เห็นตอนมันชู้ตกล่องลังขึ้นเทินข้างบน ไอ้สัส แม่งนึกว่าเป็นนักกีฬาบาสทีมชาติมั้ง มีกระโดดขึ้นชู้ตแล้วเกาะแป้นด้วยเว้ย แต่ขอโทษที แป้นที่ว่ามันคือเหลี่ยมกล่องลังด้านล่าง ไอ้ห่า ดูความโง่ของมัน กล่องล่วงลงมาทับแม่งเกือบตาย ดีที่มันเป็นกล่องเปล่า เล่นเอาคลังสินค้าเค้าวุ่นวายไปหมด .. คิดจะโชว์พาวน์แต่เสือกทำตัวเสร่อ กูล่ะปลง .. ไม่อยากจะเชื่อว่าที่ผ่านมาแม่งเป็นเซียนด้านนี้ แต่พอเป็นซัมวันจะลงมือทำเชี่ยอะไรก็ตายอนาถทุกที ...ไม่ทราบว่ามึงเป็นเชี่ยอะไรครับ น้อตหลุดจนทำตัวปัญญาอ่อนทุกที กูล่ะขำ ..” ไอ้มินโฮ ไอ้สัส มึงกระชากหัวกูให้เงยหน้าขึ้นตอบแบบนี้เลยเหรอวะ ความเสือกนี่ไม่เป็นสองลองใครเลยนะมึง ..

                “อ้อ ซัมวันไปคลังสินค้านี่เอง กูก็สงสัยว่าทำไมอยู่ๆแม่งก็โทรมาเสนอตัวจะไปพร้อมมึง ..” ไอ้ชางมินมันหันไปพูดกับไอ้มินโฮ แล้วก็หันมามองหน้าผมในเชิงว่า กูรู้ทันมึงละ ไอ้สัสคยู ..
ตอนนี้ .. จิตใจกูต้องนิ่ง ไม่หือไม่อือ ไม่ดิ้น!
            เดี๋ยวพวกมันก็หยุดเสือกเอง!

                ผมนั่งเขียนโปรแกรมให้ฝ่ายบุคคลเพื่อใช้ในการดึงข้อมูลจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิท เห็นอย่างนั้นท้องก็เริ่มจะร้อง ผมเลยตัดสินใจปิดหน้าจอเอาไว้ชั่วคราวเพื่อลงไปซื้อบะหมี่กินปะทังชีวิต คืองานวันนี้มันต้องเอาให้เสร็จเพราะฝ่ายบุคคลเขาเร่งจะเอาแล้ว กูเลยต้องอยู่ทำโอทีคนเดียวนี่ไง!
            “อ้าว .. ยังไม่กลับบ้านอีก ..” ผมกำลังเลือกน้ำดื่มของผมอยู่ดีๆ ก็มีคนเข้ามาทัก
                “ทำโอทีดิ .. แล้วมึงทำไมกลับมาออฟฟิศอีกล่ะ ?” ผมถามไอ้มิสเทคที่กำลังยืนมองผมที่นั่งยองๆอยู่หน้าตู้น้ำ

                “กูมาส่งเด็กพวกนั้นแหละ  มันเอารถทิ้งไว้ที่นี่ ..” มิสเทคมันตอบ ส่วนผมก็แค่พยักหน้า
                “กินอะไรมายัง ?” ผมหยิบน้ำเปล่าออกมาสองขวด พลางถามไอ้มิสเทคที่ยังคงยืนอยู่ใกล้ๆผม

                “ยัง ..” มิสเทคมันตอบพลางส่ายหัว
                “กินบะหมี่กัน ..” ผมชวนมัน ซึ่งมันก็ไม่ปฏิเสธ พอจ่ายค่าเสียหายเสร็จ ผมกับไอ้มิสเทคก็เดินเข้าบริษัทและมุ่งตรงไปยังห้องครัวประจำออฟฟิศ ..

                “น้ำที่ออฟฟิศก็มี มึงจะเสียเงินซื้อไปทำไม ?” ไอ้มิสเทคมันถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ขณะที่ผมกำลังคนเส้นบะหมี่ให้มันเข้าน้ำเข้าเนื้อ ทั้งของมันและของผม ..
                “เออ .. จริงว่ะ .. แล้วทำไมมึงไม่ท้วงกู ?” ผมย้อนถาม คืออารมณ์ตอนนั้นกูเบลอไงที่หันมาแล้วเจอมันยืนอยู่ด้านหลัง เลยโง่หยิบน้ำเปล่ามาแดกซะ ..

               
                “ที่แท้มึงเองก็รวนเหมือนกูล่ะสิ” ผมพูดขึ้นมาลอยๆ พลางเลื่อนถ้วยบะหมี่ถ้วยหนึ่งไปไว้ตรงหน้ามัน

                เฟี้ยว~

                “สัส! ไอ้มิสเทคมันเลอะนะโว้ย ..” ผมด่าไอ้มิสเทค พลางเช็ดเสื้อของตัวเองที่เปื้อนคราบบะหมี่จากปลายตะเกียบ
                “แล้วไง ?” มิสเทคมันลุกขึ้นไปหยิบตะเกียบของออฟฟิศตรงเค้าน์เตอร์ล้างจาน พลางหันมาถามและยกคิ้วขึ้นมาหนึ่งข้าง มองดูแล้วกวนตีนดีชิบหาย

                “ถามมาได้ กูก็ดีใจสิวะ..” ผมตอบพลางโซ้ยบะหมี่อย่างหิวโหย
                “กูไม่ได้รวน ..” มิสเทคมันเถียง คือถ้าเป็นก่อนรู้ความจริงกูก็คงเชื่อและเฟลสัสๆ แต่พอรู้เรื่องนั้นแล้ว กูมั่นใจว่ามิสเทคมันก็ต้องมีอาการไม่ต่างจากกูแน่ๆ

                “มึงจะกลับแล้วเหรอ ?” พอทานมื้อเย็นด้วยอาหารง่ายๆเสร็จ ผมกับไอ้มิสเทคก็เดินกลับมาที่ออฟฟิศ สักพักมิสเทคมันก็ตั้งท่าจะเดินออกจากห้อง หลังจากที่มันทำอะไรก้องๆแก้งๆบนโต๊ะทำงานของมันมาได้สักพักใหญ่ ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นจากการทำงานของตัวเอง
                “อืม” มิสเทคมันชะงักปลายเท้าที่กำลังจะก้าวออกจากห้องทำงาน แล้วหันมาตอบผม

                “รอกูก่อนดิ อีกแป้บเดียวก็จะเสร็จแล้ว”  ผมรั้งมันด้วยคำพูดและการกระทำทันทีอย่างไม่ต้องรีรอ
                “มึงไม่ได้เอารถมา ?” มิสเทคมันถามกลับ ขณะที่ข้อมือของมันก็ไม่ได้ปฏิเสธการจับกุมของผม

                “เออ .. กูขอกลับด้วยคนดิ ..” ผมโกหกออกไปคำโต ทั้งๆที่จริงๆแล้ววันนี้ผมเอารถมา
                “เร็วๆแล้วกัน กูเริ่มง่วงแล้ว ..” มิสเทคมันตอบ พลางบิดแขนออกจากการกอบกุมของผม แล้วเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานของมันตามเดิม ส่วนกูก็ยิ้มหน้าบานเลยดิ
                มันยอมอ่อนข้อให้กูแล้วนี่

                “เสร็จแล้วโว้ยยยยยยยยยยยย” ผมร้องตะโกนออกมาพลางบิดขี้เกียจไปทางซ้ายทีขวาที ทำเอาไอ้มิสเทคที่กำลังนั่งอ่านหนังสือนิตยสารอยู่บนโต๊ะทำงานข้างๆหันมามอง
                “ปิดเครื่องดิ จะได้กลับ ..” มิสเทคมันปิดหนังสือแล้วก็หันมาเตือนผม ขณะที่มันก็สะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมจะกลับบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                ผมกับมันเดินคุยกันจนกระทั่งมาถึงลานจอดรถ เล่นเอาผมเสียววาบๆขึ้นมาในอก เมื่อไอ้มิสเทคมันหันไปมองยังตำแหน่งที่รถของผมจอดอยู่ ผมก็เลยต้องพยายามยืนบังทิศทางการมองเห็นของมัน ..
                จากนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เคราะห์ดีที่ว่าวันนี้กูมาสาย เลยไม่มีที่จอดรถจนกูต้องเอารถไปจอดให้ไกลจากหน้าตึก
ไม่งั้นนะ ความแตกไม่เหลือซากแน่กู

                “ขับรถกลับบ้านดีๆนะมึง ..” เมื่อรถของไอ้มิสเทคมาจอดเทียบท่าตรงปากทางเข้าคอนโด ผมก็เดินลงจากรถ และอ้อมมาเคาะกระจกทางฝั่งคนขับเพื่อบอกให้มันขับรถดีๆอย่าประมาท เพราะตลอดทางที่ผมนั่งมาด้วย ผมเห็นมิสเทคมันหาวแล้วหาวอีกจนผมเป็นห่วง
                “รู้แล้วน่า ..

                “รู้แล้วก็ทำตามที่พูดด้วย ถ้าง่วงนักมึงก็แวะหาซื้ออะไรกินที่มันทำให้ตาสว่างสักหน่อยก็ได้ ..” ผมยังไม่ยอมแพ้ที่จะบอกกล่าวมันด้วยความเป็นห่วง
                “ครับๆ ผมทราบแล้วครับ ..” มิสเทคมันพยักหน้าสองสามทีพลางรับปากผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ

                “มิสเทค .. มึงนอนห้องกูอีกก็ได้นะ .. ปลอดภัยกว่ามึงกลับทั้งๆที่สภาพของมึงก็ง่วงซะขนาดนี้อีก ..” ผมท้าวแขนกับขอบหน้าต่าง พลางยื่นหน้าเข้าไปข้างในรถเพียงเล็กน้อย
                “หือ .. มึงกำลังฝันอยู่เหรอคยู มึงอย่าคิดนะว่ากูไม่รู้ว่าคืนนั้นมึงไม่ได้นอนที่พื้น ” มิสเทคมันยกยิ้ม พลางตีข้างแก้มของผมแรงๆ

                “อะไรวะ กูอุตส่าห์ทำเนียน ..” ผมคว้าข้อมือของมันไว้ พลางเอามาวนเวียนอยู่แถวๆปลายจมูก
                “กูหักมึงหนึ่งคะแนน ..” มิสเทคมันสะบัดมือออกจากการกอบกุมของผม แล้วจากนั้นก็มันผลักหน้าผมออกจากด้านในของตัวรถ พร้อมกับปิดหน้าต่างรถอย่างรวดเร็ว
                ส่วนกูมัวแต่อึ้งกับคะแนนที่ถูกตัดอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว !!!!
                ไอ้เชี่ยยยยย แค่กอดกูยังถูกหักคะแนนเลยมึง โคตรเขี้ยว!

                “ศูนย์คะแนนจากร้อย .. ไอ้เชี่ย! กูอยากจะบ้า!” ผมเดินบ่นเป็นหมีกินผึ้งจากหน้าปากทางเข้าคอนโดจนกระทั่งเดินเข้าไปในคอนโดจนถึงหน้าประตูห้อง ผมก็ยังรู้สึกเสียดายคะแนนนั้นไม่หาย!
                รู้งี้กูนอนกอดหมอนข้างดีกว่า ไอ้สัส!
               
                “กอดก็ไม่ได้ มึงอย่าหวังว่าจะได้จูบเลย โง่จริงๆ อุตส่าห์มีตั้งหนึ่งคะแนน ก็เสือกมาถูกหักออกไปอีก ไอ้โง่ ..” ผมด่าตัวเองอย่าเหลืออด พลางรินน้ำเย็นใส่แก้วแล้วกระดกขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วพอหมดแก้วผมก็เทน้ำจากกระบอกใส่น้ำลงไปใหม่ จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มพรวดๆอยู่หลายแก้ว
                “เชี่ย! พุงจะแตก ..” ผมเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาที่ผมเคยแอบมานอนกอดไอ้มิสเทค พลางตบท้องของตัวเองเบาๆ ..

                “เพราะมึงเลยมิสเทค ทำกูดับอนาถทุกที ..” ผมกล่าวโทษมันอย่างโยนความผิด แต่ทำไมใบหน้าของผมถึงเอาแต่ยิ้มก็ไม่รู้ แค่นึกไปถึงใบหน้าของมันในมโนสำนึก หัวใจมันก็เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังมีความสุขโดยที่มันไม่ต้องทำอะไรมากมายอีกต่างหาก
                สรุปคือกูเป็นเอามากจริงๆ

                ครืด ครืด

                ผมล้วงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดเพียงชั่วขณะจากในกระเป๋ากางเกงออกมาดู ปรากฏว่าเป็นข้อความจากไอ้มิสเทค ผมก็เลยรีบกดเปิดอ่านข้อความด้วยฝ่ามืออันสั่นเทา
                กูลืมบอกมึงไปว่า..กูจะให้มึงอีกหนึ่งคะแนนก็แล้วกัน .. ทีนี้คะแนนของมึงก็ไม่ติดลบแล้ว .. อย่ามาทำหน้าหมาป่วยใส่กูอีกล่ะ ..มันทุเรศลูกตา ..’

            “ไอ้เชี่ยยยยยยยยย ทำไมมึงให้ความหวังกูได้น่ารักขนาดนี้วะมิสเทค ..

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


มาต่อแล้วจ้า คยูก็ยังเป็นคนเพี้ยนๆเหมือนเดิม คึคึคึ

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Mistake 14

Mistake








Mistake 14


                “ถ้ามึงจะขี้เกียจเอารถมาขนาดนี้ ..ทำไมมึงไปกับรถบริษัทวะ ?” ไอ้ซีวอนมันถามระหว่างที่ผมกับมันกำลังเดินทางไปคลังสินค้า ด้วยความที่กูรู้ดีว่าวันนี้มันจะต้องปวดเมื่อยเนื้อตัวมากแน่ๆ ดังนั้นกูเลยไปสืบว่าไอ้ซีวอนแม่งต้องไปคลังสินค้าวันไหน ผลปรากฏว่าโชคแม่งเข้าข้างกูสุดๆ กูเลยไม่ต้องขับรถมาเอง เพราะกูมีขี้ข้าส่วนตัวแล้วเว้ย!
                “โห่ ไปกับรถบริษัทชาติไหนจะได้ไปจะได้กลับวะ รอกันไปรอกันมาอย่างนั้น ” ผมตอบพลางส่งสายตาบ่งบอกว่า ก่อนมึงถามนี่ได้กลั่นกรองออกจากสมองหรือเปล่า ..’

               “ขี้เกียจมึงก็บอกมา ไอ้ห่า มีการบังคับให้กูเอารถมาซะด้วย .. คิดว่ากูรู้ไม่ทันมึงมั้ง ?” ไอ้ห่าคุณชายมึงด่ากูมาเป็นชุดเชียวนะ แหมมม!
            “แล้วมึงเอารถมาทำไมวะ แหม่ ไม่ค่อยจะเห็นแก่กินเลย สัส!” ผมด่ามันกลับ คือเรื่องของเรื่องกูเอาของกินไปล่อมันเองแหละ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคุณชายอย่างมัน รวยก็รวยสัสๆ แต่ขี้งกชิบหาย คิดดูดิ มันยอมขับรถมาคลังสินค้า ทั้งๆที่มันก็รู้นะว่าหลังเลิกงานแล้ว ความล้าแม่งจะตรงเข้าเล่นงานจนขี้เกียจจะขับรถน่ะ แต่มันก็ยังยอมเอามา
เพราะกูบอกจะเลี้ยงข้าวกลางวันแม่งหนึ่งเดือนเต็ม!
ห่าเอ้ย! งกไม่มีใครเกินเลยเพื่อนนอกระบบของกู
               
                “อยู่กันยังไงวะ ทางจะเดินยังแทบไม่มี ..” พอมาถึงคลังสินค้า ผมก็ถึงกับอุทานออกมาอย่างปลงๆ เมื่อภาพที่เห็นแม่งเป็นภาพอันคุ้นตาชิบหาย คือกูมาคลังสินค้ากี่รอบๆ ของแม่งก็เยอะทุกรอบ ..
                “ลงพุงอย่างมึง เดินทีต้องแขม่วสุดฤทธิ์อ่ะ” ไอ้ห่าซีวอน! มึงมีหกห่อแล้วหยามกูซึ่งๆหน้าแบบนี้เลยเหรอวะ เลวมาก!

                “เชี่ย!” ผมถีบก้นมันเต็มแรง เล่นเอามันเซแถ่ดๆ จนกล่องลังที่ถูกวางเทินขึ้นสูง เกือบจะล้มลงใส่มัน ดีที่กูและคนอื่นๆที่เดินอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง เข้ามาหยุดสถานการณ์อันเสี่ยงตายเอาไว้ได้ทัน
                ไม่อย่างนั้นนะ .. กูเกือบต้องเข้าคุก โทษฐานฆ่าเพื่อนตายโดยไม่ได้เจตนาซะแล้ว

            หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปด้วยความสงบ งานแรกก็คือการยกลังบางส่วนออกมาวางกองข้างนอก เพื่อให้พวกผู้หญิงคัดแยกสินค้าแต่ละอาร์ตและนับจำนวนว่ามันครบตามที่หน้ากล่องระบุหรือไม่

                ตุ้บ!

                “แค่กๆ” ทันทีที่ผมวางกล่องลังใบใหญ่ที่แม่งโคตรจะหนักลงบนพื้นดิน หญิงสาวคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ถึงกับไอ     ค่อกแค่กขึ้นมาทันที
                “โทษๆ มันหนัก ..” ผมยิ้มแหย พลางเตรียมจะเผ่นหนี เมื่อหญิงสาวผู้นั้นคือหัวหน้าแผนกบัญชีครับท่าน! งานนี้กูมีแต่เละกับเละ ฉะนั้นกูต้องเอาตัวรอดเป็นยอดดี!

                “ไม่โยนใส่หัวพี่ไปเลยวะ ทรมานไม่ต่างกันเลยไอ้คยูฮยอน ..” ท้ายประโยคมีเน้นชื่อกูด้วย เสียวสันหลังวาบๆเลยกู
                “เออ .. มันต้องอย่างนี้ วางให้กริบ ” พอยกกล่องใบใหญ่ที่โคตรจะหนักใบที่สองออกมา แล้วบังเอิญญญญญ กูต้องเอามันมาวางตรงหน้าเจ๊แกอีกแล้ว งานนี้กูเหงื่อตกมากอ่ะบอกเลย เพราะกูต้องวางให้กริบ อย่าได้ปลุกฝุ่นให้ฟุ้งกระจายอีกเป็นอันขาด ไม่งั้นหัวกูแบะแน่

                “กูไปห้องน้ำแป้บ” พอยกกล่องลังออกมาด้านนอกจนภายในโกดังเริ่มมีพื้นที่ให้เดินบ้างแล้ว ผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาสักหน่อย เพราะตอนนี้เหงื่อกูโทรมกายมาก แม่งถ้าถอดเสื้อได้กูคงถอดไปแล้ว ร้อนและเหนียวตัวเชี่ยๆ
            “กินน้ำมั่งดิ ..” พอเดินออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เดินทะลุไปด้านหลังโกดัง ก็เห็นแรงงานต่างด้าวอีกกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งติดป้ายเซลล์กันอยู่ ผมก็เลยเดินเนียนๆเข้าไปขอน้ำกิน ..

                “มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ?” ผมรับขวดน้ำมาจากไอ้มิสเทค แล้วก็เปิดฝากระดกน้ำอึกใหญ่ พอกลืนมันลงคอจนหมดผมถึงได้ถามมันอย่างสงสัย
                “แปดโมง ..” มิสเทคมันตอบ พลางก้มหน้าก้มตาให้ความสนใจกับเครื่องติดป้ายราคา

                “แผนกมึงมาคนเดียวเหรอ ?” ผมถามพลางนั่งมองมันหมุนแป้นพิมพ์หาตัวเลขที่มันต้องการ เพื่อติดป้ายราคา
                “อืม .. มึงมันใช้ยังไง ?” ผลสุดท้ายไอ้มิสเทคมันก็หมดความอดทน ยื่นเครื่องติดป้ายราคามาให้ผม

                “มึงต้องดึงไอ้ที่หมุนหาตัวเลข ออกมาทีละหน่วย อย่างอันนี้มึงทำหลักพันได้แล้วใช่ป่ะ มึงก็ดึงที่หมุนออกมาแล้วดันให้มันอยู่ตรงหน่วยร้อย ทีนี้มึงก็หมุนหาตัวเลขที่มึงต้องการ ได้แล้ว” ผมยื่นเครื่องติดป้ายราคามาตรงหน้าของไอ้มิสเทค แล้วก็หมุนให้มันดูเป็นตัวอย่างตามราคาที่มันใช้เครื่องคิดเลขคำนวณเอาไว้ จากนั้นผมก็คว้าข้อแขนของมันมายิงป้ายราคาเรียงกันเป็นแถวแนวยาว
                “ยื่นมาอีกข้างดิ กูจะแปะป้ายเปอร์เซ็นให้ ..” ผมแบมือขอแขนอีกข้างของมันมาใช้เป็นที่แปะชั่วคราวของป้ายราคา เนื่องจากเวลาเรายิงป้ายออกมาแล้ว มันจะออกมาเป็นแผง ถ้าไม่แปะอะไรไว้ก่อน มีสิทธิพันกันยุ่งเหยิง เสียของอีกต่างหาก ..

                “ของมีเยอะป่ะ ทำไมตรงนี้คนน้อย ?” ผมเอื้อมมือไปลากกล่องลังใบใหญ่ ที่สภาพแลดูเก่าๆและยับเยินเอามากๆเข้ามาใกล้ตัว จากนั้นก็หยิบกล่องกระดาษใบไม่เล็กไม่ใหญ่ที่บรรจุรองเท้ารุ่นเก่าที่จะนำมาเป็นสินค้าลดราคาพิเศษขึ้นมาติดป้ายราคาเสียใหม่ แต่ขณะที่ผมทำงาน ปากของผมก็คอยสอบถามไอ้มิสเทคไปด้วย ..
                “ไม่รู้ดิ ..” มิสเทคมันตอบ พลางก้มหน้าก้มตาติดป้ายราคาอย่างตั้งใจ ส่วนผมที่มีความชำนาญมากกว่าเพราะเคยมาช่วยงานคลังสินค้าหลายรอบแล้ว ก็ย่อมทำได้เร็วกว่ามัน

                “ขอเครื่องคิดเลขหน่อย ..” ผมบอกไอ้มิสเทค ขณะที่ผมกำลังเปิดกล่องลังกล่องใหม่ และตรวจเช็คอาร์ตตรงหน้ากล่องลังกับอาร์ตตรงกล่องรองเท้าว่ามันตรงกันหรือไม่ จากนั้นผมก็เขย่าๆกล่องรองเท้าทุกกล่องเพื่อตรวจดูว่ามีสินค้าหรือไม่ ผมทำอย่างนั้นจนกระทั่งกล่องใบสุดท้าย เครื่องคิดเลขที่ผมร้องเรียกหาจึงมีโอกาสได้ใช้งานเสียที ..
                “ลด 70% เหลือ หมื่นห้าพันวอน ..” ผมบอกไอ้มิสเทคให้มันทำป้ายราคาใหม่ เนื่องจากราคาที่คิดได้มันไม่เหมือนกับราคาของกล่องเมื่อครู่ แต่ป้ายลดราคายังคงใช้ของเก่าได้อยู่ ..

                “เอาแขนมาดิ ..” มิสเทคมันบอก พลางตั้งท่าจะเอาเครื่องติดป้ายราคามายิงใส่แขนผม
                “อืม ..” ผมตอบรับในลำคอ แล้วก็ยื่นแขนให้มัน จากนั้นไอ้มิสเทคก็ยิงป้ายราคาใส่แขนผมรัวๆ พร้อมกับตีๆให้มันติดกับผิวเนื้อของกูซะแน่นหนาเลย
                แบบนี้แม่งเรียกว่า กวนตีนหรือเปล่าวะ ?

                “มึงไม่เห็นบอกกูเลยวะว่าจะมาวันนี้ ..” ผมติดป้ายราคาบนหน้าป้ายที่คล้องอยู่กับหนวดกุ้ง ขณะที่ปากก็ถามไอ้มิสเทคต่อไป
                “ก็มึงไม่ได้ถาม ..

                “ได้ข่าวว่ากูถามมึงเถอะ บนรถวันก่อนน่ะ ..” ผมเงยหน้าขึ้นมาเถียงมันทันที เพราะไอ้เรื่องอย่างนี้กูจำแม่น
                “ก็นั่นมันวันก่อน ซึ่งยังไม่ถึงเวลาที่กูจะจัดตารางของแผนกกู ..” ดูมันตอบ! แม่งน่าหมั่นไส้!

                “หมั่นไส้มึงว่ะ กวนตีนกูหน้านิ่งเลยนะ ..” ผมเอื้อมมือไปดึงป้ายเปอร์เซ็นตรงข้างแขนของมันอย่างแรง ทำเอามันเงยหน้ามาจ้องอย่างหาเรื่อง เห็นอย่างนั้นผมเลยทำหน้าหาเรื่องใส่มันบ้าง
                “โอ้ย!” เจองี้ก็ร้องดิ ก่อนหน้านั้นแม่งเล่นตบป้ายสติ๊กเกอร์ราคากับแขนกูอย่างแรงจนมันเรียบสนิทรวมกันกับผิวเนื้อกูไปแล้ว พอมันมาดึงพรวดแบบนี้ ไม่ร้องก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว!

                “แกล้งกู ..” ผมยกเท้าเตะขาไอ้มิสเทคที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมนัก
                ” มิสเทคมันไม่ตอบ แต่มันกลับทำหน้าตาทำนองว่า แล้วไงใส่

                “ยกมาให้ไวโว้ยไอ้เซจิน ..” ผมโวยวายแกล้งเด็กแผนกคลังสินค้า ทีนี้มันเลยจัดหนักให้กูซะ!
                “เต็มที่เลยพี่ ..

                “กวนตีนกูแล้วมึง ..” ผมชี้หน้ามันที่เดินหัวเราะอารมณ์ดีเข้าไปด้านในของโกดัง เพื่อไปทำหน้าที่อื่นของมันต่อ
                “อย่าบ่นโว้ยไอ้คยู .. แข่งกับกูเปล่า ?..” ไอ้จินซอกมันท้าข้ามกล่องลังกองพะเนินมาเลยทีเดียว คิดว่ากูจะยอมเหรอ ถึงทีมกูจะมีน้องใหม่ แต่ก็หัวไวนะเว้ย

                “เอาดิ ใครแพ้เลี้ยงอะไรก็ได้ที่ฝ่ายชนะอยากแดก ราคาไม่เกี่ยง!” ผมตะโกนรับคำท้าพร้อมกับเสนอของรางวัลไปด้วย เพราะเรื่องของเรื่องที่นี่มันไกลจากแหล่งชุมชนอันมีร้านขายของมากมาย ฉะนั้นถ้าพวกมึงอยากแดกจำพวกของที่หากินได้จากที่ออฟฟิศนั้น ไม่มี! ดังนั้นทุกคนจึงอยู่อย่างพอมีพอกิน ..
                “สี่หมื่นห้าร้อยวอน ..” ผมบอกราคากับไอ้มิสเทค จากนั้นถึงค่อยยกกองลังใบเก่าลงมาวางใกล้ๆตัว แล้วผมก็เริ่มทำแบบเดิมคือการเช็คสินค้าว่ามีครบหรือไม่ ซึ่งอันที่จริงเราก็ต้องเปิดกล่องอยู่แล้วนะ แต่แบบมันก็ต้องเขย่าก่อนจะได้รู้ได้โดยไม่ต้องเปิดกล่องให้เสียเวลาไงกล่องไหนพนักงานมันลืมใส่ของมาให้หรือเปล่า เพราะมันเคยมีประเด็นโว้ย คือกูเปิดมาเจอแต่ซองกันความชื้นกับกระดาษกองเท่าขี้หมาที่เอาไว้ยัดรองเท้าอ่ะ แม่งเสียอารมณ์และเสียเวลาสัสๆ ..

                “แปะขากางเกงกูเลย ถ้าพื้นที่บนตัวมึงไม่มีเหลือแล้ว ..” ผมบอกไอ้มิสเทค เพราะกล่องนี้มันลดแค่ 40% เท่านั้น ฉะนั้นไอ้ราคาก่อนหน้านี้ที่เราใช้ไม่หมดมันก็เลยเบียดเบียนพื้นที่แปะป้ายราคาบนตัวของไอ้มิสเทคอยู่มาก ซึ่งมันทิ้งไม่ได้ด้วยไง คือราคามันจะลดไม่ต่างกันเท่าไหร่ อย่างเจ็ดสิบก็จะราคาเท่าๆกันแทบทุกกล่องน่ะแหละ อยู่ที่ว่าเราจะมือดีไปหยิบกล่องไหนได้เท่านั้นเอง ..
                “โผล่หัวมานั่งอยู่นี่เอง กูก็ว่ามึงหายไปไหน ..” ผมกำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจทำงานอยู่ดีๆ น้ำเสียงกวนตีนก็ดังขึ้นอยู่เหนือหัว

                “มีไร ?” ผมถามเสียงห้วน บ่งบอกให้มันรู้ว่ามึงกำลังมาขัดความสุขของกูมากๆ และกูโคตรจะไม่ชอบ ฉะนั้นมึงควรไสหัวไป
                “เปล่า กูแค่เดินผ่านมาเจอ ..” ไอ้สัสซีวอน .. กูรับรู้ได้ถึงกระแสกวนตีนของมึง ซึ่งมันบ่งบอกได้ว่า เรื่องวันนี้แม่งต้องได้กระจายต่อไปยังกลุ่มเพื่อนคนอื่นของกูอย่างแน่นอน
                ไอ้สัส! งานเข้า!
                ชีวิตกูยังลุ่มๆดอนๆอยู่เลย .. อย่าเสือกหาเหาใส่หัวกู!
               
                “ทำเชี่ยไรมึง ?” ผมรีบลุกเดินตามไอ้ซีวอนเข้าไปในโกดังทันที แล้วพอไปถึงก็เห็นแม่งกำลังกดโทรศัพท์อยู่พอดี ..
                ” ไอ้คุณชายมันเอี้ยวตัวหลบไม่ยอมให้กูยึดโทรศัพท์มัน พร้อมกับทำหน้ากวนตีนใส่กู ทีนี้กูยิ่งเต้นดิ รวนแม่งไปหมด

                “ทำไรๆ กูคุยงานกับนายอยู่ ห่า ..” เชี่ย! ไอ้เพื่อนเชี่ย! แม่งแกล้งกูอยู่ได้ตั้งนาน พอมันคุยงานกับนายทั้งๆที่มีกูมาคอยจะกระชากโทรศัพท์ออกจากหูเสร็จ แม่งก็โชว์เบอร์นายให้กูดูเต็มๆตา ..
                “ร้อนตัวจนเครื่องรวนเลยนะมึง ..” ไอ้ซีวอนมันขำออกมาเบาๆ แล้วก็เดินจากกูไปด้วยมาดคุณชายล้วงกระเป๋า ไอ้ห่า คิดว่าเท่มากเหรอวะ ..

                กูว่ากูควรตั้งสติให้มากกว่านี้ ยิ่งกูรวนมากๆเข้า พวกมันก็จะยิ่งแกล้งกู คือถ้ามิสเทคมันโอเคกับเรื่องเก่าๆของกูล่ะก็นะ กูก็พร้อมจะให้พวกมันเปิดโปง แต่นี่แค่กูพูดถึงมิสเทคมันก็ตาแดงแล้วดิ เกิดมันรู้มากแบบเจาะลึกแล้วเป็นมากกว่าตาแดงกูจะทำยังไง ..
                กูยังไม่พร้อมจะเสียมันนะเว้ย กูชอบของกูอ่ะ ..
               
                ผมเดินกลับมานั่งติดป้ายราคากับไอ้มิสเทคต่อ แต่คราวนี้กูติดอย่างเดียวไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ  คือกูเครียดและกังวล ปกติพวกมันจะแฉกูกับใครกูไม่เคยเครียดเลยนะ เพราะคนพวกนั้นไม่ใช่คนที่กูให้ความสนใจเท่ากับไอ้มิสเทค อารมณ์จะอยู่หรือไปก็แล้วแต่มึง ..
                แต่กับไอ้มิสเทคกูแคร์ทุกเรื่องแล้วแม่ง!

                “เป็นอะไร ?” คำถามของไอ้มิสเทคดึงสติของผมกลับมา
                “เปล่านี่ ..

               
                “มิสเทค ..

                “อะไร ?” มิสเทคมันวางมือจากการติดป้ายราคา แล้วหันมามองหน้าผม
                “มึงจะเกลียดอดีตของกูก็ได้นะ .. แต่อย่าเกลียดกูที่อยู่กับมึงในตอนนี้ได้ไหมวะ ?” ผมถามแต่ไม่กล้ามองหน้ามัน

                “อดีตของมึงแน่นอนว่ากูต้องเกลียดเข้ากระดูกดำ.. แต่กับมึงในตอนนี้ .. กูไม่รู้ ..” มิสเทคมันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นไหว บ่งบอกได้ว่ามันไม่ได้เกลียดผมอย่างที่ปากพูด ขณะที่ท้ายประโยคของมันก็แทบจะกลืนหายไปในลำคอ ถ้าหากไม่ตั้งใจฟังคงไม่ได้ยิน ..
                “กูไม่น่ารักสนุกแบบนั้นเลยว่ะ .. ตอนนี้กูเลยกลัวไปหมด .. ” ผมวางมือจากการติดป้ายราคาพลางเงยหน้ามองไอ้มิสเทคที่กำลังมองหน้าผมอยู่

                “มึงเคยบอกกูว่ามึงจะไม่พูดถึงอดีต ..
               

             “มึงแพ้แล้วไอ้คยู!” สัสหมา! กูมัวแต่ดราม่ากับชีวิตรักอันลุ่มๆดอนๆ ฝ่ายตรงข้ามแม่งเลยยกทัพมาชิงตัวประกันเน่าๆกล่องสุดท้ายของกูไปแล้ว
                ห่าเอ้ย .. ผลงานกูเมื่อเทียบกับพวกมันแล้ว ต่อให้กล่องสุดท้ายเป็นของกู แม่งก็ยังแพ้อยู่ดี ..
                ไอ้เชี่ยคุณชาย เพราะมึงเลย พากูรวนจนไม่เป็นอันทำงาน .. และทำกูเสียเวลามองหน้าไอ้มิสเทค!
               
               

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
 
มาเร็วอย่าแปลกใจ พอดีเห็นคอมเม้นท์ยาวๆอิน อ่านแล้วมีกำลังใจเลยรีบมาปั่นให้ทุกคนอ่าน 5555 อยากบอกว่าอ่านคอมเม้นท์ยาวๆอันล่าสุดแล้วยิ้มได้หลังจากที่เครียดกับงานเลยทีเดียว T_T
                หมายเหตุ : หนวดกุ้งคือเส้นพลาสติกที่เค้าเอาไว้คล้องป้ายราคาสินค้าน่ะค่ะ ไม่รู้จะนึกออกกันมั้ยที่เวลาจะเอาป้ายราคาออกเราต้องตัดมันอ่ะ ส่วนอาร์ตก็คือป้ายรหัสสินค้า มันจะมีตัวบอกว่าสินค้ากล่องนี้สีอะไร เบอร์อะไร รุ่นไหน มีจำนวนเท่าไหร่ในกล่อง