วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

[SF - HBD Kyu] The Fairies [End]

The Fairies


สรวงสวรรค์ ..
ดินแดนแห่งเหล่าทวยเทพ ผู้รับหน้าที่ที่พระเจ้าทรงบัญชา
นั่นก็คือความอิ่มเอมและนบนอบในสิ่งที่เรียกว่า ความสุข

“ท่านแม่ ..” ภูติสวรรค์ตัวน้อยทำตาใสและเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ที่ทอดมองมาที่ตนด้วยสายตาอ่อนโยน
“หืม ..

“ท่าน แม่เคยบอกข้าว่า ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์เป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเรา แล้วทำไมข้าถึงข้ามไปเล่นทางฝั่งทิศเหนือมิได้” เด็กน้อยเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เพราะตนเคยได้ยินมาว่าดินแดนทางตอนเหนือ เป็นดินแดนที่น่าอัศจรรย์ใจมาก
“เด็กน้อย .. สิ่งใดที่ผู้ใหญ่กล่าวห้าม นั่นหมายความว่าที่แห่งนั้นล้วนมีแต่อันตราย ..” ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะของลูกน้อยด้วยความเอ็นดู เพราะถึงอีซองมินจะดื้อดึงอยู่บ้าง แต่สิ่งใดที่นางกล่าวห้าม ลูกชายของนางก็มิเคยฝ่าฝืน ..

                อี ซองมินยังคงจดจำคำสอนจากผู้เป็นแม่ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคำสอนพวกนั้นจะถูกสอนสั่งเมื่อครั้งที่ตนยังเล็กนัก และเมื่อเวลาผ่านไป อีซองมินก็ไม่เคยคิดจะฝ่าฝืนดังเช่นเดิม ..
            ทุก วันอีซองมินได้แต่โบยบินมายังเส้นรอยต่อระหว่างเขตแดนของตนและเขตแดนต้อง ห้าม เด็กหนุ่มได้แต่นั่งมองพื้นที่ขาวละมุนทั่วทั้งผืนด้วยความสงสัยใคร่รู้
            อุณหภูมิของดินแดนแห่งนี้ แตกต่างจากอุณหภูมิทางฝั่งของตนมาก ..

                จากที่ตนคาดคะเนทางสายตาแล้ว ดินแดนทางฝั่งของตนนั้นมีพื้นที่กว้างขวางกว่ามาก ถึงจะแบ่งเป็นเขตแดนแยกจากกันอย่างเป็นเอกเทศก็ตาม แต่อย่างไรแล้วเขตแดนแต่ละแห่งก็คือเขตแดนของพวกเราเหล่าภูติทุกตนอยู่ดี
            จะมีก็เพียงแต่ดินแดนสีขาวที่แยกตัวออกห่างจากชาวภูติอย่างเราโดยสิ้นเชิง

                ดินแดนแห่งสวรรค์จะแบ่งไปตามลักษณะเด่นทางภูมิภาค อย่างเช่นดินแดนที่อีซองมินอาศัยอยู่ เรียกว่า ดินแดนแห่งบุปผาตลอดทั้งปีจึงมีแต่กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิด และยังเป็นแหล่งรวมพลของสัตว์ขนาดเล็กอีกด้วย
                ดินแดนถัดมา จะเป็นดินแดนที่อยู่ติดกับมหาสมุทร ดินแดนแห่งนี้จะขึ้นชื่อเรื่องสถานที่พักตากอากาศและยังเป็นแหล่งรวมสัตว์ น้ำหลากชนิดอีกด้วย

                ถัดจากดินแดนที่พักตากอากาศ ก็จะเป็นดินแดนแห่งขุนเขา ซึ่งจะเป็นที่อยู่ของสัตว์ขนาดใหญ่หลากชนิด ซึ่งดินแดนแห่งนี้ก็ถือว่าอันตรายรองลงมาจากดินแดนสีขาวทางตอนเหนือเลยที เดียว
                แต่สำหรับอีซองมิน มันไม่ได้น่ากลัวเช่นนั้น
                เพราะตนได้ทำการสำรวจมาทุกซอกทุกมุมแล้ว

                ถัด จากดินแดนอันตราย ก็เป็นดินแดนแห่งฤดูใบไม้ผลิ ดินแดนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสีเหลืองอร่ามจากต้นไม้ขนาดใหญ่ตลอดทั้งปี แต่จุดเด่นของดินแดนแห่งนี้คือพืชผลทางการเกษตรขนาดใหญ่มหึมานั่นเอง
                ทุก ดินแดนถึงแม้จะแยกส่วนสัดอย่างชัดเจน แต่ภูติทุกตนก็สามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ เพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้ซองมินต้องมานั่งมองดินแดนสีขาวจากระยะไม่ใกล้ไม่ ไกลแบบนี้ ...
                ซองมินก็แค่อยากรู้ว่าทำไม ภูติทุกตนถึงห้ามเข้าไปในดินแดนสีขาว
                มันมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่ .. นั่นคือสิ่งที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจของตนมาตลอด

                “ไป คาบมาปีกัส” อีซองมินหลุดจากภวังค์แห่งความคิด เมื่อเสียงทุ้มทรงอำนาจจากอีกฟากฝั่งหนึ่งลอยมาตามสายลม ดวงตากลมโตของเด็กหนุ่มพยายามจะเพ่งมองไปยังดินแดนสีขาวบริสุทธิ์อย่างสุด ความสามารถ
                จากมุมนี้เด็กหนุ่มมองไม่เห็นเจ้าของเสียงทุ้มทรงเสน่ห์ผู้นั้นชัดเจนนัก จะเห็นก็เพียงเงาร่างอันเลือนราง ….

                ฟึบ!

                ชายผู้นั้นกำลังฝึกนกฮูกหิมะขนาดใหญ่อย่างกระฉับกระเฉง นี่เป็นครั้งแรกที่ซองมินได้เห็นนกตัวใหญ่มหึมาขนาดนี้ ซองมินแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเลย
                มันน่าอัศจรรย์ใจมาก
                มิน่า .. ภูติสวรรค์ตนอื่นจึงพากันกล่าวขานเช่นนี้

                สอง ขาของซองมินกำลังก้าวย่างเข้าไปใกล้ยังดินแดนต้องห้ามแห่งนั้นช้าๆ ขณะที่ดวงตาของเขาก็เอาแต่จับจ้องไปยังร่างของชายผู้หนึ่งที่เอาแต่สนใจกับ สัตว์เลี้ยงของตนเพียงอย่างเดียว
                เขาเป็นใครตนก็มิอาจทราบ ….
                หากแต่หัวใจกลับเต้นรัวอย่างน่าประหลาด

                ยิ่ง สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ภาพลักษณ์ของชายผู้นั้นก็ยิ่งชัดเจนในม่านสายตา รูปร่างของผู้ชายผ฿นั้นดูสง่างามราวกับนักรบผู้หาญกล้า อีกทั้งแผ่นหลังของเขาก็ยังกว้างใหญ่แลดูอบอุ่น
                เส้นผมของเขาเป็นสีขาวมุกกลมกลืนกับสีประจำดินแดนที่เขาอยู่อาศัย
                เขาเป็นใคร ? ทำไมถึงอยู่ในดินแดนต้องห้ามแห่งนั้น ?

            “อ๊ะ” ด้วยเพราะใจลอย อีซองมินจึงไม่ทันระวังว่าเบื้องหน้า แท้ที่จริงมันมิใช่ทางเดิน หากแต่มันคือน้ำตกอันเยือกเย็น ที่หากตกลงไป ตนคงจะแข็งตายอยู่ตรงนี้เป็นแน่
                เสี้ยว วินาทีที่ร่างกำลังจะล่วงลงสู่ผืนธาราอันเยือกเย็น อีซองมินได้แต่หลับตาแน่น ปีกใสที่เคยแข็งแกร่ง เมื่อพบเจอกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไป ก็ไม่อาจเรียกมันมาใช้งานเพื่อช่วยชีวิตของตนได้เลย

                วินาทีชีวิตอันแสนสั้น ทำเอาซองมินนึกโทษตัวเองไม่น้อย ที่ดันคิดอะไรพร่ำเพ้อ จนพาลพาให้ตนเองพบเจอกับความยากลำบาก
            ไอเย็นจากธาราส่งผลให้ความหนาวเหน็บเข้ามาทักทายได้ไม่ยาก
                อีกนิดเดียวอีซองมินก็จะถูกแช่แข็งทั้งเป็นอยู่แล้ว ถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคนเสียก่อน ..


*. ·*.:•.*





            อีซองมินหลับไปนานเท่าใด ก็ไม่อาจทราบ รู้เพียงแต่ว่าสิ่งแรกที่ม่านสายตามันมองเห็น กลับไม่ใช่สถานที่อันคุ้นเคย ภายในห้องที่ตนมานอนพักเอาแรงอยู่นี้ มีการตกแต่งที่วิจิตรตระการตาเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกเหมือนตนกำลังอยู่ในพระราชวังอย่างไรอย่างนั้น
                อีกทั้งเตียงนอนที่ตนกำลังอิงแอบอยู่นี้ก็ยังนุ่มนิ่มพาลพาให้นอนหลับอย่างสบาย ใจ ไหนจะหมอนใบนุ่มที่เคยหนุนนอนนั่นอีก ไม่แปลกเลยที่ตนจะหลับนอนจนไม่รู้จักเวล่ำเวลา

                เด็ก หนุ่มสะบัดผ้าห่มสีชมพูหวานออกจากตัว และวางปลายเท้าลงบนผืนพรมที่ออกแบบในลักษณะคล้ายคลึงกับผืนหญ้าที่อีซองมิ นคุ้นเคย และเมื่อปลายเท้าของซองมินเหยียบลงบนผืนพรมสีน้ำตาลอ่อนอันเปรียบเสมือนผืน ดินอันอุดมสมบูรณ์ ความเย็นเฉียบก็แล่นปราดจนซองมินต้องกระโดดโหยงเหยงไปยืนบนพรมผืนหญ้าทันที
                หากแต่เพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาของซองมินสบกับภาพสะท้อนในกระจก ท่าทางกระโดกกระเดกมันก็พลันหายไป

                ปีก ใสๆของซองมินที่เคยงดงามในสายตาของภูติตนอื่น ณ ตอนนี้มันกำลังหลุดลุ่ยไม่มีชิ้นดี เด็กหนุ่มลองขยับปีกของตนเองไปมา เพื่อหวังจะโบยบินอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจทำได้ ..
                นี่ เป็นครั้งแรกที่ความกลัวมันเข้ามาทักทายภายในจิตใจของอีซองมิน จนมันกลั่นกรองออกมาเป็นหยดน้ำตา ร่างเล็กของภูติตัวน้อยทรุดลงนั่งกับพรมผืนหญ้าด้วยท่าทางอ่อนแรง ใบหน้าหวานผิดแผกจากเด็กหนุ่มทั่วไป จรดลงบนหน้าขาของตัวเองเพื่อหลบซ่อนน้ำตาที่ไม่อาจให้ผู้ใดมองเห็น

                วินาที นี้ อีซองมินเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านแม่จึงย้ำนักย้ำหนาว่าอย่างไรแล้ว อีซองมินก็ห้ามเข้ามาเที่ยวเล่นในดินแดนสีขาวบริสุทธิ์แห่งนี้เด็ดขาด
เพราะมันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างที่ใครก็ไม่อาจคิด
                และก็ไม่รู้ว่าจะมีทางแก้ไขได้หรือไม่

                แกร๊ก

                “เจ้าฟื้นแล้วหรอกหรือ ?” เสียงเปิดประตูดังมาพร้อมๆกับเสียงทุ้มนุ่มของใครบางคนที่อีซองมินเคยมองเขา จากที่ไกลๆ ซึ่งเขาคนนั้นก็คือคนเดียวกันกับผู้ที่ช่วยชีวิตของตนให้หลุดพ้นจากการตกลง สู่ผืนธาราอันเย็นเฉียบ
                “ทานข้าวก่อนสิ แล้วค่อยไป ..” เด็กหนุ่มรีบเช็ดหน้าเช็ดตา ก็ทันได้เห็นว่าชายผู้นั้นแท้ที่จริงแล้วมีใบหน้าอันหล่อเหลา อีกทั้งปาก ตา จมูกก็ยังรับกับรูปหน้าอันคมสันของเขาได้เป็นอย่างดี ..

                เขาหลีกทางให้เหล่าสาวใช้เดินถือถาดอาหารและผลไม้เข้ามาในห้อง จนกระทั่งเหล่าสาวใช้เดินหายลับตาไป ริมฝีปากอิ่มเอิบคู่นั้นจึงได้กล่าวถ้อยคำที่ฟังอย่างไรแล้วก็ดูเหมือนจะไล่ กันกลายๆ
                “ข้าจะกลับบ้านได้อย่างไร ในเมื่อปีกของข้า ..” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน พลางหันหลังโชว์ปีกใสๆที่ตอนนี้มันเสียหายไม่มีชิ้นดีให้ชายผู้นั้นดู

                “ถึงเจ้าจะอยู่ต่อ ก็ใช่ว่าปีกของเจ้าจะเป็นเหมือนเดิม ..” ชายผู้นั้นพิงขอบประตูห้อง พร้อมกับพูดจาใจร้ายออกมาได้หน้าตาเฉย

                อีซองมินได้แต่นิ่งเพราะไม่รู้จะต่อล้อต่อเถียงอีกฝ่ายว่าอย่างไร จึงตัดปัญหาโดยการเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะเล็กๆตรงมุมห้อง เพื่อทานอาหารที่อีกฝ่ายใจดีนำมันมาให้ซองมินทาน ..
                เพราะของกินตรงหน้าคือสิ่งๆเดียวที่ทำให้รู้ว่าเขาคนนี้ยังคงมีน้ำใจดีงามหลงเหลืออยู่

                “เจ้าทนอยู่ในอุณหภูมิเช่นข้านานๆมิได้หรอก กลับบ้านของเจ้านั่นล่ะคือทางเลือกที่ดีที่สุด ..

*. ·*.:•.*




                อีซองมินไม่เข้าใจจิตใจของตนเองเลย ทำไมคำพูดของชายผู้นั้น ก่อนที่เขาจะกลับหลังหันเดินจากไป มันถึงได้ทำให้หัวใจของอีซองมินสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก
                ความรู้สึกอบอุ่นใจเล็กๆ แบบนี้ มันคืออะไรกัน ?

                หลังจากทานอาหารที่ชายผู้นั้นนำมาให้อย่างอิ่มหนำ เหล่าหญิงรับใช้ที่ไม่รู้ว่ามานั่งรออยู่ตรงหน้าห้องของตนตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ขออนุญาตเดินเข้ามาเก็บสำรับ ..
                ขณะที่หญิงรับใช้อีกกลุ่มกลับเอาเสื้อผ้าหน้าตาประหลาดมาให้อีซองมินหยิบยืม

                “คุณชายคยูฮยอนมอบให้ท่านเจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ผู้มีเส้นผมสีขาวราวกับไข่มุกยิ้มกว้าง พร้อมกับคลี่เสื้อผ้าให้ซองมินดูอย่างเชื้อเชิญ
                คุณชายคยูฮยอน ? งั้นเหรอ ….
                ชายผู้นั้นคือคุณชายคยูฮยอนสินะ

                “ท่าน คงมาจากดินแดนทางตอนใต้ใช่หรือไม่ ข้าเคยได้ยินมาว่าที่แห่งนั้นอุดมสมบูรณ์และงดงามมาก” หญิงรับใช้ผู้นั้นจัดแจงสวมเสื้อผ้าหนาๆให้ซองมิน พลางถามไถ่ถึงดินแดนของซองมินอย่างสงสัยใคร่รู้
                “ใช่ .. ดินแดนของข้าเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ .. ถ้าเจ้าอยากเห็น ทำไมเจ้าไม่ข้ามฝั่งมาเที่ยวเล่นดินแดนของข้าล่ะ ..” เด็กหนุ่มยิ้มถามหญิงรับใช้ด้วยท่าทางเป็นมิตร

                “ข้าข้ามฝั่งไปมิได้หรอกท่าน .. อุณหภูมิทางนั้นกับที่นี่แตกต่างกันมาก ..
                “นั่นสิ .. ข้าเองก็ลืมเสียสนิทใจ .. หากเจ้าข้ามไป ปีกของเจ้าก็คงเป็นดังเช่นข้า ..” เด็กหนุ่มทำหน้าเศร้า พร้อมกับเอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อแตะปีกบางใสภายใต้เสื้อตัวหนาเพียงเบาๆ

                “ไม่ใช่แค่ปีกจะเสียหายหรอกท่าน .. มันมิใช่แค่นั้น ” หญิงรับใช้ตอบเพียงเท่านั้น ก็เดินนำซองมินออกมานอกห้อง เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านของตน
                ที่ พักอาศัยของชายผู้นั้นโออ่าสมดั่งฐานะคุณชายของเหล่าภูติน้ำแข็งจริงๆ ดินแดนแห่งนี้ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปที่ใดก็ล้วนแล้วแต่จะเหน็บหนาวจับขั้ว หัวใจ

                มัน น่าแปลกที่ห้องที่ซองมินหยิบยกมาพักเพียงชั่วคราวกลับอบอุ่นและแตกต่างจาก ทุกสิ่งโดยรอบของบ้านหลังนี้ ภูติตนนั้นคงจะมีวิชาแกร่งกล้าเอามากๆ ถึงได้มีพลังอำนาจทำให้พื้นที่เย็นๆกลับกลายเป็นพื้นที่อบอุ่นเพียงชั่วคราว ให้ซองมินได้นอนพักเอาแรง ….
                เพียงแค่คิดมาถึงตรงนี้ หัวใจมันก็วูบไหวอีกแล้ว

                ท่านแม่เคยบอกซองมินไว้ว่า ภูติในดินแดนสวรรค์เป็นจำพวกที่มีความคิดและสติปัญญาอันเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นจิตใจของเราจึงซื่อตรงต่อความคิด
                แต่ในสถานการณ์ประหลาดๆเช่นนี้ อีซองมินไม่เข้าใจเลยว่าตนเองกำลังคิดและรู้สึกอย่างไรอยู่
                ความรู้สึกในตอนนี้ มันแปลกใหม่สำหรับซองมินเหลือเกิน

                เมื่อซองมินเดินออกมาจากประตูบ้านของชายผู้นั้น ม่านสายตาของซองมินก็มองเห็นร่างสูงใหญ่ที่มีปีกสีขาวขุ่นประดับประดาอยู่กลางหลัง
                และข้างๆกายของเขาก็มีนกฮูกหิมะตัวใหญ่ยักษ์เฝ้าคลอเคลียอยู่ ….

                รอยยิ้มอันอ่อนโยนของเขาที่มีให้กับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด กลับส่งผลต่อคนที่กำลังแอบมองเขาอยู่ฝ่ายเดียวดังเช่นอีซองมิน เพียงเสี้ยววินาทีแห่งความคิด ซองมินนึกอิจฉานกฮูกยักษ์ตัวนั้นที่เขาผู้นั้นส่งยิ้มให้ด้วยความอ่อนโยน อีกทั้งยังลูบหัวกลมๆของมันอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดูอีกต่างหาก ...
                ท่าทางของเขาแตกต่างจากคุณชายหน้ายักษ์เมื่ออยู่ต่อหน้าซองมินจริงๆ

                ปีกของเขาแตกต่างจากปีกของซองมินมาก แถมยังใหญ่โตโอ่อ่าสมกับลักษณะทางกายภาพของเขาเสียอีก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่อีซองมินมองเห็นเขาในลักษณะของภูติตนหนึ่ง เพราะปกติแล้วเขามักจะหลบซ่อนปีกของเขาอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีขาวสะอาดที่มักจะ ยึดติดกับไหล่กว้างของเขาเสมอ ..
                “มาแล้วหรือ ” ชายผู้นั้นยืนยิ้มค้าง เมื่อหันมาเห็นซองมินยืนอยู่ตรงนี้
                “อื้อ”

                “คลุมตัวเจ้าไว้ซะ ..” เมื่อซองมินเดินเข้ามาใกล้ ชายผู้นั้นก็ยื่นผ้าคลุมสีขาวสะอาดมาให้ ซองมินจึงรับมันมาคลี่ห่อคลุมร่างกายของตนเองอย่างไม่มีทางเลือก
                ผ้า คลุมที่เขายื่นมาให้ซองมิน มั่นใจได้เลยว่าเป็นผ้าผืนเดียวกับที่เขาใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาแน่ๆ เพราะทันทีที่นำมันมาห่มคลุมร่างกายของตนเอง ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านไปทั่วจิตใจ อีกทั้งกลิ่นกายหอมอ่อนๆของเขายังโอบล้อมรอบตัวของซองมินเอาไว้อีกด้วย

               
                ชายผู้นั้นฉวยโอกาสตอนที่อีซองมินกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความเผลอไผล รั้งร่างของซองมินขึ้นมานั่งบนขนนุ่มๆของนกฮูกหิมะตัวเขื่องอย่างรวดเร็ว
                และทันทีที่เจ้าปีกัสสยายปีกบิน สายลมเคล้าไอเย็นยะเยือกก็ตีเข้ากลางแสกหน้าของซองมินทันที

                มวล อากาศเย็นภายนอก ส่งผลให้อีซองมินหนาวสั่น เสื้อผ้าหนาๆและผ้าคลุมที่เขามอบให้ ไม่ได้ช่วยให้ซองมินคลายความหนาวได้เลย และด้วยระยะทางอันยาวนาน ร่างกายของซองมินก็เริ่มชาเหน็บทุกขณะ
                ต่างกับคุณชายคยูฮยอนที่ไม่สะทกสะท้านต่อลมหนาวเช่นนี้สักนิด ..

                ด้วย ลักษณะทางกายภาพเช่นนี้ มันทำให้ซองมินมองเห็นเส้นขนานแบ่งแยกภูติสวรรค์ทั้งสองขั้วออกจากกันอย่าง ชัดเจน นี่คือเหตุผลเดียวที่เราทั้งสองดินแดนต่างมิควรมายุ่งเกี่ยวกัน ….
                “เจ้าควรจะอดทนอีกนิด .. ไม่นานเจ้าก็จะปลอดภัย ..
คำพูดของเขา เหตุใดถึงทำให้ซองมินวางใจ ..
                อีกทั้งแผ่นอกของเขา เหตุใดถึงเป็นเกราะกำบังความหนาวเหน็บชั้นเยี่ยมได้เช่นนี้

               
*. ·*.:•.*



                “เจ้ามิควรทะเล่อทะล่าเช่นนั้นอีก ..” เขามาส่งซองมินจนถึงที่หมาย แค่เพียงร่างกายของซองมินกลับมาอยู่ในพื้นที่ที่ควรอยู่ อาการแปลกๆทางกายมันก็พลันหายไป
                จะเหลือก็แค่เพียงความรู้สึกทางใจ ที่มันไม่อาจเหมือนเดิม

                “ข้ามิได้ทะเล่อทะล่า ..” ภูติตัวจ้อยเถียงคอเป็นเอ็น เมื่ออีกฝ่ายกลับพูดจาดุด่าว่ากล่าวราวกับตนเองเป็นเด็ก
                “ถ้าเช่นนั้น ร่างของเจ้ามันเกือบจะตกลงไปในธารน้ำนั่นได้อย่างไร ?” เมื่อเขาไล่บี้กลับมา อีซองมินก็ไม่รู้จะตอบเขากลับไปว่าอย่างไรดี เพราะตนเองนั้นรู้ดีว่าตนทะเล่อทะล่ามากแค่ไหน

                “เด็กน้อย .. ความโชคดีมิได้มีบ่อยครั้ง .. เจ้าจงอย่าดื้อดึงให้มันมากนักเลย ..” เขาเอื้อมมือข้ามผ่านเขตแดนของเขาเข้ามาลูบหัวของอีซองมินเหมือนกับลูบหัว เจ้านกฮูกนั่นเลย หากแต่มันจะต่างกันก็ตรงที่ฝ่ามือคู่นี้มิได้ลูบมันเพราะความเอ็นดู แต่กลับขยี้มันเพราะความหมั่นไส้ต่างหาก
                “ข้ามิใช่เด็ก ..” เด็กหนุ่มมองอีกฝ่ายตาขวาง พลางปัดมือใหญ่คู่นั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี

                “ข้าไปล่ะ .. หวังว่าเราคงไม่ได้พบเจอกันอีก ..” เขาทิ้งท้ายถ้อยคำบาดลึกไว้เช่นนั้น พลางกลับหลังหันให้อีซองมินที่ยืนมองเขาจากทางฝั่งเขตแดนของตน
             “ด..เดี๋ยว ..” และทันทีที่ซองมินออกปากรั้งเขาไว้ ปลายเท้าของชายผู้นั้นก็หยุดนิ่งลง คล้ายกับรอฟังในสิ่งที่อีซองมินจะพูดมันต่อไป

                “ขอบคุณ ” เด็กหนุ่มกล่าวถ้อยคำนั้นอย่างแผ่วเบา ขณะที่สายตาก็ยังคงมองแผ่นหลังกว้างของชายผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา
                “มิเป็นไร ..” เขาตอบเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินออกห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองเราในทันที

                และเมื่อซองมินหันหลังกลับ ขอนไม้ที่ซึ่งเคยเชื่อมต่อระหว่างดินแดนทางตอนใต้กับดินแดนทางตอนเหนือก็หักครึ่งลง เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า
                ส่งผลให้ทั้งสองดินแดนตัดขาดออกจากกันอย่างเป็นทางการ
                เป็นเช่นนี้มันดีแล้วหรือ นั่นคือสิ่งที่คยูฮยอนอยากถามตนเองมากที่สุด
               
*. ·*.:•.*



Update : 140201





                การเดินทางจากผืนป่าอันกว้างใหญ่ที่ตนคุ้นเคยมาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ทำให้อีซองมินรู้สึกเหนื่อยเช่นนี้ ..
                ภูติสวรรค์ เมื่อไม่มีปีก ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เดินดิน ..

                โชคยังดีที่ตอนเด็กๆท่านแม่เคยสอนสั่งการสร้างเรือเฉพาะกิจไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน เวลานี้มันก็เลยได้นำกลับมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจัง ซองมินกระโดดขึ้นลงอยู่ในอากาศตรงใต้ต้นไม้ใหญ่มานานสองนานแล้ว ..
                เมื่อปีกมันใช้การไม่ได้ สิ่งเดียวที่พอจะพึ่งพาได้ก็คือขาทั้งสองข้าง

                เสียอย่างเดียว ตัวของซองมินเล็กเท่ายอดหญ้าเพียงเท่านั้น แล้วแบบนี้ใบไม้ใหญ่ที่ซองมินต้องการมันจะล่วงหล่นลงมาได้อย่างไร
                “เห้อ” เมื่อกระโดดไปก็เสียแรงเปล่า ซองมินจึงทิ้งตัวลงนั่งกับผืนหญ้าอย่างหงุดหงิด

                ฟิ้ว~

                เพียงเสี้ยววินาที สายลมโหมกระหน่ำก็พัดพาไปทั่วทุกหัวระแหง หากแต่ก็เพียงไม่นาน สายลมเหล่านั้นก็นิ่งสงบลง ส่งผลให้ใบไม้ขนาดใหญ่หลากหลายใบล่วงหล่นลงมายังพื้นเบื้องล่าง
                ด้วยความดีใจ ซองมินจึงรีบวิ่งไปเก็บลากมันเพื่อเอามาใช้งาน

                ซองมินเลือกทำเลเหมาะๆในการสร้างเรือขนาดเล็กเพื่อเป็นยานพาหนะสำหรับเดินทางไปยังบ้านพักของตน เด็กหนุ่มต่อเรือใบไม้อย่างชำนิชำนาญด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
                จนกระทั่งเรือใบไม้ลำเล็กกลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ อีซองมินก็ทิ้งตัวลงนอนบนผืนหญ้าอย่างหมดแรง พลันเมื่อดวงตากลมโตมองลอดผ่านม่านเงากิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใหญ่ไปเห็นสัตว์ปีกขนาดมหึมาบินวนอยู่บนฟากฟ้า หัวใจของอีซองมินก็เต้นรัวขึ้นมาอีกหน
                ซองมินมั่นใจ หากนกตัวนั้นมิใช่ปิกัส ..
หัวใจของซองมินจะไม่ทำงานอย่างหนักเช่นนี้เลย

            ความจริงแล้วชายผู้นั้นก็มิได้เย็นชาอะไรนัก เขามิได้อยากจะตัดขาดและไม่ดูดำดูดีคนตกทุกข์ได้ยากดังเช่นซองมิน .. เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผ้าคลุมที่เขาให้ไว้ดูต่างหน้า ก็เหมือนกับมันจะกลายร่างเป็นชายผู้นั้นเสียเอง
                ซองมินพยายามสะบัดหัวของตนเองให้หยุดคิดเรื่องของชายแปลกหน้าที่ได้พบเจอกันเพียงครั้งเดียว แล้วก็หยัดยืนขึ้นจนเต็มความสูง พลางลากเรือใบไม้ของตนลงสู่ผืนธาราเบื้องหน้า

                เมื่อตัวของซองมินเข้ามานั่งนิ่งๆอยู่บนเรือใบไม้ได้สำเร็จ ซองมินก็ออกแรงพายโดยใช้กิ่งไม้ไม่เล็กไม่ใหญ่แทนไม้พาย เพื่อให้เรือของซองมินเดินหน้าไปตามเส้นทางที่ต้องการ
                ยามค่ำคืนดึกดื่น ส่งผลให้แมลงน้อยใหญ่ที่ยังไม่ถึงเวลาหลับใหล พากันส่งเสียงร้องเรียกซองมินอย่างเซ็งแซ่ จนซองมินต้องออกปากห้าม ..
แมลงพวกนั้นจึงหยุดร้องเรียกซองมินได้เสียที

                แต่พอซองมินห้ามไม่ให้ส่งเสียง แมลงอีกจำพวกก็บินวนอยู่รอบตัวซองมิน พลางส่องแสงสว่างไสวอย่างงดงามท่ามกลางความมืด ซองมินก็เลยเพลิดเพลินไปกับความงดงามตลอดการเดินทาง
                และเมื่อซองมินกลับมายังดินแดนของซองมินที่มีแต่ความอบอุ่น เสื้อตัวหนาที่สาวใช้ของคุณชายคยูฮยอนเป็นผู้สวมใส่ให้ซองมินเองกับมือ ก็ถูกถอดออกและพับเก็บอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะวางเอาไว้บนตักอย่างทะนุถนอม
                เหลือก็เพียงแต่ผ้าคลุมของคุณชาย ที่อีซองมินยังคงนำมันมาห่อร่างกาย เพื่อไม่ให้อากาศเย็นสบายในยามค่ำคืนต้องกระทบกายของตน

*. ·*.:•.*







                ซองมินไม่มีเวลาหยุดพักนานนัก เพราะซองมินไม่แน่ใจว่าท่านแม่จะกลับมาจากวังหรือยัง ท่านแม่ของซองมินเป็นข้าหลวงขององค์ราชินีแห่งภูติผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นท่านก็เลยมิค่อยจะอยู่ติดบ้านเท่าใดนัก ..
                และหากเรื่องที่ซองมินได้พบเจอมาในวันนี้ถูกแพร่งพรายออกไป ..
ซองมินคงจะโดนท่านแม่หยิกจนเนื้อเขียวเป็นแน่

                กระทั่งซองมินกลับมาถึงบ้าน และสายตาพลันเห็นว่าบ้านทั้งหลังปิดไฟเสียมืดสนิท ซองมินก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
                แต่ปัญหาของซองมินยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อบ้านของซองมินถูกสร้างอยู่บนต้นไม้ใหญ่นั่นน่ะ
            ในเมื่อปีกก็ใช้การไม่ได้ .. แล้วซองมินจะขึ้นไปข้างบนได้อย่างไร ?

                เด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาอยู่ตรงใต้ต้นไม้อันคุ้นตาอย่างคิดไม่ตก พลางกอดเสื้อตัวหนาที่ได้รับมาจากใครบางคนเสียแนบแน่น ..
                พลันสายตาของซองมินก็เหลือบไปเห็นเมล็ดพันธุ์ตกอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ ซองมินก็เลยวางเสื้อตัวหนาลงบนผืนหญ้าตรงส่วนที่สะอาดที่สุดในสายตาของซองมิน จากนั้นซองมินก็ออกแรงด้วยมือทั้งสองข้างดันเมล็ดพันธุ์ให้มันตรงกับตำแหน่งที่ซองมินเล็งเอาไว้

                ส่วนขั้นตอนสุดท้าย ซองมินก็ลากกิ่งไม้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้มาวางพาดลงบนเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่ แล้วก็เอาก้อนหินมาวางทับปลายกิ่งไม้ด้านหนึ่งเพื่อหวังจะถ่วงน้ำหนัก
วิธีนี้ซองมินจำมาจากเครื่องเล่นของเด็กๆในสวนริมน้ำเชียวนะ

                ซองมินเดินไปหยิบเสื้อตัวหนามากอดแนบอกดังเช่นเดิม จากนั้นปลายเท้าเล็กก็ก้าวเหยียบปลายกิ่งไม้อีกด้านหนึ่ง ที่ไม่มีก้อนหินถ่วงอยู่ แล้วซองมินก็ออกแรงกระโดดตัวให้สูงที่สุด เพื่อที่ซองมินจะได้เข้าบ้านของตนเองได้
                ครั้งแรกไม่สำเร็จ เพราะซองมินออกแรงน้อยเกินไป                หากแต่ครั้งที่สอง ซองมินดันลอยลิ่วอยู่เหนือหลังคาบ้านของตัวเองซะอย่างนั้น ดีที่มืออีกข้างหนึ่งของซองมินคว้าเถาว์วัลย์ไว้ได้ทัน ซองมินก็เลยสามารถดีดตัวเพื่อขึ้นมายืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านได้สำเร็จ
            สาบานได้เลย .. วันนี้จะเป็นวันที่อีซองมินจำทุกอย่างได้จนขึ้นใจเชียวล่ะ..
                เพราะชีวิตของซองมินจะทรหดไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

            เมื่อล้มตัวลงนอนบนเตียงของตนเองที่ไม่ได้นุ่มดังเช่นเตียงของใครอีกคน หากแต่อย่างไรแล้วมันก็สบายสำหรับซองมินที่สุด
                เด็กหนุ่มนอนกอดเสื้อตัวหนา ขณะที่ผ้าคลุมยังคงห่มกายของตนเองอยู่แบบนั้น
                ไม่นานอีซองมินก็นอนหายใจสม่ำเสมอท่ามกลางความอบอุ่นในจิตใจ ..

*. ·*.:•.*



                ปัง! ปัง!

                “ท่านพี่ซองมิน! นี่ท่านหลงลืมหน้าที่ของท่านแล้วหรือ ..” เสียงดังตึงตังจากหน้าประตู ทำให้เด็กหนุ่มพลิกตัวไปมาอย่างงัวเงีย ผมเส้นเล็กที่เคยเป็นทรงบัดนี้ชี้ฟูเสียจนดูไม่ได้
                “มีอะไรอันนา โหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ มิสมกับเป็นกุลสตรีเลย ..” ซองมินขยี้หัวฟูๆของตนเอง พลางทำตาปรือใส่เด็กสาวที่อายุน้อยกว่าตน

                “ท่านก็ว่ากล่าวแต่ข้า .. แล้วตัวท่านล่ะ สายจนตะวันโด่งเช่นนี้ ท่านยังมิเก็บดอกไม้มาให้ข้าอีกหรือ ? ประเดี๋ยวข้าจะต้องรีบนำมันไปถวายแด่องค์ราชินีแล้วนะท่าน ..” ฉับพลันที่อีซองมินได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เบิกตาโต เมื่อตนเองดันทำตัวเหลวไหลเสียเอง
                “ข้าขอเวลาชั่วโมงนึง .. .. ไม่สิ ครึ่งชั่วโมง! แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ข้าจะรีบนำดอกไม้มาให้เจ้า” พลันเมื่อกล่าวจบ ซองมินก็รีบปิดประตูบ้านของตนเองอย่างรวดเร็ว สองขาของเด็กหนุ่มเดินวนไปวนมาอย่างคิดไม่ตก ว่าตนเองจะทำอย่างไรกับปีกเจ้าปัญหาของตนดี

                “ท..ทำไม ?” ซองมินเดินวนไปวนมาราวกับหนูติดจั่น พลันเมื่อสายตามองเห็นร่างของตนเองในกระจกเงา ปลายเท้าอันงุ่นง่านก็หยุดนิ่งลง
                สายตาของซองมินมองเห็นปีกของตนเองที่ตอนนี้คงอยู่ในสภาพเดิมเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่เมื่อคืนวานซองมินยังขยับปีกไม่ได้อยู่เลย แล้วทำไมเช้าวันนี้มันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ?
                เพราะเหตุใดกัน ? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย

                ปัง! ปัง!

                “ท่านพี่ เหลือเวลาอีกยี่สิบนาที ..” ทันทีที่เด็กสาวร้องเตือน อีซองมินก็รีบสะบัดข้อสงสัยทั้งหมดนั่นทิ้งไป จากนั้นสองมือก็รีบกระชากประตูบ้านออกอย่างแรง
                “ข้าจะรีบไป” ซองมินออกอาการเหนื่อยหอบ จากนั้นก็รีบออกตัวโบยบินไปยังทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เพื่อเก็บดอกไม้ที่องค์ราชินีทรงโปรดปรานอย่างเร่งรีบ


*. ·*.:•.*


                ตุบ!

                “โอ้ยยยยย!” เพราะความเร่งรีบ จึงทำให้อีซองมินร่อนลงสู่ทุ่งบุปผาผิดจังหวะ มันก็เลยส่งผลให้ร่างเล็กๆกลิ้งหลุนๆอยู่ท่ามกลางบุปผาสีชมพูหวาน
                ซองมินสะบัดหัวไล่อาการมึนงงอยู่สองสามที จากนั้นซองมินก็เริ่มใช้มนต์คาถาในการรวบรวมดอกไม้เพื่อนำมาถวายแด่องค์ราชินี

                และเรื่องการใช้เวทมนต์ในครั้งนี้ ซองมินก็ต้องเก็บเป็นความลับด้วยเช่นกัน เพราะท่านแม่เคยสอนสั่งซองมินมาตั้งแต่ยังเล็กนัก ว่าการเก็บดอกไม้ เพื่อนำมาถวายแด่องค์ราชินี ซองมินมิควรใช้เวทมนต์ใดๆเลย เนื่องจากว่าการเก็บดอกไม้แต่ละดอกด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง มันแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ และความจงรักภักดีของตนที่มีแด่องค์ราชินี
                ซองมินรู้ .. ซองมินจำได้
                เพียงแต่ครั้งนี้ซองมินมีเวลาไม่มาก ก็เลยต้องพึ่งเวทมนต์เล็กๆน้อยๆพวกนี้แทน

                ครั้นพอบรรลุเป้าหมาย ซองมินก็รีบนำดอกไม้ที่หอบมาจนเต็มสองอ้อมแขนโบยบินกลับไปยังบ้านพักของตนเองให้เร็วที่สุด พออันนาได้รับในสิ่งที่เธอต้องการ เด็กสาวก็รีบโบยบินมุ่งตรงไปยังพระราชวังในทันที
            จากนั้นซองมินก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่ภารกิจเสร็จสิ้นไปด้วยดี

                 เมื่อมีเวลาว่าง ซองมินก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน พลางหยิบเสื้อตัวหนามากอดไว้แนบอก เนื่องจากเป้าหมายต่อไปที่ตนเองต้องการ คือการไปเยือนยังดินแดนน้ำแข็งอีกครา
                เด็กหนุ่มตั้งท่าจะโบยบินขึ้นสู่น่านฟ้าอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ตนไม่อาจโบยบินได้ดั่งใจนึก แม้ว่าปีกใสๆของซองมินจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วก็ตาม
                ณ เวลานี้ ซองมินรู้สึกเหมือนว่าปีกของตน มันมิอาจใช้งานหนักได้อีกต่อไป


*. ·*.:•.*



              ขณะเดียวกันดินแดนสีขาวเองก็วุ่นวายไม่ต่างกัน เนื่องจากองค์ราชาของเหล่าภูติน้ำแข็งอยู่ๆก็ล้มป่วยอย่างมิทราบสาเหตุ จะมีก็แต่เพียงเหล่าข้ารับใช้ในวังเพียงเท่านั้นที่ทราบเรื่องราวข้อเท็จจริง

                “ท่านหมอหลวง .. เราจะทำอย่างไรกันดี?” นางรับใช้คนสนิทเอ่ยถามหมอหลวงผู้ดูแลพระอาการอย่างกังววลใจ สีหน้าของนางบ่งบอกได้ชัดแจ้งว่านางกำลังเป็นห่วงองค์ราชาของนางยิ่งชีวิต



                “การใช้เวทมนต์เปลี่ยนจากอากาศหนาวเหน็บ ให้เป็นอากาศอบอุ่น .. จะต้องใช้พลังเวทขั้นสูง .. อีกทั้งการรักษาอาการบาดเจ็บของผู้อื่นก็เช่นเดียวกัน .. มิแปลกที่องค์ราชาจะทรงล้มป่วย .. หากพระองค์ทรงใช้เวทมนต์ซ้ำอีก ร่างกายของพระองค์ก็จะยิ่งอ่อนแอลง .. ทางเดียวที่เราจะสามารถทำได้ คือการเอ่ยห้ามมิให้พระองค์ทำแบบนั้นซ้ำสองอีก” หญิงรับใช้ได้แต่ทอดมององค์ราชาของนางอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อนางรู้ดีว่าเหตุใดองค์ราชาจึงทำเช่นนั้น

                เพราะนางเองก็ออกปากห้ามซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่องค์ราชาก็มิยอมเชื่อในสิ่งที่นางตักเตือนเลยสักนิด .. ผลก็เลยมาจบลงเอาแบบนี้

                นี่แหละหนา ความรัก’ …

                อีกทั้งยังเป็นรักที่มิมีทางเป็นไปได้อีกด้วย ..


               
*. ·*.:•.*

 



                นับตั้งแต่ครานั้น ซองมินก็มิเคยพบเจอกับคุณชายคยูฮยอนอีกเลย ไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม ซองมินก็ไม่เคยเห็นแม้แต่เงา ครั้นจะแอบลักลอบเข้าไป ซองมินก็ทำมิได้ เพราะบัดนี้มีทหารยามมาเฝ้าเวรตรงเขตแดนกั้นขวางระหว่างดินแดนทั้งสองอยู่หลายนาย
                บางทีภายในดินแดนสีขาวคงจะมีเรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นเป็นแน่ เหล่าทหารยามจึงพากันเดินตรวจตาเสียจนเข้มงวดเช่นนี้ ..

                ระยะเวลานานร่วมเดือน ปีกบางใสของซองมินก็ยังคงใช้งานหนักมากมิได้ และเรื่องนี้ก็ยังมิมีใครล่วงรู้ เพราะซองมินระวังตัวเป็นอย่างดี ..
                ช่วงนี้ท่านแม่มีเวลาอยู่กับซองมินเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ซองมินจึงมีโอกาสได้ทานผลไม้อบแห้งอยู่บ่อยๆ และเพราะมันรสชาติดีมาก ซองมินก็เลยทานมันจนแทบจะหมดเกลี้ยง
                เนื้อตัวของซองมินก็เลยอวบอูมมากยิ่งขึ้น จนท่านแม่ออกคำสั่งให้ซองมินไปโบยบินออกกำลังกายเสียบ้าง ..
                ซองมินก็เลยต้องโบยบินมานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้เพียงลำพัง

                เกือบเดือนแล้ว คุณชายก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของซองมินมิเสื่อมคลาย มีอยู่หลายคราที่ซองมินต้องนั่งมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าด้วยอาการเหม่อลอย
                เพราะซองมินกำลังหวังว่าคุณชายจะนั่งมองดวงจันทร์ดังเช่นซองมิน

                “ขี้คร้านจริงๆเจ้านี่” ซองมินหลุดจากภวังค์แห่งความคิดในทันที เมื่อท่านแม่ตามหาตัวซองมินจนเจอ ซองมินน่ะโดนท่านแม่ทุบตีอยู่หลายทีเชียว
                “ข้าเพิ่งจะหยุดพักเมื่อครู่เองนะท่านแม่ ..” ซองมินรีบโบยบินขึ้นไปหลบอยู่บนเกสรดอกไม้ พลางโผล่หน้ามาเถียงท่านแม่ของตน ทำให้อีกฝ่ายที่อยู่เบื้องล่างมองเห็นแค่ลูกกะตาใสของคนเป็นลูกเพียงเท่านั้น

                “เห้อ .. เจ้านี่มัน ..” ท่านแม่ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนผืนหญ้าบ้าง ซองมินจึงหาญกล้าที่จะโบยบินลงมานอนเคียงข้างกันกับท่าน
                เราสองคนแม่ลูกกำลังทอดมองผืนฟ้าสีส้มอมม่วงอย่างเงียบงัน สายตาของซองมินยามนี้กำลังมองตามนกกลุ่มใหญ่ที่กำลังโบยบินอยู่บนฟากฟ้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
               
                “ท่านแม่
                “หืม ?

                “ท่านว่าข้าผิดปกติหรือเปล่า ที่เอาแต่นึกถึงคนคนนึงอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน ..” ซองมินพลิกตัวหันหน้าเข้าหาท่านแม่ของตน ฝ่ายผู้เป็นแม่เองก็พลิกใบหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มเช่นกัน
                “นี่ลูกชายข้าโตพอที่จะมีความรักตั้งแต่เมื่อใดกัน ..” ผู้เป็นแม่ลูบศีรษะของเด็กหนุ่มพลางยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู
                รักหรือ ?
                อาการแบบนั้นมันใช่จริงๆหรือ ?

                “แต่มันไม่เร็วไปหรือท่านแม่ .. ข้าเพิ่งจะพบเจอเขาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ..
                “ความรักไม่มีกฏเกณฑ์ หากเจ้าอยากจะรัก .. ก็มิมีสิ่งใดมาห้ามความรู้สึกของเจ้าได้ .. แม้กระทั่งเวลา” คำพูดของท่านแม่ยังมีบางจุดที่ซองมินนึกค้านอยู่ในใจ
                เพราะระหว่างตนกับคุณชายคยูฮยอน มันมีคำว่า เส้นขนานมาขวางกั้นอยู่


*. ·*.:•.*


 






                หลายคืนมาแล้วที่คยูฮยอนตรากตรำทำงานอย่างหนัก เพื่อให้จิตใจของตนเองมิต้องนึกถึงใบหน้าของใครบางคนที่ตนเองก็ทราบดีว่าไม่อาจเผลอใจได้ ..
                แต่ยิ่งบังคับตนเองเท่าใด ..
                จิตใจก็มิเคยจะเชื่อฟังสมองของตนเองเลยสักครา

                คยูฮยอนทิ้งตัวลงนั่งบนขอบหน้าต่างเพื่อหวังจะรับริ้วลมเย็นๆในยามค่ำคืนให้จิตใจมันสดชื่นขึ้นมาบ้าง ดวงดาราที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม แม้มันจะกำลังส่องสกาวระยิบระยับจับตาเพียงใด คยูฮยอนก็มิอาจมองเห็นความงดงามของมันได้
                อันที่จริงแล้วคยูฮยอนมิได้พบเจอกับภูติสวรรค์ตนนั้นเพียงครั้งเดียว ก่อนหน้านั้นคยูฮยอนเคยพบเจอเด็กหนุ่มผู้นั้นในงานเฉลิมฉลองวันคืนพระจันทร์เต็มดวง

                ในคืนวันนั้นเป็นค่ำคืนที่เหล่าภูติสวรรค์จะมารวมตัวกันเพื่อร้องรำทำเพลงต่อหน้าดวงจันทราอย่างรื่นรมย์ ซึ่งขณะนั้นคยูฮยอนยังเล็กนัก จึงชอบแอบหนีเที่ยวตามประสาเด็กอยู่บ่อยครั้ง
                และนั่นจึงเป็นเหตุให้คยูฮยอนมิอาจใช้เวทมนต์ที่มีอยู่อย่างพร่ำเพรื่อ

                จำได้ว่าหลังจากกลับมาจากงานนั้น คยูฮยอนถูกทำโทษให้นั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังเป็นเวลาสองอาทิตย์ กว่าท่านพ่อจะยอมยกโทษให้
                และหลังจากนั้นมา คยูฮยอนก็มิเคยฝ่าฝืนคำสั่งของท่านพ่ออีกเลย
                เพราะคยูฮยอนทราบผลลัพธ์จากการดื้อรั้นของตนเองดีแล้ว

                หลังจากคยูฮยอนบอกลาเด็กหนุ่มผู้นั้น คยูฮยอนก็ตัดสินใจใช้เวทมนต์หักขอนไม้ท่อนนั้นทิ้งลงอย่างไม่ใยดี เพื่อสื่อให้เห็นถึงการตัดขาดต่อความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้น
และเศษไม้ที่ปลิดปลิวล่วงลงสู่ผืนธาราพวกนั้น ก็มิต่างกับเศษใจของคยูฮยอนเลยสักนิด
               
คยูฮยอนเป็นคนสั่งพลทหารให้จัดเวรยามตรงรอยต่อระหว่างสองดินแดนอย่างแน่นหนา ซึ่งมันไม่มีเหตุผลใดๆเลย เนื่องจากสองดินแดนชิดใกล้มิเคยเป็นปรปักษ์ต่อกัน
จะมีก็แต่คยูฮยอนแต่เพียงผู้เดียวที่เข้าใจในเหตุผลของการกระทำของตนเองดี

แท้ที่จริงแล้ว คยูฮยอนกำลังคาดหวังให้ภูติตนนั้นก้าวข้ามผ่านเขตแดนเข้ามายังดินแดนของตน หากแต่อีกนัยน์หนึ่งคยูฮยอนกลับกลัวว่าตนจะมิอาจหักห้ามใจได้ หากว่าภูติตนนั้นจะล่วงล้ำเข้ามายังเขตแดนของตนจริงๆ
                คยูฮยอนจึงตัดปัญหาโดยการให้ทหารยามมาเฝ้าดูไม่ให้คนของอีกฝั่ง ไม่ว่าจะใครก็ตามห้ามลักลอบเข้ามาโดยเด็ดขาด ….
                จิตใจของคยูฮยอนในตอนนี้กำลังสับสนนัก
                บางครั้งสิ่งที่ทำลงไป มันก็ดูจะไร้เหตุผลอย่างไม่น่าให้อภัย



*. ·*.:•.*


Update : 140202
  




                ก่อนท่านแม่จะเดินทางกลับวังเพื่อไปรับใช้องค์ราชินี ท่านฝากฝังให้ซองมินจัดเตรียมบุปผาอบเครื่องหอมไปให้ท่านป้าจินอา ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณดินแดนแห่งฤดูใบไม้ผลิ เนื่องจากว่าเมื่อสองสามวันก่อน ท่านป้านำผลไม้พันธุ์ดีมาให้ซองมินกับท่านแม่ได้ทานกันจนอิ่มหนำ ครอบครัวของเราจึงอยากจะแสดงน้ำใจกลับไปบ้าง ..
                ซองมินใช้เวทมนต์ในการเก็บรวบรวมดอกไม้หลากชนิด เนื่องจากตนต้องการดอกไม้จำนวนมาก อีกทั้งเวลาก็ยังจำกัดอีกด้วย

                เด็กหนุ่มจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการทำเครื่องหอมตรงลานหน้าบ้านของตนอย่างกระฉับกระเฉง มือเล็กหยิบจับผ้าสีขาวปูลงบนกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งเป็นลานรับรองแขก หากแต่ในเวลานี้ลานกว้างๆได้กลายร่างเป็นลานประกอบกิจกรรมของอีซองมินไปจนเต็มตัวแล้ว
               
                ฟึ่บ!

                “โอ้ย! แค่กๆ” เด็กหนุ่มไอสำลักค่อกแค่กอยู่นานสองนาน เมื่ออยู่ๆดอกไม้นานาชนิดที่ตนใช้เวทมนต์ให้ช่วยจัดหามาให้ มันก็ล่วงหล่นลงบนตัวของซองมินเสียจนมิด หนำซ้ำซองมินยังเผลองับมันไว้เต็มปากอีกต่างหาก
                ให้ตายสิ ช่วงนี้พลังเวทของซองมินมันควบคุมได้ยากจริงๆ

                ซองมินจัดการร้องเรียกเหล่านกน้อยให้มาช่วยขนย้ายดอกไม้มากมายมหาศาลพวกนี้ จากนั้นซองมินก็ลุกเดินเข้าไปในบ้าน เพื่อนำอ่างแก้วใบใสที่ซองมินได้จัดเตรียมน้ำผสมเครื่องหอมเอาไว้ก่อนหน้าติดมือมาด้วย
                เด็กหนุ่มค่อยๆบรรจงนำช่อบุปผาแต่ละชนิดจุ่มลงไปในอ่างแก้วใบใส เพื่อชำระล้างเศษดิน เศษทรายที่มันอาจจะปะปนมากับช่อบุปผาเหล่านี้

                เมื่อเด็กๆบ้านใกล้เรือนเคียงเห็นซองมินกำลังก้มหน้าก้มตาวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมอะไรสักอย่าง พวกเขาก็พากันมายืนมุงดูสิ่งในที่ซองมินทำอย่างตั้งใจ ..
                ซองมินจึงได้โอกาสหาผู้ช่วยเสียเดี๋ยวนั้น
            ซึ่งเด็กๆก็ดูจะเต็มใจเป็นผู้ช่วยของซองมินเอามากๆ ..


*. ·*.:•.*




                หลังจากภารกิจของซองมินเสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี ก็ถึงคราวที่ซองมินจะต้องนำดอกไม้อบเครื่องหอมไปมอบให้ท่านป้าจนถึงหน้าประตูบ้าน
                เนื่องด้วยการทำเครื่องหอมเหล่านี้ จะต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ดังนั้นซองมินจึงมิค่อยทำมันบ่อยนัก และบัดนี้ดอกไม้อบเครื่องหอม จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับใช้ประกอบพิธีการต่างๆ

                ภูติตัวจ้อยหอบหิ้วตระกร้าใบเล็กที่บรรจุบุปผาเครื่องหอมไว้จนเต็มสองไม้สองมือ ขณะที่ปีกบางใสก็ขยับขึ้นลงไปตามการชักพาของจิตใต้สำนัก ซองมินโบยบินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่ จนกระทั่งมาถึงธารน้ำซึ่งเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเราเหล่าภูติทุกตน
                และด้วยเพราะซองมินต้องโบยบินในระยะทางไกลๆ ก้นตระกร้าที่ซองมินถือเอาไว้ทั้งสองข้าง จึงละกับผิวน้ำอยู่รำไร ส่งผลให้กลิ่นหอมจากเครื่องหอมชั้นดีล่องลอยไปตามสายลม
                ลอยมาไกลเสียจนภูติแห่งน้ำแข็งมิมีกระจิตกระใจจะตรากตรำทำงานของตนเลย

                ภูติตัวจ้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อท่านป้าขอบอกขอบใจเสียหลายหน ซ้ำยังออกปากชื่นชมในความสามารถของซองมินอีกด้วย เมื่อท่านทราบว่าซองมินคือผู้คิดค้นการทำดอกไม้อบเครื่องหอมขึ้นมา
                และสิ่งที่ซองมินถูกอกถูกใจที่สุดก็เห็นจะเป็นฟักทองต้มหวานที่ท่านป้าจัดทำมาให้ซองมินทานนี่ล่ะ
               
*. ·*.:•.*





                หลังจากซองมินร่ำลากับท่านป้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซองมินก็ตั้งใจไว้ว่าซองมินจะแอบเที่ยวเตร่อยู่แถวนี้อีกสักหน่อย เนื่องจากซองมินมิได้มาเยือนยังดินแดนแห่งฤดูใบไม้ผลิมานานพอสมควรแล้ว
                ดินแดนแห่งนี้แตกต่างจากดินแดนที่ซองมินอาศัยอยู่มาก เนื่องจากป่าใหญ่ผืนนี้ล้วนแล้วแต่จะมีสีส้มอมแดงแทบทั้งสิ้น
บรรยากาศมันแลดูอบอุ่นในความรู้สึกของซองมินเหลือเกิน

                ซองมินโบยบินบ้าง เดินบ้าง และก็หยุดพักบ้าง เนื่องจากปีกของซองมินเริ่มจะขยับต่อไปมิไหว อีกทั้งร่างกายของซองมินยังรู้สึกเหน็บหนาวอย่างบอกไม่ถูก
                และยิ่งซองมินถลำลึกเข้าไปในป่ากว้าง ความหนาวเหน็บก็ยิ่งมากขึ้น มากขึ้น

                ซองมินนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ดินแดนแห่งฤดูใบไม้ผลิมีภูมิอากาศที่อยู่ๆก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อครู่ที่ซองมินเดินลากขาผ่านมา รอบๆกายของซองมินยังมีแต่สีส้มอมแดงอยู่เลย
แล้วเหตุใดรอบกายของซองมินในตอนนี้จึงเป็นสีขาวบริสุทธิ์ดังเช่นดินแดนแห่งน้ำแข็งกันเล่า

                ปลายเท้าของซองมินกำลังเหยียบย้ำลงบนพื้นผิวของหิมะอันเย็นเฉียบ และเพราะซองมินหรือก็ตัวเล็กเพียงเท่านี้ ทันทีที่ซองมินเหยียบย่ำลงบนพื้นผิวอันมิคุ้นเคย ร่างทั้งร่างของซองมินก็แทบจะกลืนหายไปกับผิวหิมะอันบริสุทธิ์
                ณ ตอนนี้ ซองมินชักจะไม่แน่ใจแล้วว่า ซองมินกำลังเหยียบย่างอยู่ ณ ที่ใด ..

                ซองมินกำลังหนาวสั่น และคิดอยากจะเดินย้อนกลับไปทางเดิมอยู่หลายครา แต่ซองมินก็มิอาจทำได้ เมื่อหันมองกลับไป รอยเท้าเล็กๆของซองมินมันก็หายวับเพราะสายลมไปเรียบร้อยแล้ว
                ด้วยความชาเหน็บของปลายเท้าที่เกิดจากการเหยียบย่ำบนพื้นเย็นๆมาเนิ่นนาน จึงส่งผลให้ซองมินตัดสินใจสยายปีกของตนเพื่อโบยบินไปยังที่ที่ตนคิดว่ามันจะสามารถให้ความอบอุ่นแก่ตนได้บ้าง
               
*. ·*.:•.*







                “เราควรจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดีขอรับ ?” เหล่านายทหารน้อยใหญ่ต่างยืนล้อมหน้าล้อมหลังองค์ราชาของพวกตนเพื่อปรึกษาหารือถึงทางการแก้ไขปัญหาในด้านภูมิประเทศอันเกี่ยวเนื่องกับภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป จึงส่งผลให้ธารน้ำซึ่งเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงสัตว์ป่าหลากชนิดกลับกลายเป็นลานน้ำแข็งเสียสิ้น
                เหล่าสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือแม้กระทั่งสัตว์ประจำท้องถิ่นก็พากันล้มหายตายจาก เมื่อขาดน้ำมาหล่อเลี้ยงร่างกาย

                “ข้าคิดว่าเราควรจะใช้พลังเวทเพื่อรักษาดินแดนแห่งนี้ให้คงสภาพเดิม ..
                “เหล่านักเวทหลวง บัดนี้ก็ไร้วิชาอาคมกันไปมากแล้วขอรับ ..

                “เพราะเหตุใดกัน” คยูฮยอนย้อนถามกลับ ขณะที่ดวงตาคู่คมยังคงจ้องมองพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ที่บัดนี้เหลือเพียงแต่ภูเขาน้ำแข็งเพียงเท่านั้น
                “ด้วยกิจหน้าการงานขอรับ .. ท่านเหล่านั้นจำเป็นต้องสละพลังเวทของท่านเพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกพื้นที่ที่กำลังได้รับความเดือดร้อนขอรับ ..” นายทหารรายงานความเป็นไปของบ้านเมืองแด่องค์กษัตริย์ของตนด้วยท่าทางฉะฉาน

                “หากเป็นเช่นนั้น .. ข้าเองก็ควรจะเสียสละด้วยเช่นกัน ..” สิ้นคำคยูฮยอนก็ใช้พลังเวทขั้นสูงเพื่อช่วยเหลือสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้พื้นที่การปกครองของตนในทันที
                แม้ว่าเหล่าทหารหาญจะกล่าวห้าม
หากแต่กษัตริย์หนุ่มก็มิยอมฟังคำฉุดรั้งเหล่านั้นเลย
               
*. ·*.:•.*




                ตุบ!

                ร่างเล็กหล่นตุบลงบนผิวหิมะอันกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อการฝืนตนเองมันพาลพาให้ร่างกายของซองมินอ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งเนื้อตัวของซองมินก็ยังชาเหน็บจนมิอาจขยับเขยื้อนกายได้
                ซ้ำร้าย ปีกของซองมินยังขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
                ดูท่าแล้ว ซองมินคงได้สิ้นชีพเป็นภูตผีร้ายอยู่ ณ ที่แห่งนี้เป็นแน่

                “เหตุใดเจ้าจึงมานอนเล่นท่ามกลางหิมะเช่นนั้นเล่า ?” ปลายเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้ซองมินทีละนิด จากนั้นไม่นานเงาร่างของเขาก็โอบล้อมรอบกายของซองมินเอาไว้
                ด้วยเพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มแสนโหยหากำลังดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ดวงตาของซองมินที่กำลังจะปรือปิด จึงค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆ เลยทันได้เห็นใบหน้าของคุณชายที่ตนสมัครรักใคร่….
               
                “คุณชาย ” ริมฝีปากอันแห้งผากของซองมินกล่าวได้เพียงเท่านั้น ซองมินก็ไม่อาจทนกับความทรมานทางร่างกายของตนเองได้อีกต่อไป
                และแล้วสติของซองมินก็พลันดับวูบลง

*. ·*.:•.*




                ตึก ตึก ตึก

                เสียงอะไรสักอย่างกระทบกับพื้นผิวของหิมะเป็นจังหวะจะโคน ส่งผลให้เนื้อตัวของซองมินมันสั่นโงนเงนไปหมด แต่พอซองมินทำท่าจะล่วงลงจากอะไรบางอย่าง ท่อนแขนของใครสักคนก็โอบล้อมรอบเอวของซองมินไว้ จึงทำให้ซองมินรู้ตัวว่า
 ณ ตอนนี้ซองมินกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวแสนสง่า และคุณชายคือผู้กุมบังเหียน

                “เจ้ายังชาเหน็บอยู่หรือไม่ ?” เสียงทุ้มของคุณชายกำลังกระซิบชิดริมหูของซองมินนี่เอง ระยะห่างของเราในตอนนี้ มันแนบชิดต่อกันมากเหลือเกิน
                และยังมากเสียจนซองมินทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

                “ม ..ไม่” ซองมินก้มหน้าชิดอก พลางส่ายหน้าตอบเขาเสียงค่อย
                “อีกประเดี๋ยวก็จะถึงที่พักแล้ว .. ” คุณชายเขาพูดกับซองมินเช่นนั้น แล้วคุณชายเขาก็เงียบไป ..
                ซองมินจึงทำได้แค่มองสองข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจเพียงเท่านั้น
                และก็น่าแปลก .. เหตุใดซองมินจึงมิหนาวเหน็บดังเช่นคราแรกก็มิรู้

                คุณชายพาซองมินมา ณ ที่ใด ซองมินมิรู้เลย อาณาจักรของคุณชายล้วนมีแต่สิ่งมหัศจรรย์ทั้งนั้น ผืนป่าในดินแดนของคุณชาย เมื่อเทียบกับดินแดนของซองมินแล้ว มันแตกต่างกันมาก
                อย่างเช่นภูติน้ำแข็งหลายๆตนที่ซองมินเหลือบไปเห็น พวกเขาเหล่านั้นมักจะส่องแสงสะท้อนสีฟ้าในตนเอง ทำให้พวกเขาเหล่านั้นดูงดงามจับตาอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะสัตว์ป่า รวมไปถึงสัตว์น้ำหลากชนิดนั่นอีก หน้าตาของมันไม่เหมือนกับพันธุ์สัตว์ในดินแดนของซองมินเลย
                ปลาในดินแดนของคุณชายสามารถบินก็ได้ หรือจะอยู่ในน้ำก็ได้
                แปลกจริงๆ

                “ดินแดนของท่านอัศจรรย์ใจนัก ..” ซองมินกล่าวชมจากใจจริง เพราะยิ่งคุณชายนำพาซองมินก้าวลึกเข้ามามากเพียงใด ความงดงามซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์ที่ซองมินมิเคยได้เห็น ก็ยิ่งปรากฏมากขึ้นเท่านั้น
                “อัศจรรย์ใจอย่างไร ข้ามิเห็นว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ..” คุณชายตอบซองมินด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

                “ท่านนี่มีตาหามีแววไม่ ..
                “นี่เด็กน้อย .. เจ้าหายดีแล้วหรือ ถึงได้มีเรี่ยวแรงมาต่อปากต่อคำกับข้า ..

                ” เมื่อคุณชายถามเช่นนั้น ซองมินก็ถึงกับเงียบสนิทในทันที เพราะซองมินกำลังกลัวว่าหากตนกล่าวว่าสบายดีแล้ว จะถูกส่งกลับอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวหรือไม่
                ขอเวลาอีกประเดี๋ยวได้ไหม
                ซองมินขอเวลาแค่อยู่ใกล้ๆคุณชายอีกประเดี๋ยวเท่านั้น

*. ·*.:•.*







                ฟึ่บ!

                เมื่อเพกาซัสเหยียบย่ำลงบนหนองน้ำขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของกบขนาดมหึมา ซองมินก็รีบหดตัวเข้าหาคุณชายคยูฮยอนในทันที ซ้ำเจ้ากบพวกนั้นยังเกเรคอยกระโดดย่ำน้ำใส่ผู้บุกรุกดังเช่นซองมินกับคุณชายอีก
                หากแต่สิ่งที่ทำให้ซองมินตกอกตกใจมากกว่านั้น  ก็เมื่อตอนที่คุณชายใช้พลังเวทสาดซัดเข้าใส่เจ้ากบเกเรตนนั้นอย่างไม่ใยดี ซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงเจ้ากบเกเรอีกตนที่กำลังใช้กิ่งไม้ดุนดันบ้านพักหลังเล็กๆของภูติน้ำแข็งผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในป่าดงดิบแห่งนี้
               
                “เจ้าทำราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ เจ้ามิเคยพานพบมาก่อน  ..” แน่สิ ซองมินมิเคยพบเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นสักครั้ง เพราะเด็กๆในผืนป่าที่อยู่ภายใต้การดูแลของซองมิน ล้วนแล้วแต่จะเชื่อฟังซองมินทั้งนั้น รวมทั้งไม่มีนิสัยเกเรเช่นนั้นด้วย
                “ใช่” ซองมินตอบคำถามของคุณชายอย่างฉะฉาน

                “มิน่าเชื่อ ..
                “ท่านหาว่าข้าโกหกหรือ ?

                “ข้ายังมิได้ว่ากล่าวเจ้าสักคำ .. ดูเหมือนเจ้าจะร้อนตัวไปเองเสียแล้ว ..” ซองมินมิเคยคาดคิดเลย ว่าหากเจอคุณชายอีกครั้ง แล้วซองมินจะได้พบกับคุณชายที่ชอบพูดจายียวนกวนประสาทซองมินเช่นนี้
                ท่าทางเย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขา
หายไปอยู่ ณ ที่ใดกัน

*. ·*.:•.*




                คยูฮยอนสับสนในตนเองเหลือเกิน สับสนจนมิรู้ว่าตนควรจะทำอย่างไรดี อีกทั้งคยูฮยอนก็ไม่ได้ทำใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าตนจะได้พบหน้าคร่าตากับภูติสวรรค์ตนนี้ คยูฮยอนจึงวางตัวมิถูก
ซ้ำอีกฝ่ายยังอ่อนแรงเนื่องมาจากอากาศอันหนาวเหน็บประจำดินแดนของตนอีก แล้วจะให้คยูฮยอนไม่ดูดำดูดีคนตกทุกข์ได้ยากได้อย่างไร ?
                สุดท้ายคยูฮยอนก็ฝืนร่างกายของตนเองอีกครั้ง

                หลังจากแยกทางกับเหล่าทหารหาญ โดยการออกคำบัญชาให้เหล่าทหารพวกนั้นกลับไปทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ คยูฮยอนก็รีบร่ายเวทมนต์เพื่อช่วยรักษาปีกบางใสให้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้น จากนั้นคยูฮยอนก็ใช้พลังเวททำให้บรรยากาศโดยรอบอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะ
                และถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้น มันจะทำให้คยูฮยอนเริ่มอ่อนแรงลงอีก
                หากแต่คยูฮยอนก็ยังสามารถเก็บอาการของตนเองได้ดี

                ไม่นานคยูฮยอนก็พาซองมินเดินทางมาถึงวังกลางป่า ที่คยูฮยอนมักจะใช้เป็นสถานที่พักแรมเมื่อยามที่คยูฮยอนเข้ามาดูงานในแถบนี้ ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมีความเป็นส่วนตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากคยูฮยอนไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวนเวลาทำงานของตน จึงมิมีนางกำนัลคอยมาปรนนิบัติพัดวีให้
                อันที่จริงคยูฮยอนทราบแล้วล่ะว่าภูติตนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว แต่เหตุที่คยูฮยอนยังมิอาจส่งเขากลับไปได้ อาจเป็นเพราะ ….
                ตนกำลังกลัวว่าภูติสวรรค์ตนนี้ จะยังไม่แข็งแรงดีพอต่อการเดินทางไกลกระมัง
                ใช่ .. มันต้องเป็นเช่นนั้น มิมีเหตุผลใดฉุดรั้งให้ภูติตนนั้นยังคงอยู่ที่นี่หรอก .. มิมี

*. ·*.:•.*






                คุณชายเดินนำซองมินขึ้นบันไดอันทอดยาวไปสู่ด้านในอย่างช้าๆ ซองมินไม่รู้ว่าเขาจงใจเดินให้ช้าหรือว่าอย่างไรกันแน่ ซองมินจึงสามารถก้าวตามการก้าวเดินของเขาได้ทัน
                ปราสาทของคุณชายมิได้มีการตกแต่งอย่างหรูหราเท่าใดนัก ในสายตาของซองมินมันออกจะเรียบง่าย แลดูลงตัวอย่างบอกไม่ถูก

                “คืนนี้เจ้าพักที่นี่ก่อนก็แล้วกัน .. หากเจ้าหายดีทันเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าจะพาเจ้าไปส่งยังดินแดนของเจ้าด้วยตนเอง ..” คุณชายเดินนำเข้ามาในห้องอันกว้างใหญ่ ที่มีเพียงแค่เตียงนอนหลังเดียวตั้งอยู่ตรงมุมห้องทางขวามือเท่านั้น ส่วนทางซ้ายมือของซองมินเป็นบ่อน้ำไม่เล็กไม่ใหญ่นัก ปลายทางน้ำมันเชื่อมต่อออกไปด้านนอก ซึ่งออกแบบให้เป็นหน้าต่างบานใหญ่ให้ซองมินสามารถมองลอดออกไปได้
                “แล้วถ้าข้ายังมิหายล่ะท่าน ?” ซองมินใจหายวาบขึ้นมาทันที เมื่อคุณชายกล่าวออกมาเช่นนั้น จึงลองถามหยั่งเชิงออกไป หากแต่คุณชายก็มิมีคำตอบกลับมาให้ซองมิน
               
                “เจ้ารีบนอนพักรักษาตัวเถิด ..” หลังจากความเงียบเข้าปกคลุม คุณชายก็กล่าวเช่นนั้นกับซองมิน พร้อมทั้งขายาวๆของเขาก็ค่อยๆก้าวไปด้านหลัง จนกระทั่งสายตาของซองมินมิอาจมองเห็นใบหน้าอันงดงามของเขาได้อีก
                “คุณชาย ..” ซองมินรีบก้าวเดินเข้าไปคว้าข้อมือของคุณชายเอาไว้ โดยที่ซองมินก็มิทันคิดตริตรองให้ดีเสียก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าตนทำอะไรลงไป ฝ่ามือของซองมินก็ฉุดรั้งร่างของคุณชายเอาไว้กับซองมินเสียแล้ว

                “นามของข้าคือซองมิน .. แม้มันอาจจะช้าไปที่ข้าเพิ่งจะมาแนะนำตัวกับท่านเอาตอนนี้ .. ข้าก็แค่ .. อยากให้ท่านจดจำชื่อของข้าบ้าง ..” ซองมินปล่อยมือจากคุณชายทันที พลางก้มหน้าคิดหาเหตุผลขึ้นมารองรับการกระทำของตน  
ที่แม้แต่ตนเองยังไม่เข้าใจเลยว่าทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร ?

                และหลังจากที่ซองมินกล่าวเช่นนั้นออกมา ความเงียบก็ปกคลุมรอบๆกายของเราอีกครั้ง .. กระทั่งร่างของคุณชายล้มฟุบลงไปต่อหน้าต่อตา ..
 ความสงบเงียบที่เคยเป็นก็จางหายไป
เหลือเพียงแต่ความว้าวุ่นใจเข้ามาแทนที่

*. ·*.:•.*
 
 Update : 140203
        

               



                 เมื่อยังเล็ก ยามที่ซองมินป่วยไข้ ท่านแม่ก็มักจะออกไปรองน้ำค้างจากเบื้องบนมาให้ซองมินดื่ม ท่านเปรยกับซองมินว่า หากซองมินดื่มน้ำพวกนี้ทุกวัน ร่างกายของซองมินก็จะกลับมาแข็งแรงดังเดิม เหตุเพราะน้ำค้างอันใสสะอาดเหล่านั้นเป็นยารักษาโรคชั้นดีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้แก่พวกเราเหล่าภูติ

                ท่านแม่บอกว่า น้ำค้างทั่วฟ้า มิใช่ว่าจะเป็นยารักษาโรคได้ทั้งหมด ครั้นพอได้ฟังท่านแม่ว่ากล่าวเช่นนั้น ซองมินจึงถามกลับไปว่า แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่ามันใช้รักษาโรคได้หรือไม่
                คำตอบของท่านแม่มิใช่การบอกกล่าวด้วยคำพูด หากแต่ท่านแม่กลับเป็นฝ่ายสอนสั่งให้ซองมินเป็นผู้ไปหาคำตอบนั้นด้วยตัวของซองมินเอง
               
                ภูติสวรรค์ตัวจ้อยใช้กิ่งไม้เล็กๆกลัดใบไม้ใหญ่ให้เป็นรูปทรงกรวย  จากนั้นอีซองมินก็ใช้เถาว์วัลย์ผูกติดกับไม้กลัดเพื่อที่ซองมินจะได้นำภาชนะรองรับยารักษาโรคชั้นดีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้ในจำนวนที่มากพอที่จะทำให้คุณชายห่างหายจากอาการป่วยไข้
                หยดน้ำแต่ละหยด กว่าที่ซองมินจะได้มันมา ก็ต้องใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนแรม ซ้ำร้ายคุณภาพยารักษาโรคที่รองรับได้ มันก็ไม่อาจจะใช้งานได้จริง

                หยดน้ำค้างที่สามารถนำมาดื่มกินเพื่อใช้รักษาโรค จะต้องเปล่งประกายระยิบระยับราวกับดวงดาราบนฟากฟ้า หากแต่สิ่งที่ซองมินรองรับมาได้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำใสจากธารธาราอันกว้างใหญ่สักนิด
                ซองมินมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดดินแดนของคุณชายจึงแทบมิมีน้ำค้างให้ดื่มกินเช่นนี้

                ภูติสวรรค์ตัวจ้อยกอดเข่าก้มหน้าซ่อนความอ่อนแอของตนเอง เมื่อตนมองมิเห็นหนทางช่วยเหลือให้คุณชายมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นเลย ..
            ภายในอกของซองมินมันกำลังเป็นกังวลเสียจน ซองมินนึกกลัวไปเสียหมด ..
                ยิ่งซองมินทอดทิ้งเขาไว้เพียงลำพังแบบนี้ ซองมินก็ยิ่งเป็นห่วง ..

*. ·*.:•.*

    



            “เจ้าออกมานั่งทำอะไรในกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้ ..” ซองมินเผลอหลับไปเมื่อไหร่ ก็ยังมิทันจะรู้ตัว หากไม่ได้ยินเสียงของคุณชายร้องเรียกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ซองมินก็คงจะนั่งหลับอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า ..
                “ข้าต่างหากที่ควรจะถามว่าท่านออกมาทำไม ?” ซองมินขยับกายให้คุณชายได้นั่งลงตรงที่ว่างข้างๆซองมิน ขณะที่ซองมินก็ดุด่าว่ากล่าวเขาไปด้วย

                ” คุณชายมิมีคำตอบให้ซองมินดังเช่นเคย
                “อ้า~ ได้แล้ว ” เพราะซองมินขี้คร้านจะสนใจคุณชายอีก ซองมินก็เลยเหลือบสายตาไปมองยังกรวยเล็กๆที่ซองมินผูกมันเอาไว้กับใบไม้ใบหญ้าในบริเวณนี้ ..

                ซองมินโบยบินไปยังภาชนะรองรับเครื่องยาชั้นดีที่บัดนี้เปร่งประกายระยิบระยับจับตา ภูติตัวจ้อยค่อยๆบรรจงคลายปมเถาว์วัลย์เพื่อนำหยดน้ำค้างมากสรรพคุณมาให้คุณชายดื่ม ...
                “ท่านแม่บอกข้าว่าน้ำค้างเหล่านี้ สามารถทำให้ร่างกายที่อ่อนแอกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม .. ข้าก็เลยออกมารองรับมันเพื่อนำไปให้ท่านดื่ม ” ซองมินยกยิ้มหวานมองปริมาณน้ำอันเต็มปริ่มของภาชนะในมือ ครั้นเมื่อซองมินเงยหน้าขึ้นมองคุณชาย รอยยิ้มที่ยังคงหุบไม่ลงจึงมีเผื่อเหลือไปถึงคุณชายด้วยเช่นกัน

                “คุณชาย ” ซองมินเอียงคอมองคุณชายอย่างนึกฉงนในท่าทีของคุณชายที่เอาแต่มองหน้าของซองมิน โดยไม่คิดจะพูดจาตอบรับใดๆสักคำ ..
                “รีบดื่มสิท่าน ..” ซองมินเอื้อมมือข้างหนึ่งไปฉุดรั้งฝ่ามือของคุณชายที่วางราบอยู่บนพื้นหิน จากนั้นซองมินก็นำภาชนะรูปทรงกรวยยัดใส่ฝ่ามือของคุณชายอีกครา

                คุณชายก้มลงมองภาชนะที่บรรจุยารักษาโรคที่ซองมินอวดอ้างนักหนาด้วยสายตานิ่งเรียบ จากนั้นคุณชายก็ค่อยๆจรดริมฝีปากลงบนขอบภาชนะทรงกรวยที่ซองมินเป็นคนยัดใส่มือของคุณชายเอง ..
                “ข้ารองรับมันมาได้มาอีกแล้วท่าน ..” ซองมินรีบลุกขึ้นยืน พร้อมกับโบยบินไปยังภาชนะรูปทรงกรวยที่ซองมินผูกเอาไว้บนก้านของดอกไม้สีฟ้าครามอย่างรวดเร็ว

                ครั้นซองมินจะรีบนำมันกลับมาให้คุณชายได้ดื่มกินอีกรอบ สายตาของซองมินก็เหลือบไปเห็นภาชนะทรงกรวยตรงอีกฟากฝั่งหนึ่งกำลังเรืองรองด้วยแสงพราวระยับจับตา  ซองมินก็รีบโบยบินไป ณ ที่แห่งนั้นทันที
                “ข้าต้องดื่มหยดน้ำเหล่านี้จนหมดเลยหรือ ?” พอซองมินโอบประครองภาชนะทรงกรวยจนเต็มสองไม้สองมือ และนำมันมายื่นให้กับคุณชาย .. คุณชายก็หรี่ตามองซองมินอย่างนึกฉงน ซองมินจึงพยักหน้าขึ้นลงอยู่สองสามที

                “หากข้าดื่มสักประมาณสิบถ้วย .. ท้องของข้าคงจะบวมน้ำกันพอดี ..” คุณชายหยิบภาชนะทรงกรวยไปจากมือของซองมิน จากนั้นคุณชายก็จรดริมฝีปากลงบนขอบภาชนะอย่างรวดเร็ว ครั้นพอซองมินจะโบยบินนำยารักษามาให้คุณชายอีก คุณชายก็รั้งร่างของซองมินเอาไว้
                “เจ้ามิรู้หรือ .. ยารักษาโรคน่ะ ไม่ว่าจะประเภทใด ก็มิควรดื่มเสียจนเกินพอดี ..” คุณชายกล่าวเรียบๆ ขณะที่ซองมินก็นั่งฟังคุณชายเงียบๆไปด้วย ..
                ด้วยความสัตย์จริง ซองมินมิมีเวลาคิดตริตรองถึงความพอดีนั่นหรอก ..
                เพราะขณะนี้ซองมินกำลังนึกห่วงคุณชายเสียจนจิตใจมันปั่นป่วนไปหมดแล้ว ..

*. ·*.:•.*

                อาการเจ็บไข้ของคุณชายแลดูน่าเป็นห่วง เหตุเพราะเนื้อตัวของคุณชายเดี๋ยวก็ร้อน เดี๋ยวก็เย็นจนซองมินมิรู้จะทำอย่างไรดี ฝ่ายคุณชายเองก็เข้มแข็งมาก เขาพยายามจะแสดงออกว่าเขาไม่เป็นอะไรนัก แม้ว่าอาการของเขาจะยังไม่สู้ดีก็ตาม ..
                “อันที่จริงเจ้าเองก็หายดีแล้ว .. ข้าว่าเจ้าควรจะกลับบ้านของเจ้าเสียที ..” คำพูดของคุณชายทำเอาซองมินวูบไหวในอก ท่าทางของเขากลับมาเย็นชาอีกครั้ง จนซองมินไม่อาจซ่อนสีหน้าแห่งความน้อยใจได้ ..

                “เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าการที่เจ้าหายตัวมาอยู่กับข้าถึงสามวันสามคืนเต็มๆ ผู้คนทางโน้นจะมิเป็นห่วงเจ้า ..” เมื่อคุณชายย้อนถามซองมินด้วยคำถามที่ทำให้ซองมินรู้สึกผิดไม่น้อย ที่ตนเองมัวแต่สนใจกับอาการป่วยไข้ของคุณชาย จนหลงลืมความห่วงใยของท่านแม่ที่ป่านนี้มิรู้ว่าท่านจะทราบหรือยังว่าซองมินมิได้เที่ยวเตร่เหมือนอย่างเคย ..
                “ข้าอาการดีขึ้นแล้ว มิมีเหตุจำเป็นอันใดที่เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ต่อ ..” คำพูดของคุณชายคล้ายกับของมีคมที่มันบาดลึกลงในจิตใจของซองมินจนกลายเป็นแผลเหวอะหวะ

                “ข้าเข้าใจท่านดีว่าข้านั้นเป็นภาระแก่ท่าน .. อย่างไรแล้ว ข้าขอดูแลท่านจนกว่าท่านจะแข็งแรงกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อตอบแทนที่ท่านเคยช่วยเหลือข้ามาสองครั้งสองหน” เสียงของซองมินกำลังสั่น อีกทั้งน้ำตาของซองมินก็กำลังจะไหล
และทันทีที่ซองมินพูดจบ ซองมินก็รีบวิ่งออกจากห้องนั้นในทันที ..

*. ·*.:•.*





                ภูติตัวจ้อยหอบหิ้วหัวใจที่กำลังเจ็บปวดรวดร้าวกับสิ่งที่ตนเพิ่งจะพบเจอมา พลางใช้สองมือยกขึ้นปาดหยดน้ำตาที่มันเอาแต่จะไหลรินไม่ยอมหยุด
                ซองมินโบยบินออกมาให้ห่างไกลจากตัวปราสาทของคุณชายอยู่มากพอสมควร จึงทำให้ซองมินหล่นตุบลงบนผืนหญ้าริมหนองน้ำ เนื่องจากว่าซองมินใช้งานปีกบางใสของตนมากเกินไป

                ซองมินมิเข้าใจคุณชายเอาเสียเลย แท้ที่จริงแล้วคุณชายมิได้คิดอันใดกับซองมินเลยใช่ไหม การให้ความช่วยเหลือของคุณชาย มิได้มีความหมายพิเศษอันใดแอบแฝงเลยหรือ
                อีกทั้งสายตาของคุณชาย มันมิได้สื่อความนัยน์อันลึกซึ้งจริงๆน่ะหรือ ซ้ำร้ายคุณชายยังมาฝากฝังล่องลอยความอบอุ่นลงบนกลีบปากของซองมินในยามดึกเมื่อค่ำคืนวานเสียอีก
                แล้วแบบนี้คุณชายจะให้ซองมินคิดอย่างไร ? ในเมื่อการกระทำของคุณชายมันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง

                “ท่านมีเรื่องทุกข์ใจอันใดกันเล่า ถึงได้มานั่งร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ ..” ซองมินเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของเสียงใสที่กล่าวทักซองมินอย่างเป็นมิตร
                “ข้า ..” ซองมินมิรู้จะเริ่มต้นเรื่องราวระหว่างตนเองกับคุณชายอย่างไรดี จึงเอ่ยค้างเอาไว้เพียงเท่านั้น

                “หากให้ข้าคาดเดา .. เรื่องที่ท่านกลุ้มใจก็คงจะมิพ้นความรัก ..
                “ท่านทราบได้อย่างไร ?” ซองมินย้อนถามหญิงสาวข้างๆตนอย่างนึกฉงนใจ

                “เพราะความรัก เป็นสิ่งเดียวที่ทำลายความสุขของภูติสวรรค์ .. ท่านเองก็น่าจะทราบ .. แท้ที่จริงแล้วภูติสวรรค์ทุกตน ล้วนแล้วแต่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเป็น .. แต่เมื่อเกิดความอยากมี อยากได้ อาการเป็นทุกข์ก็จะมาเยือน ..
                ….

                “โชคชะตาของพวกเราทุกคนจะเป็นอย่างไรนั้นอยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงลิขิต .. ไม่ว่าท่านจะดึงดันสักเท่าใด ทุกอย่างก็จะยังดำเนินไปตามโชคชะตา ..
               

                “หากท่านเชื่อในความรักของท่านกับเขาผู้นั้น .. ได้โปรดจงรอวันที่โชคชะตาจะดำเนินมาถึง จักดีกว่าท่านมานั่งทำหน้าเศร้าเช่นนี้ ..” คำพูดของภูติสาวตนนั้นทำให้อีซองมินสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะอย่างน้อยซองมินก็เชื่อในความรู้สึกของตนเอง
                อีกทั้งยังเชื่อในตัวคุณชาย ว่าทุกอย่างที่เขากำลังทำ
แท้ที่จริง มันอาจมิได้ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ

*. ·*.:•.*



                คยูฮยอนรู้ตัวดีว่าตอนนี้คยูฮยอนมิอาจปกป้องอีซองมินจากภัยธรรมชาติในดินแดนของตนได้อีก เมื่อตนได้ใช้พลังเวทที่มีอยู่อย่างหักโหม คยูฮยอนจึงสูญสิ้นวิชาเวทไปจนหมดสิ้น อีกทั้งร่างกายของคยูฮยอนก็ไม่อาจกลับมาเป็นดังเดิมได้
                คยูฮยอนจำต้องหลบซ่อนปีกสีขาวขุ่นของตนเองให้ห่างไกลจากสายตาของอีซองมินอยู่หลายครั้งหลายครา เนื่องจากคยูฮยอนมิต้องการให้อีซองมินต้องเป็นกังวล
                ตนจึงตัดสินใจออกปากไล่อีซองมินกลายๆเช่นนั้น

                ตลอดหลายวันที่ผ่านมา อีซองมินคอยดูแลคยูฮยอนอย่างดี แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้อาการของคยูฮยอนดีขึ้นก็ตาม แต่ภูติตนนั้นก็ยังพยายามจะหาทางช่วยเหลือตนให้พ้นจากอาการเจ็บป่วยอย่างสุดความสามารถ
                และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คยูฮยอนมิอาจบังคับจิตใจของตนเองให้เชื่อฟังได้ ..

                ครั้นเมื่อนึกไปถึงวันที่อีซองมินออกไปตากอากาศเย็นๆยามค่ำคืน เพื่อรองรับน้ำค้างบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นหยดน้ำที่อีกฝ่ายเชื่อว่ามันจะสามารถรักษาให้คยูฮยอนหายขาดจากอาการที่กำลังเป็นอยู่
                ความดีของอีซองมินจึงค่อยๆกัดเซาะกำแพงหัวใจของคยูฮยอนให้พังลงเรื่อยๆ

                ซ้ำยังต้องมาเห็นจมูกแดงๆของอีกฝ่าย เนื่องจากอากาศหนาวเย็นนั่นอีก หัวใจของคยูฮยอนมันก็เริ่มจะควบคุมตนเองมิได้ จนกระทั่งคยูฮยอนได้เห็นรอยยิ้มของภูติตัวจ้อย สายตาของคยูฮยอนก็มิอาจละไปจากใบหน้าขาวนวลที่กำลังเปื้อนรอยยิ้มจนเต็มแก้มนั่นเลย ….

.               เมื่อคยูฮยอนปล่อยตัว ปล่อยใจให้เป็นไปตามสิ่งที่ตนเองต้องการมากเข้า ทุกอย่างก็ยิ่งถลำลึก สัมผัสอบอุ่นที่คยูฮยอนเผลอไผลฝากฝังเอาไว้บนกลีบปากของอีซองมิน ราวกับเครื่องเตือนใจให้คยูฮยอนหยุดความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านี้  ..
                เพราะหากคยูฮยอนยังดังทุรังต่อไป ไม่ใครก็ใครคงจะต้องดับสิ้นดวงวิญญาณ

*. ·*.:•.*
  


                แม้ซองมินจะเชื่อมั่นเช่นนั้น แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคุณชายจริงๆ ซองมินก็มิอาจทำตัวให้เป็นปกติได้ ซองมินมักจะหลบสายตาของคุณชายที่มองมาที่ซองมินเสมอ
                อีกทั้งซองมินก็มักจะใช้เวลาอยู่กับคุณชายให้น้อยที่สุด ..
                และเพราะการหลบหน้าคุณชาย จึงทำให้ซองมินพบกับมิตรสหายที่แสนดีอยู่หลายตน ..

                หากแต่ซองมินก็ต้องตัดใจบอกลาพวกเขา เนื่องจากซองมินคิดทบทวนไว้ดีแล้วว่าซองมินควรจะเดินทางกลับไปยังดินแดนของซองมินเองเสียที ..
                เพียงแค่นึกไปถึงสีหน้าเป็นห่วงของท่านแม่ ซองมินก็ปวดใจอยู่ลึกๆ

                “ยามเมื่อถึงรุ่งสาง ข้าจะเดินทางกลับไปยังดินแดนของข้าตามที่ท่านต้องการ ..” ซองมินบอกกับคุณชายที่นอนหลับใหลอยู่ข้างๆซองมินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
                ซองมินกวาดตามองไปทั่วใบหน้าของคุณชายอย่างช้าๆ เนื่องจากว่าซองมินอยากจะจดจำใบหน้านี้ไว้ในยามคะนึงถึง
               
                “คุณชาย ..” ซองมินขยับตัวเข้าไปแนบชิดกับคุณชายอย่างโหยหา พลางวาดวงแขนโอบกอดร่างหนาให้แนบแน่นที่สุด เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่อีซองมินจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณชายผู้เป็นที่รักยิ่ง
                เพียงแค่คิดว่ารุ่งสางจะมาเยือนในอีกไม่นานนี้ อีซองมินก็ร่ำไห้ออกมาจนได้
                อ่อนแอ .. ซองมินไม่คิดเลยว่าตนเองจะอ่อนแอเช่นนี้

*. ·*.:•.*



                “เจ้ามาร่ำไห้ให้คนเช่นข้าทำไม ?” นับตั้งแต่วันที่เราผิดใจกันเพราะคำพูดที่ทำใจเอาไว้ดีแล้วว่ามันจะส่งผลกระทบใดๆตามมา ..
หากแต่เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นจริง คยูฮยอนกลับมิอาจทำใจให้สงบลงได้
ยามหลับ คยูฮยอนจึงมิอาจหลับ ยามตื่นคยูฮยอนจึงมิอาจสบายใจ ..

“คนอย่างข้าที่ดีที่ผลักไสเจ้า .. เหตุใดเจ้าจึงเสียน้ำตาให้ข้า ..” เพราะความเผลอไผลเป็นเหตุ จึงทำให้คยูฮยอนพลั้งปากถามไถ่ออกไป แม้ว่าสมองมันกำลังสั่งการให้คยูฮยอนทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวอันใด เพื่อปลดปล่อยให้อีซองมินได้พบเจอกับอิสระภาพของคำว่า ความสุข
” อีซองมินมิยอมกล่าวอันใดเลย นอกจากจะสะอึกสะอื้นอยู่กับอกของคยูฮยอนเพียงเท่านั้น
“ยิ่งเจ้าทำดีกับข้า .. ยิ่งเจ้าแสดงออกว่าชอบพอในตัวข้า .. มันก็ยิ่งทำให้ข้าลำบากใจ ..” คยูฮยอนบอกกล่าวความรู้สึกของตนเองอย่างตรงไปตรงมา เมื่อตนมิอาจเก็บงำความรู้สึกได้อีกต่อไป

เพียงแค่คิดว่าวันต่อๆไปในภายภาคหน้า คยูฮยอนจะมิอาจมีซองมินอยู่เคียงข้างกาย หัวใจของคยูฮยอนก็ยิ่งอยากจะฉุดรั้งซองมินเอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว ..

“ข้ามิอยากเป็นคนเห็นแก่ตัว .. ข้ามิอยากเป็นคนทำร้ายเจ้าด้วยสองมือของข้าเอง ..
“ข้ามิเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูดสักนิด .. หากการยอมรับความรู้สึกของตนเองมันทำให้ท่านกลายเป็นคนเลวทรามเช่นนั้น .. ทำไมท่านไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เห็นสิ่งใด แล้วปลดปล่อยข้าให้ไปตามทางของข้าเสียล่ะ ?

“เพราะข้ามันคนเห็นแก่ตัว ข้าจึงฉุดรั้งเจ้าเอาไว้ ทั้งๆที่สมองมันกลับต่อต้านการกระทำของข้าแทบตาย .. หากแต่ใจของข้ามันยังอยากจะมีเจ้าไว้ให้รัก ..
“คุณชาย ..” น้ำเสียงหวานเคล้าความยินดีของอีซองมิน กำลังกรีดลงกลางใจของคยูฮยอนอย่างช้าๆ เหตุเพราะคยูฮยอนรู้ดีว่าการตัดสินใจของตน มันกำลังดึงรั้งให้เราทั้งสองคนดับสิ้นไปพร้อมๆกัน

“มิว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ .. ข้าจะโอบกอดเจ้าไว้ และปกป้องเจ้าด้วยสองมือของข้าเอง ซองมิน” คยูฮยอนค่อยๆบรรจงจุมพิตลงบนกลีบปากของภูติสวรรค์ต่างแดนอย่างเชื่องช้า พลางเลาะเล็มลิ้มชิมกลีบปากสดสวยอย่างหลงใหล
ความหอมหวานจากคำรัก ชักพาให้สัมผัสไต่ระดับไปตามความรู้สึกทางอารมณ์
อ่อนหวานบ้าง ร้อนแรงบ้าง จนทั้งสองแทบจะสำลักความสุขที่เกิดจาก ความรักเสียให้ได้




*. ·*.The End:•.*





                 จบแล้ว แถมจบเลยวันเกิดคยูฮยอนอีกต่างหาก งึกๆ แต่เอาเป็นว่าฟิคเรื่องนี้คือฟิคเนื่องในโอกาสพิเศษก็แล้วกันเนอะ ฮ่าๆ จบแบบเคลียร์เรื่องความรัก แต่ยังไม่เคลียร์เรื่องปัญหาหลายๆสิ่งที่จะตามมา เนื่องจากว่า ....
โปรดติดตามตอนต่อไป ในวันวาเลนไทน์ 55555555555

 อาณาเขตสรวงสวรรค์