วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เพาะรัก

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง


Special by Kyuhyun 12

                พอได้เริ่มใช้ชีวิตในแบบฉบับของลูกเรือจากสายการบินอาหรับที่มีเดสทิเนชั่นทั่วโลก การอดหลับอดนอนก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันดี ฮาบีเขาเองก็ปรับตัวเก่ง จำได้ว่าไฟล์ทแรกที่เริ่มทำงานอย่างเต็มตัว พี่เลี้ยงหลายต่อหลายคนต่างชื่นชมน้องใหม่ไฟแรงเป็นทิวแถว คอมเม้นต์ต่างๆถูกเขียนลงสมุดบันทึกในทิศทางที่ดี จนผมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ถึงกับยกยิ้มจนแก้มปริ
                อันที่จริงถึงไฟล์ทของเราส่วนใหญ่จะหนักไปทางโซนยุโรป แต่เราก็ต้องบินกลับมาเบสดูไบอยู่ดี และจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่จะได้รับโปสการ์ดที่เราส่งไปให้หรือยัง เพราะว่าผมไม่มีเวลาจะไปติดตามผลงานใดๆทั้งสิ้น ในเมื่อตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมกับฮาบีต้องไปทำงานทุกวันแบบไม่มีวันหยุด ที่สำคัญผมเลือกจะส่งโปสการ์ดใบแรกจากทุกประเทศไปให้คุณพ่อที่สำนักงานของอุทยานรักษาพันธุ์สัตว์ทะเลทราย ส่วนโปสการ์ดใบที่สองจากทุกประเทศ ผมเลือกจะส่งไปที่สำนักงานใหญ่ของสายการบิน เพื่อที่ทางฝ่ายบุคคลจะได้แยกไปให้กับพี่อารา และพี่อาราจะได้ส่งต่อให้กับคุณแม่โซเฟียที่ตอนนี้พักอยู่กับคุณแม่ของพี่ชะรีฟ

                “คุณคยูฮยอนคะ มีจดหมายถึงคุณค่ะ ไปรับได้ที่ mail box ข้างๆออฟฟิศของฝ่ายบุคคลเลยนะคะ” ผมกับฮาบีที่วันนี้มีคิวทำไฟล์ท กำลังเช็คอินน์ผ่านระบบตู้เช็คอินน์อัตโนมัติตรงหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ คุณอารึมเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับส่วนหน้า สัญชาติเกาหลีจึงร้องทักขึ้น เพราะหลายวันก่อนผมได้ฝากให้เธอช่วยดูจดหมายให้
                “ขอบคุณนะครับ” ผมยกยิ้มพลางขอบคุณเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาขณะที่สมองก็เริ่มคำนวณเวลา ว่าเราจะสามารถไปรับจดหมายก่อนจะทำการบรีฟงานได้หรือไม่

                “เหลือเวลาอีกสิบห้านาที วิ่งขึ้นบันไดเอาแล้วกัน” ผมหันไปบอกฮาบีที่กำลังล็อคเอาท์ออกจากระบบ
                “ฝากกระเป๋าหน่อยนะครับ” แล้วผมก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กสำหรับลูกเรือทั้งสองใบมาวางไว้ข้างๆเคาน์เตอร์ต้อนรับ จากนั้นก็รีบวิ่งไปคว้าข้อมือของฮาบีที่เพิ่งจะผละออกจากตู้เช็คอินน์อัตโนมัติด้วยความเร่งรีบ เพื่อมุ่งตรงไปยังบันไดทางขวามือสุด

                ตึก ตึก ตึก

                จังหวะการย่ำเท้าของเราสองคน เอาแต่ดังสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งหัวใจก็พลอยจะสั่นรัวไปด้วย เพราะเราต่างก็ใช้พละกำลังไปอย่างมากมาย กระทั่งมาถึงตู้จดหมายที่ทางฝ่ายบุคคลจะเป็นคนนำมาหยอดตามช่อง ซึ่งแต่ละช่องจะแบ่งเป็นช่องรับจดหมายของพนักงานด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของชื่อ
                “ให้ตายสิ! มีแต่จดหมายแจ้งเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ทั้งนั้น” หลังจากเลือกจดหมายในกองของตัว K  มาพักใหญ่ ในที่สุดก็เจอจดหมายเจ้าปัญหา แต่ปรากฏว่าผู้ส่งไม่ใช่คนที่ผมรอคอย
ความผิดหวัง ความกังวลก็เริ่มถาโถมเข้ามา

                “รอบนี้เราจะบินไปมาดริด บางทีท่านอาจจะชอบเรื่องเล่าของเราจากเมืองนี้ก็ได้นี่ครับ” ฮาบีเขาบีบฝ่ามือของผมเล็กน้อย เพื่อดึงให้หลุดออกจากความคิดของตัวเอง จากนั้นเจ้าตัวก็รีบพูดจาปลอบใจจนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
                “นั่นสิเนอะ” ผมฝืนยิ้มพลางจูงมือฮาบีเพื่อวิ่งลงบันไดไปข้างล่าง เพราะตอนนี้มันใกล้เวลาจะบรีฟงานทุกทีแล้ว
               
                ไฟล์ทนี้ผมได้บินพร้อมกับไอ้อิมรานด้วยความบังเอิญ เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะไม่ค่อยได้คุยเรื่องตารางการบินของตัวเองให้เพื่อนในกลุ่มฟังสักเท่าไหร่ อารมณ์ก็จะประมาณว่า ถ้าพวกมึงไม่ถาม กูก็จะไม่บอก  ทำให้มารู้อีกทีก็ตอนที่เข้าห้องบรีฟไปแล้ว ที่สำคัญไฟล์ทนี้ยังมีแขกคนสำคัญของมันบินมาเที่ยวอีก เราสองคนก็เลยตกลงกันว่าจะต่างคนต่างไปเที่ยวกับคนของตัวเอง โดยผมจะขอแยกตัวไปกับฮาบี ทันทีที่นำกระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เพราะเรามีเวลาเที่ยวเพียงแค่ครึ่งวันของวันนี้ และอีกครึ่งวันของพรุ่งนี้
                ดังนั้นทริปนี้ผมจึงวางแผนไว้ว่า ผมจะต้องพาฮาบีไปท่องเที่ยวในโลกประวัติศาสตร์ในแบบที่ผมชอบให้ได้ ซึ่งสเปนก็มีแหล่งวัฒนธรรมที่น่าสนใจอยู่แห่งนึง ผมเคยมาเซอร์เวย์เมื่อปีก่อน แต่ยังเดินไม่ทั่วเพราะโตเลโดเป็นเมืองที่มีเส้นทางที่สลับซับซ้อน เพราะเนื่องจากเมืองโบราณแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของสเปน จึงทำให้ไม่มีการวางผังเมืองที่ดีนัก นักท่องเที่ยวหลายคนจึงมักจะหลงทางกันเป็นแถว ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น แต่ตอนนี้โชคดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันก้าวหน้าไปมาก
ฉะนั้นภายในเวลาอันน้อยนิดนี้ ต่อให้ร่างกายจะย่ำแย่ ผมก็จะขอเที่ยวให้สาแก่ใจ

“เราจะออกไปกันเลยเหรอครับ ? หลังจากนำกระเป๋ามาเก็บบนห้องแล้ว ผมก็รีบกุลีกุจอรุนหลังฮาบีให้ออกจากห้อง จนอีกฝ่ายนึกแปลกใจที่ผมดูจะกระตือรือร้นกับทริปนี้มากเป็นพิเศษ
“ไปเลยสิ เวลาเรามีน้อยนะ!” ผมพูดขณะที่สายตาก็จับจ้องตัวเลขภายในลิฟต์ที่กำลังเลื่อนลำดับน้อยลงเรื่อยๆอย่างใจจดใจจ่อ

“แล้วถ้าเกิดตอนนี้ผมง่วงจนไปเที่ยวกับพี่ไม่ไหวล่ะครับ?” ฮาบีเขาย้อนถาม
“ก็.. เอ่อ.. คุณอยากนอนพักเหรอ?” พอได้ยินคำถามในเชิงน่าสงสาร ท่าทางของผมก็ค่อยๆสลดลง ความกระตือรือร้นอยากจะไปโตเลโดแทบเหลือศูนย์

“นิดหน่อยครับ”
“งั้นพี่ไม่ไปโตเลโดแล้วก็ได้” ผมตอบเสียงอ่อย พลางมองตัวเลขอาราบิคด้วยความใจหาย เพราะอีกเดี๋ยวผมก็คงจะต้องกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่พักอยู่ดี
               
                “แต่อันที่จริง ผมก็เริ่มจะชินกับการไม่ต้องนอนพักแล้วนะครับ” ฮาบีเขาตอบพลางยกยิ้ม
                “เราไม่ต้องเอาใจพี่นักก็ได้นะ”

                “ถ้ามัวแต่นอน มันก็น่าเสียดายอยู่นะครับ” ฮาบีเขาว่าพลางยกยิ้มจนเต็มแก้ม
                “ใช่ไหมล่ะ ถ้าคุณมัวแต่นอน คุณก็จะพลาดการไปเดินเล่นที่เมืองโบราณเชียวนะ” ผมว่าอย่างกระตือรือร้น

                “พอเป็นเมืองที่มีหลักฐานทางโบราณคดีหรือพวกวัฒนธรรมอะไรทำนองนี้ พี่จะดูเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ออกไปทัศนศึกษาทุกทีเลย แต่พอเป็นเมืองที่มีแต่พวกธรรมชาติกับความทันสมัย พี่จะชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้อง กว่าจะยอมออกมาเที่ยวก็ช่วงเย็นๆค่ำๆตลอด”
                “รู้ดีนะเรา” ผมขยี้หัวฮาบีอย่างหมั่นเขี้ยว

                “รอบนี้เราต้องเขียนโปสการ์ดเป็นสิบๆใบแน่” พอขึ้นมานั่งบนรถไฟใต้ดินได้ ฮาบีก็เริ่มหยอกผมกลับบ้าง
                “หมายถึงเราเขียนแปด พี่เขียนสองน่ะเหรอ” ผมย้อนถามหน้าตาย

                “มั่วแล้วครับ พี่ต่างหากที่เขียนเก้าแล้วผมเขียนหนึ่ง”
                “เชื่อตายเลย ใครนะตอนเขียนครั้งแรกบอกเขียนไม่เก่ง แต่พอครั้งหลังๆเขียนเล่านู่นเล่านี่เยอะแยะไปหมด แถมยังเล่าซ้ำกันอีก พ่อกับแม่คงคิดว่าเราแอบลอกกันแน่ๆ” ผมโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ คือแรกเริ่มเดิมที ฮาบีเขาเคยเสนอไอเดียว่าให้เราเขียนโปสการ์ดแบบที่ต้องแลกกันอ่าน ประมาณว่าประเทศแรกเขียนให้คุณพ่อก่อน พอประเทศต่อมาก็เขียนให้แม่สลับกันไป แต่ผมมานึกๆดูแล้ว การเขียนแบบนั้นมันคงไม่ชักจูงให้พวกท่านทำตามความคิดของเราเท่าไหร่หรอก เผลอๆพวกท่านอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโปสการ์ดของเรามันเป็นแบบทูบีคอนตินิว ผมจึงเปลี่ยนไอเดียให้เราเขียนคนละใบ ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องไปสลับกันอ่าน

                “ผมไม่ได้ลอกสักหน่อย จะหาเรื่องกันเหรอครับ”
                “ช่วยไม่ได้ ก็เราอยากทำตัวน่าแกล้งทำไม” ผมย้อนหน้าตาย เลยถูกฮาบีหยิกแขนเข้าให้ กว่าจะยอมปล่อยก็ตอนมาถึงสถานี Madrid Atocha แล้วนั่นแหละ จากนั้นพวกเราก็พากันเดินไปดูบอร์ดแสดงรายการ การเดินทางว่าชานชาลาสำหรับรอรถไฟเพื่อไปโตเลโดอยู่หมายเลขที่เท่าไหร่ เมื่อได้คำตอบเราก็รีบไปยังจุดจำหน่ายตั๋วแล้วก็มุ่งตรงไปยังจุดดังกล่าว

                การเดินทางจากกรุงมาดริดมายังโตเลโด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่เนื่องจากแผนการเที่ยวของผมจะเริ่มจากจุดที่ไกลที่สุด เราจึงต้องนั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟไปยังเมืองโบราณในจุดสูงสุด ทำให้ระหว่างเดินทางเราสามารถมองวิวสองข้างทางได้อย่างเพลิดเพลิน ที่สำคัญแท็กซี่เขาจะพาเราไปยังจุดชมวิวที่เป็นเนินสูงริมแม่น้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตัวเมืองด้วย ถือว่าการตัดสินใจนั่งแท็กซี่คราวนี้ผมคิดถูกนะเลยทำให้ทริปนี้ให้อารมณ์คนละแบบกับทริปเมื่อปีก่อน
                “สวยจังครับ มีแม่น้ำล้อมรอบเมืองด้วย” ฮาบีชะโงกหน้าข้ามตัวผม เพื่อมาดูวิวของเมืองโตเลโดที่อยู่ทางขวามืออย่างสนอกสนใจ ทำให้ผมที่กำลังเพลิดเพลินกับความงดงามในแบบที่ชื่นชอบ ต้องมาเสียสมาธิเพราะใครบางคนที่เข้ามาใกล้ชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว

                “เห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆบนเนินเขานั่นไหม” ผมถามพลางชี้ชวนให้อีกฝ่ายดู
                “นั่นน่ะเป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ในช่วงนั้นล่ะ เป็นการวางผังเมืองที่น่าทึ่งดีเนอะ เพราะจากความสูงขนาดนั้นมันทำให้คนในพระราชวังมองเห็นข้าศึกก่อนใคร แถมกว่าข้าศึกจะบุกมาจนถึงตัวพระราชวังได้ก็คงยาก เพราะผังเมืองเขาออกแบบมาได้สลับซับซ้อนขนาดนั้น.. ให้อารมณ์เหมือนเขาวงกตเลยล่ะ แถมพี่ยังเคยเดินหลงอยู่ในนี้เป็นวันๆเลยด้วย”
                “หวังว่าทริปนี้เราคงจะได้กลับไปนอนที่โรงแรมนะครับ” ฮาบีเขาพูดหยอกพลางหันมายกยิ้มให้ผมจนตาปิด จากนั้นก็หันไปมองวิวข้างทางเหมือนเดิม โดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมกลับไปนั่งในท่าทางปกติง่ายๆ
                “หายห่วงเถอะ รอบนี้พี่ดาวน์โหลดแผนที่มาพร้อมละ ไหนจะมี GPS คอยนำทางอีก สบาย~

                สิ้นประโยคสุดท้าย เราต่างคนต่างก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่ เพราะเมื่อครู่จู่ๆฮาบีเขาก็หันหน้ามาหาผม จึงทำให้ปลายจมูกของเราชนกันเล็กน้อย เนื่องจากใบหน้าของผมดันเผลอขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไร้การควบคุม
                “คิดถึงจูบของเราจัง” ผมพูดขึ้นเบาๆ พลางท้าวข้อศอกกับขอบหน้าต่างและหันหน้าไปมองวิวข้างทางที่ไม่ได้สนใจมาพักใหญ่

                “เหมือนกันครับ แต่จูบกันตอนนี้คงไม่ดีมั้ง” ฮาบีเขาว่าพลางหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง ทั้งๆที่ตัวเขาก็ยังชะโงกหน้า เกาะขอบกระจกผ่านช่วงตัวของผมอยู่ดี
                “ไว้เราค่อยจูบตอนกลับห้องแล้วกัน”

                “อ่าฮะ”

                แท็กซี่พาเรามาดรอปไว้ตรง Puente de Sab Martin ซึ่งก็คือประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตก ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เมืองแห่งเขาวงกต และในจุดที่เรากำลังยืนอยู่นี้ จะเห็นอาราม Monasterio De San Juan อยู่บนเนินสูงทางด้านทิศตะวันตกของมหานครแห่งประวัติศาสตร์อย่างโตเลโด
                “จริงๆแล้วโตเลโดเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์สเปนในสมัยโบราณมาก่อนล่ะ” ผมเดินกอดคอกับฮาบีไปเรื่อยๆ พลางเล่าถึงเรื่องราวที่ผมเคยอ่านจากในหนังสือที่เคยซื้อเก็บไว้ให้เขาฟัง

                “แต่เพราะว่าชาวมัวที่เป็นมุสลิมจากแอฟริกาเหนือ ได้เข้ามายึดครองคาบสมุทรไอบีเรีย เลยทำให้โตเลโดกลายเป็นเมืองที่ผสมผสานอารยธรรมเอาไว้ถึงสามเชื้อชาติ คือ คริสต์ มัว แล้วก็ยิว”
                “

                “ของฝากสำหรับที่นี่จะเป็นพวกอาวุธที่เคยใช้กันในสมัยก่อน เพราะว่าแต่ก่อนโตเลโดมีการทำสงครามแย่งชิงเมืองกันบ่อย ก็เลยมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำอาวุธ เขาก็เลยเอาตรงนั้นมาเป็นจุดเด่นของเมืองนี้ในโลกปัจจุบัน แต่ก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีของฝากอย่างอื่นขายเลย จริงๆมันก็มีหลายแบบอยู่เหมือนกัน”
                “พี่เหมือนไกด์นำเที่ยวเลยครับ เอนกประสงค์จริงๆ” ฮาบีเขาพูดแกมหยอก พลางเอื้อมมือมาจับฝ่ามือของผมที่วางละอยู่ตรงลาดไหล่ของเขา ทำให้ตอนนี้มันกลายเป็นว่าเราสองคนแอบจับมือกันในลักษณะที่จะว่าเนียนมันก็คงเนียน แต่จะว่าไม่เนียน มันก็ไม่เนียนแบบเห็นได้ชัด

                “พี่ก็เล่าได้เฉพาะสถานที่ๆ ตัวเองสนใจน่ะแหละ ไม่ได้เอนกประสงค์ขนาดนั้น”
                “ว่าแต่ฮาบี.. คุณมีความสุขอะไรนักหนา ทำไมทริปนี้ถึงยิ้มบ่อยจัง” 

                “พี่ก็ด้วยนะ ยิ้มบ่อยมาก ยิ้มอะไรนักหนาครับ?
                “สงสัยเพราะได้มาเที่ยวในที่ที่สนใจล่ะมั้ง” ผมตอบพลางเขกหัวเจ้าเด็กมือใหม่หัดทะเล้น

                “แต่ที่ผมมีความสุข เพราะที่นี่เป็นที่แรกที่ผมกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง”
                “ถ้างั้นที่พี่มีความสุขจนยิ้มออกมาเยอะๆ คงจะเป็นเหตุผลเดียวกันล่ะมั้ง” ผมหัวเราะพลางก้าวเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย ทำให้ผู้คนที่เคยเดินอยู่รอบๆตัวเรา ค่อยๆแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เราสองคนเลยมีเวลาส่วนตัวขึ้นมาบ้าง

                “ว่าแต่เราหิวหรือยัง?
                “ก็เริ่มหิวๆแล้วนะครับ”

                “เดี๋ยวลงไปข้างล่างอีกพักนึงก็เจอร้านอาหารแล้วล่ะ” ผมบอกฮาบีขณะที่สายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์เพื่อศึกษาแผนที่ของเมืองนี้คร่าวๆอีกครั้ง พร้อมกับเปลี่ยนมาเปิดโหมด GPS ไปด้วยจะได้อุ่นใจเพิ่มขึ้นอีก
                เราสั่งข้าวผัดปาเอลย่ามาทานด้วยกัน เพราะเขาเสิร์ฟเป็นกะทะๆ แถมยังมีปริมาณเยอะมากๆอีก สำหรับเมนูนี้จะเน้นไปที่ข้าวและอาหารทะเลตัวใหญ่ๆ ให้อารมณ์เหมือนตอนที่เราเอาข้าวลงไปผัดกับน้ำแกงที่เรากินเหลือ แล้วก็ใส่กุ้ง หอย ปู ปลานั่นแหละ
                รสชาติรวมๆก็ถือว่าถูกปากพอสมควร

                หลังจากทานมื้อใหญ่กันไปแล้ว เราสองคนก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Alcazar of Toledo ที่อยู่ในจูงสูงสุดของเมือง แต่เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีพระราชวังที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านการสงครามทหารและประวัติศาสตร์ชาติสเปนก็จะปิดแล้ว เราสองคนก็เลยตัดสินใจว่าจะเดินเล่นรอบๆนอกเพียงอย่างเดียว เพราะเข้าไปข้างในก็คงไม่คุ้มค่า จากนั้นผมก็พาฮาบีเดินวนลงมาทาง Museo De Santa Cruz เพื่อที่จะได้ไปยืนดูวิวรอบๆเมืองจากด้านบนด้วยกัน
                พอถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว ผมก็พาฮาบีมาที่มหาวิหารสไตร์โรมันคาทอลิคของโตเลโด เห็นเขาว่ากันว่าข้างในสวยงามมากๆ แต่เพราะตอนนี้แสงอาทิตย์ก็เริ่มจะลาลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆแล้ว เราสองคนจึงไม่มีเวลาแวะเข้าไปชื่นชมความสวยงามดังกล่าว

                 ไม่นานแสงไฟก็ค่อยๆสว่างไสวขึ้นทีละดวง ขณะที่ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีส้มอมแดง ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับเราสองคนเดินมาถึงหน้าสถานีรถไฟกันแล้ว แต่เพราะว่าผมยังอยากจะไปจุดชมวิวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศสุดท้ายก่อน ทริปในวันนี้จึงยังไม่จบลงง่ายๆ
                จากจุดชมวิวที่เรากำลังยืนอยู่นี้ สามารถมองเห็นพระราชวังที่ตั้งตระหง่านละขอบฟ้าอยู่ไกลๆ ขณะที่โดยรอบก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนทรงสีเหลี่ยมแปลกๆตามากมาย ซึ่งแต่ละบ้านก็ค่อยๆพากันเปิดไฟสว่างไสวราวกับเกลียวคลื่นไล่ระดับ จึงทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้ามันคล้ายคลึงกับภาพฝัน

                “ถ่ายรูปให้หน่อยสิ” ผมส่งโทรศัพท์มือถือไปให้ฮาบี จากนั้นก็ยืนหันหลังให้ช่างกล้องมือสมัครเล่น

                แชะ!
               
                “มา! เดี๋ยวพี่ถ่ายให้เราบ้าง” ผมแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่าย พร้อมกับยกยิ้ม
                “ฮาบี” พออีกฝ่ายส่งโทรศัพท์ให้ผมและเดินตรงไปยังจุดที่เมื่อครู่ผมยืนอยู่ ผมก็ร้องเรียกฮาบีเบาๆ จากนั้นฮาบีก็ค่อยๆหันมาหาผม ฝ่ามือข้างที่ว่างก็ตรงเข้าไปกอบกุมกับฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว

                แชะ!

                “เรียบร้อย~” ผมยิ้มร่า ขณะที่ฮาบีกำลังงุนงงแต่ก็ยอมเดินตามผมมาที่รถแท็กซี่ จากนั้นเราสองคนต่างก็พากันเข้าสู่ห้วงแห่งภวังค์ของตัวเอง โดยที่ผมกำลังนั่งแต่งรูปที่เพิ่งถ่ายมาเมื่อครู่ ขณะที่ฮาบีก็นั่งหลับสัปหงกตลอดทาง เพราะเนื่องจากวันนี้เราสองคนทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะยังมาเที่ยวเล่นกันมืดค่ำอีก
                ด้วยความที่เรานั่งแท็กซี่กลับมายังตัวเมืองมาดริด จึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางไม่มากนักก็ถึงโรงแรม ก็เลยประจวบเหมาะกับเพื่อนๆร่วมสายงานที่กำลังจะออกไปท่องราตรีเข้าพอดี เราจึงหยุดทักทายกันนิดหน่อย

                “เพิ่งกลับมาเหรอวะ?
                “เออ” ผมพยักหน้าตอบไอ้อิมราน พลางหันไปยิ้มให้กับอาเมียร์ที่วันนี้กลายเป็นสาวเปรี้ยวขึ้นมากะทันหัน ซึ่งภาพลักษณ์แบบนี้ไม่ค่อยจะได้เห็นกันง่ายๆนักหรอก เพราะสาวๆเมืองแขกเขาต้องสวมอบายะห์และฮิญาบตามขนบธรรมเนียมประเพณี

                “ว่าแต่ไปไงมาไงถึงได้ฉายเดี่ยวล่ะครับ คุณอาเมียร์?” ผมถามเธอด้วยความสงสัย เพราะปกติเธอจะชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนนางแบบที่เป็นแฟนกับไอ้อิมรานนี่แหละ
                “” เธอไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยิ้ม สร้างความสงสัยจนผมต้องหันไปมองไอ้อิมรานด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม

                ทะเลาะกันพออ่านปากของเพื่อนได้ ผมก็พยักหน้าเข้าใจ พลางออกปากขอตัวเข้าห้อง เพราะดูท่าทางแล้วอีกไม่นานฮาบีคงจะได้ยืนหลับอยู่ตรงนี้ เพราะเขาเริ่มจะฟังที่เราพูดคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างซะแล้ว
                คิดแล้วก็เสียดายที่ฮาบีได้เรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์แค่แป๊บเดียว..

                แต่ก็ช่างเถอะ เดี๋ยวสายการบินก็จะมีการเรียนปรับพื้นฐานในเรื่องนี้ให้กับชาวต่างชาติอยู่ดี เห็นว่าน่าจะเปิดคลาสสักเดือนหน้า ช่วงนั้นเราอาจจะต้องเบสที่ดูไบบ่อยๆ ซึ่งผมก็มั่นใจว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมมั่นใจว่าเราสองคนวางตัวได้ดีในที่สาธารณะระดับนึงเลยนะ
                และเมื่อคิดหาทางออกจนสบายใจแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวาง ไม่นานเราสองคนก็ก้าวเดินมาจนถึงหอพักกันสักที

                “อะไรของพี่ครับ?” หลังจากที่ฮาบีเดินเข้าไปโยนข้าวของวางไว้บนเตียงเสร็จ เขาก็หันมาเจอผมที่กำลังยืนหลับตาและทำปาจู๋รอเขาอยู่ เจ้าตัวดีก็ถึงกับสักถามแกมขำขัน ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมต้องการอะไร
                คนเราสัญญาต้องเป็นสัญญานะ
               
                “จูบไง เราสัญญากันแล้วว่ากลับห้องจะจูบกัน” ผมตอบหน้าตาย
                “ครับๆ หลับตาก่อน” อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลง พลางออกคำสั่งที่ผมต้องยอมทำตาม จากนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นตรงริมฝีปาก แต่ก็เพียงแค่แป๊ปเดียว

                “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ฮาบีเขาบอกอย่างนั้น แล้วก็เดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางและหยิบจับเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนในคืนนี้ออกมา ส่วนผมก็ได้แต่มองตามอีกฝ่ายราวกับวิญญาณยังเข้าร่างไม่เต็มที่
                “ไม่ใช่จูบแบบนี้สิฮาบี โธ่” กว่าจะทักท้วงอะไรได้ อีกฝ่ายก็หายตัวเข้าห้องน้ำไปแล้ว

                ให้ตายเถอะ นี่โจวคยูฮยอนเสียรู้ให้แฟนตัวเองงั้นเหรอ?


 ----------------------------------------------------------------------

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ toledo night
Puente de Sab Martin

สำหรับตอนนี้เราแต่งค้างไว้นานมากแล้ว แต่ไม่สามารถเขียนได้ตั้งแต่เครียดก็ลากยาวมาถึงตอนนี้เลยค่ะ มันเลยกลายเป็นตันไปเลย แถมเนื้อหาก็ยากต่อการหาข้อมูลและจินตนาการอีก ดิ่งเลยจ้า กำลังพยายามเคาะสนิมอยู่ค่ะ ฮือ คาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีเลิฟซีนนะคะ เพราะว่าไม่น่าจะเขียนได้ เพราะตอนปกติยังต้องเข็นจนเหนื่อยเลย 555
อยากให้ 13 ตอนจบแต่จะได้มั้ย ไม่แน่ใจ แหะๆ ฟิคเรื่องนี้ก็ใช้เวลาแต่งนานกว่าเรื่องอื่นไปอีก ฮืออ ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอยู่นะคะ บางทีทุกคนอาจจะต้องเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรกรึเปล่า 555 T^T