เพาะรัก ✈
Special
by Kyuhyun 12 ✈
พอได้เริ่มใช้ชีวิตในแบบฉบับของลูกเรือจากสายการบินอาหรับที่มีเดสทิเนชั่นทั่วโลก
การอดหลับอดนอนก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันดี ฮาบีเขาเองก็ปรับตัวเก่ง
จำได้ว่าไฟล์ทแรกที่เริ่มทำงานอย่างเต็มตัว
พี่เลี้ยงหลายต่อหลายคนต่างชื่นชมน้องใหม่ไฟแรงเป็นทิวแถว คอมเม้นต์ต่างๆถูกเขียนลงสมุดบันทึกในทิศทางที่ดี
จนผมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ถึงกับยกยิ้มจนแก้มปริ
อันที่จริงถึงไฟล์ทของเราส่วนใหญ่จะหนักไปทางโซนยุโรป
แต่เราก็ต้องบินกลับมาเบสดูไบอยู่ดี และจนป่านนี้ผมก็ยังไม่ทราบว่าคุณพ่อกับคุณแม่จะได้รับโปสการ์ดที่เราส่งไปให้หรือยัง
เพราะว่าผมไม่มีเวลาจะไปติดตามผลงานใดๆทั้งสิ้น ในเมื่อตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมกับฮาบีต้องไปทำงานทุกวันแบบไม่มีวันหยุด
ที่สำคัญผมเลือกจะส่งโปสการ์ดใบแรกจากทุกประเทศไปให้คุณพ่อที่สำนักงานของอุทยานรักษาพันธุ์สัตว์ทะเลทราย
ส่วนโปสการ์ดใบที่สองจากทุกประเทศ ผมเลือกจะส่งไปที่สำนักงานใหญ่ของสายการบิน
เพื่อที่ทางฝ่ายบุคคลจะได้แยกไปให้กับพี่อารา
และพี่อาราจะได้ส่งต่อให้กับคุณแม่โซเฟียที่ตอนนี้พักอยู่กับคุณแม่ของพี่ชะรีฟ
“คุณคยูฮยอนคะ
มีจดหมายถึงคุณค่ะ ไปรับได้ที่ mail
box ข้างๆออฟฟิศของฝ่ายบุคคลเลยนะคะ”
ผมกับฮาบีที่วันนี้มีคิวทำไฟล์ท กำลังเช็คอินน์ผ่านระบบตู้เช็คอินน์อัตโนมัติตรงหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ
คุณอารึมเจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับส่วนหน้า สัญชาติเกาหลีจึงร้องทักขึ้น เพราะหลายวันก่อนผมได้ฝากให้เธอช่วยดูจดหมายให้
“ขอบคุณนะครับ”
ผมยกยิ้มพลางขอบคุณเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาขณะที่สมองก็เริ่มคำนวณเวลา ว่าเราจะสามารถไปรับจดหมายก่อนจะทำการบรีฟงานได้หรือไม่
“เหลือเวลาอีกสิบห้านาที
วิ่งขึ้นบันไดเอาแล้วกัน” ผมหันไปบอกฮาบีที่กำลังล็อคเอาท์ออกจากระบบ
“ฝากกระเป๋าหน่อยนะครับ”
แล้วผมก็ลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กสำหรับลูกเรือทั้งสองใบมาวางไว้ข้างๆเคาน์เตอร์ต้อนรับ
จากนั้นก็รีบวิ่งไปคว้าข้อมือของฮาบีที่เพิ่งจะผละออกจากตู้เช็คอินน์อัตโนมัติด้วยความเร่งรีบ
เพื่อมุ่งตรงไปยังบันไดทางขวามือสุด
ตึก
ตึก ตึก
จังหวะการย่ำเท้าของเราสองคน
เอาแต่ดังสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งหัวใจก็พลอยจะสั่นรัวไปด้วย เพราะเราต่างก็ใช้พละกำลังไปอย่างมากมาย
กระทั่งมาถึงตู้จดหมายที่ทางฝ่ายบุคคลจะเป็นคนนำมาหยอดตามช่อง
ซึ่งแต่ละช่องจะแบ่งเป็นช่องรับจดหมายของพนักงานด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวแรกของชื่อ
“ให้ตายสิ! มีแต่จดหมายแจ้งเรื่องค่าน้ำ ค่าไฟ
ค่าโทรศัพท์ทั้งนั้น” หลังจากเลือกจดหมายในกองของตัว K มาพักใหญ่ ในที่สุดก็เจอจดหมายเจ้าปัญหา แต่ปรากฏว่าผู้ส่งไม่ใช่คนที่ผมรอคอย
ความผิดหวัง ความกังวลก็เริ่มถาโถมเข้ามา
“รอบนี้เราจะบินไปมาดริด
บางทีท่านอาจจะชอบเรื่องเล่าของเราจากเมืองนี้ก็ได้นี่ครับ” ฮาบีเขาบีบฝ่ามือของผมเล็กน้อย
เพื่อดึงให้หลุดออกจากความคิดของตัวเอง
จากนั้นเจ้าตัวก็รีบพูดจาปลอบใจจนผมอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
“นั่นสิเนอะ”
ผมฝืนยิ้มพลางจูงมือฮาบีเพื่อวิ่งลงบันไดไปข้างล่าง เพราะตอนนี้มันใกล้เวลาจะบรีฟงานทุกทีแล้ว
ไฟล์ทนี้ผมได้บินพร้อมกับไอ้อิมรานด้วยความบังเอิญ
เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกเราจะไม่ค่อยได้คุยเรื่องตารางการบินของตัวเองให้เพื่อนในกลุ่มฟังสักเท่าไหร่
อารมณ์ก็จะประมาณว่า ถ้าพวกมึงไม่ถาม กูก็จะไม่บอก ทำให้มารู้อีกทีก็ตอนที่เข้าห้องบรีฟไปแล้ว
ที่สำคัญไฟล์ทนี้ยังมีแขกคนสำคัญของมันบินมาเที่ยวอีก เราสองคนก็เลยตกลงกันว่าจะต่างคนต่างไปเที่ยวกับคนของตัวเอง
โดยผมจะขอแยกตัวไปกับฮาบี ทันทีที่นำกระเป๋าไปเก็บที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว เพราะเรามีเวลาเที่ยวเพียงแค่ครึ่งวันของวันนี้
และอีกครึ่งวันของพรุ่งนี้
ดังนั้นทริปนี้ผมจึงวางแผนไว้ว่า
ผมจะต้องพาฮาบีไปท่องเที่ยวในโลกประวัติศาสตร์ในแบบที่ผมชอบให้ได้
ซึ่งสเปนก็มีแหล่งวัฒนธรรมที่น่าสนใจอยู่แห่งนึง ผมเคยมาเซอร์เวย์เมื่อปีก่อน แต่ยังเดินไม่ทั่วเพราะโตเลโดเป็นเมืองที่มีเส้นทางที่สลับซับซ้อน
เพราะเนื่องจากเมืองโบราณแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของสเปน
จึงทำให้ไม่มีการวางผังเมืองที่ดีนัก นักท่องเที่ยวหลายคนจึงมักจะหลงทางกันเป็นแถว
ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น แต่ตอนนี้โชคดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีมันก้าวหน้าไปมาก
ฉะนั้นภายในเวลาอันน้อยนิดนี้
ต่อให้ร่างกายจะย่ำแย่ ผมก็จะขอเที่ยวให้สาแก่ใจ
“เราจะออกไปกันเลยเหรอครับ ?” หลังจากนำกระเป๋ามาเก็บบนห้องแล้ว
ผมก็รีบกุลีกุจอรุนหลังฮาบีให้ออกจากห้อง
จนอีกฝ่ายนึกแปลกใจที่ผมดูจะกระตือรือร้นกับทริปนี้มากเป็นพิเศษ
“ไปเลยสิ เวลาเรามีน้อยนะ!”
ผมพูดขณะที่สายตาก็จับจ้องตัวเลขภายในลิฟต์ที่กำลังเลื่อนลำดับน้อยลงเรื่อยๆอย่างใจจดใจจ่อ
“แล้วถ้าเกิดตอนนี้ผมง่วงจนไปเที่ยวกับพี่ไม่ไหวล่ะครับ?” ฮาบีเขาย้อนถาม
“ก็.. เอ่อ.. คุณอยากนอนพักเหรอ?” พอได้ยินคำถามในเชิงน่าสงสาร ท่าทางของผมก็ค่อยๆสลดลง ความกระตือรือร้นอยากจะไปโตเลโดแทบเหลือศูนย์
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นพี่ไม่ไปโตเลโดแล้วก็ได้” ผมตอบเสียงอ่อย
พลางมองตัวเลขอาราบิคด้วยความใจหาย
เพราะอีกเดี๋ยวผมก็คงจะต้องกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นที่พักอยู่ดี
“แต่อันที่จริง
ผมก็เริ่มจะชินกับการไม่ต้องนอนพักแล้วนะครับ” ฮาบีเขาตอบพลางยกยิ้ม
“เราไม่ต้องเอาใจพี่นักก็ได้นะ”
“ถ้ามัวแต่นอน
มันก็น่าเสียดายอยู่นะครับ” ฮาบีเขาว่าพลางยกยิ้มจนเต็มแก้ม
“ใช่ไหมล่ะ
ถ้าคุณมัวแต่นอน คุณก็จะพลาดการไปเดินเล่นที่เมืองโบราณเชียวนะ”
ผมว่าอย่างกระตือรือร้น
“พอเป็นเมืองที่มีหลักฐานทางโบราณคดีหรือพวกวัฒนธรรมอะไรทำนองนี้
พี่จะดูเหมือนเด็กที่กำลังจะได้ออกไปทัศนศึกษาทุกทีเลย
แต่พอเป็นเมืองที่มีแต่พวกธรรมชาติกับความทันสมัย พี่จะชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้อง
กว่าจะยอมออกมาเที่ยวก็ช่วงเย็นๆค่ำๆตลอด”
“รู้ดีนะเรา”
ผมขยี้หัวฮาบีอย่างหมั่นเขี้ยว
“รอบนี้เราต้องเขียนโปสการ์ดเป็นสิบๆใบแน่”
พอขึ้นมานั่งบนรถไฟใต้ดินได้ ฮาบีก็เริ่มหยอกผมกลับบ้าง
“หมายถึงเราเขียนแปด
พี่เขียนสองน่ะเหรอ” ผมย้อนถามหน้าตาย
“มั่วแล้วครับ
พี่ต่างหากที่เขียนเก้าแล้วผมเขียนหนึ่ง”
“เชื่อตายเลย
ใครนะตอนเขียนครั้งแรกบอกเขียนไม่เก่ง
แต่พอครั้งหลังๆเขียนเล่านู่นเล่านี่เยอะแยะไปหมด แถมยังเล่าซ้ำกันอีก
พ่อกับแม่คงคิดว่าเราแอบลอกกันแน่ๆ” ผมโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ คือแรกเริ่มเดิมที
ฮาบีเขาเคยเสนอไอเดียว่าให้เราเขียนโปสการ์ดแบบที่ต้องแลกกันอ่าน
ประมาณว่าประเทศแรกเขียนให้คุณพ่อก่อน พอประเทศต่อมาก็เขียนให้แม่สลับกันไป
แต่ผมมานึกๆดูแล้ว การเขียนแบบนั้นมันคงไม่ชักจูงให้พวกท่านทำตามความคิดของเราเท่าไหร่หรอก
เผลอๆพวกท่านอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโปสการ์ดของเรามันเป็นแบบทูบีคอนตินิว
ผมจึงเปลี่ยนไอเดียให้เราเขียนคนละใบ ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็ต้องไปสลับกันอ่าน
“ผมไม่ได้ลอกสักหน่อย
จะหาเรื่องกันเหรอครับ”
“ช่วยไม่ได้
ก็เราอยากทำตัวน่าแกล้งทำไม” ผมย้อนหน้าตาย เลยถูกฮาบีหยิกแขนเข้าให้ กว่าจะยอมปล่อยก็ตอนมาถึงสถานี
Madrid Atocha แล้วนั่นแหละ
จากนั้นพวกเราก็พากันเดินไปดูบอร์ดแสดงรายการ การเดินทางว่าชานชาลาสำหรับรอรถไฟเพื่อไปโตเลโดอยู่หมายเลขที่เท่าไหร่
เมื่อได้คำตอบเราก็รีบไปยังจุดจำหน่ายตั๋วแล้วก็มุ่งตรงไปยังจุดดังกล่าว
การเดินทางจากกรุงมาดริดมายังโตเลโด ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
แต่เนื่องจากแผนการเที่ยวของผมจะเริ่มจากจุดที่ไกลที่สุด เราจึงต้องนั่งแท็กซี่จากสถานีรถไฟไปยังเมืองโบราณในจุดสูงสุด
ทำให้ระหว่างเดินทางเราสามารถมองวิวสองข้างทางได้อย่างเพลิดเพลิน
ที่สำคัญแท็กซี่เขาจะพาเราไปยังจุดชมวิวที่เป็นเนินสูงริมแม่น้ำที่อยู่ตรงข้ามกับตัวเมืองด้วย
ถือว่าการตัดสินใจนั่งแท็กซี่คราวนี้ผมคิดถูกนะเลยทำให้ทริปนี้ให้อารมณ์คนละแบบกับทริปเมื่อปีก่อน
“สวยจังครับ
มีแม่น้ำล้อมรอบเมืองด้วย” ฮาบีชะโงกหน้าข้ามตัวผม เพื่อมาดูวิวของเมืองโตเลโดที่อยู่ทางขวามืออย่างสนอกสนใจ
ทำให้ผมที่กำลังเพลิดเพลินกับความงดงามในแบบที่ชื่นชอบ
ต้องมาเสียสมาธิเพราะใครบางคนที่เข้ามาใกล้ชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆบนเนินเขานั่นไหม”
ผมถามพลางชี้ชวนให้อีกฝ่ายดู
“นั่นน่ะเป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ในช่วงนั้นล่ะ
เป็นการวางผังเมืองที่น่าทึ่งดีเนอะ เพราะจากความสูงขนาดนั้นมันทำให้คนในพระราชวังมองเห็นข้าศึกก่อนใคร
แถมกว่าข้าศึกจะบุกมาจนถึงตัวพระราชวังได้ก็คงยาก เพราะผังเมืองเขาออกแบบมาได้สลับซับซ้อนขนาดนั้น.. ให้อารมณ์เหมือนเขาวงกตเลยล่ะ
แถมพี่ยังเคยเดินหลงอยู่ในนี้เป็นวันๆเลยด้วย”
“หวังว่าทริปนี้เราคงจะได้กลับไปนอนที่โรงแรมนะครับ”
ฮาบีเขาพูดหยอกพลางหันมายกยิ้มให้ผมจนตาปิด จากนั้นก็หันไปมองวิวข้างทางเหมือนเดิม
โดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมกลับไปนั่งในท่าทางปกติง่ายๆ
“หายห่วงเถอะ
รอบนี้พี่ดาวน์โหลดแผนที่มาพร้อมละ ไหนจะมี GPS คอยนำทางอีก สบาย~”
สิ้นประโยคสุดท้าย
เราต่างคนต่างก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่ เพราะเมื่อครู่จู่ๆฮาบีเขาก็หันหน้ามาหาผม จึงทำให้ปลายจมูกของเราชนกันเล็กน้อย
เนื่องจากใบหน้าของผมดันเผลอขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไร้การควบคุม
“คิดถึงจูบของเราจัง”
ผมพูดขึ้นเบาๆ พลางท้าวข้อศอกกับขอบหน้าต่างและหันหน้าไปมองวิวข้างทางที่ไม่ได้สนใจมาพักใหญ่
“เหมือนกันครับ
แต่จูบกันตอนนี้คงไม่ดีมั้ง” ฮาบีเขาว่าพลางหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง
ทั้งๆที่ตัวเขาก็ยังชะโงกหน้า เกาะขอบกระจกผ่านช่วงตัวของผมอยู่ดี
“ไว้เราค่อยจูบตอนกลับห้องแล้วกัน”
“อ่าฮะ”
แท็กซี่พาเรามาดรอปไว้ตรง
Puente de Sab Martin
ซึ่งก็คือประตูเมืองทางด้านทิศตะวันตก ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่เมืองแห่งเขาวงกต
และในจุดที่เรากำลังยืนอยู่นี้ จะเห็นอาราม Monasterio De San Juan อยู่บนเนินสูงทางด้านทิศตะวันตกของมหานครแห่งประวัติศาสตร์อย่างโตเลโด
“จริงๆแล้วโตเลโดเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ์สเปนในสมัยโบราณมาก่อนล่ะ”
ผมเดินกอดคอกับฮาบีไปเรื่อยๆ พลางเล่าถึงเรื่องราวที่ผมเคยอ่านจากในหนังสือที่เคยซื้อเก็บไว้ให้เขาฟัง
“แต่เพราะว่าชาวมัวที่เป็นมุสลิมจากแอฟริกาเหนือ
ได้เข้ามายึดครองคาบสมุทรไอบีเรีย
เลยทำให้โตเลโดกลายเป็นเมืองที่ผสมผสานอารยธรรมเอาไว้ถึงสามเชื้อชาติ คือ คริสต์
มัว แล้วก็ยิว”
“…”
“ของฝากสำหรับที่นี่จะเป็นพวกอาวุธที่เคยใช้กันในสมัยก่อน
เพราะว่าแต่ก่อนโตเลโดมีการทำสงครามแย่งชิงเมืองกันบ่อย ก็เลยมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำอาวุธ
เขาก็เลยเอาตรงนั้นมาเป็นจุดเด่นของเมืองนี้ในโลกปัจจุบัน
แต่ก็ใช่ว่าที่นี่จะไม่มีของฝากอย่างอื่นขายเลย จริงๆมันก็มีหลายแบบอยู่เหมือนกัน”
“พี่เหมือนไกด์นำเที่ยวเลยครับ
เอนกประสงค์จริงๆ” ฮาบีเขาพูดแกมหยอก
พลางเอื้อมมือมาจับฝ่ามือของผมที่วางละอยู่ตรงลาดไหล่ของเขา
ทำให้ตอนนี้มันกลายเป็นว่าเราสองคนแอบจับมือกันในลักษณะที่จะว่าเนียนมันก็คงเนียน
แต่จะว่าไม่เนียน มันก็ไม่เนียนแบบเห็นได้ชัด
“พี่ก็เล่าได้เฉพาะสถานที่ๆ
ตัวเองสนใจน่ะแหละ ไม่ได้เอนกประสงค์ขนาดนั้น”
“ว่าแต่ฮาบี.. คุณมีความสุขอะไรนักหนา
ทำไมทริปนี้ถึงยิ้มบ่อยจัง”
“พี่ก็ด้วยนะ
ยิ้มบ่อยมาก ยิ้มอะไรนักหนาครับ?”
“สงสัยเพราะได้มาเที่ยวในที่ที่สนใจล่ะมั้ง”
ผมตอบพลางเขกหัวเจ้าเด็กมือใหม่หัดทะเล้น
“แต่ที่ผมมีความสุข
เพราะที่นี่เป็นที่แรกที่ผมกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง”
“ถ้างั้นที่พี่มีความสุขจนยิ้มออกมาเยอะๆ
คงจะเป็นเหตุผลเดียวกันล่ะมั้ง”
ผมหัวเราะพลางก้าวเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยมากมาย
ทำให้ผู้คนที่เคยเดินอยู่รอบๆตัวเรา ค่อยๆแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง เราสองคนเลยมีเวลาส่วนตัวขึ้นมาบ้าง
“ว่าแต่เราหิวหรือยัง?”
“ก็เริ่มหิวๆแล้วนะครับ”
“เดี๋ยวลงไปข้างล่างอีกพักนึงก็เจอร้านอาหารแล้วล่ะ”
ผมบอกฮาบีขณะที่สายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์เพื่อศึกษาแผนที่ของเมืองนี้คร่าวๆอีกครั้ง
พร้อมกับเปลี่ยนมาเปิดโหมด GPS
ไปด้วยจะได้อุ่นใจเพิ่มขึ้นอีก
เราสั่งข้าวผัดปาเอลย่ามาทานด้วยกัน
เพราะเขาเสิร์ฟเป็นกะทะๆ แถมยังมีปริมาณเยอะมากๆอีก
สำหรับเมนูนี้จะเน้นไปที่ข้าวและอาหารทะเลตัวใหญ่ๆ ให้อารมณ์เหมือนตอนที่เราเอาข้าวลงไปผัดกับน้ำแกงที่เรากินเหลือ
แล้วก็ใส่กุ้ง หอย ปู ปลานั่นแหละ
รสชาติรวมๆก็ถือว่าถูกปากพอสมควร
หลังจากทานมื้อใหญ่กันไปแล้ว เราสองคนก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวัง Alcazar
of Toledo ที่อยู่ในจูงสูงสุดของเมือง แต่เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีพระราชวังที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านการสงครามทหารและประวัติศาสตร์ชาติสเปนก็จะปิดแล้ว
เราสองคนก็เลยตัดสินใจว่าจะเดินเล่นรอบๆนอกเพียงอย่างเดียว
เพราะเข้าไปข้างในก็คงไม่คุ้มค่า จากนั้นผมก็พาฮาบีเดินวนลงมาทาง Museo De
Santa Cruz เพื่อที่จะได้ไปยืนดูวิวรอบๆเมืองจากด้านบนด้วยกัน
พอถ่ายรูปกันจนหนำใจแล้ว
ผมก็พาฮาบีมาที่มหาวิหารสไตร์โรมันคาทอลิคของโตเลโด
เห็นเขาว่ากันว่าข้างในสวยงามมากๆ แต่เพราะตอนนี้แสงอาทิตย์ก็เริ่มจะลาลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆแล้ว
เราสองคนจึงไม่มีเวลาแวะเข้าไปชื่นชมความสวยงามดังกล่าว
ไม่นานแสงไฟก็ค่อยๆสว่างไสวขึ้นทีละดวง
ขณะที่ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีส้มอมแดง
ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับเราสองคนเดินมาถึงหน้าสถานีรถไฟกันแล้ว
แต่เพราะว่าผมยังอยากจะไปจุดชมวิวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศสุดท้ายก่อน
ทริปในวันนี้จึงยังไม่จบลงง่ายๆ
จากจุดชมวิวที่เรากำลังยืนอยู่นี้
สามารถมองเห็นพระราชวังที่ตั้งตระหง่านละขอบฟ้าอยู่ไกลๆ
ขณะที่โดยรอบก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนทรงสีเหลี่ยมแปลกๆตามากมาย
ซึ่งแต่ละบ้านก็ค่อยๆพากันเปิดไฟสว่างไสวราวกับเกลียวคลื่นไล่ระดับ
จึงทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้ามันคล้ายคลึงกับภาพฝัน
“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”
ผมส่งโทรศัพท์มือถือไปให้ฮาบี จากนั้นก็ยืนหันหลังให้ช่างกล้องมือสมัครเล่น
แชะ!
“มา! เดี๋ยวพี่ถ่ายให้เราบ้าง”
ผมแบมือขอโทรศัพท์จากอีกฝ่าย พร้อมกับยกยิ้ม
“ฮาบี”
พออีกฝ่ายส่งโทรศัพท์ให้ผมและเดินตรงไปยังจุดที่เมื่อครู่ผมยืนอยู่
ผมก็ร้องเรียกฮาบีเบาๆ จากนั้นฮาบีก็ค่อยๆหันมาหาผม
ฝ่ามือข้างที่ว่างก็ตรงเข้าไปกอบกุมกับฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว
แชะ!
“เรียบร้อย~” ผมยิ้มร่า
ขณะที่ฮาบีกำลังงุนงงแต่ก็ยอมเดินตามผมมาที่รถแท็กซี่
จากนั้นเราสองคนต่างก็พากันเข้าสู่ห้วงแห่งภวังค์ของตัวเอง โดยที่ผมกำลังนั่งแต่งรูปที่เพิ่งถ่ายมาเมื่อครู่
ขณะที่ฮาบีก็นั่งหลับสัปหงกตลอดทาง
เพราะเนื่องจากวันนี้เราสองคนทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว
ไหนจะยังมาเที่ยวเล่นกันมืดค่ำอีก
ด้วยความที่เรานั่งแท็กซี่กลับมายังตัวเมืองมาดริด
จึงทำให้ใช้เวลาในการเดินทางไม่มากนักก็ถึงโรงแรม ก็เลยประจวบเหมาะกับเพื่อนๆร่วมสายงานที่กำลังจะออกไปท่องราตรีเข้าพอดี
เราจึงหยุดทักทายกันนิดหน่อย
“เพิ่งกลับมาเหรอวะ?”
“เออ” ผมพยักหน้าตอบไอ้อิมราน
พลางหันไปยิ้มให้กับอาเมียร์ที่วันนี้กลายเป็นสาวเปรี้ยวขึ้นมากะทันหัน
ซึ่งภาพลักษณ์แบบนี้ไม่ค่อยจะได้เห็นกันง่ายๆนักหรอก เพราะสาวๆเมืองแขกเขาต้องสวมอบายะห์และฮิญาบตามขนบธรรมเนียมประเพณี
“ว่าแต่ไปไงมาไงถึงได้ฉายเดี่ยวล่ะครับ
คุณอาเมียร์?”
ผมถามเธอด้วยความสงสัย
เพราะปกติเธอจะชอบไปไหนมาไหนกับเพื่อนนางแบบที่เป็นแฟนกับไอ้อิมรานนี่แหละ
“…” เธอไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยิ้ม
สร้างความสงสัยจนผมต้องหันไปมองไอ้อิมรานด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม
‘ทะเลาะกัน’ พออ่านปากของเพื่อนได้
ผมก็พยักหน้าเข้าใจ พลางออกปากขอตัวเข้าห้อง
เพราะดูท่าทางแล้วอีกไม่นานฮาบีคงจะได้ยืนหลับอยู่ตรงนี้ เพราะเขาเริ่มจะฟังที่เราพูดคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างซะแล้ว
คิดแล้วก็เสียดายที่ฮาบีได้เรียนภาษาอาราบิกกับมูนีร์แค่แป๊บเดียว..
แต่ก็ช่างเถอะ
เดี๋ยวสายการบินก็จะมีการเรียนปรับพื้นฐานในเรื่องนี้ให้กับชาวต่างชาติอยู่ดี
เห็นว่าน่าจะเปิดคลาสสักเดือนหน้า ช่วงนั้นเราอาจจะต้องเบสที่ดูไบบ่อยๆ
ซึ่งผมก็มั่นใจว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมมั่นใจว่าเราสองคนวางตัวได้ดีในที่สาธารณะระดับนึงเลยนะ
และเมื่อคิดหาทางออกจนสบายใจแล้ว
ผมก็เริ่มปล่อยวาง ไม่นานเราสองคนก็ก้าวเดินมาจนถึงหอพักกันสักที
“อะไรของพี่ครับ?” หลังจากที่ฮาบีเดินเข้าไปโยนข้าวของวางไว้บนเตียงเสร็จ
เขาก็หันมาเจอผมที่กำลังยืนหลับตาและทำปาจู๋รอเขาอยู่ เจ้าตัวดีก็ถึงกับสักถามแกมขำขัน
ทั้งๆที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าผมต้องการอะไร
คนเราสัญญาต้องเป็นสัญญานะ
“จูบไง
เราสัญญากันแล้วว่ากลับห้องจะจูบกัน” ผมตอบหน้าตาย
“ครับๆ
หลับตาก่อน” อีกฝ่ายพยักหน้าขึ้นลง พลางออกคำสั่งที่ผมต้องยอมทำตาม
จากนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มหยุ่นตรงริมฝีปาก แต่ก็เพียงแค่แป๊ปเดียว
“ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
ฮาบีเขาบอกอย่างนั้น
แล้วก็เดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางและหยิบจับเสื้อผ้าสำหรับใส่นอนในคืนนี้ออกมา
ส่วนผมก็ได้แต่มองตามอีกฝ่ายราวกับวิญญาณยังเข้าร่างไม่เต็มที่
“ไม่ใช่จูบแบบนี้สิฮาบี
โธ่” กว่าจะทักท้วงอะไรได้ อีกฝ่ายก็หายตัวเข้าห้องน้ำไปแล้ว
ให้ตายเถอะ
นี่โจวคยูฮยอนเสียรู้ให้แฟนตัวเองงั้นเหรอ?
----------------------------------------------------------------------
Puente de Sab Martin
สำหรับตอนนี้เราแต่งค้างไว้นานมากแล้ว
แต่ไม่สามารถเขียนได้ตั้งแต่เครียดก็ลากยาวมาถึงตอนนี้เลยค่ะ มันเลยกลายเป็นตันไปเลย
แถมเนื้อหาก็ยากต่อการหาข้อมูลและจินตนาการอีก ดิ่งเลยจ้า กำลังพยายามเคาะสนิมอยู่ค่ะ
ฮือ คาดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีเลิฟซีนนะคะ เพราะว่าไม่น่าจะเขียนได้
เพราะตอนปกติยังต้องเข็นจนเหนื่อยเลย 555
อยากให้ 13 ตอนจบแต่จะได้มั้ย ไม่แน่ใจ แหะๆ
ฟิคเรื่องนี้ก็ใช้เวลาแต่งนานกว่าเรื่องอื่นไปอีก ฮืออ ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอยู่นะคะ
บางทีทุกคนอาจจะต้องเริ่มอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรกรึเปล่า 555 T^T
[KyuMin Fic] Spe - เพ(ร)าะรัก ✈ 12