วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

Mistake



[Special] Pearl Farm – Kyuhyun Part (2)

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความเหนื่อยล้ามันสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ แม้แต่ความต้องการอันเกินขีดจำกัด แม่งก็จัดการซะอยู่หมัด เล่นเอากูหมดสภาพจนหลับคาอกไอ้มิสเทคแม่งเลย เสร็จก็ยังไม่เสร็จ มันน่าไหม ?
ชีวิตชาวเลอย่าคิดว่ามันจะสบายๆอย่างเดียวนะเว้ย คือแม่งต้องทำงานตากแดด ตากลม จนตัวดำ พอเจอทุกสิ่งที่ว่ามาแผดเผา ความเหนื่อยล้าแม่งก็เล่นงานได้ทันที นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ค่อยจะทรมานมากนักเวลาที่เอื้อมมือไปไขว่คว้าหาคนข้างกายแล้วไม่เจอ ..
เพราะกูเหนื่อยเกินกว่าจะขยับสารร่างของตัวเองอย่างกระเสือกกระสน
ชีวิตนายหัวไร้เมีย แม่งน่าสงสารนะเว้ย กูจะบอก ..

“เดี๋ยวกูจะเข้าเมือง มึงจะทำอะไรก็ตามสบาย ..” หลังจากทานมื้อเช้าที่มีเพียงแค่ขนมปังปิ้งและกาแฟร้อนๆจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวและบอกจุดหมายปลายทางของตัวเองให้ไอ้มิสเทคมันรู้
“ซื้อของสดมาด้วยก็ดี ในตู้เย็นมึงไม่มีอะไรสักอย่าง ..” มิสเทคมันพยักหน้าพลางสั่งการยกใหญ่

“ปกติกูกินรวมกับคนงาน พวกของสดจะมีแม่บ้านคอยดูแล กูว่าไม่ต้องซื้อเข้ามาก็ได้มั้ง แต่ถ้าเป็นของแห้งอย่างอื่นค่อยบอกกูถ้ามึงอยากได้ .. ” ผมบอกพลางเดินไปสวมรองเท้าที่มันดูดีหน่อยตรงหน้าประตูบ้าน เพราะปกติเวลาอยู่ที่นี่ผมจะใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนและรองเท้าแตะ
“แม่บ้าน ?” มิสเทคมันเดินมายืนส่งผมอยู่ตรงหน้าประตู

“อืม .. ป้าแจวอนที่ประจำอยู่สำนักงานใหญ่น่ะ แกขอย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว เห็นว่าเกาะนี้ป้าแกเป็นคนแนะนำให้พี่กูนะ ..” ผมตอบไขข้อสงสัยให้ไอ้มิสเทคที่กำลังทำหน้ายุ่ง
“ทำไม ? มึงหึงหรือไง คงจะคิดล่ะสิว่ากูมีแม่บ้านสาวๆสวยๆมาทำความสะอาดให้น่ะ ..” ผมล็อคใบหน้าของมันให้มองจ้องผมตรงๆ พลางถามอย่างหยอกเย้า

“มั่วแล้วไอ้สัส มึงจะเข้าเมืองก็รีบไปเลยไป ..” มิสเทคมันตีฝ่ามือของผม แล้วก็ออกปากไล่
“น่ารัก ” ผมจ้องตามัน แล้วก็รีบหอมแก้มมันไปฟอดใหญ่ เพราะผมมองออกว่ามันหึงผม

“จริงๆแม่บ้านที่ดูแลบ้านกูที่โซลก็สาวอยู่นะ สวยด้วย .. แถมเขายังรู้ว่ากูเป็นถึงน้องชายของเจ้าของบริษัทก่อนมึงด้วย ..” ตอนนี้ผมเดินออกมาข้างนอกตัวบ้านแล้ว แต่ผมก็ยังไม่วายจะเปิดประตูและแง้มใบหน้าเข้าไปในตัวบ้าน เพื่อแหย่ไอ้มิสเทคมันเล่น ..
” มิสเทคมันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู พลางกุมข้างแก้มของตัวเองอย่างน่ารัก แต่พอผมพูดแกล้งเย้าแหย่มันให้หึงเล่น มิสเทคมันก็ถึงกับไปไม่เป็นในทันที ..

“ไหนมึงบอกกูว่าเรื่องนี้ มีแค่เพื่อนมึงกับกูที่รู้ไง ..” มิสเทคมันถาม พลางทำหน้าแบบผิดหวังที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ แถมดวงตาของมันก็สั่นไหวอีกต่างหาก แย่แล้วกู แกล้งเมียจนเมียจะร้องละ ..
“มึงจำได้ ?” ผมย้อนถามแบบเหลือเชื่อ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ

“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมึง กูจำได้หมด .. ” มิสเทคมันตอบ พลางมองจ้องผม
“พี่กูเป็นคนหามาเว้ย แล้วก็ไม่ได้สาวไม่ได้สวยเหมือนที่กูพูดด้วย .. อีกอย่างกูไม่เคยประกาศตัวว่ากูเป็นใคร ฉะนั้นคนที่กูบอกก็มีแค่เท่าที่กูบอกกับมึงไปวันนั้น .. กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คิดมากนะเว้ย กูแค่แกล้งให้มึงหึงกูเฉยๆ เวลามึงหึง มึงดูรวนๆดี ..” ผมดึงมันเข้ามากอดไว้ เท่านั้นแหละ ไอ้มิสเทคแม่งหยิกเอวกูเลย

“สันดาน .. แม่ง!” มิสเทคมันผละออกจากอ้อมกอดของผม แล้วก็ดันตัวผมให้ออกจากบริเวณหน้าประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ..

ปัง! ปัง!

ผมทุบประตูอยู่หลายที เมื่อเรายังคุยกันไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะทุบให้มือเจ็บแค่ไหน ไอ้มิสเทคมันก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ผม
“กูอยากให้มึงรู้ไว้ ต่อให้มีผู้หญิงสาวและสวยแค่ไหนมาอยู่ใกล้ๆกู .. แต่คนเดียวที่กูจะสนใจก็คือมึง ..  มันเป็นแบบนี้มานานแล้วมิสเทค ..” ผมพูดอยู่ตรงหน้าประตู พลางลูบกระจกใสตรงบานประตูที่มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวปกป้องความเป็นส่วนตัวของคนด้านในเอาไว้ แต่คนข้างนอกก็ยังสามารถมองเห็นได้ลางๆ ถ้าหากว่าคนข้างในยังคงยืนอยู่ในรัศมีหน้าประตู ..

“กูไม่อยากรวนเพราะความหึง .. มึงอย่าทำแบบนี้อีก กูมันนิสัยไม่ดี กูชอบคิดเยอะ ทดสอบนู่นนั่นนี่ มึงสนุกกับการถูกกูปั่นหัวเหรอ ..” มิสเทคมันโต้ถามผมจากในตัวบ้าน ซึ่งผมที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้สามารถได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน เพราะเราห่างกันเพียงแค่ประตูหนาๆไม่กี่นิ้วเท่านั้น ..
“ขอแค่คนๆนั้นที่ปั่นหัวกูคือมึง .. กูก็ยอมทั้งนั้น ” ผมบอกไปตามความรู้สึก เพราะตลอดมา ผมไม่เคยโกรธเลยที่ผมถูกมันปั่นหัวจนแทบบ้า ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกว่ามันคือสีสันของชีวิตซะด้วยซ้ำ
ผมคงหลงมิสเทคมันมากจริงๆล่ะมั้ง
ผมถึงได้คิดบวกจนบวกออกไปนอกโลกขนาดนี้ ..

หลังจากเข้าเมืองเพื่อไปกดเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและเป็นทุนสำหรับการทำฟาร์มมุกเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมาที่บ้านเพื่อนำเงินมาใส่ไว้ในเซฟ ก็พบว่าไอ้มิสเทคมันออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักแห่งแล้ว เพราะมันทิ้งโน้ตบอกผมไว้แค่ว่า ออกไปเดินเล่น
ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรนัก เพราะเกาะมันก็เล็กแค่นี้ ไอ้มิสเทคมันคงไม่หลงไปไหนหรอก อีกอย่างวันนี้ผมยังต้องเรียนรู้งานอีกมาก แถมเป็นกรรมวิธีที่ยากเอาเรื่องซะด้วย ฉะนั้นผมไม่มีเวลาจะมาเถลไถลอีกแล้ว เพราะสองเดือนก่อนหน้านี้ ผมสับสนกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมานานพอแล้ว ในเดือนนี้ผมจึงต้องตั้งใจกับการเรียนรู้ในสิ่งที่ผมไม่ถนัดให้มากขึ้น ..

ช่วงนั้นที่ผมสับสนก็คือชนิดของหอยว่าแบบไหนสามารถให้ผลผลิตกับเราได้ แบบไหนไม่สามารถให้ผลผลิตกับเราได้ คือผมแยกไม่ออกจริงๆว่าหอยแต่ละชนิดมันแตกต่างกันยังไง แล้วรูปร่างแบบไหนถึงเรียกว่าหอยมุก คนธรรมดาห่างไกลจากชีวิตประมงอย่างผม ถ้าจะมองเห็นความแตกต่างก็ไม่พ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่แค่นั้น
และกว่าที่คุณคิมแรวอนจะอธิบายด้วยศัพท์ที่เป็นทางการได้ ก็เล่นเอาผมแทบแย่เหมือนกันนะ ..

ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะกับการลุยน้ำคาวและคลุกคลีอยู่กับของทะเลด้วยความรวดเร็ว จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้องทำงานของผมซึ่งเป็นทางผ่านสำหรับไปโรงเรือนที่ใช้ในการฝังนิวเคลียส ซึ่งก็อยู่ตรงกระชังพักฟื้นนั่นแหละ ..
“รอนานไหมครับ ?” ผมถามคุณคิมแรวอนอย่างเกรงใจ
“ไม่นานเท่าไหร่ครับ สบายมาก .. ไปกันเลยไหมครับ วันนี้รายละเอียดจะเยอะหน่อย ..” ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินตามคุณคิมแรวอนไปทางซ้ายมือ และเมื่อมาถึงสถานที่ทำงาน ผมก็ได้รับการทักทายอย่างอบอุ่นจากคนงานแทบจะทั่วทั้งบริเวณ หรือแม้แต่คนงานที่อยู่บนโรงเรือนเล็กสีขาวกลางน้ำที่กำลังทำความสะอาดกรงเพาะเลี้ยงหอยมุกก็ยังจะโบกมือทักทายผมอีก ผมก็เลยโบกมือทักทายกลับไป ..
แต่เดี๋ยวก่อน มิสเทคมึงไปนั่งทำเชี่ยอะไรที่เรือนกลางน้ำ ..

“คงไม่ต้องอธิบายตั้งแต่เริ่มแรกแล้วนะครับว่าทำไมหอยมุกที่ถูกคัดแยกมาที่โรงเรือนตรงนี้ถึงได้มีขนาดเท่าๆกัน” ผมพยักหน้ารับ เพราะผมจำได้ว่าทันทีที่เราได้พันธุ์หอยมา เราก็จะจัดการคัดแยกว่าหอยแบบไหนควรนำไปเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และหอยขนาดไหนที่ยังต้องรอเวลาในการเจริญเติบโต และหอยแบบไหนที่พร้อมต่อการฝังนิวเคลียสเพื่อทำผลผลิตให้เราต่อไป ..
“สำหรับการสอดใส่นิวเคลียส เราจะสอดใส่ได้ทั้งหมด 2 แห่งนะครับ คือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณระหว่างตับกับผิวของตัวหอย ..” คุณคิมแรวอนหยิบหอยมุกขนาดสมบูรณ์ต่อการฝังนิวเคลียสขึ้นมา พร้อมกับชี้ให้ผมดูว่าสองแห่งที่พี่เขาพูดถึงมันอยู่ตรงไหน

“ทำไมถึงต้องเฉพาะเจาะจงด้วยครับ ?” ผมถามอย่างสงสัย
“เพราะสองบริเวณนี้จะไม่ทำให้มันเกิดอาการระคายเคือง แล้วก็ไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตของมันด้วยครับ แต่การสอดใส่นิวเคลียสจะนิยมใส่ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่านะครับ แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่ว่าถ้าบริเวณนั้นมีไข่และอสุจิอยู่มาก ก็จะทำให้การสอดใส่ทำได้ยากและไม่เป็นผลดีนัก ฉะนั้นเวลาจะสอดใส่จะต้องทำตอนที่หอยมันเพิ่งจะวางไข่ใหม่ๆ เพราะบริเวณเนื้อเยื่อของมันจะอ่อนนุ่มทำให้การสอดใส่นิวเคลียสได้ผลดีที่สุด”

“แล้วแบบนี้มันจะควบคุมได้หรือครับ เพราะการผลิตมันก็ต้องผลิตอยู่ตลอดเวลา .. ถ้าต้องรอคอย ผมว่ามันจะทำให้บริษัทขาดทุนได้เหมือนกัน อีกอย่างกว่าจะได้ผลผลิตก็ต้องรอเป็นปี นี่ยังจะต้องรอให้มันหมดฤดูสืบพันธุ์ด้วย ?” ผมถามเพราะผมไม่รู้จริงๆ
“มันมีวิธีแก้ครับคุณคยูฮยอนไม่ต้องกังวล เราจะทำการกระตุ้นให้หอยปล่อยไข่และอสุจิในภาชนะทึบแสง” คุณคิมแรวอนนำผมไปดูสถานที่ที่ใช้เก็บภาชนะทึบแสงสำหรับเร่งให้หอยมุกอยู่ในเกณฑ์ที่พร้อมต่อการให้ผลผลิต ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของโรงเรือน เพราะการเก็บหอยมุกที่กำลังอยู่ในระยะสืบพันธุ์นั้นจะต้องหย่อนภาชนะทึบแสงลงในทะเลที่ระดับน้ำลึกกว่าปกติ

“แต่ถ้าช่วงเมษาถึงพฤษภา เราจะสามารถยับยั้งการเจริญพันธุ์ของมันได้อีกวิธีนึงครับ คือเราจะต้องหย่อนภาชนะใส่หอยมุกให้อยู่ในระดับน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ”
“ฟังดูยากเหมือนกันนะครับ เพราะมันต้องใช้หลักวิชาการเข้ามาช่วย ..” ผมบอกกับคุณคิมแรวอนและทึ่งในความสามารถต่อการจดจำของพี่เขาด้วย เก่งขนาดนี้ไม่รู้ว่าพี่สาวผมไปค้นเจอที่มุมไหนของประเทศไทย แถมยังดึงตัวเขามาได้สำเร็จอีกต่างหาก ..
ความรักนี่มัน เหนือการคาดเดาได้ทุกอย่างจริงๆนะ ..

“ครับ เพราะมันยากและยังใหม่สำหรับประเทศของเราด้วย แต่ผลตอบแทนของมันก็มหาศาลเหมือนกัน ตอนนี้นอกจากบริษัทของเราแล้ว ก็มีอีกบริษัทหนึ่งที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่เหมือนกันครับ ..” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเริ่มตื่นตัวเมื่อรู้ว่าเรากำลังมีคู่แข่ง
“ที่เชจูใช่ไหมครับ ถ้าจำไม่ผิดพี่ผมบอกว่าเขาไปสัมมนาที่นั่น .. แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่สัมมนาล่ะสิ ..” ผมถามอย่างรู้ทันพี่สาวของตัวเองดี

“ก็ทำนองนั้นแหละครับ ..
“อย่าบอกว่าพี่ผมไปดึงตัวคุณมาจากที่นั่น ?” ผมถามอย่างคาดเดา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังไม่ได้ตกลงจะเลือกบริษัทไหน เพราะผมยังลังเลระหว่างบริษัทที่เมืองไทยกับบริษัทใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง ..
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่กับบริษัทของพี่ผม ที่ก้าวเดินช้ากว่าบริษัทที่เชจู” ผมถามเพราะผมต้องการจะรู้มุมมองความคิดของผู้ชายคนนี้

“ความรักมันไม่มีเหตุผลหรอก จริงไหมครับ ?” คุณคิมแรวอนบอกผมแบบนั้น แล้วก็เดินหล่อๆจากผมไป แม่งเอ้ย มือขวาของกู เท่เชี่ยๆ กูให้สามผ่าน
“ก็คงงั้นมั้ง ไม่งั้นกูคงไม่นั่งมองใครเป็นเดือนๆหรอก ..” ผมส่ายหัว แล้วก็เดินตามคุณคิมแรวอนเข้าไปในโรงเรือนเพื่อเรียนรู้วิธีการสอดใส่นิวเคลียส โดยที่ขณะที่คนงานกำลังทำในแต่ละขั้นตอน คุณคิมแรวอนก็จะอธิบายให้ผมฟังไปเรื่อยๆอย่างคล่องแคล่ว

“ยากนะครับ กว่าผมจะทำเป็น ผมคงฆ่าหอยตายเป็นลัง ..” ผมบอกพลางกลั้วหัวเราะอย่างตลกขบขัน แต่ลึกๆแล้วกูคาดว่ามันคือเรื่องจริงนะเว้ย
“ผมก็กลัวจะเป็นแบบนั้นน่ะสิครับ ผมถึงได้อธิบายเพียงอย่างเดียว เพราะขั้นตอนนี้มันสำคัญมาก ถ้าหากไม่ชำนาญ หอยอาจจะตายได้เลยครับ อีกอย่างถึงคนทำเป็น บางทีหอยก็ไม่รอดเหมือนกันนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวคนทำและตัวหอยเองด้วย เราเลยต้องมีกระชังพักฟื้นเพื่อตรวจเช็คอาการเป็นแพแบบนี้ไงครับ ..

“ให้ผมนั่งทำนิวเคลียสค่อยใช่แนวของผมหน่อย ..” ผมนั่งยืดขาตรง และเอาหลังพิงกำแพงไม้ ขณะที่สองมือของผมกำลังใช้กระดาษทรายขัดเปลือกหอยน้ำจืดที่คนงานตัดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าให้เป็นทรงกลมขนาด 2.5 มิลลิเมตร
“จริงๆแล้วการเลือกนิวเคลียสก็สำคัญเหมือนกันนะครับ ..” คุณคิมแรวอนที่กำลังทำการผ่าตัดสอดใส่นิวเคลียสให้กับหอยมุกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับผมนักพูดขึ้นมา

“ผมขอพักเบรกดีกว่าครับ วันนี้วิชาการมากเกินไปแล้ว เดี๋ยวผมจะฟ้องท่านประธานว่ามือขวาทำผมเครียด ..” ผมแกล้งแซว ทำเอาคุณคิมแรวอนถึงกับไปไม่เป็นขึ้นมาทันที ข้อมูลวิชาการทั้งหลายจึงหยุดลงแค่นั้น วันทั้งวันผมก็เลยนั่งขัดเปลือกหอยให้เป็นทรงกลมเพื่อใช้เป็นนิวเคลียสจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ..
ซึ่งภาพความสวยงามเหล่านั้น ผมได้เห็นมันทุกวันตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ มันก็เลยเป็นภาพที่ผมชินตา แต่สำหรับไอ้มิสเทค มันคงจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่หรอกมั้ง ป่านนี้คงจะช่วยงานผมไป และนั่งมองพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปด้วยก็ได้ ..
เห้อ .. แค่ผมคิดถึงเรื่องของมัน ริมฝีปากของผมก็วาดเป็นรอยยิ้มซะแล้ว ..
มึงจะรู้มั้ยว่าวันนี้คือวันที่กูตกหลุมรักมึงน่ะมิสเทค ..

“เขาไม่มาด้วยเหรอครับ ?” ผมเดินเข้าไปถามคนงานที่พายเรือเข้ามาจอดเทียบท่าตรงไม้กระดานที่ทำเอาไว้สำหรับเป็นท่าเทียบเรือเล็กๆข้างๆโรงคัดแยกหอย
“ครับ คุณเขาบอกอยากจะอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก ถ้าคุณเขาอยากกลับ คุณเขาจะเรียกนายหัวทีหลัง .. คุณเขาบอกให้นั่งรออีกสักพักนึงครับ ..” คุณลุงคนที่ไอ้มิสเทคมันใช้ให้มาสั่งผมดูท่าทางแกจะกระดากปากมากที่จะบอกผมตามที่มิสเทคมันสั่ง

“อ่อครับ .. ขอบคุณครับเดี๋ยวผมขอใช้เรือครับลุง ยังไม่ต้องผูกเชือกครับ ..” ผมร้องห้ามคุณลุงอีมุนเซ พร้อมกับลงไปนั่งในเรือ เมื่อคุณลุงทำตามที่ผมร้องขอเรียบร้อยแล้ว จากนั้นผมก็ค่อยๆพายเรือออกจากฝั่งโดยที่ผมก็ต้องคอยระวังไม่ให้รัศมีของไม้พายมันโดนแนวของทุ่นลอยน้ำตรงด้านข้าง เพราะเนื่องจากว่ามันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หอยมุกนั่นเองซึ่งปกติคนงานจะไม่ค่อยใช้เรือ แต่จะใช้ดำน้ำแทนมากกว่า แต่ทีนี้ไอ้มิสเทคมันคงขอไปด้วย พวกเขาก็เลยต้องเอาเรือออก
“มึงนั่งดูพระอาทิตย์ตกคนเดียวไม่เหงาเหรอ ?” ผมส่งเสียงถาม พลางพายเรือมาปักหลักอยู่ตรงหน้าไอ้มิสเทคที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนโรงเรือนสีขาวขนาดเล็ก

“ไม่นี่ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบขึ้นมาทันควัน
“สัส .. ตอบความเท็จหน่อยก็ไม่ได้ กูกำลังจะสร้างบรรยากาศโรแมนติกเพื่อมึงเลยนะ ..” ผมด่าพลางเอาไม้พายวักน้ำสาดใส่มัน

“เชี่ย! กูเปียกหมด” ไอ้มิสเทคมันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกผมแกล้ง
“ก็มึงพูดจาไม่เข้าหูกู ..” ผมเถียง พร้อมกับจอดเรือเทียบท่าตรงบันไดทางขึ้น แล้วก็จัดการผูกเชือกมัดเรือไว้กับคานบันไดเล็กๆปริ่มน้ำทะเลนั่น

“กูไม่ชอบโกหก มีอะไรมั้ย ?” มิสเทคมันเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน เดาว่ามันคงจะเคืองที่กูสาดน้ำใส่มันนี่แหละ ..
“เหรอ ไม่บอกกูไม่รู้เลยนะเนี่ย .. ไปอาบน้ำดิ ที่นี่มีเสื้อกูอยู่ เพราะตอนมาอยู่นี่ใหม่ๆกูเคยปักหลักนอนที่นี่ มันเงียบแล้วก็เหงาดี ..” ผมบอกพร้อมกับฉุดให้มันลุกขึ้น แล้วก็ลุนแผ่นหลังของมันให้เดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นผมก็ไปค้นเสื้อผ้าจากในตู้ไม้สีขาวเล็กๆตรงมุมข้างห้องน้ำเพื่อหาเสื้อเชิ้ตดีๆสักตัวให้มันใส่อวดขาขาวๆของมันให้ผมมอง ..

พอผมจัดการต้อนไอ้มิสเทคให้เข้าไปอาบน้ำจนเสร็จ ผมก็ออกมานั่งชื่นชมบรรยากาศรอบตัวที่ค่อยๆมืดสนิทลงเพียงลำพัง บ้านหลังนี้จริงๆมันเป็นโรงเรือน ก็เลยเปิดโล่งอยู่ซีกนึง เพื่อให้คนงานนำกรงหอยขึ้นมาทำความสะอาดได้ แต่หลังจากใช้งานเสร็จ ผมมีกฎให้ทำความสะอาดให้เรียบร้อย พื้นที่ตรงนี้ก็เลยสะอาดเอี่ยมเหมือนกับบ้านหลังหนึ่ง ต่างก็เพียงแค่มันไม่มีประตูที่จะปกปิดได้มิดชิด แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครเห็นเพราะมันหันหน้าไปทางทิศตะวันตกที่มีเพียงแค่ภูเขาและท้องทะเลเวิ้งว้าง ..
ผมจัดการจุดเทียนหอมให้แสงสว่างตามจุดต่างๆของโรงเรือนหลังนี้ จากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนั่งฟังคลื่นลมทะเลและเสียงอาบน้ำของไอ้มิสเทค สำหรับห้องน้ำที่นี่ไม่มีที่ให้ปลดหนักหรอกนะ แม้แต่สบู่ก็ไม่มี เพราะผมไม่อยากทำลายความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศบริเวณนี้ แต่ผมเห็นว่ามิสเทคมันคงไม่ชินกับเนื้อตัวเหนียวๆผมก็เลยไล่มันไปอาบน้ำ

“สบายตัวแล้วสิ” ผมดึงมันให้ลงมานั่งข้างตัวผม แล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเพื่อเอามาเช็ดผมให้มัน
“ไม่อ่ะ อาบก็เหมือนไม่อาบ มันไม่มีสบู่ ..” มิสเทคมันบอกพลางนั่งนิ่งให้ผมเช็ดผมให้

“ไว้ค่อยกลับไปอาบที่บ้านแล้วกัน ที่นี่กูทำไว้แค่ล้างหน้าล้างตากับล้างตัวให้มันพอหายเหนียวหรือหายเหม็นคาวทะเลเฉยๆ” ผมบอกพลางเช็ดผมให้มันไปเรื่อย

“วันนี้มึงเข้ามาทำงานกับบริษัทของพี่กูครบปีแล้วใช่ป่ะ ?” ผมถาม ขณะที่มือก็ยังทำหน้าที่เช็ดผมของไอ้มิสเทคมันต่อไป
“อืม ..

“ถ้างั้นกูก็ชอบมึงมาหนึ่งปีเต็มแล้วสิ มิสเทคกูจะถือว่าวันนี้คือวันครบรอบของเราได้ไหม เพราะมึงกับกู จริงๆก็ใจตรงกันตั้งแต่วันนี้แล้วนี่ ..” ผมร้องขอ พลางโอบกอดมันเอาไว้ ขณะที่มิสเทคกำลังเอาแผ่นหลังพิงอกผม ภายใต้อ้อมกอดของผมเงียบๆ
“ล..แล้วแต่มึงสิ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบเสียงสั่น คล้ายกับมันกำลังทำตัวไม่ถูก แถมหัวใจของมันก็ยังเต้นแรงจนผมยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกต่างหาก ..

“เต้นรำกันมั้ยมึง กูอยากทำอะไรๆที่มันโรแมนติกกับมึงบ้าง เพราะที่ผ่านมากูแม่งทำเชี่ยใส่มึงตลอด .. หวานก็ไม่เป็น กูๆมึงๆ เชี่ยๆ สัสๆ ก็บ่อย .. เต้นรำกันนะครับ ..” ผมลุกขึ้นยืน พร้อมกับทำตัวประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย และกำลังจะร้องขอให้เจ้าหญิงในดวงใจรับเป็นคู่เต้นรำด้วย
“มึงมีเพลงรึไง อีกอย่างกูก็เต้นไม่เป็นด้วย ถ้ากูเหยียบเท้ามึงขึ้นมา มึงจะหมดอารมณ์โรแมนติกใส่กูเปล่าๆ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบ แต่มันก็วางมือลงบนฝ่ามือของผมที่ยื่นออกไปตรงหน้ามัน

“เถอะน่า .. วันนี้วันดี มึงจะทำให้เสียบรรยากาศทำไมวะ มึงนี่เว้ย ..” ผมโอบประคองมันในท่าเต้นรำที่จำเอามาจากในละคร แล้วก็เต้นหมุนไปเรื่อยอย่างไม่มีสเต็ปเชี่ยอะไรเลย แถมยังผลัดกันเหยียบตีนอีกต่างหาก แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ดูโรแมนติกอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะเสียงคลื่น หรืออาจเป็นเพราะสายลม แสงจันทร์ แต่จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ มันคงไม่สามารถเป็นตัวแปรได้มากเท่านัยน์ตาของเราที่มองสบกันอย่างลึกซึ้งและสื่อความหมายของหัวใจนั่นหรอก ..
“รักกับกูไปนานๆนะมิสเทค ..” ผมบอกพลางจุมพิตเบาๆลงบนหน้าผากของมันประหนึ่งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์

“เหวออออ .. โอ๊ยไอ้สัส!” จากบรรยากาศที่กำลังหวานซึ้ง พอสะดุดปลายเท้าของกันและกันเท่านั้นแหละ แม่ง บรรยากาศที่ร่วมสร้างกันมาก็พังลงหมด แถมยังเจ็บเชี่ยๆอีกต่างหาก ..
“จริงๆมันควรจะล้มเหมือนในละครนะเว้ย ชีวิตจริงนี่แม่งโคตรเชี่ย .. ทำไมไม่ล้มแบบนี้วะ” ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างเซ็งๆ แล้วก็พลิกตัวขึ้นไปคล่อมทับไอ้มิสเทคอย่างรวดเร็วพร้อมกับโคฟเวอร์เป็นพระเอกละครเวลาเจอนางเอกครั้งแรกแล้วต้องมีฉากบังเอิญชนกันจนล้ม โดยที่จมูกแตะจมูกงี้ ตามองตางี้ ..
แต่สำหรับกูไม่ต้องครับเรื่องเบสิคแบบนั้น ..
จูบเลยดีกว่าจะได้ไม่เป็นภาระต่อเด็กดีของกูที่กำลังดิ้นพล่านอย่างควบคุมไม่อยู่ ..



<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 
มาต่อแล้วค่ะ ตอนหน้าคือตอนสุดท้ายของจริง ฉะนั้นก็หวานๆให้มันเต็มที่ไปเลยแล้วกันเนอะ


วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558

Mistake


[Special] Pearl Farm – Kyuhyun Part (1)

                หลายเดือนก่อนผลการตรวจหาเชื้อ HIV ด้วยวิธีที่สอง ทั้งของผมและของไอ้มิสเทคออกมาเป็นลบเหมือนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ บอกตรงๆว่าผมโล่งใจจริงๆที่ผลการตรวจมันออกมาตรงกันทั้งสองวิธี อารมณ์ในตอนนั้น ไม่ว่าผมจะมองไปทางไหนมันก็สดใสไปหมด เพราะความกดดันและความกังวลของผมที่กำลังหวาดกลัวว่าโอกาสพลิกผลันมันอาจเกิดขึ้นกับผมได้ แม้ว่าคุณหมอจะบอกกับผมว่ากรณีแบบนั้นมันมีเปอร์เซ็นต์น้อยมากก็ตาม แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังกลัวและกังวลกับมันอยู่ดี แต่ผมไม่สามารถแสดงออกแบบนั้น ได้นอกจากอาการดีใจเท่านั้น
                ความหนักใจทั้งหมดเลยสะสมอยู่ที่ผมคนเดียว เพราะสำหรับตัวผม ถ้าหากผมเป็นจริงๆ ผมคิดว่าผมคงแบกรับมันได้ แต่ผมกลัวไอ้มิสเทคมันจะติดจากผมมากกว่า ผมกลัวมันรับไม่ได้ ผมกลัวทุกคนจะรังเกียจมัน ทั้งๆที่คนผิดคือผม แล้วผมก็กลัวว่าพ่อกับแม่และพี่อาราจะเสียใจและผิดหวังในตัวผมไปมากกว่านี้ เพราะผมทราบดีว่าลึกๆแล้วการกระทำของผมมันเป็นเรื่องยากที่ทุกคนจะให้อภัยได้อย่างสนิทใจ แต่ที่พวกเขายอมรับได้ มันเป็นเพราะการกระทำในปัจจุบันของผมมากกว่า..
            เมื่ออดีตมันมีผลกับปัจจุบัน ผมก็ต้องกังวลและร้อนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา ..
               
                ผมยอมรับว่าตอนเกิดเรื่องผมไม่มีสติ ผมร้อนใจ ผมอยากได้คำตอบที่แน่ชัดว่าพ่อกับแม่ให้อภัยผมได้ แม้ว่าการกระทำของผมในอดีต มันมีความเสี่ยงจนทำให้ใครสักคนโทรมาบอกพ่อกับแม่เรื่องนี้  ซึ่งผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พวกท่านไม่สบายใจ ผมเลยต้องยอมรับกับพวกท่านว่าผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมถึงได้พาตัวเองกับซองมินไปตรวจ และผลตรวจขั้นต้นมันก็ออกมาแล้วว่าผมไม่ได้เป็น ผมอยากเอาผลตรวจมาให้พวกท่านดู แต่พวกท่านกลับบอกว่าไม่จำเป็น ใจของผมในตอนนั้นมันรู้สึกวูบโหวงไปหมด คล้ายกับเสียสูญไปแล้ว ผมก็เลยพยายามจะยัดเหยียดให้พวกท่านรอคอยผลตรวจจากผม เพราะผมจะกลับไปเอาผลตรวจจากไอ้มิสเทค ผมบอกกับพวกท่านว่าผมจะรีบไปรีบกลับ แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความพยายามของผม
ท่านบอกท่านขอเวลา แต่สำหรับผมแล้ว เวลาของท่านที่ขอไว้ ผมไม่อาจให้ได้ เพราะผมร้อนใจเกินกว่าจะรอคอยเวลาที่ดีพร้อมของพ่อกับแม่ ในเมื่อใจของผมมันยังเป็นกังวลอยู่ว่า ผลตรวจข้างต้นของผม หากมันเกิดการพลิกผลันขึ้นมา ผมจะทำอย่างไร ในเมื่อขั้นต้นพ่อกับแม่ยังเสียใจจนไม่อยากจะรับฟังเรื่องราวใดๆจากผม  แล้วถ้าหากเรื่องราวเกิดมันแย่ลงกว่านี้ ผมจะอยู่ยังไง ..

ผมที่ในตอนนี้แคร์ทุกคนรอบข้าง ไม่อาจแบกรับความรู้สึกแบบนั้นได้ ผมจึงยิ่งโวยวาย พวกท่านก็เลยหยุดผมด้วยคำพูดและการกระทำที่รุนแรง จนทำให้ผมเหมือนกับหัวใจสลาย เพราะผมกลับไปทำแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อผมแคร์ทุกคน แล้วผมจะกลับไปทำตัวเหมือนไม่เคยสนใจคำพูดของพวกท่านได้อย่างไร ..
วินาทีนั้นที่ผมขับรถออกจากบ้านของตัวเอง ผมเจ็บ ผมเสียใจ ผมกังวล ผมกลัว ผมเคว้งคว้างไม่เหลือใคร เพราะแม้แต่พี่อาราที่เคยปกป้องผมทุกครั้ง ก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย มันเลยยิ่งทำให้ทุกอย่างเหมือนพังลงกับตา ผมมีแต่ไอ้มิสเทคที่อยู่เคียงข้างผม แต่ว่าผมก็ยังรู้สึกไม่พอใจ  เพราะผมอยากมีครอบครัวคอยอยู่เคียงข้างผมด้วย

ผมเกลียดความเป็นเด็กของตัวเองในตอนนั้น ผมเกลียดที่ผมใช้ชีวิตอิสระจนเกินไป ผมเกลียดที่ตัวเองเห็นชอบว่าชีวิตในตอนนั้นมันคุ้มค่าแล้ว ทั้งๆที่มันไม่ใช่เลย ..
และในตอนนี้ทุกอย่างที่ผมเคยเห็นดีเห็นชอบ มันก็ย้อนกลับมาทำลายภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นของผมจนหมดสิ้น ..

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเกลียดเจ้าของนามบัตรใบนั้นที่ตกอยู่ตรงหน้าบ้านของผม ผมจึงลองโทรไปตามเบอร์ที่แนบมากับนามบัตร ซึ่งคนที่รับสายคือเซอึน ไม่ใช่ คิมซังมีตามที่ระบุเอาไว้ในนามบัตรใบนั้น แค่นี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญที่มีคนมาบอกไอ้มิสเทค ..
ความกังวล ความกดดันที่ผมได้รับมานานหลายวัน เกิดขึ้นเพียงเพราะ เซอึนซึ่งตัวแปรที่ทำให้เธอต้องทำแบบนี้ ก็ไม่พ้น ซองมินเพราะเธอไม่อยากเสียมันไป และยิ่งเธอต้องเสียมันให้ผมที่เคยเป็นคนทำร้ายเธอด้วยความรักจอมปลอม เธอก็ยิ่งยอมไม่ได้ มันเหมือนกับว่าความเจ็บปวดจากสิ่งที่ผมทำไว้ กำลังเหยียบย่ำความสุขที่เธอหวงแหนมาตลอด เธอเลยจนตรอกจนถึงกับต้องทำลายชีวิตผมให้พังลงไปกับเธอด้วย ไม่สิ เธอน่าจะกำลังทำให้ผมเสียไอ้มิสเทครวมถึงทุกคนรอบตัวผมไป แต่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ มันใช่ความผิดของผมทั้งหมดเลยเหรอ ? ผมว่ามันไม่ยุติธรรมนักถ้าหากเธอจะโทษผมทุกอย่าง จริงอยู่ว่าผมอาจเป็นต้นเหตุ แต่คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับชีวิตคือตัวเซอึนเองไม่ใช่เหรอ แล้วความผิดจะเป็นของผมทั้งหมดได้อย่างไร ในเมื่อผมผิดแค่เรื่องที่ผมหลอกให้รัก แล้วจากนั้นผมก็ทิ้ง ..
มันอาจฟังดูไม่ดีนัก แต่ผมผิดแค่นี้จริงๆ

                พอมาถึงบ้านไอ้มิสเทคผมก็เข้าไปหาเรื่องเธอในทันที เพราะมันไม่ความจำเป็นอะไรที่จะต้องรักษาน้ำใจกันแล้ว ในเมื่อเธอทำกับผมถึงขนาดนี้ ถ้าหากผมไม่ได้เอาคืน ผมคงทนไม่ได้ และจากคำพูดของเธอก็ไม่ผิดไปจากที่ผมคิดนัก แต่สิ่งที่ผมอึ้งคือคำด่าทอของเธอที่บอกว่าผม สำส่อน
                ใช่อดีตผมดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ พอได้คิดย้อนกลับไปแล้ว ผมก็พูดอะไรไม่ออก จากที่โกรธแค้นจะเป็นจะตาย ผมกลับสงบนิ่งด้วยความเสียใจ เมื่อภาพที่พ่อกับแม่มองเห็นก็คงไม่ต่างจากภาพที่เซอึนมองเห็น ความเจ็บปวดของผมในตอนนั้นมันประเมินค่าไม่ได้เลยว่าต้องเจ็บอีกมากแค่ไหน ถึงจะสาสมกับสิ่งที่ผมทำไปโดยขาดการยั้งคิด ..
                แต่โชคยังดีที่ผมไม่สติหลุดฟูมฟายไปมากกว่านี้ ..
                ไม่อย่างนั้น ผมคงไม่มีโอกาสได้รับการให้อภัยอย่างแท้จริงจากพ่อกับแม่แน่ๆ

            พวกท่านบอกผมว่า เพราะมันคือเรื่องของอดีต พวกท่านจึงไม่โกรธ ไม่เกลียดผม หรือเรียกง่ายๆว่าท่านรู้สึกแบบนั้นไม่ลง เพราะพวกท่านรักผมเกินกว่าจะไม่ให้อภัยผมได้ แต่ที่พวกท่านไม่ยอมฟังเรื่องราวในตอนนั้น มันเป็นเหตุเดียวกับที่มิสเทคบอกผมจริงๆ ว่าพวกท่านต้องการเวลาที่จะทำใจ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ แถมยังรู้มาจากคนอื่น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหวังดีหรือไม่ และท่านเองก็ไม่คิดว่าผมจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น ความเสียใจของพวกท่านก็เลยหนักหนาไปสักหน่อย แต่พอเวลามันทำให้ทุกอย่างเริ่มเย็นลง พวกท่านจึงสามารถเปิดอกคุยกับผมได้ ..
                สำหรับผลตรวจที่พวกท่านไม่ยอมดู และบอกว่ามันไม่จำเป็น มันเป็นเพราะพวกท่านเชื่อคำพูดของผมที่บอกว่าผมไม่ได้เป็น ฉะนั้นมันจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพึ่งผลตรวจพวกนั้น พ่อสอนผมว่า หลังจากนี้ผมควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ เพราะเราไม่รู้ว่าผลเสียมันจะตามมาเมื่อไหร่ ฉะนั้นวันนี้ถ้าเราทำให้ดีได้ เราก็ควรจะทำให้ดีที่สุด และควรเลือกสิ่งที่เราคิดว่ามันที่สุดให้ตัวเองด้วย ..

ผมก็เลยบอกพ่อกับแม่ของผมว่า ผมได้เลือกแล้วว่าซองมินคือสิ่งที่ดีที่สุด และการทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมเหมือนกัน รวมถึงหน้าที่การงานที่ผมสามารถช่วยเหลือพี่อาราได้ ผมก็พร้อมที่จะทำมันให้ดีที่สุด ..
วันนั้นผมก็เลยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวอีกครั้ง ..

            จากนั้นผมก็ไปบอกกับพี่สาวของผมว่าผมพร้อมจะมาลงหลักปักฐานทำฟาร์มหอยมุกตามคำบัญชาของเธอแล้ว ผมก็เลยถูกเตะโด่งมาอยู่ที่เกาะฮงโด ใกล้ๆกับท่าเรือมกโพเพียงลำพัง เพราะเนื่องจากว่าไอ้มิสเทคมันยังต้องเรียนรู้และเตรียมตัวอีกมากกับแผนกของมัน คาดว่าปลายเดือนหน้ามันคงจะได้ออกหน้างานอย่างจริงๆจังๆสักที ซึ่งมันก็เลือกที่จะมาคุมสาขาแถวทางตอนใต้จริงๆ
                ผมหาที่พักให้ไอ้มิสเทคได้แล้ว อยู่ในตัวเมืองตรงจุดศูนย์กลางของการท่องเที่ยวนี่แหละ รอแค่มันลงมาทำสัญญา แค่นั้นมันก็จะมีที่ซุกหัวนอนหลังจากที่ต้องเหนื่อยจากการทำงานมาหลายชั่วโมง แต่ช่วงวันหยุดผมขอมันแล้วว่าให้มันนั่งรถมาลงที่ท่าเรือมกโพ แล้วผมจะเป็นคนไปรับมันมาที่เกาะด้วยตัวเอง

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ผมแม่งก็ไม่ชินกับคำว่า นายหัวสักที คือปกติกูเคยแต่โดนเรียก .. ไอ้เชี่ยคยู ไอ้สัส ไอ้ปัญญาอ่อน ไอ้บ้า และอื่นๆอีกมากมายที่กูแม่งไม่รู้จะจำไปทำไม เพราะแม่งมีแต่คำด่าล้วนๆ พอมาโดนเรียกอย่างยกย่อง กูเลยรู้สึกไม่ชินหู แต่ก็ใช่ว่ากูจะไม่ชอบนะ กูชอบของกู ไม่งั้นกูจะยืดอกยิ้มหน้าบานทำเชี่ยอะไร ..
ช่วงนี้ผมงานเยอะมาก เพราะผมต้องเรียนรู้เกี่ยวกับหอยมุกอีกหลายอย่าง ดีที่ผมได้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นผมต้องแย่แน่ๆ ผมเลยให้คุณคิมแรวอนเป็นมือขวาของผม แต่เอาเข้าจริงผมว่าพี่เขาเหมือนเป็นตัวหลักแทนผมอย่างไรอย่างนั้น ..

                การทำฟาร์มมุกมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันต้องใช้ทั้งความเชี่ยวชาญและเวลา ซึ่งผมไม่เห็นด้วยที่พี่อาราจะผลิตมุกเพื่อทำผลิตภัณฑ์ของเราเอง เนื่องจากการเพาะเลี้ยงหอยมุกมันต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้มุกแต่ละเม็ดมาครอบครอง ซึ่งนโยบายของพี่อาราไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของมุกเลย ซึ่งผมก็บอกไปแล้วว่ามันไม่คุ้มถ้าหากจะทำแค่นี้ แต่ด้วยความรั้น พี่ผมจึงยกเลิกหน้าที่อบรมพนักงานของผม เพื่อให้ผมมุ่งหน้าพัฒนาฟาร์มมุกให้มันสอดคล้องกับนโยบายของพี่ให้ได้ ..
                เวลาพี่กูเอาแต่ใจเนี่ย กูแม่งได้งานใหญ่ งานโตทันที

                ในเกาหลีการทำฟาร์มมุกยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และก็ไม่ยิ่งใหญ่จนถึงกับทำเป็นอุตสาหกรรมส่งออกได้เหมือนอย่างประเทศอื่นที่เขาทำกันมาเป็นสิบยี่สิบปี แต่ของผมโชคดีหน่อยที่คุณคิมแรวอนเคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานผู้มีความชำนาญในเรื่องการเพาะเลี้ยงหอยมุกจากประเทศไทย ผมจึงวางใจได้เปราะหนึ่งว่าผมจะไม่ทำให้งานของพี่ผมพังจนเสียหายเป็นจำนวนเงินหลายล้านวอน ..
                เกาะฮงโดเป็นเกาะที่เงียบสงบและระดับน้ำก็คงที่ จึงเหมาะกับการเพาะเลี้ยงหอยมุกเป็นอย่างมาก เนื่องจากหอยมุกเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยเคลื่อนย้ายไปไหน ประมาณว่าเกิดที่ไหนแม่งก็จะโตที่นั่นเลย อีกทั้งระบบนิเวศน์ก็อุดมสมบูรณ์สงบ ไร้คลื่นลม เกาะแห่งนี้ก็เลยเหมาะกับการจะสร้างอุตสาหกรรมฟาร์มมุกในอนาคต ..

                ผมและคนงานในส่วนอื่นๆ ถูกย้ายชื่อออกมาอยู่อีกบริษัทหนึ่งที่จะทำเกี่ยวกับเครื่องประดับในอนาคต มันคือแพลนอันยิ่งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากเราประสบความสำเร็จกับการเพาะเลี้ยงหอยมุก แต่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จพี่อาราก็บอกว่าไม่เป็นไร เราสามารถพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เป็นโรงแรมแทนได้ แต่จะดีมากถ้าผมสามารถพาฟาร์มมุกของพี่ให้ไปรอด เราจะได้ลดต้นทุนและได้มุกที่มีคุณภาพตามที่เราต้องการ ..
                นั่น พี่สาวกูพูดจามัดมือชกกูไปอีก
               
“เมื่อวานเราไปดูการคัดเลือกหอยที่งมหามาจากธรรมชาติแล้ว วันนี้ผมจะพาคุณคยูฮยอนไปดูกระชังพักฟื้นนะครับ ..” ผมพยักหน้าและลุกออกจากโต๊ะทำงาน เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเรียนรู้งานจากคุณคิมแรวอนที่เป็นถึงมือขวาของผม ซึ่งผมได้ตัวเขามาร่วมงานด้วยเพราะพี่อารา  ..
จากที่ผมสัมผัสได้ ผมรู้สึกว่าสองคนนี้จะอะไรยังไงกันอยู่ ผมรู้สึกแบบนั้น เพราะคงไม่มีใครยอมถอนตัวออกจากฟาร์มเก่าที่มีความก้าวหน้ามากกว่า เพื่อมาทำงานให้กับฟาร์มใหม่ที่ยังไม่รู้ทิศทางการก้าวเดินแบบนี้หรอก ..
เรื่องนี้แม่งไม่ธรรมดา กูสัมผัสได้..

ทันทีที่ผมเดินออกมาจากห้องทำงานกลางทะเล ลมเย็นๆกลิ่นไอทะเลก็ปะทะเข้ากับใบหน้า คุณคิมแรวอนเดินนำผมไปทางซ้ายมือของสะพานที่เชื่อมโยงกับห้องทำงานของผมไปจนถึงกระชังพักฟื้นหอยมุกที่ผ่านการคัดเลือกและทำการผ่าตัดนำสิ่งแปลกปลอมที่จะทำให้หอยเกิดการระคายเคืองจนกลายมาเป็นไข่มุกที่เราต้องการเรียบร้อยแล้ว ฝั่งซ้ายสองแถวแรกของกระชังเป็นหอยมุกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่คนงานผู้เชี่ยวชาญคัดเลือกไว้ ส่วนแถวถัดมาคือหอยมุกที่ได้รับการผ่าตัดจนเรียบร้อยแล้ว ส่วนฝั่งขวาจะเป็นโรงผ่าตัดเพื่อฝังนิวเคลียส และปลายทางสุดลูกหูลูกตานั่นคือโรงเรือนคัดแยกหอยมุกที่เราหามาได้จากธรรมชาติ ..
และสำหรับหอยมุกที่มีความพร้อมต่อการผลิตไข่มุกให้กับทางบริษัทของเราแล้ว คนงานก็จะเอาแขวนไว้กับทุ่นลอยน้ำที่ไกลออกไปจากบริเวณพักฟื้น บางส่วนจะใส่ไว้ในตระกร้า บางส่วนจะไม่ใส่ตระกร้า คุณคิมแรวอนบอกว่า แบบที่ใส่ในตระกร้าจะทำให้หอยได้รับสารอาหารน้อย แต่ว่าจะปลอดภัยจากศัตรูหอย ส่วนแบบแขวนเพียวๆ หอยจะได้สารอาหารมาก แต่ศัตรูหอยอย่างเช่น เพรียง สาหร่าย ก็จะมากเช่นกัน เลยต้องมีการนำหอยขึ้นมาทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้ง เพราะศัตรูหอยจะมีผลต่อการผลิตไข่มุก

“ไข่มุกที่เหมาะกับการทำเครื่องประดับ จำพวกต่างหู คือไข่มุกชนิดมาเบ จะได้จากหอยจำพวก หอยมุกจาน หอยมุกขอบดำ หอยมุกกัลปังหา ซึ่งทางแถบนี้จะหายากหน่อยครับ ผลผลิตมันจะได้มุกแบบครึ่งวงกลม หรือบางทีก็อาจจะได้มุกแบบรูปหัวใจ และหยดน้ำ ..กระชังด้านขวามือสามสี่แถวนั่นคือที่พักฟื้นของหอยมุกชนิดนี้ ส่วนทุ่นลอยน้ำก็จะอยู่ทางฝั่งขวามือครับ ซ้ายมือคือหอยมุกอโกย่า”
“ผมทราบมาว่ามันเป็นไข่มุกที่ประสบความสำเร็จมากในแถบญี่ปุ่น” ผมบอกความรู้ที่ผมพอจะทราบจากการค้นคว้าด้วยตัวเองในเชิงถาม ซึ่งคุณคิมแรวอนก็พยักหน้าบ่งบอกว่าที่ผมเข้าใจนั้นถูกต้อง ..

                “ครับ .. แต่มันแปลกตรงที่หอยมุกที่จะให้ไข่มุกชนิดนี้พบมากในแถบบ้านเรา .. ไม่แน่นะครับ ต่อไปเราอาจจะประสบความสำเร็จเป็นม้ามืดก็ได้ใครจะรู้ ..
                “ถ้าเป็นแบบนั้น ผมจะให้พี่สาวผมขึ้นเงินเดือนให้คุณสิบเท่า เอาให้มากกว่าเงินเดือนผมเลย ..” ผมกับคุณคิมแรวอนหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อจบบทสนทนาอันไร้สาระ ..

                “ไม่ไหวมั้งครับคุณคยูฮยอน ผมเป็นแค่ลูกจ้างนะครับ ..
                “แน่ใจเหรอครับ ผมว่าผมอ่านคุณออกนะ ..” ผมตอบ พลางเดินดูคนงานกำลังนำหอยมุกที่ทำการพักฟื้นจนได้ที่ขึ้นมาทำความสะอาดและร้อยใส่เชือกที่คล้องไว้กับทุ่นลอยน้ำ เพื่อนำลงไปปล่อยไว้ตรงมุมเพาะเลี้ยง ดังนั้นผมจึงต้องหลบหลีกให้ดี เพราะพื้นที่ตรงนี้มันแคบ

                “สำหรับหอยมุกชนิดนี้เราจะฝังนิวเคลียสที่ทำจากเปลือกหอยน้ำจืดแทนนะครับ ไม่ได้ใช้พลาสติกครึ่งซีกแบบมุกมาเบ ..” คุณคิมแรวอนเงียบไป คล้ายกับสตั้นในสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไป จนกระทั่งผมเริ่มเป็นการเป็นงานอีกครั้ง คุณคิมแรวอนจึงเริ่มต้นอธิบายความรู้เบื้องต้นให้ผมทราบ
                “เพรียงนี่มันเยอะจริงๆนะ ..” ผมบ่นพลางใช้แปรงทำความสะอาดหอยในกระชังไปพร้อมๆกับคนงานและคุณคิมแรวอน

                “มีหอยที่ไหน ก็มีเพรียงที่นั่นแหละครับนายหัว ..” ผมยิ้มให้คนงานที่ปกครองกันในระบบครอบครัว แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดต่อไป ชีวิตเรียบง่ายแบบนี้คือชีวิตที่ผมใฝ่หามาตลอด ถึงงานที่ผมกำลังทำจะเป็นงานที่ยาก แต่ผมก็พอใจกับมัน ติดก็ตรงที่สิ่งอำนวยความสะดวกมันไม่ได้มากมายเหมือนกับอยู่ในเมือง คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี อินเตอร์เน็ตก็ด้วย ผมก็เลยไม่ค่อยจะรับรู้ข่าวสารอะไรมากเท่าไหร่ ผมจะมีตัวตนก็ต่อเมื่อผมเข้าไปในเมืองนั่นแหละ ..
                ซึ่งด้วยข้อจำกัดตรงนี้ มันเลยทำให้ผมติดต่อกับไอ้มิสเทคไม่ได้ แม่งโคตรทรมานเลย ผมคิดถึงมันจะตายอยู่แล้ว ปกติจะต้องมีมันให้นอนกอด จะต้องได้ยินเสียงของมัน จะต้องคอยกวนตีนมันบ่อยๆ แต่นี่ผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ถ้าหากเจอหน้ากันอีกครั้ง ผมกลัวผมจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ..
                มันเป็นอะไรที่ทรมานและฝึกความอดทน ว่าเรามั่นคงต่อกันแค่ไหนจริงๆนะ ..

                “ผมจะเข้าเมืองวันศุกร์นี้ คุณคยูฮยอนจะฝากอะไรถึงท่านประธานหรือเปล่าครับ ?” นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ผมสงสัยในตัวมือขวาคนนี้นี่แหละ
                “ฝากบอกว่าผมสบายดีและกำลังพยายามทำตามคำบัญชาอย่างเต็มที่แล้วกันครับ” ผมตอบพลางกลั้วหัวเราะ ซึ่งคุณคิมแรวอนก็ทำมือโอเค บอกตรงๆถ้าพี่เขยผมจะเป็นคุณคิมแรวอนจริงๆ ผมก็โอเคนะ เขาเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ แถมยังเป็นที่พึ่งให้พี่ผมในเรื่องงานได้ด้วย แต่เรื่องส่วนตัวก็คงต้องดูกันอีกที ..

                ตกเย็นผมก็กลับมาที่ห้องทำงาน เพื่อจัดการเรื่องบัญชีค่าใช้จ่ายสำหรับการเพาะพันธุ์หอยมุก และการอยู่กินของคนงาน ของผมและคุณคิมแรวอนด้วย คาดว่ามะรืนนี้ผมคงต้องเข้าเมืองเพื่อไปกดเงินมาเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินแล้วล่ะ เพราะว่าค่าใช้จ่ายของการทำฟาร์มหอยมันก็มากมายอยู่ แล้วไหนจะค่ากินอีก ถึงจะอยู่กลางทะเลแต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่ต้องใช้เงินนะเว้ยเฮ้ย ..
                “นายหัวกินข้าวกันเถอะครับ ผมตกปลามาได้ตัวเบ้อเริ่มเลย” ผมเงยหน้าขึ้นจากสมุดบัญชี พลางส่งยิ้มและพยักหน้าให้กับลุงแชควางมุน เพื่อบอกกลายๆว่าเดี๋ยวผมจะไปร่วมวงด้วย เมื่อคุณลุงได้คำตอบรับจากผมแล้ว คุณลุงก็เดินจากไป ห้องทำงานของผมก็เลยสงบเงียบอีกครั้ง ..

                ผมทานมื้อเย็นพร้อมกับคนอื่นกว่ายี่สิบชีวิตด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งๆที่มันเป็นแค่ปลาเผาธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้ อาจเป็นเพราะที่นี่หาอะไรเหมือนอย่างในเมืองกินยาก ผมก็เลยค่อยๆปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ล่ะมั้ง ..
                อีกทั้งโรงอาหารริมทะเลสำหรับผมกับคนงาน ก็ยังสามารถนั่งดูพระอาทิตย์ตกและสัมผัสกับผืนทรายสีขาวสะอาดได้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้เลยว่าคนเมืองจะต้องอิจฉากับการใช้ชีวิตของผมกับคนงานเหล่านี้แน่ เพราะมันเป็นบรรยากาศที่หาดูได้ยาก แถมชีวิตยังไม่วุ่นวายอีกต่างหาก ..

                “ขอบคุณนะครับ ..” ผมก้มหัวขอบคุณลุงแชควางมุนอยู่สองสามทีอย่างนอบน้อม จากนั้นผมก็แยกตัวกลับมาที่บ้านพักที่อยู่ทางขวามือของโรงอาหาร ส่วนซ้ายมือจะเป็นบ้านพักของคนงานที่พี่อาราจัดเตรียมเอาไว้ เรียกได้ว่าทำงานกับบริษัทของเรา ชาวประมงพวกนี้ได้รับสวัสดิการเหมือนอย่างพวกบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเลยล่ะ ..
                ผมเดินหลับตามาตามผืนทรายได้อย่างแม่นยำ เพราะเส้นทางกลับบ้านของผมเป็นเส้นทางที่ผมเคยชิน ดังนั้นผมไม่มีทางเดินไปชนโน่นชนนี่แน่ๆ

                “เหงาโว้ย ” ผมบ่นออกมาเมื่อเดินมาจนถึงหน้าประตูบ้าน พร้อมกับตั้งท่าจะเปิดประตูบ้านสีขาวริมทะเลที่ถูกออกแบบโดยพี่สาวคนสวยของผม
                ….” ผมอึ้งกับภาพตรงหน้า พร้อมกับขยี้ตาอยู่หลายครั้ง เพราะผมกลัวว่ามันจะเป็นภาพลวงตา แต่ไม่ว่าจะขยี้เท่าไหร่ ผมก็ยังมองเห็นมันยืนอยู่ตรงหน้าของผม ..

                “มึง .. มาได้ยังไง ทำไมคุยกันครั้งล่าสุดมึงไม่บอกกูว่าจะมา กูจะได้ไปรับ ..” ผมถามอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก และบอกตามตรงว่าผมตื่นเต้นมากจริงๆ
                “กูจ้างให้ชาวบ้านตรงท่าเรือมกโพเขามาส่งที่นี่ .. กูก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาเร็วกว่ากำหนด .. กูก็เลยไม่ทันได้บอกมึง กูคิดถึง .. ทำไมมันคิดถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้ กูทนมาได้ยังไงตั้งสามเดือน ..” ไอ้มิสเทคมันเดินเข้ามาสวมกันผม พลางเอาใบหน้าแนบกับอกผม

                “เอ่อ .. ตัวกูเหม็นเหงื่อแล้วคาวด้วย มึงปล่อยกูเถอะ ..” ผมผลักมันออก แม้ว่าผมอยากจะกอดมันแค่ไหน แต่ผมก็ไม่อยากทำ เพราะตัวผมมีแต่กลิ่นคาว แถมยังเหม็นเหงื่ออีกต่างหาก ..
                “ทำไมนายหัวรังเกียจคนเมืองแบบกูเหรอ ?” ไอ้มิสเทคมันมองหน้าหาเรื่อง ซึ่งเป็นท่าทางที่กวนตีนในสายตาของกูมาก

                “รังเกียจเชี่ยไร กูอยากจูบมึงจะแย่แล้ว แม่งกูไปอาบน้ำก่อน ..” ผมบอกอย่างหมดความอดทน แล้วก็หันไปปิดประตูบ้านและตั้งท่าจะเข้าไปอาบน้ำให้เรียบร้อย แต่ผมก็ไม่อาจทำอย่างนั้นได้ เมื่อไอ้มิสเทคมันคว้าตัวผมเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม ซึ่งผมถึงกับสตั้นไปเลย แต่สุดท้ายผมก็จูบตอบมันกลับไปอย่างดูดดื่มเช่นกัน ..
                สมองของผมมันขาวโพลนไปหมด เพราะรสสัมผัสที่ผมคิดถึง แต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสมาเป็นเวลานาน พอได้มาสัมผัสมันสมใจหวัง หัวใจกลับเต้นรัว คล้ายกับเด็กน้อยริรักอย่างไรอย่างนั้น

                “ก็ไม่เห็นจะเหม็นเลย นายหัวมึงอย่าเยอะ ..” ไอ้มิสเทคมันผลักผมออกห่างจากตัวของมัน เมื่อผมเอาแต่จูบมันจนไม่รู้จักคำว่า พอจากนั้นมันก็ต่อว่าผมด้วยริมฝีปากแดงๆของมัน พร้อมด้วยใบหน้าแดงเรื่อที่มองยังไงก็ดูน่ารัก เห็นแล้วก็ยิ่งใจเต้นเพราะความคิดถึงมันคับอก ..
                “ไม่รังเกียจกูจริงอ่ะ พูดแบบนี้ กูกอดมึงจนเป็นลมตายทำไงวะ..” ผมคว้ามันเข้ามากอดแน่นๆ พร้อมกับหอมหัวทุยๆของมันด้วยความรักใคร่
                และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผมสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ตบะแตกเพราะมันได้

                “คิดถึงมึงว่ะ มิสเทค .. ต่อให้กูพูดสักกี่ครั้ง ความคิดถึงมันก็ยังจุกอกกูอยู่ดี ..” ผมกระซิบชิดริมหูพลางพรมจูบใบหูเล็กนั่นเพียงเบาๆ
                “ม..มึงก็ไม่ต้องพูดสิ .. บอกด้วยการกระทำก็ได้ ..” ไอ้มิสเทคมันบอกผม คล้ายกับพูดเป็นนัยน์ๆยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งกูคิดเยอะนะเว้ย แถมยังคิดเรื่องลามกูบอกเลย ..

                “กูคิดลึกนะมึง ลามกด้วย ..” ผมบอกขณะที่ฝ่ามือของผมก็เริ่มจะอยู่ไม่สุกแล้ว
                “มึงอย่าลืมที่หมอแนะนำแล้วกัน

ห๊ะ! มิสเทค คือมึงหมายความว่า มึงอนุญาตเหรอวะ?

ไอ้เชี่ยเอ้ยยย กูห่างหายจากเรื่องแบบนี้มานาน กูเลยสตั้นขึ้นมาซะงั้น อ่อนชิบ!

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 


ยังไม่ได้ตรวจคำผิดน้า หมดจากดราม่าเบาๆก็มาหวานๆกันบนเกาะบ้าง จะพยายามเขียนสอดแทรกความรู้นิดๆไปด้วยเนอะ อาจจะสี่ตอนจบสเปและปิดเรื่อง หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ยังไม่แน่ใจ คึคึคึ นายหัวเพี้ยนพอมาอยู่เกาะดูโตขึ้นเยอะ แถมพอเจอมิสเทคก็ควบคุมตัวเองได้ด้วย ควรปรบมือให้นายหัวเพี้ยน