วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 42

Mistake






Mistake 42




                จากการประชุมกันอย่างจริงๆจังในวันนี้ ผมกับไอ้มิสเทคก็เริ่มจะมองเห็นแผนงานของแผนกตัวเองอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งกูแม่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนกนี้เลยสักนิด จะมีส่วนร่วมจริงๆก็แค่นั่งเขียนโปรแกรมให้เพราะพี่สาวกูไม่อยากไปรบกวนคนอื่นที่ก็มีงานประจำกันอยู่แล้ว กูที่ก็ว่างอยู่ในช่วงนี้เลยต้องรับหน้าที่เขียนโปรแกรมสำหรับอำนวยความสะดวกต่อการทำงานของไอ้มิสเทคไปซะ ..
                ซึ่งกูก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะกูได้ทำในสิ่งที่ชอบ และได้ทำให้คนที่กูชอบสะดวกสบาย ทำไมกูจะต้องปฏิเสธกันวะ ? ช่วงนี้กูก็เลยอดหลับอดนอนเป็นเรื่องปกติ เพราะกูได้ทำงานอยู่ที่บ้าน ดังนั้นเวลาทำงานของกูคือสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แล้วแต่อารมณ์ว่ากูอยากจะทำตอนไหน ..

                ตอนนี้ทางฝ่ายบุคคลกำลังประกาศรับสมัครพนักงานอีกสามคนเพื่อมาร่วมทีมกับไอ้มิสเทคอยู่ ถ้าหาคนได้ครบเมื่อไหร่ แผนงานที่วางเอาไว้ก็จะค่อยๆเริ่มทีละขั้น ดังนั้นระหว่างช่วงที่กำลังหาคนไม่ได้ มิสเทคมันก็เลยต้องทำงานหนักสักหน่อย เพราะมันต้องวางแผนงานของแผนกมันด้วย ซึ่งพี่อาราจะเป็นคนให้คำปรึกษากับมันเอง ส่วนกูผู้มีหน้าที่เป็นวิทยากรของบริษัท หลังจากเขียนโปรแกรมเสร็จนอกจากกูจะต้องหาความรู้เรื่องฟาร์มมุกของเล่นของโจวอาราแล้ว กูยังต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทเพิ่มขึ้น เพราะอนาคตอันใกล้นี้ กูจะต้องคอยให้ความรู้กับพนักงานในทุกๆตำแหน่งที่อยู่ในเขตต่างจังหวัดเช่นทางตอนใต้ และตอนกลาง เพราะบริษัทของเราอ่อนในเรื่องการอบรมพนักงานนอกเขตโซลมากถึงมากที่สุด ดังนั้นมาตราฐานของการให้บริการและการทำงานจึงลดหลั่นกันอย่างเห็นได้ชัด และในทุกๆหกเดือนฝ่ายบุคคลก็จะจัดการอบรมที่ควบคู่ไปกับการทดสอบเชิงทฤษฏีให้พนักงานทุกสาขามาเข้าร่วม ซึ่งรายชื่อพนักงานก็จะสลับกันมาเข้าร่วมการอบรม เพราะบริษัทของเราจำเป็นต้องเอางานขายมาก่อน แต่ว่างานที่ได้มาตรฐานเองก็จำเป็นต้องมีเหมือนกัน เราเลยต้องยอมอบรมพนักงานหนึ่งคนจากทุกสาขาให้มีความรู้ให้มากที่สุด เพื่อเอากลับไปถ่ายทอดให้พนักงานท่านอื่นที่ประจำอยู่ที่สาขา ซึ่งในส่วนนี้มันจำเป็นต้องมีฝ่ายปฏิบัติการส่วนภูมิภาคเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฝ่ายนี้จะเป็นฝ่ายติดตามผลการอบรมว่ามันเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ จากนั้นก็จะเริ่มออกตรวจสาขาว่าได้ทำตามที่ได้รับความรู้มาหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ทำก็จัดไปเลย ใบเตือนงามๆกับโบนัสที่หายไป ..
                แต่ว่างานของกูยังไม่หมดแค่นั้น อย่าลืมว่ากูมีหน้าที่ประมงคอยค้ำคออยู่ ดังนั้นกูจะต้องทำงานนี้ควบคู่ไปกับงานอบรมที่พี่กูยัดเยียดให้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ยากมากเพราะมันไม่ใช่แนว และกูก็ไม่ได้หลงใหลฝักใฝ่ในหอยนะเว้ย ..
ให้ตายสิ กูยังคิดไม่ออกเลยว่ากูจะทำยังไงกับชีวิตของกูดี..

                กลับมาที่งานของไอ้มิสเทค จริงๆมันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาอยู่กับกูหรอก แต่เพราะว่าสาขาทางแถบต่างจังหวัดมันน่าเป็นห่วงโคตรๆ มิสเทคมันก็เลยจำเป็นจะต้องตะลอนไปตามภูมิภาคต่างๆของประเทศ ซึ่งถ้ามิสเทคมันมีผู้ช่วยที่จะเข้ามาเติมเต็มให้กับแผนกของมันจนครบ ก็อาจเป็นไปได้ว่าพนักงานในแผนกของมันจะรับหน้าที่ดูแลสาขาแค่คนละหนึ่งภูมิภาค และเมื่อถึงตอนนั้นที่มันเลือกได้ กูจะขอร้องแกมบังคับให้มันเลือกพื้นที่ทางตอนใต้และตอนกลาง เพื่อที่กูกับมันจะยังสามารถอยู่ด้วยกันได้ ..
กูเริ่มจะเชื่อแล้วล่ะว่า ที่ผ่านมามันเป็นแค่บททดสอบในแบบของโจวอาราเท่านั้น ..
                แต่ตอนนี้สถานการณ์ที่กูกำลังเผชิญ มันคือความจริงที่กูไม่อาจปฏิเสธได้ ..

                บริษัทของพี่กูต้องการทีมงานอย่างไอ้มิสเทค กูจะทำมันพังเพียงเพราะอยากให้มันอยู่ใกล้ๆก็คงไม่ได้ กูเลยได้แต่ภาวนาให้มันได้คนมาช่วยงานเร็วๆ ก่อนที่การทำงานของแผนกของมันจะเริ่มขึ้นอย่างเต็มตัวในปีหน้า และสำหรับหน้าที่นายหัวตัวดำที่กูจำเป็นต้องรับมาทำอย่างช่วยไม่ได้นั้น กูก็เพิ่งจะรู้ว่าจริงๆแล้วโจวอาราก็แค่อยากใช้เป็นที่พักผ่อน ดังนั้นหากกูไปบริหารงานที่นั่น การหนีงานมาพักผ่อนบ่อยๆของโจวอาราก็จะไม่โดนข้อครหา ดังนั้นฟาร์มมุกจึงมีข้อดีหลายอย่างสำหรับพี่กู แต่มีข้อเสียหลายอย่างสำหรับกูมาก
                เรื่องเกี่ยวกับฟาร์มมุกพี่กูเคยไปเข้ารับการอบรมมาแล้ว และก็ได้ผู้ชำนาญการมาร่วมงานด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครหรอก เป็นชาวประมงแถวๆนั้นแหละ พี่บอกให้กูคิดซะว่าช่วยให้ชาวบ้านแถบนั้นมีงานทำ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็จะได้เป็นไปตามมาตราฐานตามที่เราต้องการด้วย เพราะหากไปรับซื้อไข่มุกจากที่อื่น ก็อาจจะไม่ได้มุกที่คุณภาพดีอย่างที่คิด
                ฟังๆไปกูนี่อยากจะเบะปาก เพราะมันคือข้ออ้างล้วนๆ
                สำหรับกูในเรื่องนี้ ยังไงโจวอาราก็ยังมีความคิดแบบเด็กๆอยู่ดี ..

                “พ่อไปเปลี่ยนน้ำมาให้แม่หน่อย ..เอาน้ำอุ่นนะพ่อ ..” ผมที่กำลังเดินเข้ามายืดเส้นยืดสายแถวๆสระว่ายน้ำมีอันต้องหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อแม่ตะโกนร้องเรียกพ่อ และกำลังยื่นแก้วพลาสสติกมาทางผม เนื่องจากแม่คิดว่าคนที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในบริเวณนี้คือพ่อ ..
                 ผมเดินเข้าไปหาแม่ด้วยความเงียบเชียบ จากนั้นผมก็รับแก้วพลาสสติกใสที่มองเห็นอย่างชัดเจนว่าน้ำในแก้วนั้นมันเลอะเทอะแค่ไหน ขณะที่แม่กำลังให้ความสนใจกับการแต่งแต้มสีลงบนกำแพงบ้าน เพื่อไม่ให้สีสันมันซีดเซียวเพราะแสงแดด

                ตอนนี้ทั้งบ้านผมมีแค่พ่อกับแม่ ส่วนพี่อารากับมิสเทคออกไปสัมภาษณ์งานอีกไม่นานก็คงจะกลับ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าพ่อกับแม่หายโกรธผมหรือยัง เพราะตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้พวกท่านก็แค่ดูแลผมในรูปแบบเดิม เพียงแต่เราไม่เคยเปิดอกพูดคุยกัน ซึ่งในส่วนนี้อาจเป็นผมเองที่ขี้ขลาดก็เลยไม่เปิดโอกาสให้พวกท่านเข้ามาพูดคุยด้วย เพราะผมปิดกั้นตัวเองด้วยการขลุกตัวอยู่แต่กับงาน เพิ่งจะมีวันนี้ที่ผมยอมเดินออกมาจากกรอบที่ผมสร้างขึ้น ..
                “นั่งจ้องคอมพิวเตอร์นานๆมันไม่ดีหรอก .. พักคุยกันสักหน่อย ค่อยกลับมาทำต่อจะดีกว่าไหม ..” ผมวางแก้วน้ำอุ่นที่ผมไปเปลี่ยนให้ลงกับพื้นข้างๆแม่ จากนั้นผมก็เตรียมจะปลีกตัวออกมาจากพื้นที่ตรงนั้น แต่เพราะคำพูดของแม่และการมาของพ่อทำให้ผมหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ ..

               
                “ช่วงนี้เหนื่อยหน่อยนะ ..” พ่อพูดพลางเดินเข้าไปหาแม่ แล้วก็หยิบพู่กันขึ้นมาแท่งหนึ่ง เพื่อช่วยแม่ลงสีตามรอยจางๆรอยเดิมที่เป็นรูปบานหน้าต่างสวยๆและกระถางดอกไม้เล็กๆที่วางตั้งอยู่ตรงริมระเบียงอย่างตั้งใจ แต่คำพูดที่พ่อเอ่ยออกมา มันกลับบ่งบอกได้ว่าท่านกำลังพูดกับผมอยู่ ซึ่งขัดกับท่าทางที่เอาแต่ให้ความสนใจกับการลงสีอยู่มาก

                “ครับ ..
                “ถ้าไม่ชอบงานที่พี่เขาให้ทำ .. ทำไมไม่ปฏิเสธไปล่ะ ?” แม่ถามผม พลางหันมาจ้องมองตรงๆ

                ….” ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพราะผมกำลังดีใจจนน้ำตาแทบซึม ซึ่งจริงๆแล้วเหตุผลที่ผมยอมทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบ ไม่ได้มีเพราะเหตุผลที่ว่าผมอยากอยู่ใกล้ๆไอ้มิสเทค หรือว่าผมหลีกทางให้เพื่อนได้ดี แต่ผมแค่อยากทำอะไรเพื่อพี่ผมบ้าง อย่างน้อยเวลาที่พี่เหนื่อย พี่ก็จะได้ไปหาผมที่เกาะและเป็นที่พักพิงให้พี่ได้ หรือถ้าพ่อกับแม่อยากไปเที่ยวทะเล ผมก็จะได้ดูแลท่านทดแทนในช่วงเวลาที่ผมคอยแต่จะทำร้ายจิตใจท่าน เหตุผลของผมมันก็มีแค่นี้ แต่ผมไม่สามารถขยับปากพูดมันออกไปได้
                ปกติเชจูจะเป็นสถานที่พักผ่อนของพ่อกับแม่ ผมก็แค่หวังว่าต่อไปเกาะที่ผมอาจจะเป็นคนพัฒนามันให้ยิ่งใหญ่กว่านี้ จะได้เป็นที่พักพิงของพ่อกับแม่บ้าง ในหัวของผมจริงๆมันคิดวางแผนอะไรเอาไว้เยอะ ผมถึงไม่ค้านกับการกระทำแบบเด็กๆของพี่
เพราะเหตุผลของผมมันไม่ได้มีแค่เพื่อเพื่อนและเพื่อคนรักเพียงอย่างเดียว ..

“อ้าวคยูฮยอนจะร้องไห้ทำไมล่ะนั่น ? ไหนแกเดินมาหาแม่กับพ่อซิ ..” ผมไม่รู้ตัวเองเลยว่าผมเผลอร้องไห้ออกไปตอนไหน แถมขาของผมก็ยังก้าวไม่ออกอีกต่าง ความรู้สึกมันดีใจมาก ดีใจจริงๆที่ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ที่นี่ พ่อกับแม่ก็พูดกับผมแล้ว ..
                “ลูกผู้ชายที่ไหนเขาร้องไห้กันง่ายๆวะ ..” พ่อส่ายหัว แล้วก็หันไปให้ความสนใจกับการลงสีกำแพงบ้านต่อไป ผมก็เลยค่อยๆก้าวเดินเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกท่าน ตามที่แม่ชักชวน ..

                “ผมขอโทษ ..” แค่แม่รั้งผมเข้าไปกอด น้ำตาของผมก็ไหลออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก ยิ่งพ่อตบหลังปลอบผมเบาๆ ผมก็ยิ่งสะอื้นจนตัวโยน
                “ถ้าแกรู้สึกผิดก็อย่าทำนิสัยเสียแบบนั้นอีก ..” พอแม่บอก ผมก็รีบพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว

                “ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วครับ ผมเสียใจที่ผมทำให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า .. แต่หลังจากนี้ไปผมจะไม่ทำตัวแบบนั้นแล้วจริงๆครับ ผมสาบานได้ ..” ผมเงยหน้าขึ้นจากอกแม่พร้อมกับมองจ้องเข้าไปในดวงตาของพวกท่าน
               

                “ผมพูดจริงๆนะ ..พ่อ ..แม่ .. ผมเลิกทำนิสัยเสียแบบนั้นตั้งแต่ที่ผมเจอมันแล้ว .. จนถึงตอนนี้ผมก็เลิกหมดทุกอย่าง .. พ่อกับแม่เชื่อผมนะครับ ..” ผมเริ่มใจเสียอีกครั้ง เมื่อพ่อกับแม่เอาแต่ลงสีกำแพงตรงหน้าและไม่สนใจผมอีกเลยตั้งแต่ผมให้คำสัญญาเมื่อครู่ไป
                “รักเขามากสินะ แกถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ..” แม่พูดขึ้นหลังจากที่ผมเริ่มจะสติแตก

                “ก..โกรธผมเหรอที่ผมเปลี่ยนตัวเองไม่ใช่เพื่อพ่อกับแม่ ..” ผมถามเสียงสั่น ณ ตอนนี้ผมกังวลไปหมด เพราะไม่ว่าอะไรก็สามารถเป็นชนวนให้เกิดความเข้าใจผิดได้ทั้งนั้น
                “สำหรับพ่อกับแม่ แค่แกรู้สึกผิดกับการกระทำของแกสมัยก่อน พ่อกับแม่ก็ถือว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว .. ไม่ว่าแกจะเปลี่ยนไปเพราะใคร มันไม่สำคัญหรอก เพราะมันสำคัญตรงที่ว่า ณ ตอนนี้แกทำตัวให้พวกเราภูมิใจได้มากน้อยแค่ไหน ..” แม่พูดพลางลูบหัวผมให้สงบลง

                “แล้วตอนนี้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวผมได้บ้างไหม ..” ผมถามเสียงแผ่วพลางก้มหน้ามองสีน้ำอะคลีลิคตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
                “ก็พอจะได้อยู่ .. เพราะการที่แกรู้สึกผิดกับสิ่งที่แกทำไว้ มันทำให้ฉันรู้ว่าแกยังมีหัวใจอยู่บ้าง ..” ถึงพ่อจะตอบอย่างไว้เชิง แต่ผมก็ยังยิ้มแป้นทั้งน้ำตากับสิ่งที่พ่อพูด

                “แล้วก็เรื่องแบบนั้น ถึงพ่อกับแม่จะทำใจยอมรับคนที่แกรักได้ แต่ก็ใช่ว่าแกจะมาทำตัวประเจิดประเจ้อแบบนั้นนะ เรื่องส่วนตัวแม่ก็อยากให้มันเป็นเรื่องส่วนตัว บ้านเรามีแม่บ้านจากบริษัทมาคอยให้ความดูแลอยู่ตลอด แม่ไม่อยากให้ใครเอาไปนินทา เพราะมันจะมีแต่เสียกับเสีย ..
                “โถ่แม่ .. ก็ตอนนั้นมันไม่มีแม่บ้านสักหน่อย .. แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นด้วย มันฉุกเฉินเถอะ” ผมรีบเถียงออกไปด้วยความลืมตัว ผมก็เลยโดนพ่อซัดกะบาลเข้าให้

                “ฉันล่ะปวดหัวกับแกจริงๆคยูฮยอน .. เอาเป็นว่าแกควรจะระวังตัวให้มากกว่านี้ .. และแกควรจะเกรงใจพ่อกับแม่ด้วย เพราะพ่อกับแม่ไม่ได้ทำใจยอมรับได้ทุกเรื่องของแกกับเด็กคนนั้นหรอกนะ ..” แม่บ่นผมใหญ่ ให้ตายเถอะ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่นี่ผมก็ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่ามกับมันเลยนะ เวลางานผมก็ทำงาน ไม่ได้ทำตัวหมกมุ่นสักหน่อย ..
                “อะไรอ่ะแม่ ผมวางตัวไม่ดีตรงไหน เวลาทำงานผมก็ทำงาน ผมไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามสักนิด ..” ผมเถียงอย่างเคืองๆ

                “ก็เพราะแกรู้จักการวางตัวไง พ่อกับแม่ถึงได้พยายามจะทำใจยอมรับให้ได้ว่าแกเลือกแล้วที่จะรักคนนี้ .. ไม่ว่าจะเพศไหนก็ช่าง เราจะพยายามมองข้ามจุดนี้ไป .. ฉะนั้นถ้าแกจะทำอะไรที่มันเกินเลย พ่อกับแม่ก็ไม่คิดจะห้าม แต่อยากให้แกระวังตัวสักหน่อยจะดีมาก เหตุผลก็อย่างที่บอกไปนั่นล่ะ ..
                “พ่อกับแม่ไม่ได้รังเกียจซองมินมันใช่ไหมครับ ?” ผมถามอย่างดีอกดีใจจนเนื้อเต้น

                “ในเมื่อแกคิดจริงจังกับเขา พ่อกับแม่ก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปรังเกียจเขา เพียงแต่ ณ ตอนนั้นพ่อกับแม่ก็พูดและแสดงออกไปตามเนื้อผ้า ..” พ่อลูบหัวผมอีกแล้ว รู้สึกอบอุ่นจริงๆ
                “จริงๆแล้ว ถ้าเขาคือคนที่แกคิดจริงจังด้วย แกก็น่าจะทำตัวให้แตกต่างจากคนอื่นนะคยูฮยอน พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องมองเขาเหมือนผู้หญิงพวกนั้นของแก ..” เอาอีกแล้ว ผมก็เพิ่งจะบอกไปหยกๆว่ามันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายสุดๆ

                “โธ่แม่อ่ะ .. มันเป็นเหตุสุดวิสัย .. ผมไม่ได้จะพามันมาทำเรื่องแบบนั้นในบ้านนะ แค่นี้ยังแตกต่างไม่พออีกเหรอ?” ผมเถียงแทบจะทันที ก่อนมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ..
                “หึ .. อย่าลืมพาเขามาแนะนำพร้อมกับของขวัญของแม่ก็แล้วกัน ..” แม่ยกยิ้มแล้วก็ทวงคำสัญญาจากผม

                “ดีกันได้สักทีเนอะ ..” พี่อาราพูดแทรกบทสนทนาระหว่างเราสามคนพ่อแม่ลูก เลยทำให้ผมหันไปเจอไอ้มิสเทคกำลังยืนยิ้มอยู่ ท่าทางมันจะได้ยินแล้วล่ะสิว่าแม่ผมอยากรู้จักกับมันแล้ว
                “เสร็จงานแล้วเหรอ เป็นยังไงได้คนหรือเปล่า ?” ผมถามพี่สาวตัวเอง พร้อมกับยกยิ้มตอบไอ้มิสเทคที่ยิ้มจนตาปิด

                “ก็ได้ แต่ยังไม่ครบ ..” ผมพยักหน้ารับรู้
                “แล้วมึงจะกลับยังไง ?” ผมถาม เพราะปกติผมจะเป็นคนไปรับมันมาทำงานที่บ้านทุกวัน แต่วันนี้มันเข้าออฟฟิศ ผมไม่แน่ใจว่ามันเอารถของมันมาหรือเปล่า

                “แท็กซี่มั้ง” มิสเทคมันตอบนิ่งๆ
                “เดี๋ยวกูไปส่ง ..” ผมบอกพลางยืนขึ้นเต็มความสูง

                “อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ ..” พ่อเป็นฝ่ายเอ่ยชวนไอ้มิสเทค
                “อ..เอ่อ .. คือ .. น้องชายของผมทำมื้อเย็นรอแล้วครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆครับที่ตอบรับคำเชิญไม่ได้ ผม ..” มิสเทคมันทำสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด

                “ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปทานเถอะ เดี๋ยวคนทำเขาจะเสียน้ำใจเอา .. ส่วนแกกลับมากินฝีมือแม่นี่ ..” แม่หันไปพูดกับไอ้มิสเทค แล้วก็หันมาสั่งเสียงเข้มใส่ผม
                “รู้แล้วครับ .. เสียใจล่ะซี้ที่ก่อนหน้านี้ผมไม่กลับมากินฝีมือแม่อ่ะ .. ก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ แม่ไม่ยอมมาง้อผมก่อนเอง ..” ผมเดินไปกอดเอวแม่ พร้อมกับวางปลายคางลงบนลาดไหล่ของแม่อย่างหยอกเย้า

                “พ่อ .. แม่ว่าเราน่าจะโกรธไอ้เด็กนี่ไปอีกวันสองวันเลยเนอะ .. ทำตัวน่าหมั่นไส้จริงๆ” แม่หันไปถามความเห็นกับพ่อ พลางขยี้หัวผมใหญ่
                “พ่อว่ามันทำตัวน่ากระทืบมากกว่ามั้งแม่ ..

                “โหดเกิ๊นนนนนนนนนน” ผมกระโดดออกห่างจากแม่ และพูดลากเสียงยาวใส่พ่อ จากนั้นก็คว้าข้อมือไอ้มิสเทคหลบส้นตีนพ่อตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเพราะพ่อปารองเท้าใส่ในบ้านเข้ากลางหลังผมเต็มๆ
                แต่ผมกลับมีความสุขจนหยุดเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ซะงั้น ..
               
                “ยิ้มอะไรของมึงมิสเทค ?” ผมถาม ระหว่างที่รถกำลังติดไฟแดง
                “ยิ้มเพราะมึงไง ..” แค่มันตอบออกมาแบบนั้น ผมก็เข้าใจในความหมายแอบแฝงได้ทันที เพราะมันไม่ได้แค่ยิ้มเพราะผมยิ้ม แต่มันยิ้มเพราะมันเองก็มีความสุขไปกับผมด้วย ที่ผมสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้แล้ว และมันก็คงจะดีใจที่พ่อกับแม่ผมไม่ได้รังเกียจมัน

                “มึงเองก็คงจะดีใจใช่ไหมล่ะที่พ่อกูชวนมึงกินข้าว ..” ผมลูบหัวไอ้มิสเทคเบาๆ
                “อืม .. ตอนนั้นมือกูเย็นไปหมด .. อาการเกร็งๆเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่มึงหายไปเลย ..” มิสเทคมันตอบ และผมก็เชื่อ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่กล้ายิ้มออกมาตอนนั้นหรอก

                “กูดีใจมากเลยว่ะ ดีใจจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกเลย ..” ผมบอกมันพลางเริ่มขับรถต่อไป เพราะตอนนี้สัญญาณไฟจราจรมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเรียบร้อยแล้ว
                “กูรู้ .. ดีใจด้วยนะ ..” มิสเทคมันยกยิ้มน่ารักใส่กูอีกแล้วแม่งเอ้ย กูอยากจูบมันว่ะ แต่กูขับรถอยู่มันทำอะไรแบบนั้นลำบาก ..

                “ให้กูลงไปส่งมึงถึงหน้าประตูบ้านเลยนะมิสเทค ..” ผมปลดเข็มขัดนิรภัย พร้อมกับเปิดประตูตามไอ้มิสเทคที่พยักหน้าตอบรับคำขอของผมแล้วก็ลงจากรถไป ผมก็เลยเดินตามเงาของมันทีละก้าว จนกระทั่งไอ้มิสเทคมันหยุดการก้าวเดินอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของมัน ..
                “ขับรถกลับบ้านดีๆนะมึง ..” มิสเทคมันหันหน้ากลับมาหาผม พลางอวยพรให้ผมเดินทางอย่างปลอดภัย

                “อืม ..
                “กูเข้าบ้านนะ ..” มิสเทคมันบอก แล้วก็หันหลังเปิดประตูบ้านพร้อมกับแทรกตัวเข้าไปในบ้าน แต่กูดันจับขอบประตูบ้านของมันเอาไว้ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทลง ..

                “ฝันดีนะมิสเทค มึงไม่มีกูคอยนอนกอดมึงแล้ว .. คืนนี้จะโทรหากูกลางดึกอีกไหม ?” ผมถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไอ้มิสเทคที่มันยื่นหน้าออกมาด้านนอกบานประตูที่เปิดแง้มอยู่ ..
                “มึงอยากให้กูโทรหามึงไหมล่ะ ?” มิสเทคมันถาม พลางมองตาผมอย่างรอคอยคำตอบ ..

                “มึงยังต้องถามอีกเหรอวะ .. กูน่ะก็มีอาการเดียวกับมึงเลย ถึงมึงไม่โทรกูก็ต้องโทรหามึงอยู่ดี ..” ผมพูดพลางโน้มใบหน้าและพาริมฝีปากแตะลงบนริมฝีปากเล็กๆของมันอย่างแผ่วเบาแต่เนิ่นนานโดยไม่มีการล่วงล้ำแต่อย่างใด
                ซึ่งนับได้ว่าจูบนี้ระหว่างเราเป็นจูบที่อ่อนโยนที่สุดแล้ว ..

                “กูจะรอรับโทรศัพท์มึงนะ .. ฝันดี ..” โอยยยยยย ไอ้เหี้ย! คือมิสเทคมันทำกูใจสั่นทั้งๆที่มันแทบไม่ได้ทำเชี่ยอะไรเลยสักนิด แต่ใจไม่รักดีของกูเสือกเป็นบ้าเป็นบอกับความน่ารักของมันที่มีแต่จะทำให้กูเป็นบ้า
                ให้ตายเถอะ ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไง แล้วจะไม่ให้กูฟิวส์ขาดยังไงไหว ..
                สำหรับเรื่องของมัน .. กูน่ะ .. ไม่เคยควบคุมตัวเองได้เลยสักครั้งเดียว

                “กลับบ้านไปได้แล้ว ยืนทำบ้าอะไรของมึง ?” มิสเทคมันตะโกนอยู่ตรงหน้าประตูรั้ว โดยที่กูไม่รู้ตัวเลยว่ามันมายืนอยู่ตรงนี้ตอนไหน ในเมื่อมันเดินเข้าบ้านไปแล้ว
และที่สำคัญกูเดินกลับมาที่รถตอนไหนวะนั่น
แม่ง สติเว้ยสติ กูควรต้องมีสตินะเว้ยเฮ้ย!
           
                “สัส กูกำลังจะเป็นบ้า ไอ้เชี่ย กูกำลังจะสติแตก .. มึงอย่าน่ารักกับกูนักจะได้ไหมวะ กูจะบ้าตายแล้วนะเว้ย ..” ผมเดินเข้าไปคว้าตัวมันมากอดแน่นๆเพราะความหมั่นไส้ล้วนๆ
                “ก็มึงทำตัวดี แล้วทำไมกูถึงต้องทำตัวไม่ดีกับมึงด้วย .. มึงชอบความไม่แฟร์แบบนั้นเหรอ ?” มิสเทคมันกอดตอบผม พลางย้อนถามกลับมา

                “ไอ้สัส กูชอบที่มึงทำแบบนี้ แต่ผลเสียคือมันทำให้กูเกือบจะหน้ามืดจนกลายเด็กไม่ดีอยู่แล้ว เพราะมันทำให้กูไม่อยากกลับไปกินข้าวบ้าน ..
                “เดี๋ยวคนทำเขาจะเสียใจนะมึง ..” มิสเทคมันบอก ซึ่งข้อนี้ผมก็รู้เพราะแม่พูดดักคอไว้แล้ว

                “ก็ใช่ไง ..
                “งั้นก็รีบกลับไปกินข้าวที่บ้านได้แล้ว ..” มิสเทคมันผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม แล้วก็ดันหลังผมให้เดินไปที่รถ ซึ่งผมก็อิดออดพอเป็นพิธี เพื่อถ่วงเวลาที่จะได้อยู่กับมันอีกสักหน่อย เพราะวันนี้ทั้งวันผมยังไม่ได้เห็นหน้ามันเลย

                “มิสเทค ..” ผมยังไม่ยอมออกรถ แม้ว่าจะเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
                “อะไร ?” มิสเทคมันท้าวขอบหน้าต่าง และยื่นหน้าเข้ามาถามผม

                “เดี๋ยวกูโทรหานะ ..
                “อืม .. แล้วกูจะคอย .. ไปได้แล้วมองเชี่ยไรนักหนา ..” มิสเทคมันหน้าแดงซ่านเมื่อผมเอาแต่มองจ้องมันตอบอย่างไม่ลดละ

                “มึงก็ถอยไปสิ หรือมึงอยากให้กูลากมึงไปที่บ้านด้วย?” ผมยักคิ้วพลางมองท่าทางของมันที่กำลังท้าวขอบหน้าต่างคุยกับผมอยู่ ซึ่งถ้าผมทำตามคำบอกเล่าของมันล่ะก็นะ กูคงได้กลายเป็นฆาตกรใจโหดฆ่าเมียอย่างทารุณโดยการลากร่างของเมียวิ่งขูดไปตามถนนล่ะมั้งนั่น
                “สัส!” ไอ้มิสเทคมันกระเด้งตัวถอยห่างจากตัวรถทันที เพราะมันเริ่มรู้ตัวแล้วว่าผมรู้ทันว่าที่มันไล่ผมเมื่อครู่ จริงๆก็แค่อาการเขินกลบเกลื่อน ซึ่งไม่เนียนเลย เพราะถ้ามันจะให้กูออกรถไปจริงๆ มันก็ควรจะเอาตัวเองเข้าบ้านก่อนมั้ย กูจะได้ขับรถออกไปได้อย่างสบายใจ ..

                “เข้าบ้านดิ ..” ผมพยักเพยิดบอกมันให้เข้าบ้าน ซึ่งมิสเทคมันก็ไม่รอช้ารีบวิ่งหายเข้าไปทันที เพราะมันสู้สายตาของกูไม่ไหว ส่วนกูก็ได้แต่หัวเราะกับความสุขที่เกิดขึ้น แม้ว่ามันจะน้อยนิด แต่พอจับมันมาร้อยเรียงร่วมกันก็กลายเป็นความสุขที่มากมายได้เหมือนกัน ..

                 ครืด ครืด ..

                “รีบๆกลับไปได้แล้ว ไอ้สัส กูก็เข้าบ้านแล้วไง ..” ทันทีที่ผมกดรับสาย มิสเทคมันก็ส่งเสียงไล่ผมทันที
                “ทำไมมึงกลัวกูจะเปลี่ยนใจเป็นเด็กไม่ดี หรือมึงกลัวตัวเองจะเปลี่ยนใจไม่ลากกูเข้าบ้านกันแน่วะ” ผมยอกย้อนและไม่ยอมออกรถเหมือนเดิม

                “สัส”
                “คำก็ด่าสองคำก็ด่า มึงรู้อะไรมั้ย คำด่าของมึงยิ่งทำให้กูรู้ว่ามึงกำลังเขิน .. แสดงว่ามึงกำลังคิดอย่างหลังอยู่ล่ะสิ”

                “อ..ไอ้”
                “อย่าด่านะมึง ถ้ามึงด่ากูจะรีบลงจากรถไปหามึงถึงห้องนอนเลยมิสเทค เพราะอะไรรู้มั้ย ถ้ามึงด่าอีกครั้ง มันก็เท่ากับว่าสิ่งที่กูกำลังคิดมันคือเรื่องจริง ..

                “เออ .. มึงคิดถูก แต่มึงกลับไปเถอะ กูไม่อยากให้มึงมีปัญหากับที่บ้านอีก ..” มิสเทคมันตอบเสียงเรียบกลับมา และมันก็ทำให้กูใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
                “ครับ .. แค่นี้นะ เดี๋ยวสี่ทุ่มกูโทรหา ..

                “อืม .. กูจะรอ ..

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 


                 มาต่อแล้ว อาจจะช้าไปหน่อย ที่ปั่นไว้หายหมดเพราะคอมค้างแล้วมันเซฟไม่ติด ปัญหาคลี่คลายหมดแล้ว เหลือเรื่องความรักแหละเนอะที่ยังคาราคาซังอยู่ หวังว่าอ่านตอนนี้แล้วจะยิ้มได้เนอะ ไม่มีอะไรมากมาย แต่มันก็น่ารักในแบบฉบับของคนเพี้ยนกับมิสเทคแหละน่า อิอิ
Edit : แก้ไขคำผิด 16-03-15

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น