วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 41

Mistake


Mistake 41

            กูนี่อยากจะถีบไอ้ซองจินให้หน้าคว่ำ เพราะมันไม่ยอมให้ไอ้มิสเทคมันมานอนค้างบ้านกูอย่างที่วางแผนกันไว้ โดยมันให้เหตุผลว่า สัญญาต้องเป็นสัญญา คนไม่รักษาสัญญาเท่ากับจอมลวงโลก ..
                มิสเทคที่จนมุมต่อคำสัญญาของตัวเองที่เคยบอกเอาไว้ว่ามันจะแบ่งเวลาให้ผมกับน้องชายของมันคนละเท่าๆกัน เจอแบบนี้มันก็พูดไม่ออกปฏิเสธไม่ถูก กูถึงได้มานั่งเซ็งอยู่นี่ไง เพราะกูดันไปคุยกับพี่สาวกูแล้วว่ากูจะให้พี่ช่วยพากูกับมันเข้าบ้านแบบมีข้ออ้างเรื่องงานงั้นงี้ ซึ่งพี่กูก็ตอบตกลงและช่วงนี้จะทำงานอยู่ที่บ้านแทนการนั่งประจำการที่บริษัท พร้อมๆกับออกคำสั่งให้แผนกทรัพยากรบุคคลออกหนังสือโยนย้ายกูกับมันเพื่อเข้าบรรจุในแผนกใหม่อย่างฝ่ายปฏิบัติการส่วนภูมิภาค หรือเรียกย่อๆว่า CRM ทันที ..
                แต่สุดท้ายแผนการหอบหิ้วไอ้มิสเทคให้ห่างไกลจากศัตรูของกูก็ล่มสลายเพราะไอ้ซองจินคนโง่บรมแท้ๆ

                “เห้อ ..” ผมนั่งอ่านข้อมูลการทำฟาร์มมุกอย่างเซ็งจิต เพราะอะไรๆมันก็ดูจะไม่เข้าข้างผมสักอย่าง แถมผมยังมารู้เอาทีหลังอีกว่า พี่อารากำลังหลอกผมให้กล้าสู้หน้าทุกคน โดยที่ผมเป็นฝ่ายหลงเดินเข้าไปติดกับดักอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งมันเป็นวิธีที่ชาญฉลาดมากๆสมกับเป็นผู้บริหารระดับสูงจริงๆ
                เพราะโจวอาราดันหลอกซะกูเชื่อเลยว่าพ่อกับแม่หายโกรธกูแล้ว พอเมื่อวานกูเริ่มกลั้นใจเปิดเครื่องหลังจากที่กูไม่ได้เปิดมันเสียนานได้ กูก็พบว่ากูโดนต้มจนเปื่อยเลย เพราะหน้าจอโทรศัพท์ของผมมันมีแต่ความว่างเปล่า ข้อความสักข้อความเข้ายังไม่มีเลย ..
ซึ่งมันบ่งบอกได้ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้คิดจะโทรหาผมเลยตั้งแต่ที่ผมหนีออกจากบ้านตอนกลางดึกเมื่อวันนั้น ..
               
                “พวกมึงจะย้ายแผนกจริงๆดิวะ ..” ไอ้ชางมินมันมองหน้าผมสลับกับไอ้มิสเทคที่มันกำลังนั่งทำงานส่วนสุดท้ายที่มันต้องรับผิดชอบ เพราะวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายแล้วที่ผมทำงานของแผนกไอที ส่วนไอ้มิสเทคก็เป็นวันสุดท้ายที่มันจะทำงานของแผนกการตลาดเช่นกัน ..
                “อืม .. พวกมึงอาจไม่ได้เจอกูบ่อยๆ ไม่ต้องเศร้านะ” ผมหมุนเก้าอี้หันไปทางด้านหลัง พร้อมกับยักคิ้วกวนๆผิดจากตอนแรกลิบลับ เพราะผมตั้งใจว่าวันนี้ผมจะใช้เวลากับเพื่อนให้ได้มากที่สุด

                “ปัญญาอ่อน มึงเอาอะไรมามั่นใจว่าพวกกูจะเศร้า โถ ไอ้สัส ช่างกล้า ..” ไอ้เชี่ยมินโฮนี่มันน่าถีบให้ปากแตกจริงๆ กูรึก็อุตส่าห์หวังดี ไม่อยากบดบังความสามารถอันน้อยนิดของเพื่อนให้ได้แจ้งเกิดกับเขาบ้าง ยังจะเสือกปากดีใส่กูอีก ..
                เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวแม่งไม่ได้ตายดี ..

                “นอกจากมันจะชอบมั่นใจในหนังหน้าอันขุรขระของตัวเองแล้ว แม่งยังกล้ามั่นใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราด้วยเว้ย .. โถๆ มึงไม่รู้อะไรซะแล้ว จริงๆแล้วระหว่างมึงกับพวกกูมันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ในเชิงธุรกิจน่ะไอ้สัส” ไอ้ชางมิน ไอ้สัสหมา ทำไมมึงเป็นหัวหน้าที่ชั่วร้ายแบบนี้
                “สัส” กูแม่งอารมณ์เสียที่พวกมันไม่ได้สำนึกเลยว่ากูเป็นคนดีแค่ไหน เลวจริงๆ เลวแม่งยกกลุ่มนั่นแหละ

                “โถ ไอ้สัสแค่นี้ทำเป็นน้อยอกน้อยใจ .. โอ๋ๆ พวกกูโคตรไม่อยากให้มึงไปเลยครับคุณคยูฮยอน เพราะมันทำให้พวกกูเหงาปาก ไม่รู้จะด่าใคร ” ไอ้เชี่ย! กูแม่งอยากจะคลุ้มคลั่ง เพราะถ้าปากของพวกมันจะกวนเบื้องล่างกูแบบนี้ กูแนะนำว่าอย่ามารุมง้อกูจะดีกว่า
เพราะกูเป็นคนหยิ่งแล้วหยิ่งเลย
ฉะนั้นกูไม่มีทางลดตัวลงไปคืนดีกับพวกมึงๆทั้งหลายง่ายๆแน่
               
                “เห้อ ..” หลังจากมื้อเย็นที่น่าอึดอัดมันผ่านพ้นไป ผมก็เข้าห้องไอ้มิสเทคเพื่อมาอาบน้ำและนั่งหาข้อมูลเรื่องหอบมุกต่อ เพราะเนื่องจากว่าผมยังมีหน้าที่ นายหัวตัวดำ ผมกระเซิงเพราะต้องไปใช้ชีวิตตากแดดตากลมทะเลเพราะควบคุมคนงานให้อยู่ในกรอบในเขต พร้อมๆกับต้องบริหารจัดการอะไรหลายๆอย่างในฟาร์มด้วยตัวเอง ซึ่งถ้ามันมากเกินกว่าที่ผมจะรับผิดชอบไหว ท่านประธานอนุญาตให้ผมหาผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ช่วยผมได้หนึ่งคน แต่งานนี้แม่งไม่ใช่ทางกูเลยไง การจะหาผู้ช่วยมันเลยเป็นเรื่องยาก คงต้องอาศัยหาความรู้จากทางอินเตอร์เน็ต และเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องไปบริหารงานที่นั่นจริงๆ ผมคงต้องเรียนรู้จากคนงานที่พี่สาวผมจัดหามาให้อีกที
                พร้อมกันนี้กูยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยไอ้มิสเทคอีกต่างหาก เหตุเพราะหน้าที่นายหัว บางวันก็สามารถลอยไปลอยมาได้ ซึ่งพี่กูจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น จึงให้งานกูเพิ่มเน้นๆ
                มองๆดูแล้ว กูนี่มันกรรมกรทาสดีๆนี่เอง
               
                “มึงถอนหายใจทำไมอีกวะ ?” มิสเทคมันยืนพิงประตูห้อง พลางกอดอกถามผมที่นอนก้มหน้าเหม่อมองไอแพดของบริษัทอย่างเซ็งๆ
                “เซ็งน้องมึง เซ็งพี่กู และเซ็งเพื่อนกู .. แล้วอีกไม่นานกูก็อาจจะเซ็งมึง ถ้ามึงกวนตีนกู ..” ผมรีบดักคอมันเลย หลังจากที่มันหัวเราะหึในลำคออย่างเจ้าเล่ห์

                “พาลว่ะมึง ..” มิสเทคมันส่ายหัว แล้วก็ปิดประตูห้อง จากนั้นมันก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อนอนมาเตรียมตัวไปอาบน้ำ ส่วนกูหลังจากที่มันหายหัวเข้าไปในห้องน้ำได้แล้ว ก็หันมาให้ความสนใจกับเนื้อหาในเรื่องที่กูกำลังศึกษาต่อไป
                “ที่ไหนวะ ?” มิสเทคมันทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน พลางเช็ดผมและมองรูปภาพที่ผมกำลังเปิดอยู่อย่างสนใจ

                “ฟาร์มมุกพี่กูไง แถวๆเกาะฮงโด” ผมเงยหน้าตอบ พลางเลื่อนปลายนิ้วสไลด์รูปถัดไปเรื่อยๆ
                “ท่านประธานนี่ความคิดก้าวไกลดีเนอะ ..” มิสเทคมันพูดอย่างชื่นชมในตัวพี่สาวของผม ซึ่งกูไม่เห็นจะรู้สึกอย่างนั้นเลยวะ เพราะการทำฟาร์มมุกนี่กูยังรู้สึกว่ามันเกินตัวสำหรับพี่กูอยู่ดี ..

                คิดดูคนเรียนแฟชั่นดีไซน์มา อยู่ๆเสือกมาทำฟาร์มมุกไปซับพอร์ตธุรกิจในเครือของตัวเอง แม่งมีที่ไหนวะ ลงทุนเกิน สงสัยเงินจะเหลือกินเหลือใช้ หรือไม่ก็คงหาเรื่องเทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองกรุงอันวุ่นวายกับเกาะเล็กๆอันเงียบสงบล่ะมั้งนั่น ..
                “ไกลเกินไปน่ะสิมึง ภาระถึงได้หล่นลงหัวกูนี่ ...” ผมบอกอย่างเซ็งๆกับนิสัยเด็กๆของพี่กู ที่ถ้าหากใครไม่รู้จักพี่กูดีพอ จะไม่มีทางรู้เลยว่าการที่โจวอาราลงทุนทำฟาร์มมุกเป็นของตัวเองเพื่อนำมาซับพอร์ตผลิตภัณฑ์ของตัวเองในอนาคตนี่มันนิสัยของเด็กที่กำลังได้ของเล่นชิ้นใหม่ชัดๆ ..
                ซึ่งของเล่นที่ว่าแม่งก็ดันเป็นของเล่นที่เจ้าตัวใฝ่ฝันอยากจะทำอยู่แล้วด้วย
                บอกแล้วไง เรื่องทะเลขอให้บอก โจวอารานี่จัดหนัก จัดเต็มตลอด ..
               
                “ถ้ามึงต้องไปอยู่ที่นั่น แล้วจะดูแลสาขาได้ยังไงวะ ?” มิสเทคมันถามอย่างสงสัย
                “ไม่รู้วะ เดี๋ยวพี่กูคงให้คำแนะนำพรุ่งนี้อีกทีล่ะมั้ง .. เผลอๆมึงอาจรับหน้าที่ CRM คนเดียวเหนาะๆ ส่วนกูทำประมงชัวร์ๆ” ผมท้าวแขนกับท้ายทอย พลางนอนตะแคงมองหน้าไอ้มิสเทค โดยปล่อยให้ไอแพดที่เพิ่งจะได้มาครอบครองมันไร้ความจำเป็นต่อไป ..

                “แต่จากที่ฟังพี่กูพูดคร่าวๆ กูเดาเอาเองว่าต่อไปถ้ามีเทรนประจำปีหรือไม่ก็เทรนประจำเดือน อาจจะให้พนักงานเดินทางมาฟังอบรมที่นี่ ประมาณว่าจัดเป็นสวัสดิการพนักงานให้เที่ยวไปในตัวเลยล่ะมั้งมึง .. กูอาจต้องเป็นคนรับหน้าที่เป็นวิทยากรคอยอบรมเรื่องการขายและอื่นๆที่ฝ่ายบุคคลจะคิดหลักสูตรเอาไว้ ส่วนมึงก็คอยโทรเช็คสาขา แล้วก็ออกตรวจทุกๆสามเดือน ส่วนเรื่องพนักงานเห็นว่าจะสัมภาษณ์กันทางโทรศัพท์ ถ้าผ่านก็ให้ซุปเปอร์ไวเซอร์พิจารณาอีกทีว่าโอเคมั้ยกับคนนี้ .. มึงได้ไปๆมาๆระหว่างเกาะกับสาขาแน่ๆไม่ต้องห่วง ..” ผมบอกแผนการคร่าวๆให้มิสเทคมันรู้ เพราะวันนั้นที่ผมเข้าไปคุยกับพี่อารา ผมตั้งใจจะเอาเรื่องงานมาอ้างเพื่อให้ได้กลับบ้าน เพราะแผนกนี้มันยังไม่มีที่ทำงานไง กูเลยจะโมเมเอาที่บ้านเป็นที่ทำงาน ก็เลยได้คุยรายละเอียดกันนิดหน่อย
                “ฟังดูเหนื่อยดี ..” มิสเทคมันยิ้มพร้อมกับเช็คผมของมันต่อไป ขณะที่ผมกำลังมองจ้องมันนิ่งๆ เพราะคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้นอนกอดมัน ..

                “แบบนี้ไม่ต่างกับกูอยู่สำนักงานใหญ่ แล้วมึงไปตะลอนตรวจสาขาเลยสัส .. กูเข้าใจเลยว่าทำไมพี่กูถึงคัดค้านไม่ยอมให้มึงลาออก .. เพราะยังไงกูก็ต้องห่างจากมึงอยู่ดี ฉะนั้นการลาออกไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีจริงๆด้วย โถ .. ที่แท้ก็แค่เอากูมาห้อยเป็นติ่งๆกับแผนกของมึงน่ะสิวะ ผู้ช่วยห่าอะไรล่ะ หลอกลวงกูอีกแล้ว ..” ผมทิ้งตัวลงนอนและหลับตาลงอย่างปลงตกกับความเจ้าเล่ห์ของโจวอารา
                “หึหึ .. พี่มึงหลอกลวงอะไรมึงนอกจากเรื่องนี้อีก หืม ?” มิสเทคมันลุกเอาผ้าเช็ดตัวไปแขวนที่ราวไม้ตรงมุมหน้าห้องน้ำ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงที่เดิม เพียงแต่ปลายนิ้วชี้ของมันกำลังแตะเบาๆลงบนเปลือกตาของผม

                “พ่อกับแม่ยังไม่หายโกรธกูเลย .. เพราะมันไม่มีสายที่ไม่ได้รับอย่างที่พี่กูพูดสักนิด .. กูเริ่มไม่อยากกลับไปแล้ว กูเกร็ง .. กูกลัวทำตัวไม่ถูก .. กูกลัวกูอ่อนแอมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ ..” ผมคว้าข้อมือของไอ้มิสเทคมันมากอดไว้ พลางมองตามันอย่างออดอ้อน
                “มึงหนีไม่ได้ตลอดหรอก ที่พี่มึงทำมันถูกต้องแล้ว .. มึงไม่เห็นต้องกลัวเลยวะ จะอ่อนแอก็ช่างสิ มึงอ่อนแอเพราะเรื่องที่สมควร ไม่ใช่เรื่องงี่เง่าสักหน่อย .. มึงต้องอยู่คนเดียวแค่ตอนกลางคืนเองนะ มึงจะกลัวอะไร กลางวันกูก็ต้องไปนั่งวางแผนงานกับมึงและท่านประธานไม่ใช่เหรอ ?” มิสเทคมันใช้อีกมือนึงลูบหัว ผมก็เลยหลับตาซึมซับความอ่อนโยนของมันให้อุ่นใจ

                “ถ้ามึงทำอะไรที่อยู่ในสายตาของพวกท่าน .. คะแนนที่เคยติดลบของมึงมันน่าจะเพิ่มขึ้นได้เร็วนะกูว่า ..
                “ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ ไม่อย่างนั้นกูคงโดดสระคอหักตาย ..” ผมพูดติดตลกเพื่อไม่ให้ตัวเองเครียดจนเกินไป เพราะยังไงพรุ่งนี้ผมก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ผมหนีมาตลอดอยู่ดี ..
                เอาเถอะ มันคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง เพราะพ่อกับแม่ของผมที่จริงก็ไม่ได้ใจร้ายสักหน่อย ..

                “กูไม่ยอมหรอก ..” มิสเทคมันพูดแล้วก็เดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ส่วนกูนี่ก็นอนยิ้มจนปากจะฉีก เพราะประโยคเมื่อครู่มันบ่งบอกได้ดีว่า มิสเทคมันไม่ยอมปล่อยให้กูไปไหนได้ แม้แต่จะตายกูยังไม่มีสิทธิ์
                แม่งหวงแบบโหดๆนะเมียกูเนี่ย ..

                ผมพยายามค้นหาข้อมูลเท่าที่จะทำได้จนเริ่มจะง่วงนอน ผมก็เลยเดินออกจากห้องเพื่อมาหาน้ำกิน ก็เลยเห็นไอ้มิสเทคกับเซอึนกำลังนั่งฟังซองจินเล่นเปียโน เห็นอย่างนั้นกูก็เลยปล่อยแม่งไป เพราะกูขี้เกียจจะอะไรมากมายให้รกสมอง ในเมื่ออีกไม่นาน กูกับมิสเทคก็ต้องไปอยู่ที่อื่นแล้ว เวลาแค่อาทิตย์เดียว อะไรๆมันไม่มีทางพัฒนาได้ง่ายๆแน่ ถ้าหากความพยายามมันเกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว ..
                ซึ่งกูมายืนๆแดกๆคิดๆระหว่างพักอู้งานนิดหน่อย ก็เพิ่งจะเรียบเรียงสมองที่มันเต็มไปด้วยความหึงและความหวงจนแทบเป็นบ้าได้ว่า สองคนนั้นมันรู้จักกันมาตั้งกี่ปี อยู่บ้านเดียวกันมาตั้งกี่คืน ความสัมพันธ์ก็ยังคงที่ ซ้ำยังแอบมีกำแพงกั้นระหว่างมันกับเซอึนนิดๆด้วย ไม่อย่างนั้นวันแรกที่กูเจอเซอึน เธอคงไม่แนะนำกูว่าเธอเป็นเพื่อนกับไอ้มิสเทคมันหรอก ทั้งๆที่ใจน่ะอยากจะเป็นเมียมันจะแย่ แต่เพราะกำแพงเล็กๆที่มีชื่อว่าไอ้ซองจินมันขวางลำอยู่ อีกทั้งกำแพงใหญ่ๆอย่างกูนี่ไงที่คอยดับฝันเธออยู่ ความสัมพันธ์ของมันสองคนก็เลยไม่พัฒนาขึ้น และกูก็คิดว่ามันจะไม่มีทางพัฒนาต่อไปแน่ เพราะไอ้มิสเทคมันคิดแต่เรื่องของกู เพราะเป็นห่วงกูที่กำลังเจอปัญหาหนัก อีกทั้งช่วงนี้ชีวิตของมันก็ต้องปรับอะไรหลายๆอย่างในเรื่องของการทำงาน ดังนั้นกูเข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้แค่สงสารเซอึนเพียงอย่างเดียว แต่มันคงต้องการพักปัญหาเอาไว้ก่อน เพราะหากปัญหามันเข้ามาพร้อมๆกัน คนที่จะปวดหัวก็คงไม่พ้นไอ้มิสเทค ..
                 
                ส่วนไอ้ซองจินกูว่ากูพอจะเข้าใจมันแล้วว่าทำไมมันถึงยอมปล่อยเลยตามเลย ซึ่งเหตุผลก็ไม่พ้นว่ารักเขามากจนโง่บรม ถึงได้ยอมเจ็บแต่ขอให้มีเขาอยู่ในสายตา ซึ่งกูมองดูแล้วก็สงสารให้กับความบ้าบอคอแตกของมันที่ไม่รู้จะทนเจ็บไปเพื่ออะไร แทนที่จะตัดใจก็ไม่ยอมทำ ซึ่งกูก็ไม่แคร์ ช่างแม่ง ชีวิตของมัน กูไม่จำเป็นต้องยุ่ง ไว้มันคิดได้ และตัดใจเป็นมันก็คงมีความสุขของมันเอง ..
                สำหรับกูแค่มันเป็นน้องที่ดีของไอ้มิสเทค ไม่คอยทำตัวให้น่าปวดหัวเหมือนกูแต่ก่อน แค่นี้กูก็โอเคกับมันแล้ว เพราะไอ้มิสเทคจะได้ไม่ต้องเสียใจ นั่นคือความหวังสูงสุดของกูที่มีต่อไอ้ซองจิน ..

                แต่สำหรับเซอึน กูเฉยๆ ไม่ได้เกลียดไม่ได้อะไร เพราะสิ่งที่กูแสดงออกมันเป็นไปด้วยความรู้สึกหึงหวงของกูที่มีต่อไอ้มิสเทค และยังมีความอิจฉาของกูที่เมื่อเทียบระหว่างเธอกับตัวกูแล้ว ดีกรีความเหมาะสมกับไอ้มิสเทคแม่งทะลุปรอท เพราะเธอก็เป็นคนดีคนนึง แตกต่างจากกูที่แบบถึงจะทำตัวดีแล้ว แต่ก็ยังเทียบเซอึนไม่ติดฝุ่น ..
                ซึ่งความคิดแบบนั้น แม่งเป็นแรงผลักดันให้กูอยากเอาชนะเธอมาก แต่ไม่ใช่อยากเอาชนะเพื่อความสะใจหรอก เพราะจริงๆแล้วกูต้องการรักษาที่ว่างข้างๆไอ้มิสเทคให้เป็นของกูต่อไปต่างหาก ..
            กูเลยพยายามหาโอกาสตอกย้ำผู้หญิงคนนั้นให้รู้จุดยืนของตัวเองทุกเมื่อ
                เพราะจริงๆแล้ว สำหรับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับไอ้มิสเทค .. โจวคยูฮยอนคนนี้มันก็แค่คนขี้ขลาดและขี้หวงคนนึงเท่านั้นเอง ..
               
                 
   <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 


                 มาต่อแล้ว อาจจะสั้นไปนิด แต่จะพยายามมาต่อบ่อยๆจนจบเรื่องเนอะ อีกไม่กี่ตอนแล้ว สำหรับตอนนี้ก็อย่าเครียดไป ให้ทำใจให้ปลงแบบเพี้ยนแล้วจะดีเอง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ยังไงก็หนีไม่ได้ตลอด และอีกอย่างที่พี่อาราวางแผนให้เพี้ยนกลับบ้านก็ทำให้พ่อกับแม่ได้มองเพี้ยนในอีกมุมที่ไม่เคยเห็น เพี้ยนเวลาทำงานจริงๆก็ตั้งใจทำนะ เพี้ยนเวลาอยู่กับแฟนก็จะอีกแบบนึง มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและดีที่สุด ส่วนปัญหาเรื่องงานก็ต้องทนรับสภาพ ในเมื่อมันหนีไม่พ้นนี่เนอะ คนทุกคนไม่ว่ายังไงก็ยังมีความเป็นเด็กในตัวเองอยู่ดี เรื่องของท่านประธานที่ทำอะไรเกินตัวก็เลยไม่แปลก เพี้ยนเลยลำบากไป 5555 สำหรับตอนนี้เพี้ยนดูสงบนิ่งทางความคิดได้อยู่ 555 ปกติบ้าบอคอแตกตลอด
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น