Mistake
[Special] Teach about Mistake –
Sungmin Part (2)
เช้านี้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการไม่สบายเนื้อสบายตัว
ไอ้คยูมันก็เลยโทรลางานให้ผม
พร้อมกับจะพาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อไปเอาใบรับรองแพทย์มาใช้ลาหยุด
จะได้ไม่ถูกหักเงิน ซึ่งผมก็อิดออดไม่อยากจะไป
เพราะเนื้อตัวของผมมันยับยู่ยี้จนดูแทบไม่ได้ ริ้วรอยแดงจ้ำเต็มไปหมดขนาดนี้
ผมจะไปกล้าสู้หน้าหมอได้อย่างไร ?
ขืนผมไปหาหมอ เขาก็รู้กันหมดน่ะสิว่าผมป่วยเพราะอะไร ..
“กูไม่ไป!”
ผมสะบัดมือออกจากการจับกุมของไอ้คยูที่พยายามจะขุดผมออกจากเตียงนอนให้ได้
“สัส .. มึงจะดื้อทำเชี่ยอะไรวะ
ตัวมึงร้อนขนาดนี้ขืนปล่อยไว้มึงได้นอนตายซากบนเตียงกูแน่ ..”
ไอ้คยูมันบ่น พลางชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด
“เรื่องของกู ..” ผมตอบเหวี่ยงๆ
ให้ตายยังไงผมก็ไม่มีทางไปหาหมอแน่ๆ
“สัส … มิสเทค
เรื่องของมึงมันมีผลต่อกูเสมอนะเว้ย .. กูเป็นห่วงไปหาหมอเถอะ
..” ไอ้คยูมันถอนหายใจออกมา พลางทิ้งตัวลงนั่งตรงข้างเตียง
แล้วก็พูดเสียงแผ่วเพื่อกล่อมให้ผมยินยอมทำตามที่มันต้องการแต่โดยดี
“มึงไปซื้อยาที่ร้านขายยาให้กูหน่อยดิ
.. นะ .. กูยอมโดนหักเงินก็ได้ ไม่ต้องไปหาหมอหรอก
ปวดหัวตัวร้อนแค่นี้เอง..”
ผมนั่งก้มหน้ามองฝ่ามือของตัวเองพลางบอกมันเสียงแผ่ว
“บอกเหตุผลกูมาซิ
ว่าทำไมมึงถึงไม่อยากไปหาหมอ ?” ไอ้คยูมันถาม พลางลูบหัวผมที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ ..
“กู .. อาย .. มึงดูสภาพกูสิ ..” ผมตอบเสียงเบา แล้วก็นิ่งเงียบไป
“ก็ได้ๆ มึงแค่ปวดหัว
ตัวร้อนอย่างเดียวใช่ไหม ? แน่นจมูกด้วยหรือเปล่า เออ .. มึงเจ็บคอมั้ย ?” ไอ้คยูมันถามผมเป็นชุด พลางขยับเข้ามาโอบกอดผม
“กูปวดหัวกับตัวร้อนอย่างเดียว”
ผมตอบเสียงอู้อี้เพราะมันกอดผมแน่นมาก
“อืม
เดี๋ยวกูไปหาซื้อโจ๊กมาให้มึงด้วย ถ้ามึงหิวก็หาอะไรกินไปก่อนได้เลย หรือถ้ารอได้ก็รอ
คาดว่ากูน่าจะกลับมาไม่เกินสิบโมงว่ะ ..” ไอ้คยูมันบอก
“อืม”
“มิสเทค .. เมื่อคืนมึงเด็ดจริงๆ
.. ประติดประต่อจากคืนนั้นซะกูแทบจะคลั่งตายเพราะมึงเลยว่ะ …” ผมหน้าชาขึ้นมาทันที
เมื่อไอ้คยูมันพูดรำลึกไปถึงเหตุการณ์เร่าร้อนเมื่อค่ำคืนวานในเช้าวันนี้
“…”
“จริงๆกูก็แค่จะแหย่มึงเล่น
แต่ใครจะคิดวะ ว่ามึงจะเอาจริง …ท่าทางมึงคงจะคิดถึงกูและสัมผัสของกูมาก ..” ไอ้คยูมันพูด พลางยักคิ้วใส่ผม ขณะที่ผมกำลังหน้าร้อนฉ่า
เนื้อตัวมันแข็งค้างไปหมด
“อ…ไอ้สัส ..”
กว่าผมจะด่ามันออกไปได้ ไอ้คยูก็แทบจะเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว
ผมก็เลยต้องฝืนสังขารลงจากเตียง และเหยียบหมอนไปปาหัวมัน!
“ใช้กำลังกับกูแล้วไง ..มิสเทคมึงไปหาหมอเถอะนะ
กูช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้มึงหน้าด้านหน้าทนแล้วเนี่ย ไปเถอะ มึงตัวร้อนมากจริงๆนะเว้ย
กูเช็ดตัวให้ตั้งแต่ตีห้าจนป่านนี้มึงยังตัวร้อนอยู่เลย ..”
ไอ้คยูมันก้มลงเก็บหมอนที่ตกอยู่ข้างๆตัวมัน
จากนั้นก็โยนเอาไปเก็บไว้บนเตียงนอนด้านหลังผม พร้อมกับเดินเข้ามาล็อคตัวผม พลางกล่อมผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่มันจะทำได้
..
“ไอ้บ้า .. ภูมิคุ้มกันส้นตีนอะไรของมึงวะ ..” ผมด่ามันทั้งๆที่ริมฝีปากกำลังอมยิ้มภายใต้อ้อมกอดของมัน
“มึงบอกมึงอายหมอไม่ใช่
กูก็พูดให้มึงชินชากับมันซะ เวลาหมอถามหาสาเหตุมึงจะได้กล้าพูด ..”
ไอ้คยูมันตอบตรรกะเชี่ยๆออกมาจนผมนึกอยากจะซัดมันสักทีสองที
“สัส .. มึงรีบออกไปซื้อยาให้กูเลยไป
เหตุผลส้นตีนแบบนี้มึงอย่ามาพูดกับกูดีกว่า ..” ผมผละตัวออกจากอ้อมกอดของมัน
พลางเดินรุนหลังไล่มันออกไปซื้อยาซื้อโจ๊กให้ผม
ก่อนที่ปากของมันจะได้แดกตีนผมแทนอาหารเช้า ..
“เดี๋ยวกูซื้อยาแก้อักเสบมาด้วยแล้วกัน .. มึงยังเดินแปลกๆอยู่นะ
..” ไอ้คยูมันพูดพลางเหลือบสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
ผมเอาผมหน้าแดงซ่าน และได้แต่อ้าปากพะงาบๆเตรียมจะด่ามันแต่ด่าไม่ออกอยู่ตรงหน้าประตูห้องนั่นแหละ
..
แม่ง! ผมไม่น่าตามใจมันเลย ..
พลาดไปแล้ว .. ผมพลาด อย่างไม่น่าให้อภัยตัวเองจริงๆ
ผมใช้เวลาพักฟื้นร่างกายเพียงแค่วันเดียว
เพราะผมมีสัมภาษณ์งานครั้งสำคัญ อีกอย่างอาการป่วยของผม แค่ได้ทานยาที่ไอ้คยูไปซื้อมาให้ก็เริ่มดีขึ้นมากแล้ว
..
ผมคิดว่าที่ผมป่วยอาจเป็นเพราะผมแช่น้ำเป็นเวลานาน
แถมยังตากลมเย็นๆที่พัดผ่านบนดาดฟ้านั่นอีก แถมช่วงนี้ผมก็งานยุ่งด้วย
ทำให้พักผ่อนน้อยไปตามระเบียบ เพราะเนื่องจากว่าตอนกลางวันเป็นเวลาศึกษางานสาขา
ส่วนตอนกลางคืนเป็นเวลาวางแผนงานของผม ..
“เดือนหน้าเจอกันนะครับคุณคิมรยออุค
..” ผมยิ้มทักทายปิดท้ายการสัมภาษณ์
เมื่อในที่สุดผมก็ได้คนมาร่วมทีมกับผมจนครบแล้ว เดือนหน้าผมคงได้บอกแผนงานคร่าวๆให้ลูกทีมของผมรับทราบอย่างละเอียดอีกทีว่าใครจะรับผิดชอบภูมิภาคใดบ้าง
..
“ครับคุณซองมิน
..” คิมรยออุคยิ้มจนตาหยี พลางโค้งตัวให้ผมและเดินออกจากห้องสัมภาษณ์ไป
“ท่านประธาน
ผมได้คนครบแล้วนะครับ ..” เมื่อเหลือเพียงแค่ผมคนเดียวในห้องประชุม
ผมก็ใช้โทรศัพท์ประจำห้องประชุมต่อสายไปถึงท่านประธานเพื่อรายงานความคืบหน้า
“ดีเลย .. เดือนหน้าเราจะได้กำหนดทิศทางกันสักที
หลังจากนี้พี่ต้องฝากซองมินช่วยเทรนงานให้พวกเขาด้วยนะ เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ..”
“ครับท่านประธาน
..” ผมตอบรับอย่างหนักแน่น
จากนั้นผมก็วางสายเมื่อท่านประธานกำลังงานยุ่งจนได้ที่
เนื่องจากว่าหลายวันมานี้ท่านตัวติดกับผมอย่างกับอะไรดี ดังนั้นช่วงเวลาแบบนี้ท่านจึงต้องเร่งมือเคลียร์งานของท่านบ้าง
ผมที่หมดหน้าที่สำหรับวันนี้แล้ว
ก็เตรียมเก็บข้าวของจะกลับบ้านเพื่อที่ผมจะได้เอาเวลาว่างพวกนั้นไปคิดงานของผมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แต่ผมดันเจอฮยอกแจตรงหน้าล็อบบี้เข้าซะก่อน เราก็เลยหยุดพูดคุยกันสักพักใหญ่
จากนั้นผมก็เลี้ยงกาแฟฮยอกแจกับสาวน้อยแห่งแผนกการตลาดคนละแก้ว
ถึงได้ฤกษ์เดินออกจากบริษัทโจวกรุ๊ปเสียที ..
“พี่ ..”
ผมชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงของอีซองจิน
“….”
“มือนายไปโดนอะไรมา
?” ผมถามเมื่อหันไปเห็นมือของซองจินต้องพันผ้าพันแผลเอาไว้
“ไม่มีอะไร ..” ซองจินตอบเสียงเรียบ
“กลับบ้านเถอะพี่
แล้วผมจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง .. ” ซองจินบอกพลางเดินเข้ามาใกล้ผม
“….”
“ผมเป็นห่วงพี่นะ
..” ซองจินบอก พลางมองตาผมด้วยแววตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าน้องเป็นห่วงผมจริงๆ
และด้วยความที่ผมเองก็ใจอ่อนไปแล้ว 20%
พอเห็นแววตารู้สึกผิดของซองจิน ผมก็ใจอ่อนลงไปอีก 30%
“…”
ผมยอมเดินตามซองจินไปที่รถ และยอมนั่งไปกับซองจินแต่โดยดี
“นายจะพาพี่ไปไหน
? แล้วจะเล่าอะไร ?”
ผมหักพวงมาลัยเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน ดีที่ถนนตรงนี้มันโล่งกว้าง
ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดอุบัติเหตุไปแล้ว ..
“โรงพยาบาล …” ซองจินตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ไปทำไม ? ใครเป็นอะไร ?
นายเจ็บแผลเหรอ ?”
ผมถามพลางเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของซองจินมาดู
“เปล่าครับ ..”
ซองจินส่ายหน้าและเริ่มน้ำตาไหลออกมาทีละหยด ..
“อย่าโกรธผมเลยนะ
.. ผมรู้ว่าผมทำเกินไปที่สั่งให้พี่เลิกกับมัน ..”
ซองจินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“นายทำจนเคยชินน่ะสิ
ถึงได้คิดว่ามันคงไม่เป็นอะไร แม้ว่านายจะรู้ว่ามันเป็นคำสั่งที่เกินไปจริงๆ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังติดจะมึนตึงอยู่นิดๆ
“ครั้งนี้ผมสั่งให้พี่เลิกกับเขาไม่ใช่เพื่อใคร
แต่เพื่อตัวพี่เองนะครับ ..” ซองจินยังคงหาข้ออ้างที่คิดว่าจะดูดีที่สุด
“เพื่อพี่ ? แน่ใจเหรอ ? นายขอให้พี่เลิกกับไอ้คยูจนกว่าเซอึนจะหายเจ็บ
นี่เหรอซองจินที่นายทำเพื่อพี่ ?” ผมย้อนถาม
ขณะที่น้ำตาก็เริ่มจะไหล เพราะความน้อยใจที่มันเริ่มจะปะทุขึ้น
“ไอ้พี่มันเคยมั่วขนาดนั้น
ทำไมพี่ยังรักมันลงอีก พี่บ้าหรือเปล่า…ใช่ผมทำเพื่อเซอึน
แต่ผมก็ทำเพื่อ ..” ซองจินขึ้นเสียง
และผมก็เผลอตบหน้าซองจินทั้งๆที่น้องยังพูดไม่ทันจบ
“มันจะมากเกินไปแล้ว
.. ซองจินนายคิดว่าพี่โง่จนไม่มีหัวคิดเลยใช่ไหม .. สำหรับคนอื่นหรือแม้แต่นายคงใช้แต่หัวใจสินะ
แต่สำหรับพี่ความรักมันต้องใช้ความคิดด้วย .. ถ้าหากคนคนนั้นไม่ดีพอ
พี่จะทนคบกับเขาทำไม .. แค่รักมันไม่พอหรอกซองจิน
นายเองก็น่าจะเข้าใจดีไม่ใช่เหรอ ?” ผมย้อนถาม
พลางพูดจากรีดหัวใจน้องชายของตัวเอง จนอีกฝ่ายชะงักนิ่งไป
“ผมขอโทษ .. ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่คิดแบบนั้น
.. ผมแค่เป็นห่วงไม่อยากให้พี่ถูกมันทำร้ายแบบเซอึน ..” ซองจินตอบเสียงแผ่ว พลางร้องไห้โดยไม่มีเสียงสะอึกสะอื้น ..
“นายห่วงพี่น้อยกว่าเซอึนซะอีกซองจิน
และพี่ก็เสียใจกับการกระทำของนายมาก พี่แบ่งเวลาของมันมาให้นาย
แต่นายกลับเอาเวลาของพี่ไปให้เซอึน มันใช่เหรอ ? ในเมื่อตอนนั้นนายยังน้อยใจพี่ที่เอาแต่สนใจไอ้คยู
ทำไมตอนนี้พี่ถึงจะน้อยใจนายไม่ได้ ? พี่ขอพูดตรงๆสำหรับเรื่องไอ้คยู
ต่อให้มันเคยเป็นยังไงมาก่อน พี่ก็จะรัก นายก็เห็นไม่ใช่เหรอซองจินว่าตอนนี้ไอ้คยูมันเป็นยังไง
.. ช่วงเวลาที่นายคลุกคลีอยู่กับมัน
ถึงจะแค่แป้บเดียวแต่มันก็บอกได้ไม่ใช่เหรอว่านายสามารถไว้ใจมันได้ .. ช่วงที่พี่ไปต่างจังหวัด เคยมีสักวันไหมที่มันนอกใจพี่
เคยมีสักครั้งไหมที่มันไม่กลับบ้านมาที่บ้านของเรา .. ไอ้คยูมันรู้สึกผิดกับการกระทำของมันมากนะซองจิน
มันจะเป็นจะตายเพราะมันทำให้พ่อแม่ของมันกับพี่ต้องเสียใจเพราะความรักสนุก ..
มันแอบนอนร้องไห้เพราะเรื่องนี้ มันพยายามจะทำดีกับพี่
คอยดูแลพี่ทุกอย่าง นายยังคิดว่าคนแบบมันไม่ดีพอในแบบของมันอีกเหรอ ? สำหรับพี่นะซองจิน พี่ไม่ต้องการคนดีหรอก เพราะพี่ต้องการแค่คนที่พอดีสำหรับพี่
และคนคนนั้นก็คือมัน ..” ผมพูดกับซองจินอย่างใจเย็น
เมื่อเราสองคนต่างอยู่ในภาวะที่พร้อมจะฟังเหตุผลของการและกันแล้ว
“โจวคยูฮยอนคนนั้นถ้ามันดีจริง
ทำไมมันไม่บอกพี่ ห๊ะ ทำไม!” ซองจินระเบิดอารมณ์ออกมา คล้ายกับว่าเขาสับสนในสิ่งที่เขารับรู้มา ..
“ทำไมซองจิน ? ไอ้คยูมันต้องดีขนาดไหน
พี่ถึงจะสามารถดันทุรังคบกับมันโดยที่นายก็ยอมรับได้?”
ผมถามอย่างเหนื่อยใจ
“มีคนบอกผมว่า .. ไอ้พี่มันติดเชื้อ HIV”
“พูดเรื่องอะไรน่ะซองจิน
อย่าพูดบ้าๆนะ ..” ผมว่าซองจิน พลางใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ในหัวรู้สึกเหมือนมีค้อนมาทุบจนมึนตึงไปหมด
“ถ้ามันหวังดีกับพี่จริง
ทำไมมันไม่บอกพี่!”
เพี้ยะ!
“พอ! พอซะที!”
“คิมซังมี
พี่ลองถามไอ้พี่มันดูสิว่ารู้จักหรือเปล่า คู่ขาคนล่าสุดของมันน่ะ .. เพราะเขาเป็น ..” ผมกำลังจะลงจากรถไปด้วยความโมโห
แต่ซองจินก็พูดยับยั้งการกระทำของผมเอาไว้ได้ ..
“นายรู้มาจากใคร
?”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก
เพราะมันสำคัญที่ว่าพี่มีอะไรกับมันหรือเปล่า .. และไอ้พี่มันคิดจะบอกพี่ไหม
ถ้าไม่ ..ก็แสดงว่ามันเลวระยำยิ่งกว่าหมา ..”
“…”
“ที่จริงเพราะผมห่วงพี่
ผมถึงได้พยายามจะหาข้ออ้างที่ทำให้พี่เจ็บน้อยกว่านี้ แต่พี่กลับโกรธผม น้อยใจผม
จนหนีหายไป ผมเป็นห่วง อยากให้พี่ไปตรวจ ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นผมจะอยู่ข้างๆพี่ .. ผมไม่เคยรักเซอึนมากไปกว่าพี่นะ
..” ซองจินพูด แล้วก็เอื้อมมือมาดึงผมให้เข้ามานั่งให้รถ
“…”
“ในเมื่อมาจนถึงขั้นนี้แล้ว
ผมอยากให้พี่กลับไปคุยกับมัน ถ้าหากว่าผลลัพธ์มันเป็นอย่างที่ผมพูด
ผมจะเอาปืนไปยิงหัวมัน ..”
ผมไปไม่เป็นจริงๆกับข้อหานี้ของซองจิน
ทุกอย่างในหัวของผมมันขาวโพลนไปหมด จนกระทั่งซองจินขับรถพาผมมาจนถึงโรงพยาบาล ผมก็ยังไม่รู้ตัว
แต่เมื่อผมรู้ตัว ผมก็รีบวิ่งหนีจนสุดชีวิต …
และสุดท้ายผมก็หนีออกมาเดินเตร็ดเตร่อยู่ตรงข้างถนนแบบนี้
ซองจินโทรหาผมอยู่หลายครั้ง
แต่ผมก็ยังไม่ยอมรับสาย จนน้องต้องส่งข้อความมาบอกผมในทำนองว่าเขาเป็นห่วง
ผมจึงมีแก่จิตแก่ใจตอบข้อความกลับไปว่า ผมไม่ได้เป็นอะไร เพียงแต่ผมขอเวลาอีกนิด ..
ผมรู้ดีว่าไอ้คยูมันเคยเป็นคนแบบไหน
ซึ่งผมก็พยายามจะมองข้ามข้อเสียเหล่านั้นไป เพราะความดีของมันที่พิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า
เมื่อได้มองย้อนกลับไป มันไม่เคยพอใจกับชีวิตในตอนนั้นของมันเลย มันรู้สึกผิดกับผม
พ่อแม่ และพี่สาวของมัน จนผมยังรู้สึกสงสาร ..
ถามว่ากลัวไหมกับสิ่งที่ผมได้รับรู้มา
ผมตอบเลยว่าผมกลัวมาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมกลัวว่าไอ้คยูมันจะไม่ยอมบอกผมเสียมากกว่า
หรือหากแย่กว่านั้น มันอาจจะไม่เคยรู้เลยว่ามันเคยได้รับเชื้อเหล่านั้น
มันถึงไม่ป้องกันเวลาที่เราสองคนมีความสุขด้วยกัน ..
ผมไม่เคยเห็นมันกินยาหรืออะไรทั้งสิ้น
ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่ซองจินรู้มามันคือเรื่องจริงหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ทำใจมองข้ามไปไม่ได้
เพราะอดีตไอ้คยูมันก็เคยเปลี่ยนคู่นอนเป็นว่าเล่น
ดูได้จากความเสียใจของพ่อแม่ในวันนั้นที่บังเอิญมาเห็นผมกับไอ้คยูกำลังทำอะไรที่ไม่สมควรในบ้าน
ผมก็พอจะรู้แล้วว่าพฤติกรรมของมันเน่าเฟะกว่าที่ผมคาดการณ์เอาไว้แค่ไหน ..
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น
หากผมจะติดก็คงโทษใครไม่ได้ เพราะผมเองก็รู้ทั้งรู้ว่ามันผ่านอะไรมาบ้าง แต่ผมก็ยอมตามใจมันทุกครั้ง
..
“มาหากูที่คอนโดหน่อยได้มั้ย ?” ผมโทรหามัน
เมื่อผมคิดได้ว่าการเดินเตร็ดเตร่อยู่อย่างนี้คงไม่มีประโยชน์
“ตอนนี้ ?”
“อืม ..”
“มีอะไรวะ
น้ำเสียงมึงดูซีเรียสชิบหาย ..” ไอ้คยูมันถามอย่างสงสัย
“ถึงห้องเดี๋ยวมึงก็รู้เอง ..”
ผมตอบแล้วก็วางสายไป
จากนั้นผมก็นั่งรถเมล์ต่ออยู่หลายป้ายจนกระทั่งผมมาถึงหน้าปากทางเข้าคอนโดของไอ้คยูอย่างปลอดภัย
ปริ้น! ปริ้น!
ผมหันไปมองตามเสียงแตรที่ดังอยู่ข้างๆตัว
แล้วก็พบรถคันคุ้นตากึ่งวิ่งกึ่งคลานอยู่ข้างๆตัวผม
จากนั้นไม่นานนักคนขับก็เปิดกระจกรถและส่งสายตาให้ผมเปิดประตูแล้วขึ้นมานั่งในรถจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อย
“กูก็นึกว่ามึงอยู่คอนโด
ไม่เห็นบอกว่าอยู่ข้างนอกกูจะได้ไปรับมึงจะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์มาเองให้เหนื่อย”
ไอ้คยูมันพูดด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง”
ผมตอบพร้อมกับมองตรงไปข้างหน้า
“มีอะไรวะมึง หน้าตาซีเรียสชิบหาย
..” ไอ้คยูมันกำลังถอยรถเข้าซอง พลางถามผมขึ้นมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวไปคุยกันที่ห้อง ..” ผมตอบ
แล้วก็รีบเปิดประตูลงจากรถทันทีที่ไอ้คยูมันจัดการจอดรถเข้าซองจอดจนเรียบร้อยแล้ว
ระยะทางจากล็อบบี้จนถึงตัวลิฟต์ผมรู้สึกว่าวันนี้มันยาวไกลกว่าปกติ
แถมการทำงานของตัวลิฟต์ผมก็ยังรู้สึกว่ามันชักช้าไม่ทันใจ
ผมจึงเอาแต่เฝ้ามองตัวเลขสีแดงที่ค่อยๆเคลื่อนไปจนกว่าจะถึงชั้นที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา
..
“มึงกูไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี ..”
ทันทีที่เข้ามาในห้องอันเป็นส่วนตัวได้ ผมก็เดินไปเดินมาอย่างคิดไม่ตก
จากนั้นผมก็หันมาพูดกับไอ้คยูที่กำลังนั่งมองท่าทีของผมจากบนโซฟา
“มึงก็ใจเย็นๆดิ มานั่งมา
เดินวนไปวนมาแบบนั้น กูยังเวียนหัวแทนเลยวะ..” ไอ้คยูมันพูด
พร้อมกับลุกขึ้นมาลากผมที่ทิ้งตัวลงนั่งให้เป็นที่เป็นทาง
“มีคนบอกกูมาว่ามึงเป็น …” ผมนั่งขัดสมาธิ
แล้วหันหน้าเข้าหาไอ้คยูบนโซฟา พร้อมกับตัดสินใจถามมันตรงๆ แต่ว่าสุดท้ายแล้ว
ผมก็พูดไม่ออก
“กูเป็นเชี่ยไร ?” ไอ้คยูมันถาม
“HIV” ผมเงียบไปนานมาก
เพราะผมไม่กล้าพูดออกไปจริงๆ บอกตรงๆผมเคยคิดนะว่าโรคนี้มันเป็นเรื่องที่ไกลตัว
แต่พอมาวันนี้ ผมไม่คิดเลยว่าจริงๆแล้วมันจะเป็นเรื่องใกล้ตัว ..
“ตลกไอ้สัส มึงล้อเล่นเชี่ยไร ?” ไอ้คยูมันขำ
พลางตีหน้าผากผมหนึ่งที
“กูไม่ได้ล้อเล่น ไอ้คยู! กูไม่ตลกเลย ..
กูตกใจจนแทบจะช็อคตายอยู่แล้ว .. กูอยากรู้ว่ามึงรู้ตัวมั้ย
?” ผมถามเสียงแผ่ว พร้อมกับก้มหน้ามองฝ่ามือของตัวเองกับของมันที่วางอยู่ใกล้กัน
เท่านั้นน้ำตาแห่งความกลัว และน้ำตาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไหลออกมา ..
“มึง .. กูก็ไม่ตลกนะ .. ใครเขาบอกมึง
.. เขากำลังเล่นตลกอะไรอยู่ ?”
ไอ้คยูมันเสียงสั่น พลางย้อนถามผมราวกับเสียงกระซิบ
“กูไม่รู้ว่าเขาเล่นอะไร … แต่ประเด็นมันอยู่ที่มึงรู้จักกับคนที่ชื่อคิมซังมีไหม
?” ผมเงยหน้าพลางถามมันทั้งน้ำตา
เพราะสิ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้ว่ามันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดก็คือการที่ไอ้คยูมันไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันเป็นผู้มีความเสี่ยง
..
“คิมซังมี ?” ไอ้คยูมันถามเสียงสั่น
พลางพูดชื่อนั้นซ้ำไปซ้ำมาอย่างคิดไม่ตก
“…”
“ก่อนจะมาเจอกู
มึงนอนกับคนที่ชื่อคิมซังมีหรือเปล่าคยู ?” ผมถามย้ำให้ชัดเจน
“กู .. ไม่รู้ …” ไอ้คยูมันตอบเสียงเบา ขณะที่นัยน์ตาของมันเริ่มแดงก่ำ
“กับคนที่ผ่านๆมาของมึง .. มึงได้ป้องกันไหม?” ผมถามเสียงแผ่ว คล้ายกับอ่อนแรงเมื่อทุกอย่างมันเข้าล็อคจนผมกับมันไม่อาจหลุดออกจากวังวนแห่งความกดดันได้
“กู .. ทำบ้างไม่ทำบ้าง ...” ไอ้คยูมันตอบเสียงแผ่ว
แล้วจากนั้นน้ำตาของมันก็เริ่มคลออยู่ที่หน่วยตาจนแทบจะล้นปริ่ม ..
“ท…ทำไมมึงเป็นคนอย่างนี้ ..ล .. แล้วจะทำยังไง .. ฮึก ..” ผมร้องไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก พลางสะอึกสะอื้นจนแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน ส่วนมือทั้งสองข้างของผมก็ทุบตีหน้าอกของมันด้วยความโมโหที่มันทำตัวมักง่ายแบบนี้
“มิสเทคกูขอโทษ .. ฮึก .. กู .. เกลียดตัวเอง .. กูมันเน่า
กูมันสกปรก กูไม่สมควรเข้ามายุ่งกับมึงตั้งแต่แรก .. ” ไอ้คยูมันกอดผมไว้
พลางจูบตรงข้างขมับเพื่อปลอบให้ผมสงบลง ขณะที่มันกำลังร้องไห้ไปด้วย แต่ผมในตอนนี้ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะไปปลอบหรือจะทำอะไรให้ใครแล้ว
ในเมื่อทุกอย่างมันลงเอยที่ความผิดพลาด ..
“กูขอโทษ ..” ผมได้ฟังคำนี้มาเป็นเวลาสี่ห้าชั่วโมงแล้ว
จนกระทั่งผมเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกที คำคำนี้ก็ยังคงดังกรอกหูของผมไม่ขาด
น้ำตาของไอ้คยูเปียกเสื้อของผมไปหมด
และเสียงสะอื้นของมันก็ทำให้ผมร้องไห้ออกมาเงียบๆอีกครั้ง
แม้เวลาจะผันผ่านไปจนกระทั่งท้องฟ้าด้านนอกมันมืดแสงลง
เราสองคนก็ยังคงไม่ขยับไปไหน กลับเอาแต่กอดกันและกันไว้ พร้อมกับร้องไห้ไปด้วยกัน ..
เพราะทางออกไม่มีให้เห็นแม้แต่ทางเดียว
..
คลิก ..
“อยู่กันยังไง ทำไมไม่เปิดไฟ ?”
เสียงของท่านประธานดังขึ้นท่ามกลางความมืด พร้อมกับแสงสว่างที่ตามมา
จึงทำให้เราสองคนต่างหลี่ตาลงด้วยความเคืองตา
จากนั้นเราสองคนจึงผละตัวออกห่างจากกัน ..
“…” เราสองคนพยายามก้มหน้าเพื่อซ่อนไม่ให้ท่านประธานเห็นว่าเราเสียเวลากับการร้องไห้ไปมากมายแค่ไหน
ซึ่งมันส่งผลต่อดวงตาทั้งสองข้างที่บวมช้ำอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นอะไรกัน ?”
ท่านประธานถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล และมันก็ยิ่งทำให้ผมก้มหน้าลงอีก
คล้ายกับคนที่มีความผิด ใช่ .. ผมเองก็ผิดที่ยอมตามใจมัน
จนอาจจะต้องเป็นผู้มีความเสี่ยงไปด้วย ..
“พี่ .. ”
ผมหันไปมองไอ้คยูที่ร้องไห้สะอึดสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองอย่างทรมาน
เห็นอย่างนั้นผมก็เจ็บ เพราะผมไม่คิดว่าเราสองคนจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ถึงจะยังไม่รู้แน่ชัด แต่เปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้มันก็มีสูง ในเมื่อไอ้ คยูมันจำคู่นอนคนล่าสุดของมันไม่ได้เลย
ยิ่งมันไม่ได้ป้องกัน โอกาสเสี่ยงก็ยิ่งสูง ถามว่าผมโกรธไหม ผมตอบได้เลยว่าผมโกรธ
แต่ขณะเดียวกันผมก็สงสารมัน
เพราะมันเองก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะครั้งก่อนหน้าหรือครั้งนี้ ..
“ทำไมคยูฮยอน ?”
พี่อาราถามอย่างอ่อนโยนในแบบที่ผมไม่เคยได้มองเห็นภาพลักษณ์นี้ของท่านประธานในที่ทำงานเลย
“ผมเกลียดตัวเอง .. ฮึก ..” ไอ้คยูมันพูดซ้ำไปซ้ำมา คล้ายกับคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว
เห็นอย่างนั้นผมก็เลยเอื้อมมือไปลูบหัวของมันเบาๆ พอมันรู้สึกตัวมันก็จับมือของผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
ผมก็เลยยิ่งร้องไห้ เพราะตอนนี้ผมเจ็บหัวใจไปหมดแล้ว ..
ความอึดอัดนี้ ผมไม่รู้จะรับมือกับมันยังไงดี ..
ครืด ครืด ..
ซองจินโทรเข้ามา ผมจึงขอตัวเข้าไปคุยโทรศัพท์ในห้องนอน และปล่อยให้สองพี่น้องเขาคุยกันในห้องนั่งเล่น
และเมื่อผมได้อยู่กันตามลำพังกับซองจินที่พูดคุยกับผมผ่านทางปลายสาย
ผมก็เผลอร้องไห้ออกมาด้วยความอ่อนแอจนซองจินรู้สึกได้ ..
“พี่กลัวซองจิน ..” ผมบอกออกไปอย่างไม่อาจเก็บความรู้สึกกลัวและกังวลเอาไว้ได้
“ไม่เป็นไรนะพี่ ผมอยู่ข้างๆพี่เสมอ
..” ผมล้มตัวลงนอน พลางมองจ้องเพดานสีขาวสะอาดตาด้านบนด้วยสายตาที่พร่ามัวเพราะหยดน้ำตา
“พี่จะไปตรวจกันเมื่อไหร่ ? ยิ่งไม่แน่ใจยิ่งต้องไปตรวจนะพี่
..” ซองจินเตือนด้วยความเป็นห่วง เมื่อผมบอกน้องไปแล้วว่าไอ้คยูมันไม่เคยรู้ตัวว่ามันเป็นผู้มีความเสี่ยง
ซ้ำมันยังจำชื่อของคู่นอนคนล่าสุดของมันไม่ได้อีกด้วย ฉะนั้นเรื่องที่ซองจินบอกมา
มันก็มีทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้
“พรุ่งนี้
แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปตรวจที่ไหน ..” ผมตอบอย่างปลงตก
แม้ว่าผมจะอายกับการที่ต้องแบกหน้าไปหาหมอเพื่อเรื่องนี้ แต่เพื่อความสบายใจผมกับมันก็ควรจะไปตรวจ
…
เพราะตอนนี้เราต่างคนต่างก็คิดไปแล้วว่าเชื้อร้ายนั่นมันแฝงอยู่ในตัวของเราด้วยกันทั้งคู่..
“พี่ถามหน่อย … ถ้าเกิดพี่เลิกกับไอ้คยูขึ้นมาจริงๆ
แล้วพี่เกิดเป็น ซองจินจะทำยังไง .. อีกอย่างจะพาพี่ไปตรวจทั้งๆที่ไม่รู้
มันเป็นไปได้เหรอ ?” ผมถามน้องถึงการกระทำที่ผ่านมาของเขา
เพราะบอกตามตรง มันเป็นเรื่องยากที่จะปิดบัง
“ผมปรึกษากับไอ้จงจินแล้ว
มันบอกว่าเป็นไปได้ .. แล้วถ้าเกิดผลมันออกมาแย่จริงๆ ผมก็อาจจะต้องบอกพี่
พอถึงตอนนั้นพี่ก็อาจจะเจ็บน้อยลงกว่านี้ ..” อีซองจินชี้แจงแผนการที่ตัวเขาคิดไว้
“ไม่หรอก มันไม่มีทางเจ็บน้อยลง .. นึกดูสิ
ถ้าเกิดพี่ไม่มีโอกาสได้ถามหาความจริงจากปากไอ้คยู พี่จะเข้าใจมันผิดไหม
คำพูดของนาย มันบอกได้ว่าไอ้คยูมันจงใจทำร้ายพี่นะ มันปิดบังแบบนี้
เท่ากับมันตั้งใจ .. แล้วซองจินคิดว่าพี่จะเจ็บกว่ารู้ความจริงไหม
?”
“….”
“แต่ก็ช่างเถอะ .. ยังไงพี่ก็รู้สึกดีที่นายทำไปเพราะเป็นห่วงพี่
.. พี่รักนายนะ แล้วพี่ก็อยากให้นายรักตัวเองด้วย”
ผมพูดออกมาเป็นฉากๆคล้ายกับผมไม่เจ็บ ไม่กังวล ไม่กลัวใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมรู้สึกแทบทุกอย่าง
เพียงแต่เวลามันทำให้ใจของผมเริ่มสงบและทำใจยอมรับมันให้ได้ว่าสิ่งที่เราต้องเผชิญมันคือความจริงที่ผมไม่อาจหลีกหนี
“พี่ครับ .. ผมเกลียดไอ้พี่มันนะที่มันทำร้ายพี่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ผมหมายถึงตอนนี้ที่พี่ต้องเจ็บเพราะผลลัพธ์ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นแบบไหน แต่อีกใจผมก็รู้สึกสงสารไอ้พี่.. มันเหมือนกัน
เพราะจากที่ฟังพี่เล่าเรื่องของมัน ผมก็มองเห็นอนาคตเลยว่าพ่อกับแม่และพี่สาวของพี่มันจะรู้สึกยังไง
มันคงแย่กว่าที่ผมรู้สึกอยู่หลายเท่า .. เพราะพี่ไม่ได้ทำตัวไม่ดีถึงทำให้มีโอกาสเสี่ยง ต่างกับไอ้พี่มันที่ทำตัว..
แบบนี้ ..” ซองจินบอก ซึ่งผมก็เข้าใจซองจินนะ
เพราะเป็นใครก็คงไม่ชอบหรอกที่อยู่ๆใครที่ไหนก็รู้ที่เป็นแค่คนรักของพี่ตัวเองมาทำร้ายพี่ตัวเองแบบนี้
ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่จิตใจของคนเรามันก็ยากที่จะไม่โกรธ ไม่เกลียด
แม้ว่าเขาคนนั้นบางทีก็อาจจะไม่ผิด หรือผิดเพียงแค่เสี้ยวเดียว ..
หลังจากคุยกับซองจินเสร็จ ผมก็ยังคงนอนนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะผมไม่อยากออกไปเห็นภาพของไอ้คยูที่กำลังเสียใจเหมือนอย่างครั้งก่อน
และครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่ามันจะอาการหนักกว่าครั้งนั้นมาก ผมจึงได้แต่หวังว่าความผิดพลาดในอดีต
จะทำให้มันใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังขึ้น ส่วนผมหลังจากนี้ผมก็คงจะใช้ชีวิตอย่างมีสติ
ไม่ได้ยอมตามใจมันเหมือนอย่างที่ผมเคยเป็น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อตัวผมและตัวของมันเอง
..
เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่โกรธมันเลย
ในเมื่อความผิดพลาดในครั้งนี้เราต่างก็ร่วมกันก่อขึ้นมาด้วยกัน เพียงแต่ผมกับมันเริ่มในจุดที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
..
“ออกมากินข้าวเร็วซองมิน” พี่อาราเปิดประตูเข้ามาเรียกผม จึงทำให้ผมที่นอนนิ่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยค่อยๆขยับตัวและเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปกินข้าวตามคำเชิญชวน
ซึ่งบรรยากาศระหว่างโต๊ะอาหารมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด ดูเหมือนว่าสองพี่น้องเขาจะพูดคุยกันจนเข้าใจแล้ว
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่สุดของวันนี้ ผมถึงได้ยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรกในรอบวัน
“พี่จะให้พวกเธอหยุดพักงานไปก่อนนะ
ช่วงนี้พี่ไม่อยากให้พวกเธอเครียด เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจยอมรับให้ได้ จริงไหม
?” พี่อาราพูดขึ้น พลางมองผมกับไอ้คยูคนละทีสองที
“แต่ว่าแผนงานของพี่ ..”
ไอ้คยูมันพูดแล้วก็นิ่งค้างไป เมื่อมันเริ่มจะอ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง
“งานก็สำคัญ แต่พวกเธอก็สำคัญกับพี่เหมือนกัน
..” ขนาดผมน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่หยุด แล้วไอ้คยูที่รักพี่สาวของมันยิ่งกว่าอะไรดี
มีหรือจะไม่ร้องไห้จนน้ำตาไหลเป็นสาย
พอทานข้าวเสร็จ พี่อาราก็ต้อนเราสองคนไปอาบน้ำ
จากนั้นก็ส่งเราเข้านอนคล้ายกับเด็กเล็กที่ต้องการการดูแล ท่านประธานในคราบของพี่สาวดูอ่อนโยนมากจริงๆ
ผมเข้าใจแล้วล่ะว่านิสัยอบอุ่นอ่อนโยนพวกนี้ของไอ้คยูได้มาจากใคร
ก็คงไม่พ้นครอบครัวของมันนั่นแหละ เพราะโดยพื้นฐานของครอบครัวของมันแล้วเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นมาก
ผมหวังว่าถ้าผลตรวจมันออกมาไม่ดี พ่อกับแม่ของมันก็จะยังคงให้อภัยมันได้อีกครั้ง ..หรือถ้าโชคดีสิ่งที่ซองจินรู้มามันไม่ใช่ความจริง
เรื่องนี้ก็จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนพี่น้องจากทั้งสองบ้านตลอดไป ..
ผมขอให้ผลตรวจเป็นอย่างหลังเถอะ ..
พระเจ้าคงไม่ใจร้ายกับสองเราคนเกินไปหรอก ใช่มั้ย ?
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ขอแก้ไขความเข้าใจหน่อยเนอะ
HIV คือเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด AIDS หรือโรคเอดส์
ดังนั้นคนติดเชื้อ HIV จะยังไม่ถึงกับเป็น AIDS ค่ะ เพราะว่า AIDS
คือระยะสุดท้ายของ HIV ที่ภูมิคุ้มกันมันพังไปหมดแล้ว
ดังนั้นขอให้เข้าใจใหม่นะว่าในเรื่องที่เราเขียนถึงมันคือระยะติดเชื้อไม่ใช่ AIDS
ฉะนั้นจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครติดเชื้อบ้างเพราะบางรายจะไม่แสดงอาการ
ที่เราต้องหยิบยกมาเขียนเพราะมันเป็นปมๆหนึ่ง และมันก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้กับเพี้ยน เพราะเพี้ยนผ่านมาเยอะ ความรักสนุกถึงไม่เจอกับโรคนี้ก็อาจกลายเป็นพ่อคนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งการที่เพี้ยนมันใช้ชีวิตแบบนั้น ปัจจุบันถ้าจะมีใครสักคนจ้องจะเล่นงาน ก็ย่อมง่ายที่จะเอาเรื่องพวกนี้มาใช้เป็นสื่อกลาง ดังนั้นความกังวลและกดดันก็เลยตกอยู่ที่เพี้ยนกับมิสเทค ส่วนผู้ร้ายตัวจริงก็คงนั่งยิ้มไปล่ะ
อ้างอิงจากบทความนี้
HIV ทำให้เกิด
AIDS ได้อย่างไร (HIV pathogenesis)
เอดส์ เป็นระยะสุดท้ายของ HIV infection เป็นระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลายจนไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อฉวยโอกาสต่าง
ๆ ได้ (opportunistic infection) การดำเนินโรคของ HIV
นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อใหม่ ๆ จะมีไวรัสมากในกระแสเลือด
ต่อมาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทั้ง humoral immunity และ cellular
immunity จะมีการทำลายไวรัสและทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อซึ่งเป็นการจำกัดขอบเขตและการลุกลามของโรคแต่พอถึงระยะหนึ่งจะมีการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด
CD4 (T helper cell) ปัจจุบันพบว่ามีเซลล์อื่น
ๆ ที่สามารถถูกติดเชื้อได้โดยไวรัส HIV เช่น macrophage,
dendritic cell ใน lymph node เป็นต้น
ที่มา : http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_1_001c.asp?info_id=901
[Fic KyuMin - Special] Teach about Mistake – Sungmin Part (2)