เพ(ร)าะรัก
✈
Special
by Kyuhyun 8 ✈
ด้วยความที่วันนี้เป็นวันหยุดที่ตรงกันในรอบหลายปี
ผมเลยถือโอกาสนัดเพื่อนสนิทมาร่วมทานอาหารค่ำที่ Souk Madinat Jumeirah อันเป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหารที่ซ่อนตัวอยู่ในรั้วบริเวณของรีสอร์ทสุดหรูของชายหาดจูไมราห์
เพื่อที่จะได้พาฮาบีไปเปิดหูเปิดตาด้วย
เพราะหลายวันที่ผ่านมาเราต่างก็พากันอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน และอีกนัยน์หนึ่ง ผมก็อยากจะปรึกษาพวกเพื่อนๆด้วย
ว่าถ้าหากผมจะย้ายไปประจำอยู่ในโซนแถบเอเชีย มันพอจะมีโอกาสเป็นไปได้อย่างถาวรเลยไหม
ผมอยากคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องพึ่งบารมีของพี่อารามากนัก
ส่วนฮาบีผมก็ลองคิดเอาไว้เล่นๆ
ว่าถ้าหากเขาไม่ชื่นชอบการเป็นลูกเรือ อนาคตของเขาควรจะทำอะไรดีเพราะหน้าที่การงานที่เขาเคยทำ
มันก็ไม่เคยหนีพ้นจากแวดวงของการบินเลย ซึ่งถ้าหากตัดตัวเลือกอย่างการเป็นลูกเรือออกไป
ฮาบีเขาก็เหลือตัวเลือกเพียงแค่ภาคกราวน์เท่านั้น
และเขาก็จะหนีไม่พ้นจากสถานการณ์เดิมๆ ที่เขาเคยเจอ
ผมไม่อยากให้เขาอยู่ที่เกาหลีแบบถาวร
ผมไม่อยากเห็นเขาเจ็บ โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้
ตราบใดที่ผมยังต้องทำหน้าที่ลูกเรือ ผมก็คงไม่สามารถอยู่เป็นเกราะกำบังให้เขาได้
แต่จะให้ผมเปลี่ยนงาน ผมก็ไม่สามารถทำได้เหมือนกัน
เพราะผมอยากช่วยพี่อาราในแบบที่ผมทำได้
และผมไม่อยากให้พ่อมองว่าผมเลือกซองมินมากกว่าครอบครัว
แล้วถ้าเกิดผมเลือกจะไปประจำอยู่ในโซนแถบยุโรปล่ะ
?
“เห้อ~” ผมถอนหายใจพลางฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้ทรงกลมตรงมุมประจำของตัวเอง
เมื่อคิดไม่ตกกับเรื่องในอนาคต เพราะดูเหมือนมันจะมีข้อจำกัดเล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด
“เป็นอะไรครับ?” ฮาบีหันมาให้ความสนใจผมทันที
หลังจากที่กำลังเล่นสนุกกับเจ้าเบดอยู่นาน
“พี่แค่กำลังคิดว่า ถ้าหากฮาบีไม่อยากเป็นลูกเรือ
ฮาบีจะทำอะไรได้อีกบ้าง ถ้าเกิดพี่จะไปประจำอยู่แถวๆโซนยุโรป
หรืออาจจะกลับไปประจำอยู่แถวๆโซนเอเชีย.. แต่ใจพี่เอียงไปทางฝั่งโซนยุโรปนะ” ผมพูดพลางเขี่ยปลายจมูกของเจ้าเบดที่นั่งเล่นอยู่บนโต๊ะ
“ผมว่ากลับไปอยู่เกาหลีง่ายกว่าอีกครับ
ผมหางานออฟฟิศทำหรือไม่ก็งานเดิมที่ผมเคยทำก็ได้ มันมีบริษัทเปิดรับสมัครเยอะแยะไปครับ..”
ฮาบีตอบอย่างไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก
“แต่พี่ไม่อยากให้เรากลับไปอยู่เกาหลี.. เหตุการณ์วันนั้น.. มันมากเกินไป..”
“ปีละครั้งเองครับ.. เพราะถ้าเทียบกับอยู่ที่อื่น ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วก็เรื่องงาน..
ที่เกาหลีผมใช้ชีวิตง่ายกว่าเยอะเลยครับ”
ฮาบีตอบพลางลูบข้างแก้มของผมเบาๆ จนผมอดจะจับยึดฝ่ามือคู่นั้นเอาไว้ไม่ได้
“ถ้าพี่กังวล
เราก็แค่ย้ายที่อยู่ใหม่ก็ได้นี่ครับ..” ฮาบียกยิ้มจนเต็มแก้ม คล้ายกับว่าสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเรื่องง่ายดาย
“พี่ถามจริงๆนะฮาบี เรามั่นใจแค่ไหนว่าถ้าเกิดเรากลับไปอยู่ที่นั่น
โอกาสที่จะได้เห็นฮาบีที่สดใสแบบนี้ มันจะไม่หายไป..” ผมบอกสาเหตุที่ผมเป็นกังวลจริงๆออกไป พลางจูบหลังฝ่ามือนุ่มของอีกฝ่ายเบาๆ
“…”
“แววตาแบบนี้ มันจะไม่หายไปจริงๆเหรอ? มันก็จริงที่พี่เคยชอบสายตาเศร้าๆของเรา
แต่หลังจากที่พี่ได้เห็นแววตาที่สดใสของเรา พี่กลับชอบแววตาแบบนี้มากกว่า”
“ไหนจะรอยยิ้มอีก เราจะยิ้มได้ทั้งปากและตาแบบนี้อยู่อีกไหม
?”
“…”
“ตอนนี้พี่หวงทุกอย่างที่เป็นความสดใสของเรานะ.. ในเมื่อเกาหลีก็มีแต่เรื่องร้ายๆ
ดูไบก็เจอแต่ความอึดอัด พี่ยอมหาแลกรูทบินทุกเดือนดีกว่า..”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ไม่ต้องคิดมากเลยครับว่าผมจะอยากหรือไม่อยากเป็นลูกเรือ
เพราะอาชีพเดิม ผมเองก็ไม่ได้ชอบแต่ผมก็ทำมันได้
ชีวิตคนเราไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำให้สิ่งที่ตัวเองชอบหรอกครับ ถ้าพี่ไม่อยากไปเกาหลี
แต่เลือกจะไปยุโรป ผมก็จะไปยุโรปกับพี่
แล้ววันหยุดเราก็กลับมาเยี่ยมคนอื่นๆก็ได้นี่ครับ
คุณพ่อของพี่จะได้เบาใจจากปัญหาที่ท่านเป็นกังวลด้วย เพราะความรักของเราในความคิดของท่าน
มันไม่ใช่แค่เรื่องผิดบาปนะครับ แต่มันเป็นเรื่องของกฏหมาย.. นั่นคือสาเหตุที่ท่านทำแบบนั้น
ผมเชื่อนะครับ เชื่อว่าสักวันท่านต้องเปิดใจยอมรับมันได้..”
“…” ผมไม่ตอบอะไร เพราะในหัวกำลังคิดตามคำพูดของอีกฝ่าย
จากนั้นผมก็อมยิ้มและพยักหน้าเบาๆ
“พี่ว่าผมจะต้องไปเรียนการบินต่อจากครอสเดิมไหมครับ
หรือว่าต้องเริ่มใหม่หมดเลย?”
“ก็คงต้องเริ่มใหม่น่ะแหละ เพราะหลังจากนี้คงต้องทำทุกอย่างให้เป็นมาตรฐาน
ส่วนเรื่องรูทบินพี่จะลองปรึกษากับเพื่อนดูก่อน
เราแค่ตั้งใจเรียนรู้ตามครอสต่างๆให้มากที่สุดก็พอ เดี๋ยวพี่จะโทรแจ้งพี่อาราให้..” ผมบอกพลางลุกขึ้นยืนและเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อไปหยิบโทรศัพท์มือถือ
จากนั้นผมก็ตั้งท่าจะเดินออกมาคุยตรงหน้าฮาบี
แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะคุยกับพี่อาราในห้องนอน
เธอบอกผมว่าฮาบีไม่จำเป็นต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ตั้งแต่ต้น
ขอแค่ภายในอาทิตย์นี้เขาจะต้องทบทวนบทเรียนเก่าๆให้ละเอียด
เพื่อเตรียมเรียนครอสสุดท้ายพร้อมกับลูกเรือรุ่นล่าสุดที่กำลังจะเรียนจบครอสภายในเดือนหน้า
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยฮาบีก็จะได้ขึ้นฝึกบนเครื่อง และพี่อาราก็จะเลือกให้ฝึกรูทบินเดียวกับผม
เธอบอกว่าเธอเองก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเราสองคน
เพราะทางนี้เป็นทางเลือกเดียวที่เราสองคนจะยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้
และเธอยังบอกอีกว่า ในอนาคตเธอจะขอให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดตารางการบินของเราให้ตรงกันและจะกำหนดรูทบินตามที่ผมต้องการ
โดยที่ผมไม่มีสิทธิ์ได้ปฏิเสธอะไรเลย นั่นจึงทำให้ผมไม่สบายใจ เพราะผมไม่อยากใช้วิธีนี้
เพราะมันมีแต่จะทำให้พี่อาราถูกมองไม่ดี
แค่เรื่องวีซ่าของฮาบีที่มันพ่วงกับการใช้เส้นเป็นพนักงานประจำ มันก็มากเกินพอแล้ว
แต่เธอกลับบอกว่าเธอไม่แคร์ เพราะเธอแคร์แค่ผมกับซองมิน
ส่วนเรื่องของคุณพ่อ
เธอเล่าว่าตอนนี้คุณแม่โซเฟียกำลังพยายามจะพูดให้ แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ เพราะคุณแม่โซเฟียย้ายมาอยู่กับพี่อาราเป็นการชั่วคราวแล้ว
คาดว่าน่าจะทะเลาะกันใหญ่โต เพราะก็อย่างที่ทราบกันดีว่ากฏหมายของที่นี่ ความรักในรูปแบบเดียวกันกับผม
มีโทษถึงขนาดจำคุกหลายปีทีเดียว ดังนั้นถึงแม้จะไม่ผิดบาป แต่ความจริงในเรื่องของกฏหมายมันน่าเป็นกังวลมากกว่า
คุณพ่อท่านก็เลยไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของคุณแม่โซเฟีย คุณแม่ก็เลยหงุดหงิดพร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า
‘จริงๆฉันเองก็ไม่อยากจะยอมรับในเรื่องแบบนี้นักหรอก
แต่แค่นี้อัสลานเขาก็หนักใจมากพอแล้ว คุณจะไปสร้างความลำบากใจให้เขาเพิ่มอีกทำไม
ถ้าเกิดวันนึงสิ่งที่คุณกลัวมันเกิดขึ้น แต่มันดันเกิดขึ้นพร้อมๆกับการมองหน้ากันไม่ติดของครอบครัว
คุณคิดว่าลูกจะทุกข์ใจกว่าเดิมไหม ทางที่ดีคุณน่าจะให้เขาทุกข์ใจแค่ปัจจัยภายนอกไม่ดีกว่าเหรอ?’
ยิ่งรู้แบบนี้ ผมก็ยิ่งเครียด
เพราะตอนนี้ผมเริ่มกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวไม่ลงรอยกัน
แถมยังทำให้ทุกฝ่ายไม่สบายใจ เห็นอย่างนี้แล้ว ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าระหว่างที่ฮาบีต้องไปเข้าครอสการบิน
ผมควรจะกลับไปทำงานดีไหม อย่างน้อยถ้าหากผมไม่อยู่ที่นี่ ความเสี่ยงก็คงจะน้อยลงตามไปด้วย
แต่อีกใจผมก็แอบคิดว่าพวกท่านดูเป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป
เพราะตั้งแต่เราอยู่กินด้วยกันมา ใครหลายคนต่างก็รู้ แต่ก็ไม่เห็นพวกเขาจะสนใจอะไรเลย
แต่ก็นะ.. รอบๆตัวผมในตอนที่อยู่ที่คอนโดก็มีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้น
น้อยคนนักที่จะเป็นประชากรพื้นเมืองของที่นี่
และด้วยความที่พวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของพี่อารา แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่กล้าพูดหรือวิจารณ์อะไร
แล้วอีกอย่างในแวดวงการบิน ความรักในรูปแบบนี้ก็มีกันให้เห็นจนชินตา
พวกเขาจึงไม่สนใจประเด็นนี้เสียมากกว่า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกล้าที่จะพาฮาบีหลบหนีจากความเลวร้ายที่เกาหลีมาอยู่ที่นี่..
แต่ด้วยความที่มุมมองมันต่างกัน แน่นอนว่าคุณพ่อกับคุณแม่จึงต้องกังวลมากเป็นพิเศษ
แต่เอาเข้าจริงๆ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ผมกับฮาบีก็แทบจะไม่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเลย
เพราะผมเองก็ต้องทำไฟล์ทติดๆกัน เพิ่งจะมีช่วงนี้ที่ผมมีวันหยุดยาว
เราสองคนถึงได้ออกมารู้จักกับโลกภายนอกที่มันห่างไกลจะสภาพแวดล้อมเดิมๆ
จนทำให้บางครั้งพวกเราก็ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โดยปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือความเหมาะสม
แต่พอเกิดเรื่อง ผมกับฮาบีก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง มันจึงทำให้เราสองคน ค่อยๆเติบโตในด้านการวางตัวไปด้วยกัน..
“กลุ้มใจอะไรอีกครับ?”
ผมเงยหน้าไปมองฮาบีที่อุ้มเจ้าเบดไว้ในอ้อมแขนทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายซักถาม
“ก็.. พ่อกับคุณแม่โซเฟียทะเลาะกันใหญ่โตเลย.. เรื่องของเราสองคนน่ะแหละ..”
ผมตอบพลางล้มตัวลงนอนแผ่บนที่นอน
“เหรอครับ..” ฮาบีทิ้งตัวลงนั่ง พร้อมกับปล่อยเจ้าเบดให้วิ่งเล่นบนที่นอน
ไอ้เจ้าลูกชายมันเลยวิ่งเข้ามาเลียหน้าเลียตาผมยกใหญ่
“พี่คิดว่า ระหว่างที่รอเราเรียนให้จบครอส
พี่จะกลับไปทำงาน.. เราคงต้องกลับไปเหงาอีกแล้ว
แต่อีกหน่อยทุกอย่างจะดีขึ้น.. เพราะถ้าเราสองคนสามารถปรับตัวรับมือกับเรื่องนี้ได้ดี
พวกท่านก็คงจะสบายใจ แล้วปัญหาก็คงจะไม่เกิดขึ้น” ผมล็อคตัวเจ้าเบดไว้บนอก
จากนั้นก็บอกฮาบีด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ครับ.. เราสองคนต้องช่วยกันแล้ว..” ฮาบีเขารับปาก
พลางทิ้งตัวลงนอนข้างๆผม พร้อมกับเข้ามาโอบกอดผมไว้จากนั้นเราสองคนก็เข้าสู่ห้วงแห่งนิทราไปด้วยกัน..
เมื่อใกล้เวลานัดหมาย
ผมกับฮาบีก็ผลัดกันไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยโดยต้องเผื่อเวลาสำหรับการเดินไปเอารถที่จอดไว้ตรงที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว
เพราะเนื่องจากหลายวันมานี้
นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางมาเยี่ยมชมที่นี่กันเป็นจำนวนมาก
เพื่อความสะดวกสำหรับการเดินทาง
ผมเลยนำรถไปจอดรวมกับคนอื่นๆในบริเวณที่เขาจัดเตรียมไว้
“ตลาดที่เราจะไปกันวันนี้
ผมเคยเห็นจากในรูปว่ามันคล้ายๆกับเมืองโบราณ แถมยังอยู่ติดชายทะเลด้วยใช่ไหมครับ?” หลังจากเอาเจ้าเบดไปฝากไว้กับมูนีร์
เราสองคนก็พากันเดินทอดน่องไปยังลานจอดรถ ระหว่างนั้นฮาบีเขาก็คุยจ้ออย่างตื่นเต้น
เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ไปเที่ยวที่ตลาดอันขึ้นชื่อของดูไบ
“ใช่แล้ว ตอนใกล้ๆค่ำเนี่ยสวยอย่าบอกใครเชียว
ฮาบีต้องชอบแน่ๆ” ผมพยักหน้าตอบพลางอมยิ้มยามที่ได้อธิบายถึงบรรยากาศคร่าวๆของสถานที่ดังกล่าว
“สวยกว่าบาสตากิยาตอนกลางคืนอีกเหรอครับ?” พอผมพูดเท่านั้นแหละ
ฮาบีก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจไปกันใหญ่ เด็กหนอเด็ก..
“ถ้าเราชอบความสงบ บาสตากิยาจะสวยกว่า
แต่ถ้าเราชอบบรรยากาศคึกคัก มาดินาทจูไมราห์ก็จะสวยกว่า” ผมตอบอย่างเป็นกลาง
เพราะของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของแต่ละคน
อย่างเช่นตัวผมกลับมองว่าบาสตากิยาสวยกว่า เพราะผมชอบความสงบ และชอบความเรียบง่าย
“ถ้างั้นผมต้องชอบบาสตากิยามากกว่าแน่ๆ
เพราะผมไม่ชอบความวุ่นวาย” ฮาบีเขาเบะปากก่อนจะเปิดประตูแทรกตัวเข้าไปในรถ
ผมก็เลยได้แต่อมยิ้มแล้วก็เดินไปยังที่นั่งประจำคนขับเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่นัดหมาย
ระหว่างเดินทางผมกับฮาบีก็พากันพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ
โดยแสร้งลืมเรื่องราวน่าหนักใจไปให้หมด
เพราะเราต่างก็ตกลงกันไว้แล้วว่าหลังจากนี้เราจะต้องเข้มแข็งและก้าวเดินต่อไปให้ได้
ผมเลยได้ทราบเรื่องราวความเป็นไปของเพื่อนฮาบีที่ชื่อว่าอีฮยอกแจ
ว่าตอนนี้เขาไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกแล้ว
เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะตกลงปลงใจคบหากับคุณ ชเวซีวอนไปหมาดๆ
“อ๋า~ ที่ตลาดนี่จะมองเห็นโรงแรมรูปเรือใบที่เป็นจุดเด่นของดูไบด้วยนี่ครับ”
ฮาบีเขาเปิดหาข้อมูลของสถานที่ดังกล่าวไม่หยุด
พอเห็นอะไรน่าสนใจเขาก็จะอุทานออกมาให้ผมรับรู้ไปด้วย
“ใช่แล้ว”
ผมตอบพลางเอื้อมมือไปโยกหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูกับท่าทางอันสดใสนั่น
“เขาสร้างตึกเหมือนกับบาสตากิยาเลยนะครับ
ต่างกันแค่มีคลองให้ล่องเรือได้ด้วย
แถมบรรยากาศรอบๆมองไปก็เห็นแต่ท้องฟ้ากับน้ำทะเลทั้งนั้น”
ผมอมยิ้มพร้อมกับตั้งใจขับรถต่อไป
ใจนึกอยากจะเหยียบคันเร่งให้มิดเพื่อที่จะได้พาฮาบีไปให้ถึงที่หมายที่เร็วที่สุด
เขาจะได้ไม่ต้องทนวาดภาพในจินตนาการไปมากกว่านี้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็เผลอขับรถด้วยความเร็วในระดับที่ครั้งหนึ่งฮาบีเขาเคยห้ามปรามไว้
แต่พักหลังก็ไม่มีการห้ามปรามเกิดขึ้นอีกเลย ไม่รู้ว่าเขาชินหรือปลงตกกันแน่..
“คนเยอะกว่าที่คิดอีกนะครับ”
เมื่อการจราจรกำลังติดขัดอยู่ตรงหน้าป้ายทางเข้าซุกมาดินาทจูไมราห์ได้พักใหญ่
ฮาบีเขาก็วางแขนลงบนคอนโซลรถพร้อมกับวางปลายคางลงบนหน้าแขนเพื่อแหงนมองสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับอาคารในสมัยอาหรับโบราณ
“วันศุกร์ก็แบบนี้แหละ”
ผมตอบพลางค่อยๆเหยียบเบรกเป็นระยะ เนื่องจากรถสามารถเคลื่อนตัวได้ทีละนิด จึงทำให้ภาพเบื้องหน้าของเราสองคนปรากฏเป็นภาพของสิ่งก่อสร้างสีเหลืองนวลตาที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟสีเหลืองอ่อนตามจุดต่างๆที่เปิดต้อนรับช่วงเวลากลางคืนเอาไว้
เลยทำให้ต้นปาล์มอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองในแถบทะเลทรายแลดูเป็นจุดเด่นที่แสนกลมกลืนไปกับสิ่งต่างๆรอบด้าน
ผมวนหาที่จอดรถไม่นานก็ได้ทำเลดีๆสักที
หลังจากนั้นผมก็กดโทรศัพท์หาเจ้าพวกนั้นเพื่อถามว่าพวกมันอยู่ตรงส่วนไหนของที่นี่
พอถามจนได้ความแล้วผมก็ส่งสัญญาณให้ฮาบีลงจากรถ
โดยผมเป็นฝ่ายเดินนำทางร่างเล็กที่ในวันนี้ดูวางตัวเป็นเด็กตัวเล็กๆไปเสียแล้ว
“ร้านนี้ขึ้นชื่อเลยนะ แถมอยู่ใกล้ริมคลองด้วย
บรรยากาศดีสุดๆเลย” เมื่อเดินไปได้ประมาณสิบก้าว
ผมก็เริ่มเดินช้าลงเพื่อที่เราจะได้เดินอยู่เคียงข้างกัน
จากนั้นผมก็อธิบายลักษณะของร้านอาหารที่เป็นจุดมุ่งหมายของเรา
ฝ่ายฮาบีเขาก็ทำแค่เพียงยิ้มแล้วก็ยิ้มอยู่อย่างนั้น และดูเหมือนว่าผม จะน่าสนใจน้อยกว่าบรรยากาศรอบกายของเจ้าตัวไปแล้วล่ะ
ผมเลือกพาฮาบีเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางด้านนอกแทนที่จะพาเดินลัดเข้าไปในตัวอาคาร
เพราะผมอยากให้อีกฝ่ายมองเห็นบรรยากาศยามที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
แล้วท้องฟ้าก็จะค่อยๆกลายเป็นสีส้มอมม่วง
ขณะที่น้ำทะเลก็จะค่อยๆเปลี่ยนจากสีฟ้าอมเขียวมรกตกลายเป็นสีเหลืองทองละมุนตา
เมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ
ผู้คนก็เริ่มมากมายจนละลานตา
แต่เราสองคนก็ยังคงเดินอยู่เคียงข้างกันโดยเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม
ยิ่งฟ้าใกล้มืดมากเท่าไหร่ ดวงไฟสีเหลืองนวลก็ยิ่งส่องสว่างมากขึ้นเท่านั้น
ทำให้เวลาที่เรามองไปยังผิวน้ำของคลองขนาดเล็กที่ทางรีสอร์ทได้สร้างขึ้น
ก็จะเห็นเงาสะท้อนของแสงไฟปรากฏอยู่เหนือผิวน้ำ
และถ้าหากพระจันทร์ลอยขึ้นอวดโฉมเมื่อไหร่
ดวงจันทร์ก็คงจะสะท้อนอย่างสวยงามเช่นกัน
“ตลาดนี้จริงๆแล้วเป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวของท่านอามินล่ะ.. ประสบความสำเร็จสุดๆเลยว่าไหม?
เห็นหรูหราแบบนี้แต่ราคาไม่แพงหรอกนะ จะแพงก็แค่ค่าห้องน่ะแหละ
เห็นโรงแรมรูปเรือใบโน่นไหม นั่นน่ะการบริการระดับหกดาวเชียวล่ะ
ลูกค้าก็ต้องกระเป๋าหนักกันเยอะ โครงการนี้ก็เลยสำเร็จลอยลำไปเลย
ช่วงบุกเบิกนี่พี่ก็พลอยเครียดกับท่านไปด้วยนะ
มันเหมือนกับเรามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนยังไงก็ไม่รู้สิ
เพราะท่านชอบเล่านู่นเล่านี่ให้ฟังน่ะแหละ
พอเห็นมันประสบความสำเร็จทีไรก็อดจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ทั้งๆที่จริงๆแล้วไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับท่านอามินเลย”
“ท่านอะรีบทรงพระปรีชาสามารถจริงๆนะครับ
ไหนจะโครงการรักษาพันธุ์สัตว์ทะเลทรายในเขตอุทยาน แล้วนี่ยังจะมีโครงการด้านการท่องเที่ยวอีก”
“ใช่ไหมล่ะ
จริงๆแล้วลักษณะทางภูมิภาคของเอมิเรตส์น่ะ ด้านนึงเป็นทะเลทรายอีกด้านนึงเป็นทะเล
ถ้าหากวางผังเมืองดีๆ ก็จะกลายเป็นเมืองที่สวยงามอย่าบอกใครเชียวแหละ หลายๆ อย่างที่มันลงตัวก็เกิดจากท่านเป็นคนวางแผนทั้งนั้นน่ะ”
ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ จนกระทั่งเดินมาถึงร้านอาหารริมคลอง
ผมจึงโทรหาไอ้ชางมินเพื่อถามหาโต๊ะนั่งของพวกมัน
“ไงวะเฮ้ย!” เมื่อเห็นเจ้าพวกนั้นอยู่ในกรอบสายตา
ผมก็วิ่งเข้าไปหาพวกมันพลางตีหัวเรียงคนเป็นการทักทายเล่นเอาโดนมองแรงอยู่นาน
กระทั่งฮาบีเดินตามเข้ามาสมทบ สถานการณ์ถึงได้ดีขึ้น
ด้วยความที่เราไม่ได้พูดคุยหรือพบเจอกันมาระยะหนึ่ง
จึงทำให้เราต่างก็มีเรื่องเล่ามาแลกเปลี่ยนกันมากมาย
ส่วนใหญ่เจ้าพวกนั้นมันก็บ่นเรื่องบนไฟล์ทให้ฟังนั่นแหละ
ส่วนผมก็ถือโอกาสเล่าเรื่องราวความเป็นไปของตัวเองพร้อมกับร่ำลาพวกมันไปด้วยเลย
เพราะคาดว่าหลังจากนี้ผมกับพวกมันคงได้เจอหน้ากันน้อยลง
“อย่าไปพูดถึงมันเลยเว้ยเรื่องเศร้าๆน่ะ
ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาดื่มกันชิวๆดีกว่า นานๆจะเจอกันที”
ไอ้มินโฮเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศอันขุ่นมัวลง พวกเราทั้งหมดก็เลยตามน้ำกันไป
ว่าแต่ว่า ฮาบีกับเบียร์มันช่างไม่เข้ากันซะเลย..
“แฟนนางแบบของแม่งโทรมาตามแล้วว่ะ ฮ่าๆ”
นั่งดื่มกันไปได้สักพัก โทรศัพท์ของไอ้อิมรานก็สั่นครืดคราดไม่หยุด
แรกๆมันก็จะไม่รับสาย
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับเพราะดูท่าทางแล้วคนปลายสายคงจะไม่หยุดโทรหาง่ายๆ
“แฟน ?” ผมอุทานอย่างแปลกใจ เพราะเท่าที่รู้ไอ้อิมรานมันแอบชอบคุณอาเมียร์มาตั้งนาน
ชอบถึงขนาดที่ไม่ยอมคบหาใครเลย
“เพื่อนคุณอาเมียร์” ชางมินเป็นฝ่ายเฉลย
ทำเอาผมอดเป็นห่วงไอ้อิมรานไม่ได้ เพราะถ้าเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้
เกรงว่าสาเหตุที่มันยอมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนจะเป็นเพราะคุณอาเมียร์น่ะสิ
“เขาเป็นแม่สื่อน่ะนะ..” ชางมินขยายความขึ้นอีก
ทำเอาผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
“พวกมึงพูดเรื่องอะไรกันวะ แม่งรู้กันอยู่สองคน”
ไอ้ตะวันเอ่ยขึ้น พวกผมเลยต้องบอกปัดออกไป เพราะไม่อยากให้ใครรู้มากนัก
เดี๋ยวไอ้อิมรานมันจะถูกมองไม่ดี แล้วอีกอย่างเรื่องสถานะทางครอบครัวของมันก็ไม่ค่อยเป็นที่เปิดเผยสักเท่าไหร่
“เดี๋ยวกูมานะ ไปหาอาเมียร์แปปนึง”
ไอ้อิมรานมันเดินกลับมา แล้วก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
พวกเราก็เลยนั่งดื่มกันต่อไปพร้อมกับพูดคุยและด่ากันไปตามเรื่องตามราว
หลังจากสังสรรค์กันจนอิ่มแปล้ พวกเราก็พากันเดินย่อยอาหารไปยังด้านในของตัวอาคารเพื่อเดินดูร้านค้าต่างๆ
ที่มีตั้งแต่ร้านขายเครื่องดนตรี เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ
เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้านสไตล์อาหรับ ชิชา เครื่องเงินเครื่องทองต่างๆก็มีอยู่มากมาย
แต่พวกเราก็ไม่ได้ซื้อหาแต่อย่างใด ทำเพียงแค่เดินดูเงียบๆเท่านั้น จะมีก็แต่ฮาบีที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครเขาหมด
จากนั้นเราทั้งหมดก็เดินลัดเลาะออกมาด้านนอกอาคาร
เพื่อชื่นชมบรรยากาศในยามค่ำคืนอันคึกครื้นของซุกมาดินาทจูไมราห์
ซึ่งไฮไลท์ของตลาดแห่งนี้ก็อยู่ในช่วงกลางคืนนี่แหละ
เพราะตามตัวอาคารและบริเวณริมทางเดินจะถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างอลังการ
เรียกได้ว่ายิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก ยิ่งตรงร้านอาหารที่พวกผมไปนั่งกันก่อนหน้านั้นนะ
ป่านนี้เหล่านักท่องเที่ยวคงจะพากันจับจองที่นั่งเพื่อดื่มด่ำแอลกอฮอลล์ไปพร้อมๆกับบรรยากาศรอบๆจนเต็มพื้นที่ไปหมดแล้วแหละ
“ว่าแต่พวกมึงจะกลับพร้อมกูเลยไหม ?” ผมถามไอ้พวกนั้น
เมื่อเราเดินวนจนออกมาถึงที่จอดรถอย่างไม่รู้ตัว
“ยังว่ะ พวกกูเปิดห้องไว้ว่าจะพักต่ออีกสักวัน
พรุ่งนี้ค่อยกลับ” ไอ้ตะวันเป็นคนตอบ ผมจึงพยักหน้ารับรู้
“เออนี่! พวกกูเปิดห้องไว้สองห้อง ถ้ามึงอยากเปลี่ยนบรรยากาศ
พวกกูยอมสละให้มึงห้องนึงเลยน้า!”
“ไอ้สัส” ผมด่าอย่างเหลืออด
ฝ่ายฮาบีเขาก็เกลาแก้มแก้เขินไปด้วย
“เพื่อนเรามันอ่อน ก็งี้แหละว้า”
ไอ้มินโฮมันว่าทับถม พลางกอดคอกับเพื่อนซี้อย่างสนุกสนาน
“เออ.. อ่อนมากไอ้สัส” ไอ้อิมราน ไอ้เพื่อนเวร
มึงควรจะช่วยกันห้ามปรามเพื่อนมึงสิ ไม่ใช่มายุแยงกูแบบนี้ ถ้าเกิดกูตบะแตกขึ้นมาจะทำยังไงวะแม่ง
แค่นี้ชีวิตก็ยุ่งเหยิงจะตายห่าแล้ว
“กูล้อเล่นน่า
มาถึงนี่ทั้งทีมึงก็ผ่อนคลายหน่อยสิวะ”
ไอ้เชี่ยชางมินมันเดินเข้ามากระซิบตรงข้างหูผม
จากนั้นมันก็หิ้วคอเสื้อผมพลางลากเดินไปทาง Resort Jumeirah Al Qasr ที่เชื่อมกับซุกมาดินาท ซึ่งรีสอร์ทแห่งนี้ก็คือที่พักอันชื่อเรื่องราคาอีกแห่งหนึ่ง
บอกเลยว่า ถ้าหากเจ้าของไม่ใช่ท่านอามินที่เป็นญาติกับไอ้อิมรานล่ะก็
รีสอร์ทประเภทนี้พวกมันไม่มีทางได้เข้ามาเหยียบหรอกครับ
“บายนะเพื่อน ห้องนี้เป็นของมึงแล้ว
แต่จะอะไรๆก็ระวังนิดนึงนะเว้ย เผื่อกำแพงมันไม่เก็บเสียง”
ปัง!
หลังจากเดินตามแรงลากจนเซแถ่ดๆจนหมดท่า
ผมก็ถูกไอ้ชางมินมันจับยัดเข้ามาให้ห้องๆหนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยฮาบี
แล้วตัวการทั้งหมดมันก็โผล่หัวมาโบกมือบ้ายบายด้วยใบหน้าแป้นแล้นจนน่าถีบ
แต่ผมยังไม่ทันได้ถีบเพราะพวกแม่งรีบปิดประตูใส่หน้าผมอย่างรวดเร็ว
ดีนะ หน้ากูไม่แหก
“เหมือนถูกยัดเยียดให้รีบส่งตัวเข้าหอเลยเนอะ”
ผมว่าพลางกอดอกเดินสำรวจห้องที่ดูเหมือนไม่มีใครเคยมาพัก
ทั้งๆที่ข้าวของของพวกมันก็ยังอยู่ในห้องแท้ๆ แต่ทุกอย่างก็ยังดูเป็นระเบียบ
อาจเป็นเพราะแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็ได้มั้ง
“เป็นใบ้ไปแล้วเหรอฮาบี ?”
หลังจากไม่ได้ยินเสียงต่อว่าของอีกฝ่าย
ผมก็หันไปย้อนถามคนที่กำลังนั่งหน้าแดงอยู่บนเตียงด้วยท่าทางกวนๆ
“ผมไม่ได้เป็นใบ้ครับ ส่วนพี่ถ้าไม่พูด
ก็ไม่มีใครเขาว่าเป็นใบ้หรอก” น่านนน! โดนไปหนึ่งดอกแล้ว รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นฮาบีในมาดนี้
เพราะน้อยครั้งมากที่เจ้าตัวจะมีปากมีเสียง แสดงว่างานนี้เขินจริงไม่ใช้แสตนอิน
“ปากคอเราะร้าย”
ผมว่าพลางเดินเข้าไปบิดจมูกฮาบีเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว
“ก็พี่ทำตัวหน้าหมั่นไส้”
“ตรงไหน ?”
“ทุกตรงเลยครับ..” ฮาบีเขาว่าพลางมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แต่ฮาบีก็ยังรักพี่อยู่ดี ถูกไหมล่ะ?” ผมว่าพลางทิ้งตัวลงนอนพร้อมกับคว้าคนตัวเล็กติดมือมาด้วย
จึงทำให้ตอนนี้เราสองคนกำลังนอนกอดกันกลมอยู่บนเตียงนอนของรีสอร์ทสุดหรู
“ผมเชื่อคนง่าย พี่ว่ายังไงผมก็ว่าตามนั้น”
ฮาบีเขาตอบเล่นลิ้นอย่างหมั่นเขี้ยว
ผมเลยต้องกอดเขาแรงๆจนอีกฝ่ายนอนดีดดิ้นไปมาผมถึงยอมปล่อย
แล้วเราต่างก็พากันนอนหงายและจับมือกันไว้
“ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าในอนาคตตอนที่ผมต้องสวมบทบาทของลูกเรือจะเป็นยังไง
คนอื่นเขาจะสงสัยกันไหมว่าผมตัวก็สูงแค่นี้ แต่ดันได้เป็นถึงลูกเรือของสายการบินอาหรับ
แต่ผมมั่นใจว่าผมเอื้อมแตะถึง 212
เซ็นนะ” ฮาบีเขาว่าพลางกลั้วหัวเราะ
“พูดเหมือนเราเตี้ยอะไรมากมาย จริงๆก็เกือบจะได้มาตรฐานอยู่นะ”
ผมว่าพลางพลิกตัวหันไปมองฮาบี
พลางยักคิ้วให้โดยที่ไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะหันมามองกันแบบนี้
“ปากคอเราะร้าย”
“ช่วยไม่ได้ ก็มันคือความจริงนี่ คุณต้องยอมรับมันให้ได้นะ”
ผมว่าพลางเอี้ยวตัวไปรั้งศีรษะของอีกฝ่ายให้เข้ามาแนบชิดกันก่อนจะพล็อยหลับไปทั้งๆที่บรรยากาศก็ออกจะเป็นใจ
แต่สถานการณ์ดันไม่ค่อยจะเป็นใจสักเท่าไหร่ เราเลยทำได้เพียงแค่กอดกันให้เพียงพอ
ก่อนที่จะต้องกลับไปนอนกอดหมอนข้างไปอีกระยะหนึ่ง
เห้อ คิดๆแล้วก็แอบใจหายเหมือนกันนะ
--------------------------------------------------------------------------------------
ทุกคนอาจจะลืมเนื้อเรื่องตามคนแต่งไปแล้ว
แหะๆ พอดีช่วงที่ผ่านมาตันมากๆเลยค่ะ เลยต้องหยุดเขียนไปก่อน
ตอนนี้เริ่มเขียนได้บ้างแล้ว จะพยายามเขียนต่อให้จบน้า 5555
สำหรับตอนนี้คือสั้นมากกกกก ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวามากเท่าไหร่
ส่วนตอนหน้าเราจะเข้าสู่วงการของสายการบินต่อไปค่ะ เขาจะทำไฟล์ทด้วยกันแล้ว
อิอิ
[KyuMin Fic] Spe - เพ(ร)าะรัก ✈ 8