วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 28

Mistake
 

Misatake 28

                เมื่อคืนหลังจากไอ้ทิสเทคมันสบายอกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้ว ท้องไส้ของมันก็เริ่มร้องประท้วงอย่างหนัก แล้วลองคิดดูว่าดึกดื่นขนาดนั้นร้านอาหารที่ไหนมันจะยังเปิดขายอยู่ล่ะวะ ดีที่คอนโดกูมีบะหมี่ให้แดก ไม่งั้นนะมึงเอ้ย ได้มีคนหิวจนไส้ขาดแน่

                “ถ้าเที่ยงแล้วกูยังไม่ลงมาคอยหน้าออฟฟิศ มึงโทรตามกูเลยนะ..” ผมลงจากรถ แล้วก็เดินอ้อมไปหยุดยืนตรงหน้ากระจกด้านข้างคนขับ พลางเคาะหลังมือลงบนกระจกเบาๆ ไม่นานนักไอ้มิสเทคมันก็ลดกระจกลง ผมเลยยืนท้าวแขนกับขอบหน้าต่างคุยเพื่อกับมัน
                “อืม”

                “ขับรถดีๆนะมึง อย่าลืมจัดกระเป๋าให้กูด้วย ..” ผมยืดตัวตรง พลางถอยออกห่างจากตัวรถเพียงเล็กน้อยเมื่อเริ่มกล่าวคำอำลา เพื่อเตรียมตัวแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง คืออย่างนี้ระหว่างรอผล ท่านประธานเขาให้สิทธิ์มันลาพักผ่อนได้หนึ่งอาทิตย์ ส่วนผมเมื่อคืนได้โทรไปขอลาหยุดกับท่านประธานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งท่านก็อนุมัติแต่มีข้อแม้ว่าถ้ากลับมาทำงานต่อเมื่อไหร่ ผมจะต้องเคลียร์งานของตัวเองให้ทัน
                บริษัทนี้เขาไม่ซีเรียสเรื่องวันลาวันหยุดนะ คือคุณจะหยุดเป็นอาทิตย์ก็ได้ แต่ว่าคุณจะต้องกลับมาสะสางงานของคุณให้เสร็จสิ้นให้เร็วที่สุด ซึ่งการทำงานกับบริษัทที่มีสาขามากมายทั่วประเทศแบบนี้ งานของคุณจะมีเข้ามาทุกวัน เพราะการทำงานของสาขาไม่มีวันหยุด ..
                ฉะนั้นมีปัญญาหยุดได้คุณหยุดไป แต่ถ้างานที่คุณรับผิดชอบเกิดทำไม่ทันขึ้นมาเมื่อไหร่ ..
                หัวหน้ามันเอามึงตายอย่างเขียดสถานเดียว กูบอกเลย!
               
                “ไงมึง ขี้แข็งแล้ว ?” ผมที่กำลังจะสแกนบัตรเพื่อตอกเวลาเข้าทำงาน มีอันต้องหยุดชะงักกับคำถามเหี้ยๆของไอ้เพื่อนเหี้ยในทันที ..
                “สัส .. มึงมีกายหยาบเท่านั้นไม่พอ สันดานยังเสือกหยาบอีกด้วย ..” ผมสบถด่าไอ้มินโฮเน้นๆ แล้วก็หันไปสแกนบัตรตรงเครื่องสแกน ก่อนจะเดินเลี้ยวขวาเข้ามาในห้องทำงาน

                “ด่ากูเน้นๆยังพอทน แต่น้ำลายกระเซ็นนี่มันยังไง ?” ไอ้มินโฮมันโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงานของผม พลางกอดอกมองหน้าหาเรื่องกูเต็มที่ .. แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้เชี่ย กูไปด่ามึงน้ำลายกระเซ็นตอนไหน แม่งปรักปรำกู ..
                “มึงต้องแดกน้ำยาล้างห้องน้ำฆ่าเชื้อโรคมั้งไอ้สัส” เลว! ไอ้หัวหน้าส้นตีนแม่งแนะนำลูกน้องได้ดีมาก เหี้ยเหอะ ด่ากูซะอ้อมโลกแบบนั้น กูว่ามึงด่ากูเป็นตัวเชื้อโรคซึ่งๆหน้าเลยดีกว่ามั้ย ?

                “เงียบปากเลยไอ้พวกเชี่ย กูมีงานการต้องสะสาง ไม่ต้องเสือกมายุ่งกับกู ” ผมด่าพวกแม่งอย่างเหลืออด จากนั้นก็คว้าแก้วกาแฟเดินขึ้นไปบนห้องครัว เพื่อชงกาแฟมาดื่มระหว่างทำงาน เห้อ แค่เช้าวันแรกของการทำงาน กูก็เซ็งพวกแม่งจะแย่ เสือกกวนตีนกูได้ตลอด
                “ชงให้กูแก้วดิ ..” ไอ้ซีวอน ไอ้ห่าคุณชาย แม้แต่ชงกาแฟแดกเองยังชงไม่เป็น

                “ใช่เรื่อง อยากแดกก็ชงเอง งานกูมีเยอะแยะ ..” ผมส่ายหัว พลางมองนาฬิกาเพื่อดูเวลาว่านี่กูเสียเวลาไปกี่วินาทีแล้ว ประเดี๋ยวตอนบ่ายไอ้มิสเทคมันมารับแล้วงานกูเคลียร์ไม่ทันจะแย่เอา
                “คนอย่างมึงนี่แม่งไม่รู้จักคำว่าน้ำใจเลยไอ้สัส .. ว่าแต่เมียมึงโอเคนะ ?” ไอ้ซีวอนแม่งถีบก้นกู ไอ้เหี้ย รอยฝ่าตีนติดกางเกงกูเลอะเทอะไปหมด ..
เชี่ย! กูมีเพื่อนกี่คนแม่งก็เชี่ยกันทั้งนั้น!

                “ก็น่าจะโอเคมั้ง .. มึงว่าท่านประธานจะเขี่ยมันทิ้งจริงๆเหรอวะ ?” ผมถามไอ้ซีวอนเมื่อสมองเริ่มเข้าสู่โหมดเคร่งเครียด
                “ไม่รู้ดิ .. แต่แผนกการตลาดครอสมันเต็มแล้วนี่ ถ้าไม่เขี่ยทิ้งจะให้เก็บเอาไว้ตรงไหนวะ ?” เงียบแดกสิกู เล่นอ้างถึงครอสกันโต้งๆแบบนี้ แต่ว่า .. มิสเทคมันเก่งนะเว้ย แถมพี่กูยังซื้อตัวมาชนิดที่แบบว่าหว่านล้อมสุดๆเลยนะเว้ย จะทิ้งง่ายๆไม่เสียดายเงินแบบนี้ สุรุ่ยสุร่ายไปหรือเปล่าวะ ?

                “ไอ้เชี่ยยยยยย! อย่าทำกูไขว้เขว” ผมด่าไอ้ซีวอนอย่างคนต้องการที่ระบายอารมณ์ จากนั้นผมก็ยีหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ถึงค่อยคว้าแก้วกาแฟของตัวเองถือติดมือกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองด้วย ..
                โจวอารา อยากให้ฉันบ้าตายนักใช่ไหมถึงเงียบหายไปแบบนี้ .. เลิกทดสอบได้แล้ว ห้ามๆเข้าใจมั้ย.. ’ ทันทีที่ก้นแตะลงบนเก้าอี้ ผมก็รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาพี่สาวของตัวเองอย่างคนสติแตก
                เพราะไอ้ซีวอนแม่งคนเดียว จากที่ความเชื่อมั่นของกูมีเต็มร้อย
                ณ ตอนนี้มันหดเหลือแค่ศูนย์เองนะเว้ย!

            “เมียทิ้งแล้วมั้ง บ่ายโมงแล้วยังไม่มา ” กูเกลียดไอ้สี่ตัวนี่จริงๆ ได้เวลาทำงานแล้วมั้ย ทำไมยังไม่เสือกไปทำงานกันอีก มานั่งเฝ้ากูรอมิสเทคมันเพื่ออะไรไอ้พวกห่านี่
                “ไม่ใช่ว่าซองมินมันเครียดจัด เส้นเลือดแตกคาห้องไปแล้วเหรอวะ ?” ไอ้เชี่ยมินโฮ กูขอโบกหัวมึงเน้นๆ ไม่พูดคงไม่มีเขาหาว่ามันเป็นใบ้หรอกมั้ง ..

                “ไอ้พวกเหี้ย ขึ้นไปทำงานเดี๋ยวนี้ อย่าให้กูเล่นไม้แข็ง เดี๋ยวพวกมึงจะหนาว ..” ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา พลางกดเข้าไปในสมุดโทรศัพท์ที่ผมเมมเบอร์พี่อาราเอาไว้ จากนั้นก็โชว์ให้พวกมันดูว่าถ้าหากยังเสือกมากวนตีนกูอยู่อีก กูโทรฟ้องพี่กูแน่ว่าพวกมึงอู้งาน รับรองพวกมึงโดนหักเงินเดือนชัวร์ป้าป ..
                “อูยยย .. เล่นของสูง พวกผมไปทำงานแล้วก็ได้ครับคุณคยูฮยอน ..” ไอ้ชางมิน ไอ้หัวหน้าเวรตะไลมันทำตัวนอบน้อมใส่ผมอย่างกวนตีนสัสๆ พอกูทำท่าว่าตีนจะกระตุกพวกแม่งทั้งหมดก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ..

                “มึงอยู่ไหนแล้ว ?” บ่ายสองแล้ว นี่มันเลยเวลานัดโคตรๆแล้วนะเว้ย กูเลยต้องโทรตามอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่อะไรกูเป็นห่วงมัน กลัวจะเกิดเรื่องไม่พึงประสงค์
                “กำลังจะขับเข้ามาในบริษัทแล้ว มึงออกมายืนรอเลย”

                “กูมายืนรอมึงหน้าตึกนานแล้วเถอะ ..” ผมบ่นพลางกดวางสาย เมื่อสายตามองเห็นรถคันคุ้นเคยขับเข้ามาจอดเทียบท่าตรงหน้าออฟฟิศ ..
                “ทำอะไรอยู่วะ ช้าว่ะ ” ผมเดินดุ่มๆไปเปิดประตูด้านข้างคนขับ แล้วก็ต้องหยุดชะงักไปพักหนึ่ง เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาคนหนึ่งกำลังนั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของผมอยู่ ...
                คือไอ้เชี่ยนี่แม่งเป็นใครวะ ?
                   
                “ไม่ทราบว่ามึงเป็นใครถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถของกูได้ ?” ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ พลางกำคอเสื้อของไอ้เชี่ยนี่อย่างโมโห ก็ดูแม่งดิ ทำเป็นลอยหน้าลอยตา แถมยังมองกูเหมือนอากาศธาตุอีก ไอ้สัส กวนส้นตีน!
                “แล้วมึงล่ะเป็นใคร ?” โอยไอ้เหี้ย กูปรี๊ดจนเกือบจะซัดหน้าไอ้ห่านี่เข้าให้แล้ว ถ้าไอ้มิสเทคแม่งไม่รีบวิ่งลงจากรถตั้งแต่ตอนที่กูกำลังจะมีเรื่องแล้วเข้ามาชาร์ตตัวกูแบบนี้ล่ะก็นะ กูรับรองเลยว่าไอ้หน้าจืดนี่ได้หน้าแหกคาหมัดกูแน่ ..

                “ปล่อยกูไอ้มิสเทค กูจะต่อยมัน แม่งเสือกกวนตีนกู ..” ผมดีดดิ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี จนในที่สุดกูก็เป็นอิสระ
                “อย่าทำน้องกูไอ้คยู..” มิสเทคมันรีบเข้ามาชาร์ตตัวผมอีกรอบ แต่คราวนี้กูหยุดบ้าคลั่งได้ด้วยตัวเอง เพราะประโยคบอกเล่าของมันประโยคเดียว
                น้องชายที่ตาบอดน่ะเหรอ ?

                “เมื่อกี้กูขอโทษมึงแล้วกัน ..” ผมเบลอไปชั่วขณะ แล้วพอรู้ว่าตัวเองผิด ผมเลยขอโทษน้องชายของมันไป
                “อืม .. พี่จะไปทำธุระต่อไม่ใช่เหรอ ? รีบไปส่งผมที่บ้านเถอะ ..” น้องชายของไอ้มิสเทคหันหน้ามาทางผม และยกยิ้มบางๆ แต่คือรอยยิ้มนั้นไม่ได้มีให้กูนะเว้ย ไอ้เด็กนั่นมันยิ้มให้พี่ชายของมันต่างหาก แต่เพราะมันมองไม่เห็นก็เลยยิ้มมั่วซั่ว ..

                “อ้อ อื้ม .. เดี๋ยวกูจะพาน้องไปส่งบ้าน มึงไปนั่งข้างหลังก่อนแล้วกัน ..” มิสเทคมันกระตุกแขนผม พร้อมกับเปิดประตูรถด้านหลังให้อย่างดิบดี เจออย่างงี้กูเลยยอมอย่างไม่มีข้อแม้ ..
                “ไอ้คยู ..นี่อีซองจินน้องชายกูเอง ..” ระหว่างขับรถท่ามกลางความเงียบ ไอ้มิสเทคมันก็เป็นหน่วยกล้าตายแนะนำน้องชายของมันให้ผมรู้จัก

                “อืม” ผมพยักหน้ารับพลางส่งเสียงเป็นเชิงว่ารับรู้ในลำคอ
                “ซองจินนั่นโจวคยูฮยอน .. เอ่อ .. เป็น ” มิสเทคมันอ้ำอึ้งอยู่นานสองนาน จนกูลุ้นจนไส้กิ่ว คือแม่งอายจนหน้าแดงเลยมั้งนั่น ถึงได้พูดไม่เป็นคำซะแบบนั้น ..

                “พูดให้ดีนะมึง ..” ผมโน้มตัวไปกระซิบขู่เบาๆตรงซอกเบาะทางฝั่งคนขับ แล้วก็กลับมานั่งกอดอกตัวตรงเหมือนเดิม
                “แฟน ?” แต่จู่ๆอีซองจินมันก็เฉลยคำตอบที่กูอยากได้ยินจากไอ้มิสเทคขึ้นมาซะงั้น
                คือน้องครับ พี่อยากได้ยินแฟนพี่แนะนำตัวพี่เว้ย!
                มึงจะรีบฉลาดทำไมนักหนา !!!!

                “อืม ..” ไอ้มิสเทคมันตอบน้องชายของมันงึมงำในลำคอ
                “มีแฟนกับเขาสักทีนะ วันๆเห็นพี่ยุ่งแต่เรื่องของผมจนผมคิดว่าพี่จะขึ้นคานแล้ว .. ” อีซองจินแปะป่ายมือลงบนใบหน้าของไอ้มิสเทค แล้วจากนั้นก็ลูบหัวเบาๆราวกับเอ็นดู เห็นแล้วกูรู้สึกว่ามันสองคนกำลังสลับหน้าที่กันอยู่มั้ย .. คือไหงน้องชายถึงได้ทำท่าทางราวกับเอ็นดูพี่ชายไปได้วะ..

                “ไอ้บ้า .. ดูพูดเข้า ไม่มีหวงกันเลย ..” มิสเทคมันยกยิ้ม แล้วก็จับมือซนๆของน้องชายมันออกจากหัวของมัน
                “ก็หวงนะ แต่เล่นขนเสื้อผ้าไปอยู่กับเขาแล้วจะให้ผมทำไง .. พี่อย่าทำให้ซองมินเสียใจนะ ผมอยากให้ซองมินมีความสุขที่เป็นของตัวเองบ้าง ..” ผมงงไปพักใหญ่ เมื่ออยู่ๆไอ้ซองจินมันก็หันมาพูดจาฝากฝังซองมินกับผมเสียอย่างดิบดี

                “อืม .. มึงไม่ต้องห่วง กูจะดูแลพี่มึงอย่างดี ..
                “ลูกผู้ชายคำไหนคำนั้นนะเว้ยพี่ ..

                “เออ” ผมตอบรับไอ้ซองจินอย่างหนักแน่น น่าแปลกที่มันกับผมดันเข้ากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อ จากทีแรกผมมองว่าไอ้ซองจินมันดูจะเข้ากับคนอื่นยาก แต่เปล่าเลย มันกลับวางตัวสบายๆใส่ผมเสียอย่างนั้น
                “ซองจินไม่โกรธพี่เหรอที่ช่วงนี้พี่ชอบทิ้งให้นายอยู่คนเดียวบ่อยๆ ..” มิสเทคมันถามพลางลูบหัวน้องชายของมันเบาๆระหว่างรถกำลังติดไฟแดง
                “ผมอยู่คนเดียวซะที่ไหน เซอึนก็อยู่ ..พี่เลิกคิดมากเถอะ ผมอยู่ในสภาพแบบนี้มาตั้งนาน ผมช่วยเหลือตัวเองได้น่า ..

                ..
                “จริงๆนะพี่ เชื่อผมเถอะ ผมเก่งจะตายพี่ก็รู้ ..” อีซองจินยังคงพูดเจื้อยแจ้วกับพี่ชายของตัวเองไม่หยุด เพราะเขากำลังกล่อมให้พี่ของเขาสบายใจและไม่เป็นห่วงเขามากนัก

                “มากอดหน่อย ..” พอขับรถมาถึงบ้านไอ้มิสเทคมันเรียบร้อยแล้ว อีซองจินก็รีบเดินลงจากรถแล้วเปิดประตูรั้วบ้านอย่างคล่องแคล่ว ส่วนกูนี่ตกใจจนตาเหลือกเพราะกลัวว่าน้องมันจะเดินชนโน่นชนนี่เข้าให้
                “ถอยไปห่างๆเลย ผมโตแล้ว ..” อีซองจินแกว่งมือไปมาจนรอบทิศทางเพื่อไม่ให้ไอ้มิสเทคมันเข้าไปกอด

                “ทุกทียังให้กอดเลย .. อายไอ้คยูมันเหรอ โห อายเป็นด้วย ..” มิสเทคแม่งกวนตีนน้องตัวเองหรือเปล่าวะ ยืนยิ้มร่าเลยเนี่ย
                “จะไปไหนก็ไปเลยไป .. พี่เอาซองมินไปแล้วไม่ต้องเอามาคืนเลยนะ กวนประสาทแบบนี้ไม่รับคืนแล้ว ..” อีซองจินคลำทางมาหาอีซองมิน แล้วก็ออกแรงดันหลังไล่ให้ออกไปจากเขตรั้วบริเวณบ้าน

                “ถ้ามึงไม่รับคืน ก็อย่าโทรมาทวงแบบคืนนั้นนะเว้ย รู้มั้ยมันเดือดร้อนกู ..” ผมอมยิ้มพลางตบมุขกับน้องชายของมันอย่างเข้ากันได้ดี
                “พี่.. ผมฝากด้วยนะ ..” พอถูกผลักจนออกมายืนข้างนอกบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีซองจินก็ย้ำกับผมอีกครั้งคล้ายกับกลัวว่าผมจะดูแลพี่ชายของมันไม่ดี

                “เออน่า มึงสบายใจได้ ..” ผมกำมือชนกำปั้นกับซองจินที่ยกกำปั้นไว้รอเพื่อแทนคำสัญญา
                “ดูแลตัวเองด้วยนะซองจิน ช่วงนี้ก็ช่วยๆกันประหยัดหน่อย เดี๋ยวจะไม่มีทุนไปผ่าตัดเข้าใจไหม ?” มิสเทคมันเขย่งปลายเท้าไปขยี้ผมน้องชายของมันที่ตัวสูงกว่าอย่างเอ็นดู

                “ครับ .. ผมรักพี่นะ .. แล้วผมดีใจที่พี่เองก็มีคนมาคอยดูแลเหมือนกัน ..” อีซองจินยกยิ้มจนเต็มแก้ม พลางเป็นฝ่ายกอดพี่ชายของตัวเองอย่างไม่มีการอิดออด
                “ผมยังไม่รู้จักพี่ดีนัก แต่ถ้าซองมินเลือกพี่แล้ว ผมเชื่อว่าพี่คงมีดีพอตัว .. แต่อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าที่ผมยอมปล่อยผ่านได้ง่ายๆ มันคือการตัดสินใจที่ผิด .. ไม่อย่างนั้นผมเอาพี่ตายแน่โจวคยูฮยอน” อีซองมินผละตัวออกจากอ้อมกอดของพี่ชายตัวเอง แล้วก็หันมาพูดกับผมด้วยท่าทางเรียบๆ หากแต่น้ำเสียงมันแฝงแววข่มขู่อย่างเห็นได้ชัด

               
                “ถึงตอนนี้ผมจะมองไม่เห็น แต่ผมเคยเป็นนักกีฬาแม่นปืนนะพี่ .. แค่อยากบอกให้รู้”

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  

เปิดตัวน้องชายของซองมินอย่างเป็นทางการ 5555 
เรื่องนี้ซองจินอาจไม่เด็ด แต่ก็เอาเรื่องอยู่นะ มีขู่คนเพี้ยนด้วย
ตอนหน้าไปเที่ยวกันค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น