วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559





เพ(ร)าะรัก
http://youvictours.com/wp-content/uploads/uae/al_bastakiya_02.jpg
Special by Kyuhyun 1

ฮาบีบีของผมตอนนี้เขาหลับคาอกผมไปแล้วครับ  และผมก็คิดว่าจะปล่อยให้เขาหลับฝันดีแบบนี้ต่อไปจนถึงเช้า ซึ่งท่าทีในยามหลับของเขา มันก็ทำให้ผมอดจะอมยิ้มนิดๆและกอดกระชับร่างกลมๆของเจ้าตัวไม่ได้ เพราะอาการหลับสนิทแต่ริมฝีปากกลับเปื้อนยิ้ม มันบ่งบอกได้ว่าคนในอ้อมแขนกำลังมีความสุขมากมายแค่ไหน..
ผมชอบนะที่ได้เห็นซองมินยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ เพราะที่ผ่านมาชีวิตของเขาได้พบเจอแต่เรื่องร้ายๆมามาก ซึ่งถ้าหากเป็นคนอื่น ผมเชื่อว่าเขาคงไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติอีกแล้ว แต่ที่ซองมินกลับมาเป็นซองมินคนที่ผมรู้จักได้ ก็คงจะเป็นเพราะฮยอกแจเพื่อนรักของเขาด้วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็คือตัวของซองมินเองนั่นแหละ..
ส่วนผมน่ะ แทบไม่มีส่วนช่วยใดๆเลย..
มีแต่ฮาบีน่ะแหละที่พูดเอาใจผมมากเกินไป ผมก็เลยยิ้มไม่หุบเพราะคำพูดน่ารักๆนั่น

ผมน่ะกว่าจะได้รู้จักกับฮาบี เรื่องร้ายๆมันก็เกิดขึ้นจนเขาเสียศูนย์และเกือบจะรักษาหายเป็นปกติแล้ว เพราะตอนช่วงที่ผมเริ่มจีบซองมินใหม่ๆและยังไม่ทราบเรื่องราวที่ไม่น่าจดจำพวกนั้นน่ะ เขาไม่มีอาการแปลกๆเลยสักนิด แถมยาก็ไม่ต้องกินด้วย..
แต่ก็นะ.. ผมไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา แถมกล้องวงจรปิดก็มีแต่ที่ระเบียงห้อง..
บางทีเขาอาจจะกินตอนอยู่ในห้องก็เป็นได้..

อ่า.. นึกย้อนกลับไปตอนที่ผมได้เจอซองมินครั้งแรก จากนั้นใจของผมมันก็แปลกๆ เอาแต่คิดถึงเขาอยู่แบบนั้น จนถึงกับตามรังควาญพี่ฮีชอลข้ามประเทศ เพื่อให้หาข้อมูลของซองมินมาให้ นึกแล้วก็ตลกตัวเองชะมัด แต่ที่ฮากว่าคือพี่ฮีชอลรำคาญผมจนถึงกับตวาดลั่นว่าจะไม่รับโทรศัพท์ของผมอีกถ้าหากยังไม่เลิกถามซองมิน..
ตอนนั้นผมน่ะหงอยไปเลยแหละ แต่ใครจะคิดว่าพี่ฮีชอลเขาจะใจดีแบบแปลกๆ โดยการซ่อนกล้องวงจรปิดเอาไว้ตรงระเบียงห้องของพี่ฮีจิน หลังจากนั้นผมก็เลยไม่ถามเซ้าซี้พี่ฮีชอลอีก เพราะผมมีข้อมูลดีๆแล้วนี่ พี่ฮีชอลถึงได้ยอมรับสายผมเหมือนเดิม ผมเลยมีโอกาสได้ไหว้วานให้พี่เขาช่วยจองห้องอีกด้านไว้ให้อย่างง่ายดาย แล้วพอได้เป็นเจ้าของห้องสมใจ ผมก็ขอให้พี่ฮีชอลเอากล้องซ่อนในตุ๊กตาดันโบะแล้ววางเอาไว้ตรงระเบียงห้องของผมแทน เพราะมุมที่ซองมินชอบนั่งเล่นน่ะ อยู่ตรงห้องใหม่ของผมต่างหาก..
อ่า.. ท่าทางผมจะเป็นโรคจิตตามที่ซองมินเคยว่าไว้จริงๆแฮะ..

แต่คนเราย่อมไม่รู้จักพอ ถูกไหมล่ะ จากที่เคยส่องอยู่ในมุมเงียบๆของตัวเอง ผมก็เริ่มแสดงตัวโดยเริ่มจากการพูดคุยผ่านทางตัวหนังสือ จากนั้นผมก็กวนตีนเขาเต็มที่ตามสันดานดิบที่สั่งสมมานาน แต่ใครจะรู้วะว่ามันจะทำให้ซองมินมองผมเป็นคนกระล่อนไปได้ ผมเลยต้องเริ่มแสดงจุดยืนมากขึ้นโดยการเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยวพันกับอีกฝ่ายให้มากที่สุด จากที่ไม่เคยเห็นหน้า ก็ต้องได้เห็นหน้า จากที่ไม่เคยคุยกันตรงๆ ก็ต้องได้คุย งานนี้พี่ฮีชอลก็ยังเป็นสื่อกลางเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือช่วยกันเล่นละครให้ตลอดรอดฝั่ง
แต่ไอ้ที่จะทำให้ไปไม่รอดเนี่ย ดูท่าจะเป็นเพราะผมเอง คือแบบผมมันก็ติดนิสัยกวนตีนเล็กๆ ซองมินก็เลยตั้งกำแพงใส่ท่าเดียว จนสุดท้ายผมต้องประกาศกร้าวเพื่อขอความเห็นใจจากซองมินโดยการขอจีบตรงๆ เอาให้รู้กันไปเลยว่าผมชอบเขาจริงๆ ไม่ได้จีบเล่นไปเรื่อยอย่างที่เขาคิด และในที่สุดซองมินก็เริ่มยิ้มและหัวเราะออกมาจนได้ แถมยังหลุดเรียกผมว่าพี่อีกต่างหาก..
ตอนนั้นผมนี่โคตรจะมีความสุขเลยว่ะ!

แต่ถึงจะสุขใจมากแค่ไหน ผมก็สามารถรับรู้ได้ว่าฮาบีของผมน่ะ ถึงจะหัวเราะเพราะตลกไปกับคำพูดของผมก็ตาม แต่ในส่วนลึกแล้ว จิตใจของเขายังมีหลุมดำบางอย่างที่ผมไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าตรงนั้นได้ เพราะสายตาของเขาในเวลาที่กำลังหัวเราะกลับแฝงความกังวล ความเศร้า ความสับสนและอีกหลายๆความรู้สึกที่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้มีแววตาแบบนั้น..
พอผมเริ่มสังเกตเห็นแววตาแบบนั้นได้ชัดขึ้น ผมก็เริ่มชอบมองดวงตาเศร้าๆของเขาโดยไม่รู้ตัว เพราะผมรู้สึกว่ามันน่าค้นหาและน่ามองแบบที่ไม่อาจละสายตาได้ ขณะที่ในหัวของผมก็พลอยแต่จะคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าฮาบีมีปัญหาอะไรหรือเปล่า คิดมากเรื่องงาน หรือเรื่องอะไร ผมนอนคิดแบบนั้นทุกคืนด้วยใจที่ร้อนรนเพราะเป็นห่วง จนกระทั่งวันที่เราไปเที่ยวด้วยกันแล้วซองมินเกิดพูดและแสดงท่าทางแปลกๆออกมา ผมถึงได้รู้สาเหตุที่ทำให้ฮาบีมีแววตาเศร้าและน่ามองแบบนั้น..

เมื่อทราบเรื่องที่มันฝังลึกอยู่ในใจของฮาบี ผมก็ปลอบเขาโดยพยายามจะพูดและทำให้เขามั่นใจว่าความรู้สึกของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จนในที่สุดเขาก็ยอมรับ ไม่สิหลุดปากว่าเขาเองก็ชอบผมนั่นล่ะ ผมถึงได้เริ่มมองเห็นแววตาที่สดใสมากขึ้น จนกระทั่งเราสองคนตกลงคบหากัน ฮาบีของผมถึงได้มีชีวิตชีวาจนผมไม่สามารถละสายตาและความคิดไปจากเขาได้แม้แต่วินาทีเดียว ผมถึงได้ทำงานอย่างไม่เป็นสุขนัก แล้วไหนจะยังมาเจอพ่อหลอกให้ไปดูตัวอีก..
น่าเบื่อชะมัด..
คิดถึงซองมินก็คิดถึง..

แต่ด้วยหน้าที่มันทำให้ผมไม่สามารถทำตามความต้องการของตัวเองได้ ผมถึงต้องทำงานของตัวเองต่อไป ดีหน่อยที่ยังมีโทรศัพท์ไว้เป็นสื่อกลาง ไม่อย่างนั้นผมคงต้องคิดถึงซองมินจนลงแดงตายแน่ๆ
หึ พูดก็พูดเถอะ เห็นผมมีสติรู้ตัวว่าควรทำอะไรไม่ควรทำอะไรแบบนี้ ที่จริงผมเกือบจะโดดงานอยู่หลายรอบแล้ว แต่พอคิดว่า ถ้าหากผมทำแบบนั้นลงไป พี่อาราต้องถูกครหาแน่ๆ เพราะถึงแม้พี่สาวของผมจะเป็นผู้บริหารของสายการบินก็ตาม แต่กิจการนี้แท้ที่จริงมันก็ไม่ใช่กิจการของครอบครัวเรา เพราะมันเป็นของพี่เขยผมต่างหาก ผมถึงต้องคิดและมีสติให้มาก ดีที่ซองมินไม่ค่อยงอแง และเข้าใจผมมากถึงมากที่สุด ความรักของเราถึงได้ราบรื่นแบบนี้..
ผมถึงได้ย้ำกับฮาบีเสมอๆไง ว่าเขาเป็นเด็กดี แถมยังจิตใจดีอีกต่างหาก..

ก็มีอย่างที่ไหนล่ะ ตัวเองเจ็บปางตายแต่ไม่บอกผมสักคำ ถ้าหากผมไม่เห็นผ่านกล้องวงจรปิดล่ะก็ ผมคงเป็นคนรักที่แย่มากๆ ถึงได้ไม่ทราบว่าแฟนตัวเองกำลังป่วย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมขาดสติจนเกือบจะโดดงานอยู่แล้ว ก็ไอ้รูปที่ผมโพสต์ลงในไอจีนั่นน่ะ ที่จริงผมหอบกระเป๋าและจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าผมดันมาเจอพวกหุ้นส่วนเสียก่อน ผมถึงได้นึกถึงพี่อาราขึ้นมา เพราะถ้าหากผมโดดงาน พี่สาวผมก็จะโดนข้อครหา เนื่องจากบอร์ดบริหารหลายๆคนยังไม่ยอมรับพี่อาราในฐานะผู้บริหาร พวกเขาย่อมเอาผมเป็นเครื่องมือในการต่อต้านพี่สาวของผมได้ ผมถึงต้องอดทนรอและทำทุกอย่างให้ถูกต้องเพื่อที่ผมจะได้กลับไปดูแลซองมินโดยที่ไม่ต้องทำร้ายพี่สาวของตัวเองทางอ้อม..
ซึ่งมันก็คุ้มมากเลยล่ะ เพราะซองมินเขาอ้อนผมแบบที่ไม่เคยอ้อนมาก่อน..

แต่ก็รู้สึกคุ้มได้แค่วินาทีเดียวเท่านั้นน่ะ เพราะสภาพของซองมินมันทำเอาใจของผมเจ็บปวดมากๆ เจ็บยิ่งกว่าตอนที่เขาบอกเลิก แล้วผมก็เอาแต่พร่ำอ้อนวอนไม่ให้เขาทำอย่างที่พูดเสียอีก ผมล่ะโกรธจนอยากจะกระทืบไอ้คนที่มันทำร้ายซองมินจนสุดขั้วหัวใจจริงๆ แต่พอทราบต้นเหตุ หัวใจของผมมันก็ว่างเปล่าขึ้นมาทันที แล้วยิ่งได้รู้ความจริงของเรื่องราวอันเจ็บปวดที่ซองมินเคยเล่า ว่าจริงๆแล้วมันเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว สมองของผมมันก็ว่างเปล่าไปหมด เพราะซองมินคนที่ผมรู้จักเขาไม่ใช่เด็กไม่ดีเลย แต่นั่งคิดแบบนั้นได้สักพัก จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ซองมินคนนี้ก็ยังเป็นซองมินคนที่ผมรู้จักอยู่ดี
เพราะถ้าหากเขาไม่ใช่เด็กดีเขาคงไม่รู้สึกผิดจนล้มป่วยแบบนี้หรอก..

ฮาบีของผมเขาน่าสงสารมาก แต่ผมกลับไม่รู้สึกสงสาร มีแต่จะอยากช่วยดึงเขาออกมาจากวังวนเหล่านั้นเพื่อที่เขาจะได้ยิ้มออกมาจากใจได้สักครั้ง ผมถึงได้คิดจะเอาเขามาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้ว่าที่เมืองๆนั้นจะมองความรักระหว่างเราเป็นเรื่องที่ผิดศีลธรรมก็ตาม..
แต่ผมก็มั่นใจว่าเขาจะมีความสุขมากกว่าอยู่ในประเทศที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความเจ็บปวด

“ยิ้มออกมาจากใจได้แล้วสินะ” ผมพูดกับคนที่กำลังหลับใหลอย่างมีความสุข จากนั้นก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวจะไปเจอกันในความฝัน..
อ่า.. ผมควรจะจูบเขาแม้กระทั่งในฝันด้วยไหมนะ?

ตุ้บ!

“แกนี่มันชอบขัดจังหวะจริงๆ ไอ้ไข่เน่า” ผมใช้ปลายนิ้วดีดหัวเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวจ้อย ที่กำลังกระโดดดึ๋งๆอยู่กับพื้น เพื่อจะสปริงตัวให้ขึ้นมานั่งทับฮาบีที่กำลังซุกนอนอยู่บนอกของผมให้ได้
” พอเจ้าเบดมันโดนผมดีดหัวเข้าให้ มันก็ทำเป็นแกล้งล้มตัวลงนอนหงายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ขอโทษที มุกแบบนี้ใช้กับผมไม่ได้หรอก

“ทีตอนร้องเรียกล่ะหยิ่งนัก พอตอนนี้ล่ะมาทำเป็นอ้อน..” ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งไปเกาพุงเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กที่กำลังนอนแผ่อย่างเคลิบเคลิ้ม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็โอบกอดฮาบีเอาไว้หลวมๆ

“เบด.. คืนนี้พ่อจะเกาพุงให้แกทั้งคืนเลย แต่พรุ่งนี้แกต้องไปอยู่กับพี่อาราครึ่งวัน โอเคไหม?” ผมพูดกับเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวเล็กที่กำลังนอนมองผมตาแป๋ว

“พ่อจะพาพี่ซองมินไปเดท ตกลงตามนั้น เข้าใจนะ ..” ผมยักคิ้วให้เจ้าเบดหนึ่งที ส่วนไอ้เจ้าเบดก็ยังคงนอนมองหน้าผมตาแป๋ว

“ส่วนแก ไว้จะพาไปเที่ยวทะเลทรายวันหลัง..” ผมใช้นิ้วก้อยเกี่ยวปลายเท้าของเจ้าเบดอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับทึกทักเอาเองว่าเจ้าลูกชายตัวดีมันเห็นดีเห็นงามในข้อตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยเกาพุงให้เจ้าเบดต่อจนกระทั่งมันเคลิ้มหลับด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข..
มองเผินๆ เจ้าเบดนี่มันเหมือนฮาบีจริงๆเลย!

“พูดก็พูดเถอะ พี่จะมีโอกาสได้บรรจุซองมินเป็นพนักงานของสายการบินหรือเปล่าเนี่ย?” เช้าวันนี้เริ่มต้นด้วยการถูกหญิงสาวแสนสวยขุดขึ้นมาจากโซฟา เพื่อมานั่งรับประทานอาหารตั้งแต่เช้าโดยที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง อีกทั้งฟันก็ยังไม่ได้แปรงทั้งคู่
“เหลืออีกตั้งสองครอสไม่ใช่เหรอครับ ผมจะไปรอดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ พี่อาราถามผมเร็วเกินไปแล้ว..Rania รุ่นที่ 713 อย่างฮาบีรีบทำหน้าแหย พร้อมกับตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ จากนั้นก็ตัก Roz Bhalib ที่เป็นของหวานสำหรับมื้อเช้าในวันนี้เข้าปากไปหนึ่งคำ

“ให้ซองมินได้ลองขึ้นบินก่อนเถอะพี่ ถึงตอนนั้นค่อยเอาคำถามนี้มาถามใหม่ก็ยังไม่สาย.. ” ผมที่พอจะทราบอยู่บ้าง ว่างานแบบนี้เจ้าตัวเขาเคยปฏิเสธกลายๆ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ใช่ตัวเขาสักเท่าไหร่ ผมก็เลยต้องรีบช่วยพูดหาทางออกให้กับคำถามที่มันตอบตกลงได้ยากอย่างรู้ใจ
“ก็ได้ๆ เอ้อ.. มะรืนนี้ชะรีฟนัดเจอกับท่านอามินนะ จะไปด้วยกันไหม?” พี่อาราที่กำลังเกลี่ยปลายจมูกของเจ้าเบดที่กำลังนั่งหมอบอยู่บนโต๊ะอาหารเล่น จู่ๆก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาผมราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“ที่ไหนพี่ ?” ผมถามด้วยความสนใจ เพราะผมไม่ได้พบปะสังสรรค์กับท่านอามินมาสักพักแล้ว ด้วยเพราะท่านเป็นราชนิกุลระดับสูงของรัฐในแถบตะวันออกกลาง แถมยังเป็นเพื่อนทางธุรกิจของพี่เขยผมด้วย จึงทำให้เวลาที่ผมว่างท่านก็มักจะไม่ว่าง และเวลาที่ท่านว่างผมก็ทำไฟล์ทตลอด
“ที่เดิม.. สนามแข่งอูฐ” พี่อาราเฉลย

“เดี๋ยวผมให้คำตอบพี่อีกทีแล้วกัน ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะมีโปรแกรมอื่นมาแทรกหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้พวกเพื่อนผมมันวางแพลนจะไปเที่ยวกัน ตอนนี้เลยพากันเคลียร์ตารางงานอยู่ ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็คงไปกันแบบปุบปับ”
“รอบนี้ท่านอามินประสงค์จะแก้เกมส์แกให้ได้เลยแหละ ถ้าจะปฏิเสธก็หาข้อแก้ตัวดีๆแล้วกัน” พี่อารายักไหล่ จากนั้นก็หันไปเล่นกับเจ้าเบดต่อ

“ไม่มีปัญหา.. เดี๋ยวผมนัดดวลกับท่านเป็นการส่วนตัวก็ได้..” ผมยักคิ้วใส่พี่สาวที่ไม่แม้แต่จะสนใจผมเลย เพราะในตอนนี้เธอกำลังสนใจเจ้าเบดเพียงอย่างเดียว
“เอ้อ เดี๋ยวพี่จะออกไปซื้อของแถวๆซุกเก่า จะไปด้วยกันไหม ?” พี่อาราเอ่ยถาม หลังจากที่เจ้าเบดมันกระโดดลงจากโต๊ะและวิ่งหายเข้าไปในห้องทะเลทราย พี่อาราก็เลยหันมาเก็บล้างจานชามที่พวกเราทานกันเมื่อครู่

“ไปด้วยๆ วันนี้ผมกะจะพาซองมินไปแถวๆ Al Bastakiya พอดี” ผมพยักหน้าระรัวอย่างรวดเร็ว เพราะวันนี้ไม่อยากขับรถไปเอง พอพี่อาราตอบตกลง ผมก็รีบกระวีกระวาดไปอาบน้ำ โดยที่ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญอะไรนัก
“ฮ่าๆ เบด.. ฮ่าๆ” หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพร้อมกับเช็ดผมที่กำลังเปียกโชกเพื่อไปเรียกให้ฮาบีมาอาบน้ำ จึงทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะของฮาบีสลับกับเสียงร้องของเจ้าเบด แต่พอเดินเรื่อยมาจนถึงปากประตูห้องทะเลทรายเท่านั้นแหละ ผมก็ถึงกับหลุดขำพรืดออกมาจนได้ เพราะในตอนนี้สภาพของฮาบีกับเจ้าเบดเละเทะไปหมด ผมเลยจัดการไล่ให้ฮาบีไปอาบน้ำ ส่วนเจ้าเบดผมชี้ให้มันกระโดดลงไปล้างตัวในสระน้ำขนาดเล็ก ก่อนจะบอกให้เจ้าเบดมันปีนขึ้นมาผึ่งตัวให้แห้งบนขอบบ่อ

“ถ้ากระโดดลงมา แกโดนดีแน่ไอ้ไข่เน่า!” ผมบอกเจ้าเบดก่อนจะเดินตรงมายังห้องแต่งตัวที่อีกครึ่งหนึ่งเป็นห้องอาบน้ำ โดยมีผ้าม่านแบ่งสัดส่วนเอาไว้อย่างชัดเจน กระทั่งผมแต่งตัวจนเรียบร้อย ผมก็ไม่ลืมที่จะหยิบผ้าขนหนูของเจ้าเบดที่ผมแยกเก็บไว้ในตระกร้าเล็กๆ ติดมือมาด้วย
“ดื้อนักนะแก..” ผมกัดฟันพูดด้วยความมั่นเขี้ยว จากนั้นผมก็อุ้มเจ้าเบดเข้ามาในห้องและลงมือเช็ดขนของมันให้แห้ง โดยระหว่างที่รอให้ฮาบีแต่งตัวจนเสร็จ ผมก็ฟัดกับเจ้าเบดจนหายคิดถึง

หลังจากพี่อาราปล่อยผมกับฮาบีลงตรงหน้าซุกเก่า ผมก็พาฮาบีเดินลัดเลาะตลาดเก่ามาเรื่อยๆ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของผมก็คือ Al Bastakiya ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่าที่ทางรัฐดูไบได้จำลองตึกอาคารบ้านเรือนต่างๆในสมัยก่อนเอาไว้ โดยพวกเขาจะเรียกตึกในลักษณะนี้ว่า ‘Wind Tower’ ซึ่งในย่านนี้ก็จะมีการจัดแสดงนิทรรศการต่างๆ แถมยังมี Art Gallery ที่น่าสนใจอยู่มากมาย และนอกจากนี้ตามตรอกซอกซอยก็ยังเต็มไปด้วย Café สไตล์เก๋ๆ อีกด้วย
สำหรับสิ่งก่อสร้างในแถบนี้ จะสังเกตได้ว่าเป็นโทนสีน้ำตาลคล้ายกับเนื้อไม้ทุกซอกทุกมุม จึงทำให้บรรยากาศรอบๆตัวดูซอฟท์ลง และคงกลิ่นไอของวิถีความเป็นอยู่ในสมัยเก่าเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนแม้ว่าย่าน Al Bastakiya จะถูกสร้างขึ้นท่ามกลางความศิวิไลของเมืองที่เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดก็ตาม..

“รู้หรือเปล่า ทำไมพี่ถึงพาเรามาเดทที่นี่?” ผมเลือกที่จะตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความที่คนในร้านส่วนใหญ่จะเป็นคนในพื้นที่ ผมจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการพูดถึงกิจกรรมที่เราทั้งสองคนกำลังทำอยู่ในขณะนี้
“เพราะพี่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเก่าๆ พวกนี้ พี่ก็เลยอยากพาผมมา..” ฮาบีเขาตอบผมด้วยท่าทางน่ารัก แถมใบหน้าก็ยังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเมื่อตอบคำถามของผม

“ใช่.. เพราะพี่ชอบ พี่ก็เลยอยากพาคนที่ชอบมาที่นี่..” ผมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาขณะที่สายตาก็มองตรงไปยังด้านนอกร้านกาแฟ เนื่องจากเราเลือกนั่งตรงบาร์ติดกับมุมหน้าต่างจึงทำให้มองเห็นความเป็นมาเป็นไปภายนอกร้านได้
” หลังจากพูดจบผมก็เหลือบไปมองฮาบีที่กำลังนั่งดื่มชาผลไม้อยู่ข้างๆกัน จึงทำให้มองเห็นใบหน้าขาวๆค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างช้าๆ
คาดว่าคำพูดของผมคงจะสร้างความเขินอายให้ฮาบีอยู่มาก..

“นี่.. พี่วาดรูปเก่งนะ” ผมพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่หลายครั้งมักจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมเริ่มต้นจีบฮาบีใหม่ๆ

“แต่ส่วนใหญ่รูปที่วาดก็จะเป็นเมืองเก่าๆในจินตนาการน่ะ” ผมอธิบายพลางเปิดสมุดวาดเขียนที่ผมมักจะพกติดตัวไปด้วยทุกที่
“สวยจังครับ..” ฮาบีหยิบสมุดวาดเขียนของผมไปเปิดดู ก่อนจะกล่าวชมออกมา ทำเอาผมยิ้มแป้น

“ถ้าพี่เล่าสาเหตุที่ทำให้พี่ชอบเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณให้ฟัง เราห้ามเอาไปเล่าต่อเด็ดขาด..” ผมเอื้อมไปหยิบสีไม้จากในกระเป๋าเป้ออกมา เพื่อเตรียมจะวาดรูปบรรยากาศตรงหน้าเก็บไว้ในความทรงจำ พร้อมกับหาเรื่องพูดคุยกับฮาบีไม่ให้เขาเบื่อหน่ายไปเสียก่อน เพราะกิจกรรมการเดทของผมมันสู้กิจกรรมการเดทที่เขาเคยทำไว้ไม่ได้เลย
“ผมจะรูดซิบให้สนิท.. สัญญาเลยครับ” ฮาบีรับปากผมอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แถมยังทำท่าทางราวกับจะรูดซิบปากตัวเองจริงๆ ทำเอาผมยิ่งหลงในความน่ารักของเขามากขึ้นไปอีก
นี่ถ้าผมไม่หันมาเห็นท่าทางแบบนั้นเข้าพอดี คงน่าเสียดายแย่..

“ที่พี่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพราะพี่เคยไปอ่านการ์ตูนของคุณแม่เข้าน่ะสิ ตอนนั้นนะ แย่งกับพี่อาราแทบตาย กะจะเอาอ่านแก้เซ็งน่ะแหละ แต่ไปๆมาๆดันไปหลงใหลการ์ตูนพวกนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ชอบจนถึงขั้นขโมยการ์ตูนเรื่องนั้นมาเก็บไว้เองเลยล่ะ..” ผมเล่าพลางใช้ดินสอสีร่างภาพไปเรื่อยๆ แล้วจึงหันไปมองสบตากับผู้ฟัง จึงทำให้เห็นว่าฮาบีเขากำลังอมยิ้มกับความลับของผมอยู่

“พอเริ่มโตขึ้น จากที่อ่านการ์ตูนก็เริ่มพัฒนามาเป็นหนังสือเชิงวิชาการ แล้วสุดท้ายพี่ก็เลือกเรียนเอกโบราณคดี แต่ไปๆมาๆ ก็ดันมาลงเอยกับอาชีพลูกเรือไปซะงั้น..” ผมหันไปยิ้มให้ฮาบี แล้วก็เอื้อมไปหยิบชาผลไม้ขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็เริ่มตั้งใจร่างภาพลงในกระดาษวาดรูปต่อไป

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ภาพวาดของผมก็ยังไม่คืบหน้า ขณะที่ฮาบีก็ได้แต่นั่งเงียบๆดูผมร่างภาพต่อไปอย่างไม่รู้เบื่อ จนผมเกิดความสงสัยขึ้นมาเลยคิดถามออกไป
“เดทครั้งนี้ ฮาบีจะให้พี่กี่คะแนน?” ผมวางสีไม้ลง แล้วก็ท้าวคางมองบรรยากาศด้านนอก ขณะที่ปากก็เอ่ยถามคนรักไปด้วย
“ให้เต็มครับ..” ฮาบีตอบผมทันทีโดยไม่ต้องคิด ทำเอาผมอดจะยิ้มไม่ได้

“นั่งเบื่อๆแบบนี้ยังได้คะแนนเต็มอีกเหรอ?” ผมย้อนถามอย่างเหลือเชื่อ
“ครับ..” ฮาบีพยักหน้าพร้อมกับตอบอย่างหนักแน่น

“เอาใจกันจริง..” ผมส่ายหน้า แต่ริมฝีปากก็ยังคงยิ้มไม่เลิก จากนั้นก็เริ่มจับสีไม้มาวาดให้เป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง จนกระทั่งท้องฟ้ามันเริ่มจะหมดแสง ท้องของเรามันก็เลยร้องระงม
เราสองคนเลยเลือกสั่งอาหารง่ายๆที่ร้านกาแฟมักจะมีขาย มาทานเป็นมื้อเย็น จากนั้นผมก็นั่งวาดรูปต่อจนกระทั่งคาเฟ่ใกล้จะปิด พวกเราเลยต้องช่วยกันเก็บสีไม้ใส่กล่องให้เรียบร้อยถึงค่อยเช็คบิลและเดินออกจากร้านในเวลาที่แสงจันทร์มาเยือน

“เราไม่ได้จะกลับคอนโดกันเหรอครับ ?” หลังจากที่ผมพาฮาบีเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยใน Al Bastakiya อยู่นาน ฮาบีก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“ยัง..” ผมตอบ พลางหันมาส่ายหน้ายิ้มๆ โดยไม่คิดแม้แต่จะเฉลยให้เจ้าตัวได้รู้ว่าคืนนี้เราจะไม่กลับไปที่คอนโด..

“นี่ก็ดึกแล้ว พี่ขอจับมือได้ไหม..” ผมหันไปมองรอบๆตัว จากนั้นก็เอ่ยปากถามอีกฝ่ายที่เดินอยู่เคียงข้างกัน
“จะดีเหรอครับ? พี่เคยบอกว่า” ฮาบีย้อนถาม

“ถ้าอย่างนั้น เราเดินใกล้กันอีกนิดก็พอเนอะ” ผมกล่าวพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้ฮาบี โดยที่หลังมือของเราสองคนแตะสัมผัสกันเบาๆ

“บ้านใครเหรอครับ?” ฮาบีถามขึ้น เมื่อผมพาเขามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูไม้บานหนึ่ง
“บ้านพี่เอง.. ปกติจะปล่อยให้คนเช่า แต่ตอนนี้ว่างเลยกะจะค้างที่นี่สักคืน..” ผมตอบพลางหยิบกุญแจบ้านออกจากกระเป๋าเป้ จากนั้นก็ปลดล็อคประตูไม้สีน้ำตาลเข้มตัดกับตัวอาคารสีน้ำตาลอ่อนที่ทางรัฐบาลแจ้งให้ทาสีเฉดนี้และแบบอาคารบ้านเรือนเองก็ต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะเมืองเก่าๆที่ซ่อนอยู่ภายใต้เมืองอันทันสมัยคือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นจุดเด่นของดูไบ...

เมื่อเข้ามายังด้านในของตัวบ้าน ก็จะพบกับสวนย่อมขนาดเล็กที่ฝั่งหนึ่งปลูกดอกหญ้าไปไว้จนเต็มลาน ส่วนอีกฝั่งก็ปลูกต้นอะไรไม่รู้สีม่วงๆที่มันสามารถเติบโตได้ดีแม้ว่าเนื้อดินจะแห้งแล้งไร้ความอุดมสมบูรณ์ ขณะที่ตรงกลางเว้นว่างเอาไว้เพื่อทำเป็นทางเดินเล็กๆ โรยหน้าด้วยหินสีขาวสะอาดไปจนถึงตัวบ้านที่การออกแบบก็ยังคงเป็นไปตามที่รัฐบาลกำหนด ส่วนบริเวณริมกำแพงก็มีมุมนั่งเล่นเล็กๆอันร่มรื่นตรงใต้ต้นไม้ใหญ่
“ค่าเช่าแพงหรือเปล่าครับ?” พอเข้ามาสำรวจด้านใน จู่ๆฮาบีก็เอ่ยถามเรื่องค่าเช่าอย่างสนอกสนใจ
“ถ้าเทียบกับห้องพักในโรงแรมของที่นี่ก็ถือว่าถูก แต่ถ้าเทียบกับราคาห้องพักทั่วไปก็ถือว่าแพง..” ผมตอบพลางเดินสำรวจบ้านอย่างละเอียดว่ามีส่วนใดชำรุดบ้าง จะได้ซ่อมทัน

“น่าอยู่จังครับ..” ฮาบีตอบด้วยน้ำเสียงราวกับเด็กที่เจอของเล่นถูกใจ
“งั้นไม่ต้องปล่อยให้เช่าแล้วดีไหม ?” ผมหันมายืนเอาหลังพิงกำแพงตรงปากประตูห้องถัดไป

” ฮาบีไม่ตอบ แต่กลับรีบส่ายหัวปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“ทำไมล่ะ ?” ผมมองไปที่ฮาบีและถามอย่างสงสัย

“พี่น่าจะต้องใช้เงินเยอะ..” ฮาบีตอบเสียงค่อย
“หืม? พี่ต้องใช้อะไรบ้างล่ะ ?” ผมย้อนถามด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่นึกออก ผมคิดว่าผมไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไรมาก ในเมื่อส่วนใหญ่แล้วบริษัทก็ซับพอร์ตแทบจะทั้งหมด

“ก็พี่มีผมเพิ่มขึ้นมาอีกคน รายจ่ายก็ต้องเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว..” พอได้ฟังคำตอบของฮาบี ผมก็อดจะยิ้มกว้างไม่ได้
“เพิ่มฮาบีแค่คนเดียว พี่เลี้ยงได้สบายมาก..” ผมตอบพลางเดินมานั่งบนโซฟาข้างๆฮาบี

“แต่ถ้าฮาบีชอบที่นี่ พี่ก็ไม่อยากปล่อยให้เช่าจริงๆนะ ดีซะอีก เราจะได้แยกออกมาอยู่ด้วยกัน แล้วพี่ก็จะได้ทานอาหารฝีมือฮาบี แถมเบดก็จะมีพื้นที่วิ่งเล่นกว้างขึ้น” ผมพูดพลางคิดภาพเหล่านั้นในหัว พร้อมกับค่อยๆเอนศีรษะไปพิงลาดไหล่เล็กช้าๆ
“อยู่คอนโดผมก็ทำให้ทานได้ครับ.. ถ้าพี่พาผมไปซื้อวัตถุดิบน่ะ” ฮาบีตอบพลางก้มหน้าลงมองผมที่กำลังพิงไหล่และนั่งอมยิ้ม

“แล้วเดทวันนี้ พี่ทำให้ฮาบีมีความสุขหรือเปล่า พอจะไถ่โทษที่ชอบทิ้งให้อยู่คนเดียวได้บ้างไหม?” ผมถามพลางหลับตาสูดกลิ่นหอมอ่อนๆบริเวณซอกคอของฮาบีอย่างแนบเนียน
“ผมชอบเดทแบบนี้นะ..” ฮาบีตอบด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

แต่ผมนี่สิกำลังจะบ้าคลั่งเพราะไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้..



ถ้าเกิดว่า.. ผมทำมากกว่าจูบ จะเป็นไรไหมนะ?



------------------------------------------------------------------------------------------
Related image
Roz Bhalib - ทำจากข้าวนุ่มๆเม็ดเล็กๆ ไม่เละ ชุ่มด้วยนมหวานกลิ่นคล้ายมะลิ ราดด้วยน้ำผึ้ง อาจจะโรยหน้าด้วยมะพร้าวแห้ง เมล็ดฟักทอง 

ในพาร์ทของซองมินทุกคนอาจจะเห็นแต่ความสดใส และอาจจะนึกสงสัยในใจว่า อ้าวไหนเรื่องนี้มัน feel good ไงวะ ทำไมดราม่าของซองมินมาตู้มๆ ติดๆกัน แล้วไหนจะคยูยังมองเห็นแววตาเศร้าๆนั่นอีก งงเลยสิ ก็คุณกราวน์ที่แสนร่าเริงและชอบต่อปากต่อคำกับคุณลูกเรือคนนั้นเขาไม่ได้มีวี่แววแบบนั้นเลยนี่ พาร์ทนี้คือคำตอบค่ะ การคุยโต้เถียงกันโดยไม่เห็นหน้าเราไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกจริงๆของอีกฝ่ายได้ แต่พอได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ทีนี้เราก็สามารถรู้และเข้าใจอีกฝ่ายได้ แม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม แล้วอีกอย่างฮาบีก็ไม่ได้อยู่ในสายตาคยูตลอดเวลา ถึงแม้จะมีกล้องวงจรปิด ฉะนั้นคยูจะไม่รู้เรื่องราวของซองมินอย่างละเอียดนัก ตอนหน้าถือเป็นเวลาอันสมควรไหม อิอิ