วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 14

เพาะรัก


14✈

สำหรับบุคคลคนทั่วไป คำทักทายแรกในยามเช้าวันใหม่อาจเป็นคำว่า อรุณสวัสดิ์แต่สำหรับลูกเรือของสายการบินอาหรับอย่างโจวคยูฮยอนมักจะเป็นประโยคที่ว่า เมื่อคืนนี้นอนหลับฝันดีไหม ?’
“ก็ดีครับ” ผมตอบพลางอมยิ้มนิดๆ ขณะที่เรากำลังหอบสัมภาระคนละหนึ่งใบไว้บนหลัง เนื่องจากตอนนี้เราสองคนได้ทำการเช็คเอ้าท์ห้องพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะช่วงบ่ายผมจะต้องรีบกลับไปทำงาน เนื่องจากผมใช้วันหยุดให้หมดไปอย่างคุ้มค่าด้วยการพักค้างคืนทั้งหมด 3 คืนเต็มๆ

เมื่อวานนี้ตอนช่วงเช้าจรดบ่าย ผมกับพี่เขาใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่ในเมืองจินเฮอย่างเพลิดเพลิน เราเดินทะลุซอยนั้นออกซอยนี้ พอเหนื่อยๆก็หยุดพักตรงข้างถนนบ้างล่ะ ข้างกำแพงบ้านคนอื่นเขาบ้างล่ะ หรือถ้าหิวเราก็จะแวะหาอะไรกินกัน ซึ่งเมนูเบาๆสำหรับมื้อเช้าของเราก็ไม่พ้นขนมปัง แต่ที่เมืองจินเฮจะมีร้านขนมร้านนึงที่ขึ้นชื่อมาก เขาจะทำขนมปังสอดไส้พ็อตกดแพ็คใส่กล่องเอาไว้เป็นของฝากจำนวนมาก เรียกได้ว่าใครมาที่นี่ในช่วงเดือนเมษายนก็ต้องมาซื้อกิน และถึงแม้ว่าจะทำออกมาขายเยอะ แต่ก็ไม่เคยพอสำหรับผู้บริโภคเลย ยิ่งช่วงเทศกาลก็ยิ่งขายดี เราสองคนก็เลยไม่พลาดที่จะซื้อมากินเล่นระหว่างที่เรากำลังเดินเล่นด้วยกัน แล้วพอตกเย็นนิดๆพี่เขาก็ชวนผมไปเดินเล่นริมคลองเหมือนอย่างเมื่อสองวันก่อน เพราะบรรยากาศสบายๆเย็นๆมันชวนให้ผ่อนคลาย เราก็เลยเลือกที่จะใช้เวลาให้หมดไปกับกิจกรรมเดิมๆ แต่ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม เพราะเราสองคนเหมือนขยับเข้ามาใกล้กันมากกว่าที่เคย ..
หลังจากที่เดินเตร็ดเตร่กันจนท้องเริ่มส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมานิดๆ เราก็เริ่มออกเดินหาร้านอาหารราคาถูกที่จะเป็นมื้อสุดท้ายสำหรับเราในทริปนี้ จนกระทั่งอิ่มท้อง เราก็เริ่มมองหาร้านขายโปสการ์ดเพื่อเขียนข้อความส่งหาตัวเองตามธรรมเนียมที่ผมมักจะชอบทำเป็นประจำ ซึ่งโจวคยูฮยอนลูกเรือของสายการบินอาหรับก็เห็นดีเห็นงามกับผมด้วย พี่เขาก็เลยต้องลอกที่อยู่ของผมลงไปในโปสการ์ดของตัวเอง เนื่องจากพี่เขาจำที่อยู่ที่เกาหลีของตัวเองไม่ได้..

“พี่ซื้อไปฝากคุณฮีชอลไม่ใช่เหรอครับ ?” ผมย้อนถาม เมื่อพี่เขาเปิดกล่องพ็อตกดปังของคุณฮีชอล แล้วก็หยิบขนมปังสอดไส้พ็อตกดออกมาสองชิ้น เพื่อแบ่งให้ผมและทานเอง
“ปล้นหน่อยเดียวเอง พี่มันไม่รู้หรอก” พี่เขาพูด พลางยักคิ้วใส่ผม เห็นอย่างนั้นผมก็เลยอมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าก้มตาแกะห่อพลาสสติกออก เพื่อทานมันรองท้องระหว่างที่เราจะเดินไปรอรถประจำทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟมูกุงฮวา

“เผลอแป้บเดียวเองเนอะ ทริปของเราก็จำเป็นจะต้องจบลงแล้ว ..” พี่เขาพูดพลางแวะชมวิวริมคลองเป็นการทิ้งทวนก่อนจะเดินทางกลับไปยังอินชอน ขณะที่ในมือของพี่เขาตอนนี้ไม่ได้ถือพ็อตกดปังอีกแล้ว แต่กลับถือโทรศัพท์มือถือและเสียบหูฟัง โดยที่หูฟังข้างหนึ่งถูกปล่อยละลงกับอกเสื้อของพี่เขา เนื่องจากพี่เขาไม่ได้ต้องการปิดกั้นการรับฟังทั้งหมด
“ยังเหลืออีกสองทริปไม่ใช่เหรอครับ ?” ผมอมยิ้ม แล้วก็กัดพ็อตกดปังอีกหนึ่งคำเล็กๆ เนื่องจากผมต้องการจะละเลียดขนมชิ้นนี้เป็นการทิ้งทวนด้วยเหมือนกัน

“พูดแล้วนะ ..” พี่เขาชี้มาที่ผม พลางยักคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์
” ส่วนผมก็ได้แต่เงียบ เมื่อผมได้ตกหลุมพรางของพี่เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ไปกันเถอะ ..” พี่เขาหันมายิ้มให้ผม แล้วก็เริ่มต้นก้าวเดินอย่างเชื่องช้า โดยที่ฝ่ามือของข้างหนึ่งของพี่เขาก็ไม่ลืมจะที่จับจูงผมให้เดินตามไปด้วยกันเหมือนอย่างเคย
ผมแอบยิ้มกับตัวเองอีกแล้ว ..
นี่ผมยิ้มมากไปหรือเปล่านะ ?

ระหว่างนั่งรถประจำทางในระยะสั้น ผมก็อัพภาพพ็อตกดปังเพื่ออำลาเมืองจินเฮอย่างสมบูรณ์แบบลงในแอพพลิเคชั่นอินสตาแกรม พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า ..
imSMI : Bye Bye #Jinhae #벚꽃빵 #delicious

จากนั้นไม่นานนักคนข้างๆผม ก็เข้ามากดหัวใจให้ ซึ่งมันจะเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ถ้าหากว่าพี่เขาไม่ได้ยิ้มจนเต็มแก้ม หลังจากที่กดหัวใจให้ผมแบบนั้น ..
ผมก็เลยต้องเสสายตากลับมามองจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองแทน โดยที่ผมจะต้องเปิดหน้าทามไลน์ของตัวเองและไถมันเล่นเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่มันยากจะรับมือ แต่แล้วบทสนทนาระหว่างลูกเรือของสายการบินอาหรับภายใต้ภาพพ็อตกดปังที่พี่เขาอัพลงในแอพพลิเคชั่นอันคุ้นเคยเมื่อวานนี้ ก็เรียกร้องความสนใจจากผมได้อีกแล้ว..

GaemGyu : #벚꽃빵 #delicious
Chimchang : แค่นี้มึงต้องปิดกั้นทางสว่างของพวกกูเลยเหรอวะ ?
Mino : เออ .. จิตใจมึงทำด้วยอะไร ? มึงใจร้ายมาก กูดราม่าระดับสิบ นอนไม่หลับเพราะไม่ได้เสือกมาทั้งคืน ㅋㅋㅋ
A.Imran : ㅋㅋㅋLOL, LMAO, ROFL, ROFLMAO 5555555555555
GaemGyu : Why are you laughing? (ทรานโดยกูเอง : หัวเราะหาพ่อมึงเหรอ ?)
Chimchang : ㅋㅋ (กูทรานบ้าง : มึงก็ .. แปลแบบนั้น แถวบ้านกูเรียกว่าจังไรดี)
Mino : ㅋㅋㅋ(แล้วกูจะพลาดไม่ทรานได้ไง : แกล้งอิมรานมันทำไมมึง น่าสงสารนะ)
A.Imran : สาดดดดดดดดดดดด
GaemGyu : นี่ขนาดแม่งพิมพ์ผิด ยังจะเสือกด่าได้อีก -_-
Chimchang : ว่าแต่มึงเถอะ เปลี่ยนเรื่องทำเชี่ยไรครับ เรากำลังดราม่าระดับสิบอยู่นะเว้ย อย่าให้ถึงระดับร้อยนะมึง!
Mino : เออ .. อย่าให้พวกกูต้องใช้ไม้เด็ด ปลดล็อคเดี๋ยวนี้ กูขอสั่ง!
GaemGyu : ㅋㅋㅋLOL, LMAO, ROFL, ROFLMAO 5555555555555
A.Imran : Why are you laughing?
GaemGyu : ‘private’ time make me happy ㅋㅋ
A.Imran : ㅋㅋ right ?
Chimchang : หรา ?
Mino : ㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋ
Chimchang : ㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋㅋ

ครืด ครืด

ผมสะดุ้งอย่างตกใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่ออยู่ๆโทรศัพท์ในมือผม ก็ร้องเรียกความสนใจขึ้นมากะทันหัน พอเห็นว่ามีคอมเม้นท์ใต้ภาพที่ผมเพิ่งจะอัพโหลดออกไป โดยที่คนคนนั้นผมไม่รู้จักเขาแม้แต่นิดเดียวและไม่รู้ว่าเราเผลอไปกดฟอลกันและกันเอาไว้ตอนไหน
ถ้าคิดในแง่ที่ไม่วุ่นวายมาก ผมก็อาจจะฟอลเจ้าของแอคเค้าน์ A.Chimho ไว้ตั้งแต่ตอนที่ผมเพิ่มสมัครเล่นแอพพลิเคชั่นนี้ใหม่ๆก็เป็นได้ ..
A.Chimho : อยากกินบ้างจังเลยครับ :)

“เชี่ยละ พวกแม่งมีแอคหลุม” พี่เขาอุทานออกมาอย่างหัวเสีย แล้วจากนั้นพี่เขาก็ก้มหน้าก้มตาพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ของตัวเองเป็นการใหญ่

GaemGyu : @ A.Imran @Chimchang @ Mino สัส พวกมึงนอนเสือกกันทั้งคืนล่ะไม่ว่า ดราม่าระดับสิบบ้านมึงดิ
Chimchang : หรา ?
Mino : ㅋㅋㅋㅋㅋ
GaemGyu : กูขอสั่งให้พวกมึงแปลให้ไอ้อิมรานมันเสือกด้วย กูด่าแบบอินเตอร์เดี๋ยวอารมณ์มันไม่ถึง ㅋㅋ
Chimchang : บร๊ะ!
Mino : กูแปลให้มันฟังแล้ว คึคึคึ แล้วไงวะ คิดว่าพวกกูแคร์ ? ไม่เลยเว้ย
A.Chimho : @imSMI คุณไม่บล็อกพวกผมหรอกใช่มั้ย ? ตอบให้พวกผมชื่นใจหน่อยสิครับ :)

พี่เขาหันมามองหน้าผม พลางแบมือขอโทรศัพท์ของผมราวกับขออนุญาต ผมก็เลยส่งโทรศัพท์ของตัวเองไปให้พี่เขาอย่างว่าง่าย เพราะผมรู้ว่าพี่เขาต้องการจะทำอะไร ซึ่งผมก็ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
imSMI : เสียใจครับ .. ผมขอบล็อก บาย!
Mino : @GaemGyu มึงอย่ามาชักใยเบื้องหลังไอ้สัส นิสัย

“คึคึคึคึ” พี่เขาเอาแต่หัวเราะเสียงต่ำ แล้วก็คืนโทรศัพท์มาให้ผมเมื่อรถประจำทางจอดสนิทลงตรงชานชาลาอันเป็นจุดหมายปลายทางของเรา และจากนั้นไม่นานนักรถไฟเที่ยวที่เราจะต้องโดยสารก็เดินทางมาถึง เราสองคนก็เลยขึ้นไปนั่งตามหมายเลขบนหน้าบัตรอย่างรู้งาน และเมื่อรถไฟเคลื่อนไปได้สักพัก เราสองคนต่างคนต่างก็พากันหลับสลบไสล ..
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่า
เราสองคนนอนเอาหัวพิงกัน โดยไม่รู้ตัวไปแล้ว

“มึงอยู่ไหน ?” ผมโทรหาอีฮยอกแจ เมื่อผมคาดเดาเวลาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่า ตัวผมไม่น่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องได้ทัน
“โรงพยาบาลดิวะ ใครจะเหมือนมึงมีปัญญาไปนอนค้างอ้างแรมกับผู้ชาย” อีฮยอกแจมันเถียงกลับมาทันควัน ทำเอาผมรู้สึกผิดที่ลืมมันไปชั่วขณะ
“แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วงขึ้นมาทันที
“โอเคแล้ว ว่าแต่มึงกลับจากทริปสุดสวีทของมึงหรือยัง ?” อีฮยอกแจมันย้อนถาม

“สวีทอะไร มึงก็พูดเพ้อเจ้อ ..” ผมเกาข้างแก้ม พลางเดินดุ่มๆในโซลสเตชั่นเพื่อนั่ง AREX ย้อนกลับไปที่อินชอนใหม่อีกครั้ง
“หรา ?

“มึงอยู่โรงพยาบาลแล้วกูจะทำยังไงดีวะ กูกลับไปเอาเสื้อไม่ทันแน่” ผมขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ขณะที่สายตาก็ต้องคอยมองตามแผ่นหลังกว้างของพี่เขาไปด้วยเพื่อไม่ให้เราพลัดหลงกัน
“รวนเลยนะมึง ปกติมึงวางแผนอะไรแม่งโคตรจะรัดกุมชิบหาย .. เดี๋ยวกูให้เพื่อนกูไปเอาให้ มึงไปรอที่หน้าประตูทางเข้า AREX แล้วกัน” อีฮยอกแจมันสั่งการเสร็จสรรพ จากนั้นมันก็วางสายไป ส่วนผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อยที่ผมจะไม่ต้องเข้างานสายอย่างที่เป็นกังวล ซึ่งถ้าหากวันนี้ผมไม่ได้อีฮยอกแจช่วยเหลือไว้ ผมก็คงจะมาสายสมใจสองสาวเพื่อนร่วมงานของผมแน่
และผมก็คงต้องยอมรับสภาพ เพราะผมเป็นคนเลือกให้ทุกอย่างมันดำเนินไปแบบนี้ ..
เหตุผลเดียวก็เพื่อ โจวคยูฮยอนลูกเรือของสายการบินอาหรับคนนั้น


     <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 

크기변환_IMG_7862
벚꽃 빵 ขนมไส้ดอกซากุระค่ะ เห็นเค้าว่าอร่อยกันนะ เรายังไม่เคยลอง

เห็นคอมเม้นท์ของคนอ่านแล้วเรามีกำลังใจแต่งมากมาย ขอบคุณทุกคนจริงๆค่ะที่ติดตามเรื่องนี้ เราก็เลยรีบปั่นฟิคมาตอบแทน T^T ตอนนี้ถึงจะสั้นแต่ก็กวนตีนเพราะเดอะแก๊งค์ลูกเรือสายการบินอาหรับเหมือนเดิม 555555555555
ปล. เพื่อนของอีฮยอกแจ ใครกันเน้อ ?
ยังไม่ได้ตรวจคำผิดนะคะ T_T

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

[KyuMin Fic] เพาะรัก ✈ 13

เพาะรัก
 
 

13✈

                ตลอดช่วงบ่ายผมเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง และมันก็เป็นเรื่องยากมากที่ผมจะวางตัวให้เป็นปกติราวกับผมไม่รับรู้ข้อความใดๆทั้งสิ้น ฝ่ายลูกเรือของสายการบินก็ดูเหมือนอยากจะถามผมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายพี่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรผม หากแต่ใบหูของพี่เขานั้น กลับแดงซ่านอย่างปิดไม่มิด ..
                ผมก็เลยเกิดอาการหน้าแดงซ่าน และนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซด์ด้วยความเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ ..

                “เราไปเดินเล่นริมคลองยอจวากันดีไหม แดดกำลังร่มพอดี ?” พี่เขาถามขณะที่กำลังขับรถไปตามเส้นทางเล็กๆภายในสวนสาธารณะของเมืองจินเฮ
                “แล้วแต่เลยครับ ..” ผมสะดุ้งตัวเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆเราก็มีปฏิสัมพันธ์ทางคำพูดขึ้นมา หลังจากที่ต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

                “แล้วแต่ไม่ได้ดิ .. พี่จะตามใจซองมิน” พี่เขาบอก ทำเอาผมเผลออมยิ้มออกมาเงียบๆคนเดียว
                “ไปเดินเล่นริมคลองก็ได้ครับ คนน่าจะไม่เยอะแล้ว” ผมตอบ พลางกุมชายเสื้อของพี่เขาเอาไว้หลวมๆ ขณะที่ใบหน้าก็ยังคงเปื้อนยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง

                เมื่อขับรถเล่นกินลมชมวิวมาจนถึงสะพานริมคลองยอจวา ก็พบว่านักท่องเที่ยวไม่ได้เยอะเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เนื่องจากงานเทศกาลระดับประเทศได้หมดลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อค่ำคืนวาน ดังนั้นบริเวณจุดไฮไลท์ต่างๆจึงสามารถมองเห็นเจ้าหน้าที่ กำลังรื้อถอนอุปกรณ์ประดับตกแต่งต่างๆอยู่เป็นระยะๆ
                ส่งผลให้ขณะที่ผมกำลังนั่งรถผ่านบริเวณนั้น จะสามารถมองเห็นร่มหลากสีสันที่ประดับประดาด้วยหลอดไฟขนาดพอเหมาะ เพื่อต่อเติมความมีชีวิตชีวาให้กับงานเทศกาลของเมืองจินเฮ ถูกวางเรียงรายอยู่ข้างๆราวสะพานสีแดงสดกันเป็นทิวแถว ต่างกับเมื่อวานราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะในค่ำคืนวานนั้น ผมสามารถมองเห็นร่มหลากสีที่ประดับประดาด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลอย่างงดงาม และยามที่สายลมแผ่วไหว กลีบดอกพ็อตกดก็จะร่วงหล่นลงบนหลังคาร่มหลากสีเหล่านั้น และไม่นานนักกลีบดอกไม้เล็กๆพวกนั้นก็ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างและไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดพา..
                อ่า .. บรรยากาศในวันนี้มันช่างแตกต่างกับวันวานเสียเหลือเกิน ..

                ครืด ครืด

                เสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราด ร้องเรียกความสนใจจากเจ้าของมันขึ้นมาอีกหน จึงทำให้ลูกเรือของสายการบินจำเป็นจะต้องละสายตาจากบรรยากาศรอบด้านและหยุดบทสนทนาที่กำลังพูดคุยกับผมลงแต่โดยดี ส่วนผมที่ก็เดินอยู่เคียงข้างกับร่างสูงของลูกเรือของสายการบินอาหรับ ก็จำเป็นจะต้องใช้สายตาของผมมองสายน้ำที่กำลังไหลผ่านเราไปอย่างช้าๆแทน ..
                “ระวังครับ ..” ผมเอื้อมมือไปจับข้างแขนของพี่เขาที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาสนใจแต่โทรศัพท์ จนไม่ทันได้ดูเลยว่าหนทางข้างหน้านั่นน่ะ มันยกพื้นนะ ถ้าเกิดเดินสะดุดขึ้นมาล่ะก็ ได้หน้าแหกกันพอดี

                ” พี่เขาไม่ได้ตอบอะไร นอกจากเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม แล้วก็รอจนกว่าจะเดินผ่านพื้นอิฐสีส้มที่ปูเป็นทางเดินบริเวณด้านล่างของสะพานริมคลองยอจวาเสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มถึงได้ก้มหน้าลงมาให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือเครื่องส่วนตัวของตนเองอีกครั้ง

                เห็นอย่างนั้นผมก็เลยหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเก็บภาพสายน้ำเล็กๆของคลองยอจวาที่กำลังไหลผ่านต้นหญ้าสีเขียวขจี ขณะที่เบื้องบนก็เต็มไปด้วยช่อพ็อตกดตลอดทาง และในยามที่สายลมพลิ้วไหว กลีบพ็อตกดเหล่านั้นก็จะปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ บ้างก็ร่วงหล่นลงบนพื้นอิฐที่ปูเป็นเส้นทางเดินเรียบริมคลอง บ้างก็ร่วงหล่นอยู่เหนือผิวน้ำ บ้างก็ร่วงหล่นอยู่เหนือศีรษะของผม ซึ่งพี่เขาเป็นฝ่ายจัดการหยิบมันออกให้ ผมที่กำลังใจเต้นรัวก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอัพภาพที่ผมถ่ายเองกับมือลงในแอพพลิเคชั่นอินสตาแกรมด้วยความเคยชิน พร้อมกับแคปชั่นที่ว่า
                imSMI : I’m having a sweet dreams because of UNIFORM

                “ฮาบีบีคุณอัพแบบนั้น ก็แสดงว่าคุณยอมรับว่าคุณเป็นที่รักของผมแล้วน่ะสิ ..” พี่เขาพูดพลางชะโงกหน้ามองหน้าจอโทรศัพท์ของผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หากแต่สายตาของลูกเรือของสายการบินอาหรับกลับแวววับอย่างไรชอบกล
               

                “แต่ที่จริง คุณก็ยอมรับมาตั้งนานแล้วน่ะแหละ ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ยอมให้ผมเรียกแบบนั้นทั้งๆที่คุณก็ไม่รู้ความหมายของมันหรอก .. คุณใจดีจัง แต่ตอนนี้คุณรู้ความหมายของมันแล้ว คุณยังจะยอมให้ผมเรียกแบบนั้นอีกหรือเปล่า ?” พี่เขาถามพลางเอื้อมวงแขนมาคล้องคอของผมไว้ แล้วก็ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้กันให้มากขึ้น
                ” ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะคำคำนี้ความหมายของมัน ทำเอาหน้าของผมมันร้อนเห่อไปหมด แล้วไหนจะหัวใจของผมอีก ทำไมมันสั่นคลอนอย่างรุนแรงขนาดนี้
                ทำไมพี่เขาถึงยังพูดด้วยท่าทางสบายๆแบบนั้นได้ ไม่ยุติธรรมเลย!

“พี่ไม่ได้อยากจะเร่งรัดซองมินหรอกนะ .. แต่ว่าขอเรียกแบบนั้นได้หรือเปล่า .. เห็นไหมทั้งๆที่ความรู้สึกของพี่มันพัฒนาไปตั้งไกลแล้ว แต่เพราะว่าซองมินแค่รู้สึกชอบ พี่ก็เลยตามใจและบอกว่าตัวเองก็แค่ชอบซองมินเหมือนกัน .. เพราะแบบนี้ พี่ก็เลยต้องขออนุญาตเราก่อน ..” พี่เขาพูดอ้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ทำเอาผมยิ่งหน้าร้อนฉ่า
                “ไม่ใช่ว่าพี่เรียกผมแบบนั้นมานานแล้วเหรอครับ ?” ผมย้อนถามเสียงเบาหวิว เมื่อปลายนิ้วของผมเลื่อนไปเจอกับข้อความที่ลูกเรือของสายการบินอาหรับเคยพูดคุยกับเพื่อนๆของเขาเข้าพอดี ซึ่งข้อความพวกนั้นก็อยู่ใต้รูปที่พี่เขาเพิ่งจะอัพไปเมื่อบ่ายนี้นี่แหละ ..

                GaemGyu : Habibi คุณฝันดีเพราะผมหรือยัง ที่รัก ?
Chimchang : บร๊ะ! นี่มึงพัฒนาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
Mino : OMG! มึงไม่ป๊อดแล้ว!
 A.Imran : Damn it! I don't understand!
Chimchang : เรื่องของมึงㅋㅋㅋ
Mino : ความเสือกไม่เข้าใครออกใคร มึงก็แปลให้มันหน่อยดิ สงสาร ㅋㅋㅋ
A.Imran : my best friend .. trans for me please T_T
A.Imran : Please ….. T____T
Chimchang : กูไม่แปล ถ้าอยากเสือกก็ต้องมีความพยายามเว้ย!
Mino : @ A.Imran GIYF = Google Is Your Friend ㅋㅋㅋ
A.Imran : Helwan (ไฮ-วาน : สัส)
GaemGyu : พอเลยพวกมึงนี่ รกไอจีกูป่ะ สัส!
A.Imran : I understand ‘สัส’ Helwan!
GaemGyu : เอ้า! กูด่ารวมๆ ไหงแม่งด่ากูกลับคนเดียววะเนี่ย
Mino : ความซวยมันไม่เข้าใครออกใครหรอกมึงเอ้ย กูจะบอก ㅋㅋㅋ
Chimchang : ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มึงก็แปลให้มันหน่อยดิ สงเคราะห์ความเสือกให้มันสักนิดㅋㅋㅋ
                GaemGyu : พ่อมึง กูไม่แปล
                Mino : ทำมาเอียงอาย หนังหน้าก็ไม่น่าจะบางㅋㅋㅋ
                GaemGyu : เกลียดแรง ไอ้ Chelb! (เชลบ์  : หมา)

                ครืด ครืด

                และแล้วก็ถึงคราวที่โทรศัพท์ของผมจะสั่นครืดคราดขึ้นมาบ้าง เมื่อมีใครสักคนเข้ามาคอมเม้นท์ในข้อความของผม ที่ปกติจะมีแต่โจวคยูฮยอนคนนี้เท่านั้น แต่ในตอนนี้โจวคยูฮยอนกำลังใช้สายตามองจ้องผมที่กำลังไล่อ่านข้อความของพี่เขาอยู่ ผมถึงได้สงสัยนักหนาว่าใครกันที่เป็นคนคอมเม้นท์ข้อความในอินสตาแกรมของผม ..
                A.Imran : @GaemGyu @Mino @Chimchang  IGIMF = IG Is My Friend ㅋㅋㅋ

                เมื่อได้อ่านข้อความพวกนั้นในอินสตาแกรมส่วนตัวของพี่เขา จนกระทั่งได้อ่านคอมเม้นในอินสตาแกรมของผม ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนกับผมกำลังถูกหยอกล้อไปกับพี่เขาด้วย
                “ตั้งไพรเวทเลย ..” พี่เขาออกอาการหูแดง แล้วก็แย่งโทรศัพท์มือถือของผมไปจัดการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเสียเอง แล้วจากนั้นก็ส่งโทรศัพท์คืนมาให้ผม

                “เพื่อนน่ะ ..” พี่เขาเกาหัว พลางมองโน่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย
                “อ้อ .. ครับ”

                “จับมือได้ไหม ?” อยู่ๆพี่เขาก็ถามขึ้นมา พร้อมๆกับที่หลังมือของเราก็ชนกันเบาๆด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจอันนี้ผมก็ไม่อาจทราบได้
                “ฮาบีบีคุณฝันดีแล้ว ขอผมจับมือหน่อย .. ไม่ได้เหรอ ?” พี่เขาถามพลางใช้หลังมือสะกิดหลังมือของผม

                ” ผมไม่ได้ตอบอะไรพี่เขากลับไป นอกจากหันไปมองกระแสน้ำที่กำลังไหลผ่านพวกเราไป ขณะที่ฝ่ามือของผมก็ค่อยๆกอบกุมกับฝ่ามือของพี่เขาหลวมๆ
ซึ่งก็เป็นคำตอบชั้นดี ว่าผมยินยอมให้พี่เขาจับมือของผมหรือไม่ ..

“ฮาบีบีคุณใจดีจัง ..” พี่เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นมาขยี้หัวผม พร้อมกับพูดออกมาด้วยความดีใจที่ผมเริ่มจะใจดีกับพี่เขา มากขึ้นแล้ว
“พี่อย่าเรียกผมแบบนั้นบ่อยๆได้ไหมครับ ผมไม่ชิน ..” ผมดุพี่เขาเสียงเบาหวิว

“แต่ก็ชอบฟัง ..” ซึ่งพี่เขาก็ไม่ได้กลัวที่ผมดุแต่อย่างใด พี่เขาถึงได้ต่อล้อต่อเถียงกับผมได้
“ผมยังไม่เคยพูดแบบนั้นสักคำ!” ผมเถียงพลางสะบัดมือออกจากการกอบกุมโดยเร็ว

“อ้าว ก็พี่คิดเอง .. พี่ยังไม่ได้บอกสักคำว่าซองมินก็เคยพูด นั่นแน่ ..แทงใจดำล่ะสิ ..” พี่เขายิ้มล้อพลางชี้นิ้วมาที่ผมอย่างต้องการจะแหย่ ผมก็เลยต้องปัดมือพี่เขาทิ้งอยู่บ่อยๆ
                “แทงใจดำอะไรครับ?” ผมกำหมัดแล้วก็ต่อยไปที่ข้างแขนของพี่เขาอย่างแรง เมื่อพี่เขายังไม่ยอมหยุดล้อ

                “หึ ..
                ” ผมเม้มปากแน่นเมื่อพี่เขาหัวเราะเบาๆในลำคอคล้ายกับรู้ทันว่าผมกำลังเฉไฉ

                “น่ารัก ..” พี่เขาเอื้อมมือมาแตะตรงมุมปากของผมเบาๆ แล้วก็เลื่อนมือลงมาจับฝ่ามือของผมไว้ จากนั้นพี่เขาก็ชี้ชวนให้เราไปหาอะไรทานกัน ก่อนที่เราจะขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์รอบๆเมือง บนจินเฮทาวเวอร์ ซึ่งบรรยากาศในยามค่ำคืนของจินเฮทาวเวอร์นั้นจะสามารถมองเห็นดาวบนดินได้อย่างละลานตา อีกทั้งรอบๆกายก็ยังเงียบสงัด สร้างความเป็นส่วนตัวให้กับพวกเราได้อย่างดีเยี่ยม
                “เป่ายิงฉุบกัน ใครถึงบันไดขั้นสุดท้ายก่อนได้อาบน้ำก่อน ..” พี่เขาเสนอความเห็นเมื่อเราสองคนกำลังจะเดินลงบันไดเพื่อมุ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ข้างล่าง ผมก็เลยพยักหน้าตอบตกลง เพราะผมน่ะเซียนเป่ายิงฉุบเชียวนะ!

                “ต่อให้ ..” พี่เขาดันไหล่ผมให้ลงบันไดไปประมาณสี่ห้าขั้น ทั้งๆที่เมื่อครู่พี่เขาก็เป่าชนะผม
                “เลิกเล่นกันเถอะครับ เรารีบกลับห้องกันดีกว่า ..” ผมส่ายหน้า พลางเดินขึ้นมาหาพี่เขา แล้วก็ฉุดข้อมือหนาให้เดินลงบันไดตามผมมา ขณะที่ข้างทางก็เต็มไปด้วยโคมไฟร่มตลอดสาย ก็เลยไม่เป็นปัญหาต่อการก้าวเดินของเรานัก
               
                แต่แล้วความเงียบก็เริ่มส่งผลให้ผมพลั้งเผลอที่จะหันหน้ากลับไปมองพี่เขาที่กำลังเดินตามแรงชักจูงของผมอย่างเงียบๆ เลยทำให้ผมเห็นรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของพี่เขา ขณะที่ดวงตาคมคู่นั้นกลับฉายความอ่อนโยนออกมาจนผมรู้สึกได้
                “เห็นเราฝันดีพี่ก็โล่งอก ..” พี่เขาพูด ส่งผลให้ผมหยุดการก้าวเดินโดยอัตโนมัติ

                “ในโลกนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวมากไปกว่าใจของตัวเราเองหรอก .. เพราะฉะนั้นซองมินต้องปล่อยวาง เราถึงจะตื่นจากฝันร้ายได้ตลอดกาล ..” พี่เขารั้งผมเข้ามากอด แต่ด้วยเพราะตำแหน่งที่เรายืนมันต่างกันจึงทำให้ผมซบใบหน้าเข้ากับแผ่นอกของพี่เขาเข้าเต็มๆ ขณะที่ฝ่ามือหนาก็ลูบศีรษะของผมเพียงเบาๆไปด้วย ..
                อ่า .. ความอบอุ่นแบบนี้ แต่ก่อนครอบครัวก็เคยมีให้ผม ..
                คิดถึงจัง ..
                 
                  <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 

กะว่าจะแก้คำผิดตอนที่ผ่านๆแต่ก็ยังไม่ได้แก้ T^T
                ตอนนี้มีแซมคำหยาบภาษาอารบิกนิดหน่อย ไม่น่าจะงงกันเนอะ
                ใกล้กลับอินชอนกันแล้ว ต่อไปให้คุณ ATC ควรออกมาทำคะแนนบ้างดีไหม
 คุณลูกเรือเขานำห่างไปเยอะเหลือเกิน
หรือว่าไม่ทันการณ์แล้ว 5555