วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Mistake 2

Mistake





Mistake: 2


“เป็นเชี่ยไรของมึงอีก ? ตั้งแต่มาประชุม มึงดูรวนๆนะ” ไอ้สัสชางมินที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ววิ่งเข้ามารั้งแขนผมไว้ พลางเลิกคิ้วมองหน้าอย่างอ้อนตีน
“กูเปล่ารวน ..” ผมตอบปฏิเสธเสียงห้วน เพราะอารมณ์ไม่ดีที่พวกแม่งชอบจับผิด หาว่ากูอกหัก
สัสเอ้ย กูยังไม่ได้อกหักสักหน่อย แม่งพูดเป็นลาง!

“มีแต่คนปัญญาอ่อนอย่างมึงเท่านั้นที่มองไม่ออก .. มึงงุ่นง่านแบบนี้ แถวบ้านกูเค้าเรียกว่ารวน ..” ไอ้ซีวอน ไอ้คุณชายนอกคอก ขนาดมึงยืนห่างไกลจากกลุ่มเพื่อน มึงยังจะกล้าสะเออะหน้ามาออกความคิดเห็นอีก
“มึงมีปัญหาอะไรวะ .. บอกพวกกูได้นะโว้ย ..” ไอ้จงฮยอนมันเอื้อมมือมาตบไหล่ดังแปะๆ แต่คำพูดของมึงนี่แม่งแลดูเป็นห่วงกูสัสๆ
ถุย! เป็นเพื่อนกันมานมนาน มึงคิดว่ากูจะเชื่อคำพูดของมึงเหรอ ?
แค่มองน้ำหน้ากูก็เห็นถึงความขี้เสือกแล้ว สัสเอ้ย!

“ไอ้คยูมึงแม่งทำตัวเรียกร้องความสนใจยังกับเด็กสามขวบเลยว่ะ นี่มึงหย่านมหรือยังวะ ?” ผมสะบัดตัวออกจากวงล้อมของพวกขี้เสือก ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนตีพุงในห้องระหว่างรอผลการตอบรับจากบางสิ่งบางอย่างอยู่ ..
“กูว่าแม่งติดเด็กมาเก็ตติ้งแน่ๆ แล้วเด็กแม่งคงไม่เล่นด้วยชัวร์ๆ ไม่งั้นแม่งคงไม่ทำให้เค้ายุ่งกันทั้งแผนกอยู่แบบนี้” ไอ้เชี่ยมินโฮ กูนึกอยากฝากรอยตีนเอาไว้บนหน้ามึง ตั้งแต่ที่มึงถามว่ากูหย่านมหรือยังแล้ว ..
ไอ้สัส นินทากูแบบนี้ ไม่ป่าวประกาศให้รู้กันทั้งบริษัทเลยวะ?

“เป็นอะไรของมึง อยู่ๆมายกเลิกแบบนี้ มึงคิดว่าแผนกกูจะเตรียมอะไรทันมั้ย ?” กูกำลังจะเสียบคีย์การ์ดเข้าห้องตัวเองอยู่แล้ว แต่ไอ้มิสเทคมันรีบพุ่งเข้ามาห้ามเสียก่อน
“พูดเป็นเล่นไป บริษัทเรามีพนักงานตั้งกี่คน มึงจะหานายแบบมาแทนกูไม่ได้เลย ? .. หรือว่าที่จริงแล้วมึงอยากให้กูเป็นนายแบบให้กันแน่วะ ?” ผมยิ้มมุมปาก พลางหันหน้าเอาหลังพิงประตู แล้วกอดอกมองจ้องไอ้มิสเทคที่ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยเหงื่อ อีกทั้งลมหายใจของมันก็ยังหอบแฮ่กๆอีก ..
ดูท่าทางแล้ว จากคำปฏิเสธของกู คงทำให้มันวิ่งวุ่นไม่น้อยทีเดียว ..

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วว่ากูต้องการให้มึงเป็นนายแบบ เพราะไซส์เสื้อที่กูหอบมาจากโซลมันคือไซส์ของมึงโดยเฉพาะ .. กูถึงหาใครที่ใส่มันพอดีไม่ได้ .. ก่อนหน้านี้พวกกูก็ถามความเห็นของพวกมึงทุกคนแล้วนะว่ามีใครไม่สมัครใจหรือเปล่า ซึ่งทุกคนก็โอเคดีไม่มีปัญหา รวมถึงมึงด้วย .. พอมาวันจริง มึงจะมาทำกวนตีนกูแบบนี้เหรอวะ ? ” มิสเทคมันตอบอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่มันก็ชักสีหน้าใส่ผมด้วย
“กูเปล่ากวน แต่กูแค่ไม่มีอารมณ์มาเป็นนายแบบให้มึงเฉยๆ” พอผมพูดจบ ไอ้มิสเทคมันหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิมอีก แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบใจอยู่ลึกๆ
ท่าทางกูจะเป็นโรคจิตอ่อนๆหรือเปล่าวะ ?

“มึงกำลังกวนตีนกู สีหน้าของมึงบอกกูแบบนั้น .. มึงต้องการอะไร ?
“เบอร์โทรของมึง ..” กูแบมือออกมาตรงหน้ามัน พลางขยับนิ้วขึ้นลงพร้อมกับยักคิ้วใส่มันที่กำลังยืนหน้านิ่ง

“เพื่อ ?” มิสเทคมันย้อนถาม ด้วยคำถามเดิมที่มันเคยถามอีกครั้ง
“ไม่รู้ดิ .. กูคงติดใจมึงมั้ง ...

“มึงหมายถึงมึงชอบกูทำนองนั้นเหรอวะ ?” ไอ้มิสเทคมันปัดมือของผมออกห่าง เพื่อปฏิเสธการร้องขอ
“เปล่า..กูไม่ได้หมายความแบบนั้น ..” ผมตอบออกมาตามความรู้สึกอันสัตย์จริง เพราะทุกอย่างที่ผมทำลงไป มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความชอบหรือแม้แต่ความรักก็ไม่มี ..
เพราะ ณ ตอนนี้ผมแค่ถูกใจกับเซ็กส์ของมันเท่านั้น ..

“แล้วมึงมาขอเบอร์กูเพื่อ ?
“มึงนี่เข้าใจยากว่ะมิสเทค กูก็บอกอยู่หยกๆว่ากูติดใจมึง..” ผมเดาะลิ้นใส่มันอย่างอ่อนใจ แล้วก็พูดขยายความให้มันหายโง่สักนิดก็ยังดี

“แต่กูไม่ติดใจมึง ..” แม่ง! ไอ้มิสเทค คำพูดของมึงทำกูหน้าชามากี่ครั้งแล้ววะสัสเอ้ย!
“คิดก่อนพูดหรือยัง สัส! ปากดี ..” กูยกขาไปเตะหน้าแข้งของมันเบาๆอย่างหมั่นไส้

“ทำไมกูต้องคิดก่อนพูดด้วยวะ ผลมันก็รู้ๆกันอยู่?” แม่ง! ไอ้มิสเทคแม่งน่าหมั่นไส้ที่สุดในสามโลก ทำมายิ้มมุมปากใส่กู มึงคิดว่าแน่นักเหรอ ?

ปัง!

“มึงบอกกูเองว่าเรื่องคืนนั้นมันคือมิสเทค แล้วมึงจะเอามาตัดสินตัวกูได้ยังไง ในเมื่อของจริงมันยังไม่เริ่ม .. มึงกับกูดูท่าทางจะเหมือนกันนะ ... รักอิสระ .. ไม่ชอบผูกมัด .. ไม่ใช่เหรอวะ ถ้างั้นมึงก็มากิ๊กกับกูสิ?” ผมคว้าข้อมือมันเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ขังมันไว้ในวงแขน พลางพูดหว่านล้อมให้มันเห็นด้วยกับคำเชื้อเชิญ ..
ส่วนเรื่องที่สาธยายว่ามันรักอิสระโน่นนั่นนี่ กูมั่วของกูล้วนๆ
เพราะกูอยากได้มันจนตัวสั่น ..

“กูไม่ชอบจูบตะกละตะกลาม..” ไอ้มิสเทคมันพูดอยู่ข้างหูด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ถ้อยคำที่มันพ่นออกมานี่แม่งน่ากัดปากให้บวมชะมัด!
สัส! นี่มึงกำลังด่ากูเรื่องจูบเมื่อวานใช่มั้ย ?

“เออ .. กูจะจำไว้ .. ว่าแต่ผิวมึงทำไมไม่มีกลิ่นน้ำนมแล้ว ?” ผมเงยหน้าขึ้นมาถามมันอย่างสงสัย หลังจากที่ได้แอบสำรวจซอกคอของมันอยู่พักใหญ่
“กูเบื่อเลยเปลี่ยนสบู่กลิ่นใหม่ ..ว่าแต่มึงจะยอมเดินแบบให้กูได้ยัง ?

“มึงก็ตอบตกลงแล้วเอาเบอร์มาให้กูก่อนดิ ..” ผมถอยห่างจากไอ้มิสเทค แล้วก็หยิบโทรศัพท์ยื่นให้มัน
“หึ มึงนี่มันอันตรายจริงๆ .. แค่สามวันมึงกับกูก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนสถานะ ..” ไอ้มิสเทคมันยิ้มขำ พลางรับโทรศัพท์ของผมไปกดเมมเบอร์อย่างไม่มีอิดออด ..
 โดยที่มันก็ไม่ลืมจะเอาเบอร์ผมยิงเข้าเครื่องมันด้วย ..

“มึงเองก็ไม่เบาเลยมิสเทค ไม่งั้นมึงคงไม่ยอมให้กูจูบแล้วตอบตกลงง่ายๆแบบนี้ ..
“แล้วไม่ดีหรือไง ?

“ก็ดี .. กูจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเรียกร้องความสนใจ และมึงเองก็ไม่ต้องเหนื่อยทำหน้านิ่งอ่อยกู .. โอ้ย!” ไอ้สัสมิสเทค มึงนะมึง! กล้าดียังไงมาตีเข่าใส่น้องชายของกูวะ!
“สม! เดี๋ยวกูจะไปเอาเสื้อมาให้มึงเปลี่ยนที่นี่ ..” ไอ้มิสเทค! เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูจะสั่งสอนมึงให้เข็ด แม่งแทนที่มันจะฉุดกูลุกขึ้นจากพื้น กลับมายืนหัวเราะใส่กู แล้วก็เดินออกจากห้องไปเลย!
เชี่ย! ถ้ากูสูญพันธ์ไป มึงอย่ามาเสียใจเอาภายหลังนะเว้ยเฮ้ย!

“แปลกดี .. มึงกับกูก็นั่งทำงานแถวๆเดียวกัน แต่ไม่ยักจะแลกัน แต่พอได้กันเสือกติดใจ .. กูถามจริง กูจูบไม่ได้เรื่องจริงๆเหรอวะ ?” ผมยืนให้ไอ้มิสเทคมันแต่งตัวให้ตามประสานายแบบ ซึ่งมันเองก็ไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ขัดไม่ได้ไง เพราะกูขู่ไว้ว่าถ้าไม่แต่งตัวให้ มันก็ต้องไปหานายแบบใหม่ ..
….” ไอ้มิสเทคแม่งไม่ยอมตอบ

“เงียบของมึงนี่มันหมายถึง กูโอเคนะเว้ย ..

“แต่ก็นะ .. ถ้ากูไม่โอเค มึงคงไม่ตอบตกลงกิ๊กกับกูหรอก จริงป่ะวะ ?
“ไม่จริง กูตอบตกลงเพราะงาน ..” ไอ้มิสเทค! มึงไม่อ้อนตีนกูสักประโยคนึงไม่ได้เลยใช่มั้ย ? แม่ง!

“เดี๋ยวก็รู้ว่าต่อไปมึงจะให้เหตุผลกับกูว่ายังไง ..
“เพ้อเจ้อว่ะ .. ก่อนมึงจะคิดถึงอนาคต เอาตอนนี้ให้รอดก่อนดีกว่าป๊ะ ?” หมั่นไส้แม่งว่ะ กูเลยผลักหัวแม่งเลย แต่ไอ้มิสเทคมันก็ไม่ยอมให้กูทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมันก็เตะหน้าแข้งกูกลับทันที
การประชุมประจำปีครั้งที่หนึ่งจะจบลงด้วยการนำเสนอแผนการตลาดของฝ่ายการตลาดให้กับเหล่าผู้จัดการร้านได้รับทราบ และปิดท้ายด้วยการแสดงแฟชั่นโชว์จากพนักงานออฟฟิศที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดิบดีแล้ว ซึ่งนายแบบก็ไม่พ้นผม ชางมิน ซีวอน มินโฮและไอ้จงฮยอน ส่วนฝ่ายหญิงก็พวกตัวท็อปของบริษัทนั่นแหละ ..
อันที่จริงไอ้มิสเทคมันก็ไม่ได้เจาะจงเลือกผมหรอก พวกลูกน้องของมันนั่นแหละที่จัดการเรื่องงานเดินแบบทั้งหมด อย่างที่บอกไอ้มิสเทคมันเก่ง มันเลยเข้ามาเป็นพนักงานในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด ส่วนกูน่ะเหรอ ?
ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกไอทีว่ะครับ เทียบแม่งไม่ติดเลย
ที่สำคัญกูแม่งเป็นลูกน้องไอ้ชางมินว่ะ สัสหมา!

เสื้อผ้าที่ผมใส่จัดอยู่ในคอลเล็คชั่นสไตล์แฟชั่น ไอ้มิสเทคมันเลือกเสื้อฮู๊ดแขนยาวสีดำตัดด้วยลวดลายตัวหนังสือบ่งบอกแบนด์เสื้อผ้าสีขาว ขณะที่กางเกงก็เป็นแบบรัดรูปสีดำสนิท ส่วนรองเท้าก็เป็นผ้าใบสีดำตัดด้วยลวดลายสีเทาอย่างลงตัว ..คือบริษัทที่ผมทำงานอยู่เนี่ย มันเป็นบริษัทเสื้อผ้าที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเสื้อผ้าของเราก็จะมีหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่สไตล์เพื่อการออกกำลังกาย หรือแบบไลฟ์สไตล์ที่เอาไว้ใส่ลำลอง ส่วนสไตล์แฟชั่นจะเป็นสินค้าอีกเกรดนึงที่จะอัพระดับขึ้นมาอีกหน่อย ซึ่งราคาก็คงไม่ต้องสาธยายมาก ..
ก็เพราะสินค้าของบริษัทมันหลากหลายแบบนี้ ซ้ำสาขาก็ยังมีมากมาย ดังนั้นการจัดประชุมประจำปีจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากการจัดประชุมมันจะทำให้สาขาและออฟฟิศทำงานได้สอดคล้องกัน เมื่อวานผมก็ได้พูดอัพเดตระบบงานของผมให้พนักงานสาขาฟัง ส่วนวันนี้ก็ถึงตาไอ้มิสเทคมันสาธยายระบบงานของมันบ้าง ..
ผมชื่นชมมันนะ มันดูเป็นคนมั่นใจดีเวลาพูดถึงเรื่องงานของมัน
เสียอย่างเดียว เวลาอยู่กับกูแม่งชอบพูดจาอ้อนตีน ..

“เดี๋ยว .. กูว่าใส่แว่นหน่อยดีกว่า ..” หลังจากมันพูดในส่วนของมันจบ ก็ถึงคราวต้องจัดแสดงแฟชั่นโชว์แล้ว ผมก็เลยเกาะกลุ่มไปกับไอ้พวกเพื่อนปัญญาอ่อนเพื่อไปเตรียมสแตนบาย แต่ปรากฏว่าไอ้มิสเทคมันเรียกผมไว้ ผมเลยปล่อยให้ไอ้พวกเวรนั่นเดินนำไปก่อน โดยที่พวกแม่งก็ไม่ได้สนใจกูเลยแม้แต่นิด ..
“หัวมึงนี่ทำให้มันเป็นทรงหน่อยดิ” มันส่งแว่นกันแดดสีดำสนิทให้ผมใส่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมจัดทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง

“จัดให้กูดิ .. โอ้ย!
“สัส ได้ทีนี่เอาใหญ่นะมึง .. เอ้าๆ โอเคแล้ว มึงรีบเดินไปเลย เดี๋ยวแถวขาดตอน ..” ไอ้มิสเทคแม่งดึงผมกูจนหัวแทบทิ่ม!

“ถ้ามึงจัดไม่ถึง คราวหลังบอกกูดีๆก็ได้ ..” ผมเดินตามแรงรุนหลัง พลางเหน็บมันไปเบาๆ
….” ห่า .. นอกจากมึงจะไม่หือไม่อือกับกูแล้ว มึงยังผลัก เอ้ย ไม่กูว่ามันไม่ใช่ผลัก แม่งต้องยันกูออกมาจากหลังเวทีแน่ๆ

เดี๋ยวก่อน .. เดี๋ยวกูจะสะสมความน่าหมั่นไส้ของมึงเอาไว้เยอะๆ

มีโอกาสเมื่อไหร่ กูเอามึงตายแน่ไอ้มิสเทค!
 
 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

มาต่อเรื่องนี้บ้าง เดี๋ยวคนอ่านจะลืมมิสเทคไปซะก่อน 555 สรุปแล้วเรื่องนี้สองคนเค้าศีลเสมอกัน ทีนี้ก็รอดูแค่ว่าใครจะหลงใครก่อน แต่ดูแล้วคำตอบคงมองไม่ยากมั้ง คึคึ
 

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2557

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
       







[Special] Musician Camp (2)

                ไม่ว่าผมจะพบเจอกับมรสุมแห่งอารมณ์ของพี่เขามากมายแค่ไหน แต่ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์ ผมไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้เหมือนอย่างสมัยเรียน และถึงผมจะเคว้งคว้างแค่ไหน แต่ผมก็ต้องหยัดยืนด้วยตัวเองให้ได้
                ด้วยเพราะหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบ มันทำให้ผมจำต้องเข้มแข็ง แม้ว่าในใจจะกำลังร้องไห้ แต่ใบหน้าของผมยังคงต้องยกยิ้มและสนุกสนานไปกับกิจกรรมของค่าย ผมในตอนนี้ไม่อาจเก็บตัวอยู่แต่ในห้องและเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เพราะผมมีโลกของผม มีหน้าที่ของผมให้ต้องรับผิดชอบ ..
                ฉะนั้นสิ่งที่พี่เขาปลูกฝังผมในตอนนั้น มันคือเรื่องจริงของชีวิตคน ..

                “อาจารย์ซองมิน น้ำครับ ..” ผมนั่งเหม่อมองโทรศัพท์มือถือที่ยังคงพยายามจะติดต่อกับใครคนนั้นให้ได้ แต่ผลปรากฏว่าสัญญาณรอสายอันยาวนานนี้ มันไม่มีทีท่าว่าจะถูกตัดไปเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุคคลปลายสายเขาไม่สนใจจะรับ หรือว่าเขาไม่กล้าจะตัดสายของผมทิ้งกันแน่ ..
                “ขอบคุณครับ” ผมยกยิ้มขอบคุณอาจารย์แจฮยอนที่ลุกขึ้นไปหยิบน้ำมาให้ผมด้วย

                “อาจารย์นี่เก่งชะมัด เล่นเครื่องดนตรีเป็นกี่อย่างกันครับ ?” อาจารย์แจฮยอนกระดกน้ำดื่มอึกใหญ่ด้วยเพราะความกระหาย เนื่องจากตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งผมและอาจารย์แจฮยอนต่างก็ต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับนักศึกษาแทบไม่ได้หยุด
                ในวันนี้คณาอาจารย์เริ่มจัดกิจกรรมในรูปแบบของการเข้าฐาน ซึ่งก็ไม่พ้นฐานของการละเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ แต่ว่าการเข้าฐานในครั้งนี้จะอยู่ในรูปแบบของสันทนาการมากกว่าจะจริงจัง ด้วยเพราะกิจกรรมในวันนี้จะเป็นกิจกรรมสำหรับผ่อนคลายครั้งสุดท้าย จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเหล่านักศึกษาจะต้องซ้อมฟอร์มวงกันอย่างเอาจริงกันเสียที งานนี้เรียกได้ว่ามีคนเครียดจนถอดใจแน่ เพราะความกดดันจะมีมาในทุกรูปแบบ แต่นั่นก็เพราะผลงานที่จะออกมาดีและมีคุณภาพในอนาคตแทบทั้งสิ้น ..

                “ถ้าอาจารย์หมายถึงเล่นแบบจริงจังก็มีแต่ไวโอลินครับ แต่ถ้ารู้งูๆปลาๆก็เปียโน ..” ฐานของผมวันนี้จะสอนนักศึกษาเล่นเปียโน โดยให้นักศึกษาทุกคนวาดรูปแป้นเปียโนลงบนหน้าดิน จากนั้นการเรียนการสอนของผมก็จะเริ่มต้นขึ้นโดยการวาดฝันว่าผิวดินนั้นคือแป้นเปียโนราคาแพงลิบลิ่ว ..
                เด็กๆก็มีทั้งสนใจบ้างและไม่สนใจบ้าง ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะของแบบนี้ หากเขาตั้งใจฟัง ผลประโยชน์ที่ได้มันก็ตกอยู่ที่เจ้าตัวเองทั้งสิ้น ..

                “อาจารย์ .. แม้ว่าผมจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติก็ตาม แต่ผมก็เผลอตัวก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว ..
                “ครับ ?

                “มีเรื่องสบายใจอะไรหรือเปล่าครับ ?” อาจารย์แจฮยอนจ้องเข้ามายังนัยน์ตาของผม จนผมต้องหันหน้าหนี เพราะผมกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นดวงตาอันบวมเปล่งที่เกิดจากการร้องไห้อย่างหนักของผมตั้งแต่เมื่อคืน ..
                สิ้นคำพูดทิ้งท้ายของพี่เขาก่อนที่สายโทรศัพท์จะตัดไป มันเป็นช่วงเวลาอันทรมานสำหรับผมมากมายจริงๆ คำพูดตัดพ้อแกมประชดประชันของพี่เขามันบาดลึกลงตรงกลางใจของผม และด้วยเพราะผมรู้ตัวว่าผมผิด ผมจึงเจ็บปวดกับความรู้สึกผิดของตัวเองเป็นสองเท่า ..

                เป็นเวลานานมากที่ผมทรุดตัวนั่งก้มหน้าซบลงตรงหัวเข่าของตัวเองอยู่แบบนั้น ผมร้องไห้จนตัวโยน ร้องแบบที่คิดว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ร้องไห้อีก กระทั่งความอ่อนแอมันเริ่มหดหายไป
                ผมถึงได้สวมหน้ากากในคราบของอาจารย์อีซองมิน ได้อย่างเต็มยศในวันนี้ ..

                ครืด ครืด

                ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามของอาจารย์แจฮยอน โทรศัพท์ในมือผมก็สั่นครืดคราดอย่างแรง เล่นเอาผมดีใจจนเนื้อเต้น รีบขอแยกตัวออกมาคุยโทรศัพท์ในทันที ..
                แต่พอผมเห็นชื่อของบุคคลปลายสาย หัวใจของผมที่กำลังพองโตมันก็แห้งเหี่ยวลงในทันที ..

                “เป็นไงมั่ง สุขสบายดีนะ ?” ซองจินรัวคำถามใส่ผมทันทีที่กดรับสายโดยไม่คิดจะกล่าวทักทายใดๆสักคำ
                “อื้อ”

                “แล้วนี่มีสอนหรือเปล่า ?
                “ถ้าพี่มีสอน แล้วจะมารับสายของซองจินได้ยังไง ..” ผมย้อน

                “เดี๋ยวจะโดน ..อยู่กับพี่มันมากไปป่ะ ติดนิสัยยอกย้อนมาเต็ม ..” อีซองจินว่ากระแนะกระแหนผมอย่างหมั่นไส้
                “เปล่า ..” หากเป็นทุกที ผมคงดุซองจินใหญ่แล้วที่ไปว่ากระทบพี่เขาแบบนั้น แต่ในตอนนี้ผมกลับตอบปฏิเสธเสียงค่อย ..

                “ทำไม ? ไม่ได้อยู่กับพี่มันแล้วซองมินจะอยู่ที่ไหนฮึ๊ ไหนบอกให้ชื่นใจหน่อย ?
                “พี่มาออกค่ายบนเขาน่ะ ..

                “เออ .. ห่างกันบ้างก็ดี .. ทิ้งพี่มันบ้างก็ดี .. เอ้อ เรื่องมหัศจรรย์จริงๆ”
                ….” พอหลังจากที่ซองจินแกล้งพูดใส่ผมแบบนั้น ผมก็เงียบไป ส่วนซองจินเองก็เงียบลงเช่นกัน

                “ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ?” อีซองจินแย๊บคำถามใส่ผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
                “ก็ .. อืม ..

                “เรื่อง ?
                “พี่ลืมบอกพี่คยูว่าจะมาเข้าค่ายดนตรีน่ะ” ผมสารภาพเสียงแผ่ว

                “แค่เนี้ย ?
                “ฮื้อ แค่นี้ที่ไหน .. พี่ทำพี่เขาวิ่งวุ่นทั้งวันเลยนะ มันไม่ใช่แค่นี้หรอก ..” ผมส่งเสียงคัดค้าน พลางพูดตอกย้ำความผิดของตัวเองให้ซองจินฟัง

                “แล้วนี่ได้คุยกันบ้างยัง ?
                “ยัง .. พี่เขาไม่ยอมรับ ..” ผมส่ายหน้าตอบ แม้ว่าน้องจะมองไม่เห็นก็ตาม

                “เออดี .. ดีจริงๆ แม่ง โกรธกันทีหันหลังชนกันที เจริญ .. แล้วนี่ไม่ใช่ว่าร้องไห้ตาบวมไปล้านแปดรอบแล้วหรอกนะ ? แม่ง! ทำกูเป็นบ้าอีกคน ..” ซองจินบ่นออกมาเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นก็รีบวางสายไป
ส่วนผมก็กลับมาทำหน้าที่ของอาจารย์ที่ดีต่อไป ..

                สามวันสามคืนแล้วที่ผมจมอยู่กับความรู้สึกผิดของตัวเอง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำผมคืออาจารย์อีซองมินคนเข้มแข็งที่กำลังสวมหน้ากากที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ..
หากแต่ช่วงเวลาก่อนนอนที่ผมได้อยู่กับตัวเอง ผมก็ยังคงเป็นผม เป็นน้องแฟนคนเดิมของพี่เขา และยังคงเป็นคนที่อ่อนไหวในทุกเรื่องของพี่เขาอยู่ดี

การที่พี่เขาเงียบหายไปอย่างนี้ มันเป็นเพราะพี่เขากำลังทำโทษผม หรือมันเป็นเพราะว่าพี่เขากำลังจะปล่อยมือจากผมอีกครั้ง .. เหตุการณ์ในครั้งนี้มันก็ไม่ต่างกับวันนั้น เพียงแต่สาเหตุของเรื่องมันไม่ใช่เรื่องเดิมดังเช่นวันวาน ..
มือของผมยังมีโอกาสได้กอบกุมกับมือฝ่ามืออันอบอุ่นของพี่เขาอยู่ไหม ?
ผมทำผิด ผมรู้ดี แต่พี่เขาเล่นปิดกลั้นหนทางสว่างของผมจนหมดแบบนี้ ผมควรจะทำอย่างไร ?
               
                ผมยังสามารถจับมือกับพี่ได้อยู่ใช่ไหมครับ ?’ ราวกับได้พบหนทางสว่าง เมื่อพี่ชางมินเขาส่งข้อความจากเกมมาให้ ผมจึงเลือกที่จะใช้วิธีที่ผมลืมนึกถึงในการติดต่อกับพี่เขาแทน ..
                ยังไม่ปล่อยมือกับผมใช่ไหม ?’ เมื่อพี่เขาอ่านข้อความแต่ไม่ยอมตอบ ผมจึงส่งข้อความหาพี่เขาอีก ..

                อย่าปล่อยนะครับ .. จะโกรธผมอีกนานแค่ไหนก็ได้ .. ถ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้ว เราค่อยหันหน้ามาคุยกันก็ดีเนอะผมยกยิ้มพลางพิมพ์ข้อความไปตามความคิด เมื่อพี่เขายังคงอ่านข้อความของผมทุกข้อความ เพียงแต่พี่เขาไม่ยอมตอบเท่านั้น อาจจะเพราะยังไม่หายขุ่นเคืองใจที่ผมทำอะไรเหมือนไม่แคร์พี่เขา ..
                ทำงานแล้วมันเหนื่อยเนอะ ผมอยากกลับไปมัดมือชกให้พี่รีบกลับมาคืนดีกับผมจัง แต่ผมก็ทำไม่ได้เพราะหน้าที่การงานมันค้ำคอ .. ผมอยากแก้ตัวกับสิ่งที่ผมทำพลาดไปจริงๆนะครับ .. ที่ผ่านมาผมอาจจะเหนื่อยกับงาน อาจจะเหนื่อยกับเรียน จะเผลอละเลยพี่ไปบ้าง .. แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้โปรดให้อภัยผมเถอะนะครับ ..’ ข้อความอันยาวเหยียดของผม สุดท้ายมันก็ไม่มีโอกาสได้ส่งออกในเร็วๆนี้ เพราะน้องดันโทรเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน..

                “เลิกเลยมั้ย ? มาทำมึนตึงแล้วก็เอาแต่แดกเหล้าแบบนี้เพื่ออะไรวะ ?” ผมยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ เสียงของซองจินก็ดังสวนขึ้นมา
                “ทำไมกูต้องเลิก” และดูเหมือนว่าอีกหนึ่งเสียง จะเป็นของคนที่ผมอยากจะได้ยินมากที่สุด

                “ก็เออไง .. พี่มึงถามกูว่าทำไมต้องเลิก .. แล้วจะโกรธกันทำเชี่ยอะไรหลายวันวะ กว่ากูจะติดต่อได้แม่งยากสัส ถามหน่อย เมาเป็นหมาเพื่ออะไร ? แล้วจะมึนตึงไปทำไม เหตุผลแม่งเล็กน้อยมากนะพี่มึง ..
                “มึงว่าเล็กน้อยเหรอซองจิน กูแทบเป็นบ้า กลัวเชี่ยแม่งทุกสิ่งอย่าง มึงยังจะบอกว่าการที่พี่ชายของมึงลืมบอกกูมันคือเรื่องเล็กน้อยงั้นเหรอวะ ?” พี่เขาใส่อารมณ์อย่างฉุนเฉียว ดูก็รู้ว่ายังมีสติดีอยู่

                “เออมันเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับที่พี่มึงเคยโกหกพี่กูเรื่องไปเรียนต่อ..
               

                “พี่มึงอยากรู้มั้ยว่ามันต่างกันแค่ไหน ?
               

                “กูจะบอกให้ ใ มันต่างกันแค่คำว่าตั้งใจกับไม่ตั้งใจ ฟังดูแล้วอะไรมันร้ายแรงกว่ากัน ? ใครสมควรโดนโกรธมากกว่า  พี่มึงว่า ?
                “แต่กูก็สารภาพความจริงไปแล้ว แต่พี่มึงแม้แต่จะไปยังไม่บอกกูสักคำ โน้ตทิ้งไว้สักตัวก็ไม่มี ต่อให้ไม่มีเวลาแค่ไหน มันก็มีทางอื่นป่ะวะที่จะบอกกันน่ะ ?

               
                “แล้วถ้าอย่างนั้นมึงคิดว่าแคร์กับเหมือนจะแคร์อะไรเสียความรู้สึกกว่ากันวะ ? กูเฟลนะบอกตรงๆ อยู่ด้วยกันทุกวัน เจอหน้ากันทุกเวลา แต่อยู่ๆไปไหนก็ไม่บอก วี่แววจะนึกถึงสักนิดก็ไม่มี กูควรจะรู้สึกแย่ป่ะวะ .. กูรู้ตัวว่ากูไม่ค่อยมีเวลาให้ บางอย่างกูไม่สามารถทำให้พี่มึงได้เหมือนอย่างสมัยเรียน เพราะกูมีข้อจำกัดของกู แต่มึง .. มันก็ต้องปรับจูนเข้าหากันบ้าง จะให้กูจูนคนเดียวมันคงไม่คลิกกันหรอกถ้าพี่มึงไม่ทำด้วย ..

                “เห้อ .. ถ้างั้นก็อย่าโตแม่งเลย ชีวิตแลน่าปวดหัว ..
                “เออ .. กูเฟลตัวเองว่ะ กูตะหวาดพี่มึงไป กูก็รู้สึกแย่ .. แต่ถ้ากูรีบยกโทษให้ กูก็กลัวว่ากูจะหมดความสำคัญ .. ยิ่งอยู่ด้วยกันนานๆ ต่างคนต่างมีโลกเป็นของตัวเอง กูก็กลัวไปหมด .. มึงว่ากูบ้าหรือเปล่าวะ ?

                “เออ บ้ามาก .. กลัวแม่งทุกอย่างแต่เสือกทำให้ไอ้สิ่งที่ตัวเองกลัว มันก้าวเข้ามา .. ถ้าไม่เรียกว่าบ้า กูก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว .. พี่มึงนะ ถ้าพี่มึงเอาแต่กลัวกูบอกเลยว่าพี่มึงเตรียมตัวเลิกกับพี่กูได้เลย กูไม่ยอมให้พี่กูเจ็บเพราะต้องมาทรมานกับความกลัวของพี่มึงหรอกนะ .. แฟนน่ะ ถ้าเลิกกันก็แค่คนอื่น รู้หรือยัง ?” ซองจินวางสายไปแล้ว แต่จากนั้นไม่นานโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมาทันที

                “อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรออาจารย์ ผมนึกว่าหลับไปแล้ว ..” อาจารย์แจฮยอนที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จทักผมขึ้นมา
                “ยังครับ .. เดี๋ยวผมขอตัวไปเดินเล่นสักหน่อยนะ” ผมตอบอาจารย์แจฮยอนอย่างเร่งร้อน จากนั้นผมก็รีบเดินออกจากห้องพักในทันที โดยที่ปลายนิ้วของผมมันก็รีบสไลด์หน้าจอเพื่อรับสายของพี่เขาที่โทรเข้ามาโดยอัตโนมัติ

               
                “หายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ ?” ผมถามพี่เขาเสียงอ่อน พลางแอบใจเต้นกับคำตอบนิดๆ

                “คิดถึง ..” พี่เขาไม่ยอมตอบคำถามของผม แต่กลับพูดคำคำหนึ่งออกมา และมันก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากผมได้อย่างไม่ต้องพยายามให้ยากเย็นอะไร
                “เหมือนกันครับ ..

                “ขอโทษนะที่วันนั้นเผลอตะคอกใส่ ..
                “ผมเข้าใจครับ ไม่ต้องขอโทษผมหรอก .. คำนั้นมันควรเป็นของผมมากกว่า ผมขอโทษนะครับที่ละเลยพี่ไป ผมขอโทษจริงๆ คำว่าเหนื่อยมันไม่ใช่คำแก้ตัวที่ดี ผมรู้ แต่ผมก็อยากให้พี่ทำเป็นมองว่ามันสมเหตุสมผลจะได้ไหม ..” ผมส่งเสียงอ้อนพี่เขาไป ..

                “เบ .. เราจูนเข้าหากันหน่อยดีไหม ถึงจะต่างคนต่างเหนื่อย ต่างคนต่างไม่มีเวลา แต่จะไปไหนขอให้บอกกันสักหน่อยหรือเปล่า อย่างน้อยอีกคนก็ได้รู้ว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ..
                “ครับ .. ผมขอโทษจริงๆนะ เรื่องมาค่ายผมลืมจริงๆครับ แต่คำว่าลืมของผมมันไม่ได้หมายความว่าลืมที่จะบอกพี่นะครับ ผมลืมว่ามีเข้าค่ายครับ วันนั้นผมเกือบมาไม่ทันเลย ดีที่ได้อาจารย์แจฮยอนมาช่วยไว้ ไม่งั้นผมคงโดนประเมินวิชาชีพเละเป็นโจ๊กแน่ ..

                “แต่เบก็น่าจะส่งข้อความมาบอกพี่บ้าง .. ที่ค่ายมันยุ่งมากเลยเหรอ ?
                ….” ผมเริ่มนิ่งงันอีกครั้ง เมื่อพี่เขาย้อนถามด้วยประโยคนี้ และพอผมได้กลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง มันก็ทำให้ผมพบแล้วว่า ..
ผมมันเป็นแฟนที่ไม่เอาไหน ..
                และคำว่าเหมือนจะแคร์อย่างที่พี่เขาว่า มันก็กำลังทิ้งแทงหัวใจของผมไม่มีชิ้นดี ..

                “อย่าเป็นแบบนี้บ่อยนะเบ .. พี่ไม่อยากหมดความสำคัญลงทุกทีๆหรอกนะ ..
                “พี่ครับ ..” ผมถึงกับพูดไม่ออก เมื่อพี่เขาเริ่มตัดพ้อ และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมทำให้พี่เขาต้องเสียใจ และผมเองก็รู้สึกแย่ที่ผมคิดถึงแต่เรื่องงาน เรื่องเรียน จนลืมเรื่องของคนสำคัญไปเสียสนิทใจ

                 “เบเข้าค่ายอยู่ที่ไหนเหรอ ไกลมากไหม ?
                “ทำไมเหรอครับ ?” ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

                “พี่อยากเรียกความมั่นใจของตัวเองคืนมา .. รอได้ไหม เจอกันแค่ห้านาทีก็ได้ ..” พี่เขาทอดเสียงอ่อนเพื่อถามผม ราวกับกำลังจะออดอ้อนผมอยู่
                “อย่าขับรถเร็วนะครับมันดึกแล้ว .. ผมอยู่ที่รีสอร์ทบนเขาใกล้มหาลัยนี่แหละครับ เดี๋ยวผมจะส่งแผนที่ไปให้ ..

                หลังจากผมส่งแผนที่ให้พี่เขาจนเรียบร้อย ผมก็เดินมองบรรยากาศโดยรอบของขุนเขา ดวงดาวในวันนี้ดูงดงามอีกกว่าทุกวัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความงามของธรรมชาติ หรือว่าเป็นเพราะผมกำลังมีความสุขมากๆกันแน่ ..
                ผมเดินย่ำเท้าไปมาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนมาเยือน แต่พี่เขาก็ยังเดินทางมาไม่ถึง อาจเป็นเพราะหนทางมันมืดอีกทั้งยังเป็นขุนเขาพี่เขาจึงต้องขับรถราอย่างระมัดระวัง มันจึงใช้เวลามากกว่าช่วงกลางวัน ..

                “ทำไมมานั่งหลับอยู่ตรงนี้ล่ะเบ ?” เสียงของคนที่ผมกำลังรอดังขึ้นในระยะประชิด อีกทั้งฝ่ามืออบอุ่นก็ยังโอบประครองตัวผมที่กำลังนั่งก้มหน้าชิดเข่าเพื่องีบหลับ
                “พี่ครับ!” เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาเจอใบหน้าของพี่เขา ผมก็รีบกระโจนเข้าหาพี่เขาอย่างดีใจ น้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมกอดพี่เขาเอาไว้แน่น พลางฝังใบหน้าลงตรงซอกคอของพี่เขาด้วย ถึงแม้ว่าเนื้อตัวของพี่เขาจะเต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์มากมายก็ตาม แต่ผมก็ยังคงซุกหน้าเอาไว้แบบนั้น ..

                “หงายหลังเลยไง ดูกระโจนเข้ามาสิ” พี่เขากอดผมตอบ แม้ว่าตอนนี้พี่เขาจะทรุดลงไปนั่งแหมะกับผืนดินแล้วก็ตาม ..
                “พี่สำคัญกับผมมากนะครับ .. ขอโทษที่ทำให้คิดมาก ..

                “พี่ไม่ได้คิดมากอะไรแล้ว ..แค่เบบอกว่าเราจะจูนเข้าหากันมากขึ้น พี่ก็หายน้อยใจแล้วรู้ไหม พี่โกรธเบนานๆไม่เคยลงสักที ..
                “แต่ ..” ผมอ้าปากจะเถียงแต่พี่เขากลับเอาริมฝีปากมาแตะปากผมราวกับต้องการจะห้ามไม่ผมพูดอะไรที่มันเป็นการโทษตัวเองอีกแล้ว ..

                “ไม่มีแต่ .. เพราะเราบอกจะจูนเข้าหากันแล้ว ฉะนั้นความผิดพลาดมันคือบทเรียน ..
                “ครับ .. มันจะเป็นบทเรียนที่ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก ..

                “พี่รักเบนะ .. รักมากจริงๆ” พี่เขากระซิบคำรักชิดริมหู เล่นเอาหัวใจของผมเต้นรัวเพราะคำคำนี้พี่เขาไม่ค่อยพูดมันบ่อยนัก แต่มักจะใช้การกระทำเป็นตัวสื่อความหมายของคำคำนั้นออกมา ..
                “ผมก็รักพี่ครับ .. อย่าเหนื่อยใจกับความไม่เอาไหนของผมจนอยากปล่อยมือกันนะครับ ..

                “ไม่หรอก .. มันจะไม่มีวันนั้น ..

 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

อ่านตอนนี้จบแล้วไม่รู้ว่าคนอ่านจะว่ายังไงบ้าง เพราะงานนี้น้องแฟนผิดเต็มๆ และพี่มันเองก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พี่มันแค่กลัวว่าน้องจะลดความสำคัญของตัวเองลง เพราะนับวันต่างคนต่างก็มีภาระ มีอนาคตให้ไขว้คว้า มีโลกเป็นของตัวเอง มีสังคมเป็นข้อตัวเอง เวลาที่มีให้กันมันก็ไม่เท่าเก่า คือมันหลากหลายอารมณ์ผสมกัน น้องแฟนเองก็ผิดได้ไม่เต็มที่ คือก็รัก แต่ไม่ใส่ใจกันเท่าเก่า มันเลยทำให้อิพี่มันคิดมาก เพราะมันทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบจากอดีตและปัจจุบันไง ซึ่งตามหลักความเป็นจริง ยิ่งอยู่ด้วยกัน เรื่องเล็กๆน้อยๆมักจะถูกมองข้ามนะ คือรักไม่รักบางทีมันก็บอกไม่ได้ด้วยการกระทำอ่ะ ลองนึกดูว่าเวลาเหนื่อยจากงานจะมีเวลามาใส่ใจลงขี้ปะติ๋วมั้ย แล้วแต่ละวันปัญหาร้อยแปดเรื่อง อิพี่มันเลยคิดมาก เพราะอิพี่มันโตกว่า ประสบการณ์มากกว่า มันเลยปรับตัวได้เร็ว เลยยังพอเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ก็แค่สังเกต ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เท่าเก่าเหมือนกัน .. ไม่ดราม่าเนอะ 5555