วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 23

Mistake






Mistake 23

                “เชี่ยไรวะ น่ารำคาญสัส ชาติก่อนมึงเกิดเป็นนกเหรอ ชาตินี้มึงถึงต้องผิวปากแม่งทั้งวัน ..” ไอ้จงฮยอนที่ปกติจะพูดน้อย แต่มาวันนี้เสือกด่ากูยับ ใช้ได้ที่ไหนวะ แทนที่เพื่อนมีความสุข พวกมึงจะช่วยกันสรรเสริญ นี่เสือกด่ากูซ้ำ
                “ซองมินมึงช่วยดูแลคนไข้ของมึงหน่อยดิ ท่าทางจะอาการหนักแล้วว่ะ เมื่อเช้ามึงลืมให้มันแดกยามาใช่มั้ย?” ไอ้ชางมิน ไอ้ห่านี่ลามปาม มาพูดมึงๆกูๆกับมิสเทคได้ไงวะ แม่งพูดจาไม่เพราะ!

                “เออ .. กูลืมว่ะ ช่วงนี้กูเองก็งานเยอะเลยไม่ค่อยมีเวลา .. ไอ้คยูมึงควรรู้ตัวเองนะเว้ยว่ามึงขาดยาระงับประสาทไม่ได้ ” แม่ง ไอ้มิสเทค พอสนิทกับเพื่อนกูหน่อยนี่เริ่มเอาใหญ่
                “เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้มิสเทค กูไม่ได้ประสาทแดก แต่กูแค่มีความสุข มึงเข้าใจมั้ยความสุขอ่ะ .. แหม่ .. ทำหน้าโง่แบบนี้ยังไม่เก็ท ? … ได้จูบกับมึงทุกวันกูโคตรมีความสุขเลยว่ะ ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งประจำตำแหน่ง จากนั้นก็ชะโงกหน้าข้ามพาทิชั่นไปกระซิบข้างหูของไอ้มิสเทคให้รับรู้กันแค่สองคน

                “มึงรีบไสหัวไปทำงานของมึงเลย ” มิสเทคมันบ่นอุบอิบ พลางผลักหัวผมให้ถอยห่างจากเขตพื้นที่โต๊ะทำงานของมันเบาๆ แต่กูนี่ดิ พอเห็นปฏิกิริยาของมันแล้ว ชักจะไปกันใหญ่ หุบยิ้มไม่ลงเลยแม่ง!
                “กูเบื่อ กูเครียด งานกูเยอะจะตายห่าอยู่แล้ว มึงหยุดจีบกันสักทีดิ๊ ….ถ้าว่างนักก็มาแบ่งงานกูไปทำนี่ ” ไอ้มินโฮมันรีบโวยวายขึ้นมาทันที พร้อมกับโยนงานมาให้กูอีก ….

                “สัส .. มึงทำพังอีกแล้วใช่มั้ย” ผมหันไปด่ามันอย่างรู้ทัน
                “เหอะๆ” แม่ง ยังมีหน้ามาหัวเราะแห้งๆใส่กูอีก มันน่าโบกหัวมั้ย ถามจริง

                “ตลอดเลยมึง ..” ผมส่ายหัวพลางด่ามันไปด้วย แต่มือก็รับงานของมันมาทำเหมือนปกตินี่แหละ
                “พวกพี่ดูเหมือนไม่ใช่คนเป็นแฟนกันเลยว่ะ” หญิงสาวหนึ่งเดียวพูดขึ้น เมื่อผมกำลังแหย่ไอ้มิสเทคที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องงานของมันผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการโยนขี้ยางลบใส่ เท่านั้นแหละไอ้มิสเทคแม่งเอาปากกาปาใส่หัวกูเลยครับ!

                “ทำไมล่ะ ?” ผมลูบหัวตัวเอง พลางถามหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องอย่างสงสัย
                “ก็ดูพวกพี่ทำแต่ละอย่างสิ หวานกันมาก ..” หญิงสาวพูดขำๆ

                “เฮซอนเธอก็พูดไป .. เห็นแบบนี้พวกพี่ก็มีมุมหวานๆเหมือนกันเว้ย” ผมยักคิ้วใส่ลูกน้องไอ้มิสเทคอย่างภาคภูมิใจ คือคู่ของกูเนี่ยตีกันเป็นเรื่องปกติ จูบกันเป็นเรื่องรองนะเว้ย อย่าพูดไป ..
                “เฮซอนเธอไม่รู้อะไร คู่นี้มันมีซัมติงกันมาตั้งแต่สมัยเรียนนู่นแล้ว จะให้หวานๆ แบบตอนจีบเล่นๆก็ไม่พิเศษสิวะ ..” เสือกเชียวไอ้มินโฮ กูไม่น่าช่วยมึงแก้งานเลยนะ แล้วพฤติกรรมสันดานเก่าก่อนของกูเนี่ย ลืมๆไปบ้างก็ได้ คือเมียกูก็มีเป็นตัวเป็นตนแล้วเนี่ย ยังจะเอามาพูด เพื่อ ?..

                “หึ” เฮซอนยกยิ้มมุมปาก พลางทำหน้าตาเหลือเชื่อ ก็แน่สิ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เฮซอนเข้ามาทำงานที่นี่ กูก็เดินหน้าจีบทันที แถมยังจีบไปพร้อมๆกับจีบเด็กบัญชีซะด้วย
                แต่บอกเลย ถ้ากูไม่ได้มานั่งทำงานห้องเดียวกับเฮซอนนะ กูจีบติดไปนานละ เพราะหลังจากสนิทกันจนถึงขั้นพูดคุยเล่นหัวกันได้ ปรากฏว่าความคิดอยากจะจีบแม่งก็ไม่มีหลงเหลืออยู่อีกเลย  ..
สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างกูกับเฮซอนก็ปิดฉากลงในฐานะ เพื่อนพี่น้องผู้ร่วมออฟฟิศเดียวกันแค่นั้น ..

“มิน่าล่ะ ตอนรู้ทีแรกฉันนี่ตกใจมาก เพราะไม่เคยเห็นคุยกันสักคำ ..” เฮซอนยิ้ม พลางพูดย้อนไปถึงวันแรกที่ผมกับไอ้มิสเทคเปิดตัวว่าคบกัน .. เออ .. แต่จะเรียกว่าเปิดตัวก็คงไม่ถูก เพราะเป็นกูเองนี่แหละที่เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับมันตอนกำลังนั่งทำงาน คือกูก็ไม่ได้อยากโอ้อวดอะไรหรอก เพราะที่จริงกูแค่ไม่อยากให้ไอ้มิสเทคมันเครียดกับงานเกินไปแค่นั้น อีกอย่างกูก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องปิดบังแล้วด้วย ในเมื่อไอ้เพื่อนขี้เสือกของกูมันก็รู้กันยกกลุ่มแล้ว ..
“จริง .. ผมยังแปลกใจ ทำไมอยู่ๆถึงเปลี่ยนแนว ..” อีฮยอกแจลูกน้องอีกหนึ่งคนของไอ้มิสเทคพูดขำๆ คือไอ้นี่ก็อยู่มานานแล้วเหมือนกัน เลยรู้เห็นทุกอย่างว่ากูเป็นคนยังไง ..

“แหม่ .. กูก็ไม่ได้เปลี่ยนแนวอะไรมากมาย .. ที่จริงกูก็ชอบแบบนี้มาสาม .. เอ่อ .. ไม่สิ สี่ปีแล้วสิวะ .. แต่เพิ่งมาค้นพบตัวเองชัดๆตอนปีที่หกไรงี้ .. มิสเทคมึงอ่ะมั่ว เราคุยกันมาสี่ปีเว้ย ไม่ใช่สามปี .. มัวแต่วางแผนปั่นหัวกูจนสมองเบลอแล้วดิ ..” ผมตอบไอ้ฮยอกแจ ก่อนจะหันไปด่าไอ้มิสเทคที่มันจำช่วงเวลาที่ผมกับมันคุยกันด้วยความรู้สึกดีๆผิดพลาดไป ..
คือแม่งเราคุยกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสี่เลยนะเว้ย มาห่างๆกันก็ปีที่ห้าตอนเรียนจบ แต่พอปีที่หกเราก็กลับมาเจอกันและได้คบกันนี่ไง เห็นมั้ย .. กูจำได้แม่นกว่าไอ้มิสเทคอีก ..

” มิสเทคแม่งไม่ตอบอะไร แต่เสือกนั่งอมยิ้มใส่จอคอมพิวเตอร์ซะงั้น สนใจกูบ้างมั้ยนั่น
“ยังจะนั่งยิ้มอีก .. จูนสมองเลยมึง .. มึงชอบกูมาสี่ปีไม่ใช่สามปี ” ผมส่ายหัว แล้วก็หันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ ส่วนคนอื่นๆมันเลิกสนใจกูกับไอ้มิสเทคไปนานแล้ว คงเอือมมั้งเวลาพวกกูเข้าโลกส่วนตัวกันสองคน

“มึงมาดูเครื่องให้กูหน่อย ทำไมมันค้างๆ” หลังจากต่างคนต่างทำงาน ไอ้มิสเทคมันก็เงยหน้าขึ้นมาเรียก ผมก็เลยลุกเดินไปหามันที่โต๊ะ
มึงจำได้?’ กูทำหน้างงทันทีที่ก้มหน้าลงไปดูจอคอมพิวเตอร์ของมัน แล้วเจอความถามชวนงงและสตั้นแบบนี้

“จำได้อะไรวะ ?” ผมถามพลางเกาหัวแกรกๆ
ก็เรื่องกูกับมึงไงมิสเทคมันพิมพ์โคตรช้าเลย กว่ากูจะอ่านได้แต่ละตัว เพราะมือของมันกำลังสั่น

“อะไรที่กูเริ่มใส่ใจ มันก็มักจะได้รับความใส่ใจมากกว่าปกตินะเว้ยมิสเทค ..” ผมตอบมันพลางโน้มตัวเข้าไปใกล้ แล้วก็ทำทีเป็นตรวจเช็คคอมพิวเตอร์อย่างเนียนๆ แต่คืออันที่จริงกูกำลังจับมือไอ้มิสเทคไปพร้อมๆกับจับเมาส์เว้ย
กูรู้ …’ มิสเทคมันสะบัดมือออกจากการจับกุมของผม แล้วก็เริ่มพิมพ์ตอบรับคำพูดของผม จากนั้นก็นั่งนิ่ง แต่พอกูเหลือบไปมองเงาของมันที่สะท้อนอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว กูเห็นนะเว้ยว่ามันยิ้มอ่ะ ยิ้มแบบโคตรน่ารักเลย
สัสเอ้ยยยยยย กูอยากจูบมันอีกแล้วว่ะ

“แดกยากแดกเย็น ..” หลังจากเปลี่ยนซื้อผ้าเป็นชุดสบายๆจนเรียบร้อยแล้ว ไอ้มิสเทคมันก็บ่นแกมเหน็บแนมผมใหญ่ เพราะผมดันไม่อยากกินของที่มันมีอยู่ในตู้เย็น แต่เสือกอยากแดกของทะเลเว้ย เลยต้องออกไปหาซื้อกันที่ซุปเปอร์ ทีนี้กว่าจะได้กินมื้อเย็นก็ปาเข้าไปสามทุ่มได้มั้งนั่น
“บ่นๆ ก็กูอยากกินนี่หว่า มันห้ามปากได้ที่ไหน” ผมเดินตามมาตอแยไอ้มิสเทคที่กำลังล้างกุ้ง หมึก หอยและอีกมากมายให้สะอาดก่อนจะนำมาปรุงอาหาร

“เหอะ ..” มิสเทคมันทำเสียงรำคาญใส่กู แต่มือก็เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำแฮมุลทังที่กูอยากกินไม่หยุด
“มึงตามใจกู แต่ปากมึงก็บ่น หน้ามึงก็หงิกเนอะ ..” ผมกอดอกพิงเค้าน์เตอร์ครัว พลางมองไอ้มิสเทคที่กำลังยุ่งวุ่นวายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม คือมิสเทคมันน่ารักมากนะเว้ย ไม่อยากจะคุย

“เกะกะ มึงไปนั่งที่โซฟาเลยไป ..” มิสเทคมันผลักผมกระเด็นเลยเว้ย แล้วก็ยืนลับมีดเตรียมแร่เนื้อปลาด้วยสีหน้านิ่งๆ พอเจองี้กูก็ต้องไปนั่งที่โซฟาสิวะ เพราะของมีคมพี่ไม่สู้นะบอกเลย ..
“พรุ่งนี้กูว่าจะแวะไปเอาเสื้อที่บ้านว่ะ ใส่ของมึงแล้วไม่สบายตัวเลย แม่งใหญ่เกิน ..” มิสเทคมันบ่น พลางจัดเสื้อผ้าของตัวเองขณะทำอาหารไปด้วย

“ใส่มาตั้งนานแล้วมั้ย เพิ่งจะบ่น ..” ผมโต้กลับ โดยไม่ได้ตอบตกลงอะไรทั้งนั้นว่าจะพามันไปหรือไม่
“ได้ข่าวว่ากูบ่นของกูทุกวัน แต่มึงไม่ยอมให้กูกลับไปเอา ..” มิสเทคมันหันมาเถียง ซึ่งกูก็เถียงไม่ออก เพราะเวลาให้มันทำมื้อเย็นให้ทีไร มันเป็นต้องบ่นตลอด เพราะมันเก้งก้างเกะกะ ..

“เออๆ เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เลิกงานกูจะพาไปเอาแล้วกัน ..” ผมตัดบท พลางลุกจากโซฟาเดินมาหาไอ้มิสเทค แล้วก็จัดคอเสื้อมันให้เข้าที่เข้าทาง
“มึงเอายางมามัดคอเสื้อให้กูหน่อย กูทำอะไรไม่สะดวกเลยแม่ง ..” พอไอ้มิสเทคมันบอกอย่างนั้น ผมก็กวาดตามองหายางแถวๆเค้าน์เตอร์ครัว ในที่สุดก็เห็นว่ามันวางกองอยู่บนฝาโหลใส่น้ำตาลตรงมุมซ้ายมือสุด

“เสร็จแล้ว .. แหม่ ..หอมเว้ย ..” ผมจัดการมัดยางให้มันตามคำสั่ง แล้วก็โน้มตัวมาดมกลิ่นอาหารที่ตอนนี้ใกล้จะเสร็จแล้ว ส่วนมือกูก็แตะช่วงเอวของมิสเทคมันแบบเนียนๆ
“ไม่ใช่หอมอย่างเดียว อร่อยด้วย ..” มิสเทคมันหันหน้ามาพูดกับผม พร้อมยักคิ้วใส่แบบโอ้อวดเต็มที่ แต่คือมึงครับ พอกูได้มองมึงในระยะประชิดแบบนี้ สายตากูแม่งเอาแต่สนใจปากมึงเลยครับ ..
แล้วคิดเหรอว่ากูจะทำแค่มอง ..
บอกเลยว่านั่นไม่ใช่วิสัยกูครับ อย่างกูต้อง จูบแม่งเลย

ผมบดเบียดริมฝีปากของไอ้มิสเทคแบบแนบแน่น อารมณ์นี้ไม่ต้องค่อยๆลิ้มชิมทีละนิดแล้วล่ะว่ะ เพราะการกระทำแม่งไปก่อนความคิดของกูอีก กูเลยต้องไล่ต้อนปลายลิ้นของไอ้มิสเทคที่กำลังขยับหนีอย่างหยอกเย้าแบบคนหน้ามืดตามัว ..และเมื่อปลายลิ้นของมันหมดหนทางหนี ผมก็จัดการเกี่ยวกระหวัดรัดรึงราวกับโหยหา ส่งผลให้เสียงจูบของเราดังสะท้อนไปทั่วห้อง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่พอ เพราะยิ่งได้ลิ้มชิมความหวานจากมันแล้ว ความพอเพียงที่ว่าผมก็ไม่เคยได้รู้จักมันอีกเลย ..
ทันทีที่ผมปล่อยให้มันอิสระ ไอ้มิสเทคมันก็หอบหายใจถี่ อีกทั้งสีหน้าของมันก็ยังแดงซ่านอย่างน่ามอง เท่านั้นแหละเลือดลมของกูนี่สูบฉีดเต็มกำลังเลยเว้ย .. ผมเลยจัดการดันตัวมันให้ขึ้นไปนั่งบนเค้าน์เตอร์ครัวตรงส่วนที่มันไม่เปื้อนกลิ่นคาวอาหารทะเล จากนั้นผมก็รีบก้มหน้าลงไปประกบริมฝีปากของมันอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ผมเริ่มต้นจากการละเลียดชิมกลีบปากบนของมัน ก่อนจะตามด้วยกลีบปากล่าง จากนั้นก็เคล้าคลึงมันเบาๆอย่างหยอกล้อ ..

“อ..อื้ม ..” จนกระทั่งมิสเทคมันเริ่มเคลิบเคลิ้ม ผมก็เริ่มส่งปลายลิ้นเข้าไปสำรวจภายในอีกครั้ง และเราก็เริ่มหยอกล้อคลอเคลียกันอย่างเพลิดเพลิน ส่งผลให้ฝ่ามือของผมเริ่มอยู่ไม่สุข จากที่เคยวางแนบข้างลำตัวของไอ้มิสเทคเอาไว้ราวกับกักขัง มาตอนนี้มันเริ่มไล้ไต่ระดับและผลุบหายเข้าไปใต้เสื้อตัวหลวมโคร่งของมัน
“อืม .. ” เรายังคงจูบกันอย่างแนบแน่น และเร้าร้อนจนเสียงจูบดังระงมไปทั่ว ขณะที่ฝ่ามือของผมกำลังลูบไล้ผิวเนื้อนุ่มลื่นของไอ้มิสเทคอย่างลืมตัว ..

ความนุ่มมือจากการสัมผัส ส่งผลในหัวจินตนาการไปถึงครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสผิวขาวราวกับน้ำนมของมันโดยอัตโนมัติ อีกทั้งมโนภาพที่ตามมา ก็ยังเป็นเรือนร่างอันน่ามองของมันที่เริ่มจะเลือนรางในความนึกคิดอีกต่างหาก..
“ค ..คยู ..” ผมถอดถอนริมฝีปากออกห่างจากกลีบปากเล็กๆของมัน แล้วก็ลากเลื่อนมายังซอกคออันชื้นเหงื่อ ขณะที่มือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปแก้มัดยางเส้นเล็กที่ผมเป็นคนมัดให้มันเองกับมือ เพื่อที่ผมจะได้ไล้ปลายจมูกสำรวจผิวกายของมันได้ง่ายขึ้น ..

“อ..อื้อ .. ..คยู ..” มิสเทคมันร้องเรียกผม พลางครวญครางเสียงหวาน ไม่มีวี่แววของการห้ามปรามแม้แต่น้อย ปลายจมูกของผมจึงลากไล้สำรวจผิวขาวนวลเนียนของมันต่อไป ขณะที่ฝ่ามือข้างหนึ่งก็เริ่มลากรั้งเสื้อตัวใหญ่ให้เปิดเผยผิวกายของมันที่ผมนึกอยากเห็นให้ได้เห็นจนเต็มตา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ลูบไล้วนเวียนแถวๆใบหูของมันอย่างเพลิดเพลิน ส่งผลให้ขนอ่อนของมันลุกเกรียวกราวขึ้นมาทันที ..
“มึง .. ตามใจกูเกินไป ..รู้ตัวมั้ย ..” ผมเงยหน้าขึ้นบอกมันเสียงกระเซ่าเพราะความต้องการมันเริ่มพุ่งสูง จากนั้นผมก็ก้มหน้าลงไปลิ้มชิมผิวเนื้อขาวเนียนอันชื้นเหงื่อของมันอย่างนุ่มนวล ปลายลิ้นของผมลากไล้สัมผัสอย่างแผ่วเบา ก่อนจะวนเวียนแถวจุดไวสัมผัสอยู่หลายครั้ง ส่งผลให้ไอ้มิสเทคมันเกร็งตัวด้วยความเสียวซ่านอยู่หลายหน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่คิดจะห้าม ผมก็เลยยิ่งได้ใจ

“อื้อ ..อ๊า .. อึก ..” เสียงหวานของมันยิ่งหวานมากขึ้น เมื่อผมลงลิ้นสัมผัสจุดอ่อนของมันอย่างหนักหน่วง เท่านั้นแหละ สติของกูที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยิ่งน้อยนิดเข้าไปอีก
บอกเลย คืนนี้มีได้เสีย

ตุ้บ!

“โอ้ยยยยยยยยยยยยยย! ตีนกู ” ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยความเจ็บ น้ำตากูเล็ดอย่างไม่อายใคร เพราะแท่งหินทั้งแท่งแม่งร่วงใส่ตีนกูเต็มๆ หัวแม่ตีนกูนี่ชาจนไร้ความรู้สึกไปเลย แถมเลือดยังมาเต็มอีกต่างหาก
กูนี่สตั้นไปแล้ว
เพราะกู กลัวเลือด …. เฮือก!

 
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

คนอ่านคงงงไหนดราม่าของมึงงงงง เห็นแต่ไอ้พระเอกบ้าบอ 555 
สาบานได้ว่าเพี้ยนนี่แหละพระเอกตัวจริง

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น