วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

Mistake



[Special] Pearl Farm – Kyuhyun Part (2)

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าความเหนื่อยล้ามันสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้ แม้แต่ความต้องการอันเกินขีดจำกัด แม่งก็จัดการซะอยู่หมัด เล่นเอากูหมดสภาพจนหลับคาอกไอ้มิสเทคแม่งเลย เสร็จก็ยังไม่เสร็จ มันน่าไหม ?
ชีวิตชาวเลอย่าคิดว่ามันจะสบายๆอย่างเดียวนะเว้ย คือแม่งต้องทำงานตากแดด ตากลม จนตัวดำ พอเจอทุกสิ่งที่ว่ามาแผดเผา ความเหนื่อยล้าแม่งก็เล่นงานได้ทันที นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมไม่ค่อยจะทรมานมากนักเวลาที่เอื้อมมือไปไขว่คว้าหาคนข้างกายแล้วไม่เจอ ..
เพราะกูเหนื่อยเกินกว่าจะขยับสารร่างของตัวเองอย่างกระเสือกกระสน
ชีวิตนายหัวไร้เมีย แม่งน่าสงสารนะเว้ย กูจะบอก ..

“เดี๋ยวกูจะเข้าเมือง มึงจะทำอะไรก็ตามสบาย ..” หลังจากทานมื้อเช้าที่มีเพียงแค่ขนมปังปิ้งและกาแฟร้อนๆจนเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะทานข้าวและบอกจุดหมายปลายทางของตัวเองให้ไอ้มิสเทคมันรู้
“ซื้อของสดมาด้วยก็ดี ในตู้เย็นมึงไม่มีอะไรสักอย่าง ..” มิสเทคมันพยักหน้าพลางสั่งการยกใหญ่

“ปกติกูกินรวมกับคนงาน พวกของสดจะมีแม่บ้านคอยดูแล กูว่าไม่ต้องซื้อเข้ามาก็ได้มั้ง แต่ถ้าเป็นของแห้งอย่างอื่นค่อยบอกกูถ้ามึงอยากได้ .. ” ผมบอกพลางเดินไปสวมรองเท้าที่มันดูดีหน่อยตรงหน้าประตูบ้าน เพราะปกติเวลาอยู่ที่นี่ผมจะใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วนและรองเท้าแตะ
“แม่บ้าน ?” มิสเทคมันเดินมายืนส่งผมอยู่ตรงหน้าประตู

“อืม .. ป้าแจวอนที่ประจำอยู่สำนักงานใหญ่น่ะ แกขอย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว เห็นว่าเกาะนี้ป้าแกเป็นคนแนะนำให้พี่กูนะ ..” ผมตอบไขข้อสงสัยให้ไอ้มิสเทคที่กำลังทำหน้ายุ่ง
“ทำไม ? มึงหึงหรือไง คงจะคิดล่ะสิว่ากูมีแม่บ้านสาวๆสวยๆมาทำความสะอาดให้น่ะ ..” ผมล็อคใบหน้าของมันให้มองจ้องผมตรงๆ พลางถามอย่างหยอกเย้า

“มั่วแล้วไอ้สัส มึงจะเข้าเมืองก็รีบไปเลยไป ..” มิสเทคมันตีฝ่ามือของผม แล้วก็ออกปากไล่
“น่ารัก ” ผมจ้องตามัน แล้วก็รีบหอมแก้มมันไปฟอดใหญ่ เพราะผมมองออกว่ามันหึงผม

“จริงๆแม่บ้านที่ดูแลบ้านกูที่โซลก็สาวอยู่นะ สวยด้วย .. แถมเขายังรู้ว่ากูเป็นถึงน้องชายของเจ้าของบริษัทก่อนมึงด้วย ..” ตอนนี้ผมเดินออกมาข้างนอกตัวบ้านแล้ว แต่ผมก็ยังไม่วายจะเปิดประตูและแง้มใบหน้าเข้าไปในตัวบ้าน เพื่อแหย่ไอ้มิสเทคมันเล่น ..
” มิสเทคมันยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู พลางกุมข้างแก้มของตัวเองอย่างน่ารัก แต่พอผมพูดแกล้งเย้าแหย่มันให้หึงเล่น มิสเทคมันก็ถึงกับไปไม่เป็นในทันที ..

“ไหนมึงบอกกูว่าเรื่องนี้ มีแค่เพื่อนมึงกับกูที่รู้ไง ..” มิสเทคมันถาม พลางทำหน้าแบบผิดหวังที่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ แถมดวงตาของมันก็สั่นไหวอีกต่างหาก แย่แล้วกู แกล้งเมียจนเมียจะร้องละ ..
“มึงจำได้ ?” ผมย้อนถามแบบเหลือเชื่อ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ

“ทุกอย่างที่เกี่ยวกับมึง กูจำได้หมด .. ” มิสเทคมันตอบ พลางมองจ้องผม
“พี่กูเป็นคนหามาเว้ย แล้วก็ไม่ได้สาวไม่ได้สวยเหมือนที่กูพูดด้วย .. อีกอย่างกูไม่เคยประกาศตัวว่ากูเป็นใคร ฉะนั้นคนที่กูบอกก็มีแค่เท่าที่กูบอกกับมึงไปวันนั้น .. กูไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คิดมากนะเว้ย กูแค่แกล้งให้มึงหึงกูเฉยๆ เวลามึงหึง มึงดูรวนๆดี ..” ผมดึงมันเข้ามากอดไว้ เท่านั้นแหละ ไอ้มิสเทคแม่งหยิกเอวกูเลย

“สันดาน .. แม่ง!” มิสเทคมันผละออกจากอ้อมกอดของผม แล้วก็ดันตัวผมให้ออกจากบริเวณหน้าประตูบ้านอย่างรวดเร็ว ..

ปัง! ปัง!

ผมทุบประตูอยู่หลายที เมื่อเรายังคุยกันไม่เข้าใจ แต่ไม่ว่าจะทุบให้มือเจ็บแค่ไหน ไอ้มิสเทคมันก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ผม
“กูอยากให้มึงรู้ไว้ ต่อให้มีผู้หญิงสาวและสวยแค่ไหนมาอยู่ใกล้ๆกู .. แต่คนเดียวที่กูจะสนใจก็คือมึง ..  มันเป็นแบบนี้มานานแล้วมิสเทค ..” ผมพูดอยู่ตรงหน้าประตู พลางลูบกระจกใสตรงบานประตูที่มีผ้าม่านลูกไม้สีขาวปกป้องความเป็นส่วนตัวของคนด้านในเอาไว้ แต่คนข้างนอกก็ยังสามารถมองเห็นได้ลางๆ ถ้าหากว่าคนข้างในยังคงยืนอยู่ในรัศมีหน้าประตู ..

“กูไม่อยากรวนเพราะความหึง .. มึงอย่าทำแบบนี้อีก กูมันนิสัยไม่ดี กูชอบคิดเยอะ ทดสอบนู่นนั่นนี่ มึงสนุกกับการถูกกูปั่นหัวเหรอ ..” มิสเทคมันโต้ถามผมจากในตัวบ้าน ซึ่งผมที่ยังคงยืนอยู่ตรงนี้สามารถได้ยินประโยคนั้นอย่างชัดเจน เพราะเราห่างกันเพียงแค่ประตูหนาๆไม่กี่นิ้วเท่านั้น ..
“ขอแค่คนๆนั้นที่ปั่นหัวกูคือมึง .. กูก็ยอมทั้งนั้น ” ผมบอกไปตามความรู้สึก เพราะตลอดมา ผมไม่เคยโกรธเลยที่ผมถูกมันปั่นหัวจนแทบบ้า ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกว่ามันคือสีสันของชีวิตซะด้วยซ้ำ
ผมคงหลงมิสเทคมันมากจริงๆล่ะมั้ง
ผมถึงได้คิดบวกจนบวกออกไปนอกโลกขนาดนี้ ..

หลังจากเข้าเมืองเพื่อไปกดเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและเป็นทุนสำหรับการทำฟาร์มมุกเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับมาที่บ้านเพื่อนำเงินมาใส่ไว้ในเซฟ ก็พบว่าไอ้มิสเทคมันออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักแห่งแล้ว เพราะมันทิ้งโน้ตบอกผมไว้แค่ว่า ออกไปเดินเล่น
ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรนัก เพราะเกาะมันก็เล็กแค่นี้ ไอ้มิสเทคมันคงไม่หลงไปไหนหรอก อีกอย่างวันนี้ผมยังต้องเรียนรู้งานอีกมาก แถมเป็นกรรมวิธีที่ยากเอาเรื่องซะด้วย ฉะนั้นผมไม่มีเวลาจะมาเถลไถลอีกแล้ว เพราะสองเดือนก่อนหน้านี้ ผมสับสนกับหลายๆสิ่งหลายๆอย่างมานานพอแล้ว ในเดือนนี้ผมจึงต้องตั้งใจกับการเรียนรู้ในสิ่งที่ผมไม่ถนัดให้มากขึ้น ..

ช่วงนั้นที่ผมสับสนก็คือชนิดของหอยว่าแบบไหนสามารถให้ผลผลิตกับเราได้ แบบไหนไม่สามารถให้ผลผลิตกับเราได้ คือผมแยกไม่ออกจริงๆว่าหอยแต่ละชนิดมันแตกต่างกันยังไง แล้วรูปร่างแบบไหนถึงเรียกว่าหอยมุก คนธรรมดาห่างไกลจากชีวิตประมงอย่างผม ถ้าจะมองเห็นความแตกต่างก็ไม่พ้นตัวเล็กหรือตัวใหญ่แค่นั้น
และกว่าที่คุณคิมแรวอนจะอธิบายด้วยศัพท์ที่เป็นทางการได้ ก็เล่นเอาผมแทบแย่เหมือนกันนะ ..

ผมรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะกับการลุยน้ำคาวและคลุกคลีอยู่กับของทะเลด้วยความรวดเร็ว จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้องทำงานของผมซึ่งเป็นทางผ่านสำหรับไปโรงเรือนที่ใช้ในการฝังนิวเคลียส ซึ่งก็อยู่ตรงกระชังพักฟื้นนั่นแหละ ..
“รอนานไหมครับ ?” ผมถามคุณคิมแรวอนอย่างเกรงใจ
“ไม่นานเท่าไหร่ครับ สบายมาก .. ไปกันเลยไหมครับ วันนี้รายละเอียดจะเยอะหน่อย ..” ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินตามคุณคิมแรวอนไปทางซ้ายมือ และเมื่อมาถึงสถานที่ทำงาน ผมก็ได้รับการทักทายอย่างอบอุ่นจากคนงานแทบจะทั่วทั้งบริเวณ หรือแม้แต่คนงานที่อยู่บนโรงเรือนเล็กสีขาวกลางน้ำที่กำลังทำความสะอาดกรงเพาะเลี้ยงหอยมุกก็ยังจะโบกมือทักทายผมอีก ผมก็เลยโบกมือทักทายกลับไป ..
แต่เดี๋ยวก่อน มิสเทคมึงไปนั่งทำเชี่ยอะไรที่เรือนกลางน้ำ ..

“คงไม่ต้องอธิบายตั้งแต่เริ่มแรกแล้วนะครับว่าทำไมหอยมุกที่ถูกคัดแยกมาที่โรงเรือนตรงนี้ถึงได้มีขนาดเท่าๆกัน” ผมพยักหน้ารับ เพราะผมจำได้ว่าทันทีที่เราได้พันธุ์หอยมา เราก็จะจัดการคัดแยกว่าหอยแบบไหนควรนำไปเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และหอยขนาดไหนที่ยังต้องรอเวลาในการเจริญเติบโต และหอยแบบไหนที่พร้อมต่อการฝังนิวเคลียสเพื่อทำผลผลิตให้เราต่อไป ..
“สำหรับการสอดใส่นิวเคลียส เราจะสอดใส่ได้ทั้งหมด 2 แห่งนะครับ คือบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ และบริเวณระหว่างตับกับผิวของตัวหอย ..” คุณคิมแรวอนหยิบหอยมุกขนาดสมบูรณ์ต่อการฝังนิวเคลียสขึ้นมา พร้อมกับชี้ให้ผมดูว่าสองแห่งที่พี่เขาพูดถึงมันอยู่ตรงไหน

“ทำไมถึงต้องเฉพาะเจาะจงด้วยครับ ?” ผมถามอย่างสงสัย
“เพราะสองบริเวณนี้จะไม่ทำให้มันเกิดอาการระคายเคือง แล้วก็ไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตของมันด้วยครับ แต่การสอดใส่นิวเคลียสจะนิยมใส่ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์มากกว่านะครับ แต่มันก็มีข้อจำกัดอยู่ว่าถ้าบริเวณนั้นมีไข่และอสุจิอยู่มาก ก็จะทำให้การสอดใส่ทำได้ยากและไม่เป็นผลดีนัก ฉะนั้นเวลาจะสอดใส่จะต้องทำตอนที่หอยมันเพิ่งจะวางไข่ใหม่ๆ เพราะบริเวณเนื้อเยื่อของมันจะอ่อนนุ่มทำให้การสอดใส่นิวเคลียสได้ผลดีที่สุด”

“แล้วแบบนี้มันจะควบคุมได้หรือครับ เพราะการผลิตมันก็ต้องผลิตอยู่ตลอดเวลา .. ถ้าต้องรอคอย ผมว่ามันจะทำให้บริษัทขาดทุนได้เหมือนกัน อีกอย่างกว่าจะได้ผลผลิตก็ต้องรอเป็นปี นี่ยังจะต้องรอให้มันหมดฤดูสืบพันธุ์ด้วย ?” ผมถามเพราะผมไม่รู้จริงๆ
“มันมีวิธีแก้ครับคุณคยูฮยอนไม่ต้องกังวล เราจะทำการกระตุ้นให้หอยปล่อยไข่และอสุจิในภาชนะทึบแสง” คุณคิมแรวอนนำผมไปดูสถานที่ที่ใช้เก็บภาชนะทึบแสงสำหรับเร่งให้หอยมุกอยู่ในเกณฑ์ที่พร้อมต่อการให้ผลผลิต ซึ่งอยู่ทางด้านหลังของโรงเรือน เพราะการเก็บหอยมุกที่กำลังอยู่ในระยะสืบพันธุ์นั้นจะต้องหย่อนภาชนะทึบแสงลงในทะเลที่ระดับน้ำลึกกว่าปกติ

“แต่ถ้าช่วงเมษาถึงพฤษภา เราจะสามารถยับยั้งการเจริญพันธุ์ของมันได้อีกวิธีนึงครับ คือเราจะต้องหย่อนภาชนะใส่หอยมุกให้อยู่ในระดับน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ”
“ฟังดูยากเหมือนกันนะครับ เพราะมันต้องใช้หลักวิชาการเข้ามาช่วย ..” ผมบอกกับคุณคิมแรวอนและทึ่งในความสามารถต่อการจดจำของพี่เขาด้วย เก่งขนาดนี้ไม่รู้ว่าพี่สาวผมไปค้นเจอที่มุมไหนของประเทศไทย แถมยังดึงตัวเขามาได้สำเร็จอีกต่างหาก ..
ความรักนี่มัน เหนือการคาดเดาได้ทุกอย่างจริงๆนะ ..

“ครับ เพราะมันยากและยังใหม่สำหรับประเทศของเราด้วย แต่ผลตอบแทนของมันก็มหาศาลเหมือนกัน ตอนนี้นอกจากบริษัทของเราแล้ว ก็มีอีกบริษัทหนึ่งที่กำลังล้มลุกคลุกคลานอยู่เหมือนกันครับ ..” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจและเริ่มตื่นตัวเมื่อรู้ว่าเรากำลังมีคู่แข่ง
“ที่เชจูใช่ไหมครับ ถ้าจำไม่ผิดพี่ผมบอกว่าเขาไปสัมมนาที่นั่น .. แต่จริงๆแล้วคงไม่ใช่สัมมนาล่ะสิ ..” ผมถามอย่างรู้ทันพี่สาวของตัวเองดี

“ก็ทำนองนั้นแหละครับ ..
“อย่าบอกว่าพี่ผมไปดึงตัวคุณมาจากที่นั่น ?” ผมถามอย่างคาดเดา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังไม่ได้ตกลงจะเลือกบริษัทไหน เพราะผมยังลังเลระหว่างบริษัทที่เมืองไทยกับบริษัทใหม่ที่เพิ่งก่อตั้ง ..
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่กับบริษัทของพี่ผม ที่ก้าวเดินช้ากว่าบริษัทที่เชจู” ผมถามเพราะผมต้องการจะรู้มุมมองความคิดของผู้ชายคนนี้

“ความรักมันไม่มีเหตุผลหรอก จริงไหมครับ ?” คุณคิมแรวอนบอกผมแบบนั้น แล้วก็เดินหล่อๆจากผมไป แม่งเอ้ย มือขวาของกู เท่เชี่ยๆ กูให้สามผ่าน
“ก็คงงั้นมั้ง ไม่งั้นกูคงไม่นั่งมองใครเป็นเดือนๆหรอก ..” ผมส่ายหัว แล้วก็เดินตามคุณคิมแรวอนเข้าไปในโรงเรือนเพื่อเรียนรู้วิธีการสอดใส่นิวเคลียส โดยที่ขณะที่คนงานกำลังทำในแต่ละขั้นตอน คุณคิมแรวอนก็จะอธิบายให้ผมฟังไปเรื่อยๆอย่างคล่องแคล่ว

“ยากนะครับ กว่าผมจะทำเป็น ผมคงฆ่าหอยตายเป็นลัง ..” ผมบอกพลางกลั้วหัวเราะอย่างตลกขบขัน แต่ลึกๆแล้วกูคาดว่ามันคือเรื่องจริงนะเว้ย
“ผมก็กลัวจะเป็นแบบนั้นน่ะสิครับ ผมถึงได้อธิบายเพียงอย่างเดียว เพราะขั้นตอนนี้มันสำคัญมาก ถ้าหากไม่ชำนาญ หอยอาจจะตายได้เลยครับ อีกอย่างถึงคนทำเป็น บางทีหอยก็ไม่รอดเหมือนกันนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวคนทำและตัวหอยเองด้วย เราเลยต้องมีกระชังพักฟื้นเพื่อตรวจเช็คอาการเป็นแพแบบนี้ไงครับ ..

“ให้ผมนั่งทำนิวเคลียสค่อยใช่แนวของผมหน่อย ..” ผมนั่งยืดขาตรง และเอาหลังพิงกำแพงไม้ ขณะที่สองมือของผมกำลังใช้กระดาษทรายขัดเปลือกหอยน้ำจืดที่คนงานตัดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าให้เป็นทรงกลมขนาด 2.5 มิลลิเมตร
“จริงๆแล้วการเลือกนิวเคลียสก็สำคัญเหมือนกันนะครับ ..” คุณคิมแรวอนที่กำลังทำการผ่าตัดสอดใส่นิวเคลียสให้กับหอยมุกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับผมนักพูดขึ้นมา

“ผมขอพักเบรกดีกว่าครับ วันนี้วิชาการมากเกินไปแล้ว เดี๋ยวผมจะฟ้องท่านประธานว่ามือขวาทำผมเครียด ..” ผมแกล้งแซว ทำเอาคุณคิมแรวอนถึงกับไปไม่เป็นขึ้นมาทันที ข้อมูลวิชาการทั้งหลายจึงหยุดลงแค่นั้น วันทั้งวันผมก็เลยนั่งขัดเปลือกหอยให้เป็นทรงกลมเพื่อใช้เป็นนิวเคลียสจนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ..
ซึ่งภาพความสวยงามเหล่านั้น ผมได้เห็นมันทุกวันตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ มันก็เลยเป็นภาพที่ผมชินตา แต่สำหรับไอ้มิสเทค มันคงจะไม่ค่อยชินเท่าไหร่หรอกมั้ง ป่านนี้คงจะช่วยงานผมไป และนั่งมองพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปด้วยก็ได้ ..
เห้อ .. แค่ผมคิดถึงเรื่องของมัน ริมฝีปากของผมก็วาดเป็นรอยยิ้มซะแล้ว ..
มึงจะรู้มั้ยว่าวันนี้คือวันที่กูตกหลุมรักมึงน่ะมิสเทค ..

“เขาไม่มาด้วยเหรอครับ ?” ผมเดินเข้าไปถามคนงานที่พายเรือเข้ามาจอดเทียบท่าตรงไม้กระดานที่ทำเอาไว้สำหรับเป็นท่าเทียบเรือเล็กๆข้างๆโรงคัดแยกหอย
“ครับ คุณเขาบอกอยากจะอยู่ตรงนั้นอีกสักพัก ถ้าคุณเขาอยากกลับ คุณเขาจะเรียกนายหัวทีหลัง .. คุณเขาบอกให้นั่งรออีกสักพักนึงครับ ..” คุณลุงคนที่ไอ้มิสเทคมันใช้ให้มาสั่งผมดูท่าทางแกจะกระดากปากมากที่จะบอกผมตามที่มิสเทคมันสั่ง

“อ่อครับ .. ขอบคุณครับเดี๋ยวผมขอใช้เรือครับลุง ยังไม่ต้องผูกเชือกครับ ..” ผมร้องห้ามคุณลุงอีมุนเซ พร้อมกับลงไปนั่งในเรือ เมื่อคุณลุงทำตามที่ผมร้องขอเรียบร้อยแล้ว จากนั้นผมก็ค่อยๆพายเรือออกจากฝั่งโดยที่ผมก็ต้องคอยระวังไม่ให้รัศมีของไม้พายมันโดนแนวของทุ่นลอยน้ำตรงด้านข้าง เพราะเนื่องจากว่ามันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หอยมุกนั่นเองซึ่งปกติคนงานจะไม่ค่อยใช้เรือ แต่จะใช้ดำน้ำแทนมากกว่า แต่ทีนี้ไอ้มิสเทคมันคงขอไปด้วย พวกเขาก็เลยต้องเอาเรือออก
“มึงนั่งดูพระอาทิตย์ตกคนเดียวไม่เหงาเหรอ ?” ผมส่งเสียงถาม พลางพายเรือมาปักหลักอยู่ตรงหน้าไอ้มิสเทคที่กำลังนั่งขัดสมาธิบนโรงเรือนสีขาวขนาดเล็ก

“ไม่นี่ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบขึ้นมาทันควัน
“สัส .. ตอบความเท็จหน่อยก็ไม่ได้ กูกำลังจะสร้างบรรยากาศโรแมนติกเพื่อมึงเลยนะ ..” ผมด่าพลางเอาไม้พายวักน้ำสาดใส่มัน

“เชี่ย! กูเปียกหมด” ไอ้มิสเทคมันทำหน้าบึ้งเมื่อถูกผมแกล้ง
“ก็มึงพูดจาไม่เข้าหูกู ..” ผมเถียง พร้อมกับจอดเรือเทียบท่าตรงบันไดทางขึ้น แล้วก็จัดการผูกเชือกมัดเรือไว้กับคานบันไดเล็กๆปริ่มน้ำทะเลนั่น

“กูไม่ชอบโกหก มีอะไรมั้ย ?” มิสเทคมันเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน เดาว่ามันคงจะเคืองที่กูสาดน้ำใส่มันนี่แหละ ..
“เหรอ ไม่บอกกูไม่รู้เลยนะเนี่ย .. ไปอาบน้ำดิ ที่นี่มีเสื้อกูอยู่ เพราะตอนมาอยู่นี่ใหม่ๆกูเคยปักหลักนอนที่นี่ มันเงียบแล้วก็เหงาดี ..” ผมบอกพร้อมกับฉุดให้มันลุกขึ้น แล้วก็ลุนแผ่นหลังของมันให้เดินเข้าไปในห้องน้ำ จากนั้นผมก็ไปค้นเสื้อผ้าจากในตู้ไม้สีขาวเล็กๆตรงมุมข้างห้องน้ำเพื่อหาเสื้อเชิ้ตดีๆสักตัวให้มันใส่อวดขาขาวๆของมันให้ผมมอง ..

พอผมจัดการต้อนไอ้มิสเทคให้เข้าไปอาบน้ำจนเสร็จ ผมก็ออกมานั่งชื่นชมบรรยากาศรอบตัวที่ค่อยๆมืดสนิทลงเพียงลำพัง บ้านหลังนี้จริงๆมันเป็นโรงเรือน ก็เลยเปิดโล่งอยู่ซีกนึง เพื่อให้คนงานนำกรงหอยขึ้นมาทำความสะอาดได้ แต่หลังจากใช้งานเสร็จ ผมมีกฎให้ทำความสะอาดให้เรียบร้อย พื้นที่ตรงนี้ก็เลยสะอาดเอี่ยมเหมือนกับบ้านหลังหนึ่ง ต่างก็เพียงแค่มันไม่มีประตูที่จะปกปิดได้มิดชิด แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่มีใครเห็นเพราะมันหันหน้าไปทางทิศตะวันตกที่มีเพียงแค่ภูเขาและท้องทะเลเวิ้งว้าง ..
ผมจัดการจุดเทียนหอมให้แสงสว่างตามจุดต่างๆของโรงเรือนหลังนี้ จากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนั่งฟังคลื่นลมทะเลและเสียงอาบน้ำของไอ้มิสเทค สำหรับห้องน้ำที่นี่ไม่มีที่ให้ปลดหนักหรอกนะ แม้แต่สบู่ก็ไม่มี เพราะผมไม่อยากทำลายความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศบริเวณนี้ แต่ผมเห็นว่ามิสเทคมันคงไม่ชินกับเนื้อตัวเหนียวๆผมก็เลยไล่มันไปอาบน้ำ

“สบายตัวแล้วสิ” ผมดึงมันให้ลงมานั่งข้างตัวผม แล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กเพื่อเอามาเช็ดผมให้มัน
“ไม่อ่ะ อาบก็เหมือนไม่อาบ มันไม่มีสบู่ ..” มิสเทคมันบอกพลางนั่งนิ่งให้ผมเช็ดผมให้

“ไว้ค่อยกลับไปอาบที่บ้านแล้วกัน ที่นี่กูทำไว้แค่ล้างหน้าล้างตากับล้างตัวให้มันพอหายเหนียวหรือหายเหม็นคาวทะเลเฉยๆ” ผมบอกพลางเช็ดผมให้มันไปเรื่อย

“วันนี้มึงเข้ามาทำงานกับบริษัทของพี่กูครบปีแล้วใช่ป่ะ ?” ผมถาม ขณะที่มือก็ยังทำหน้าที่เช็ดผมของไอ้มิสเทคมันต่อไป
“อืม ..

“ถ้างั้นกูก็ชอบมึงมาหนึ่งปีเต็มแล้วสิ มิสเทคกูจะถือว่าวันนี้คือวันครบรอบของเราได้ไหม เพราะมึงกับกู จริงๆก็ใจตรงกันตั้งแต่วันนี้แล้วนี่ ..” ผมร้องขอ พลางโอบกอดมันเอาไว้ ขณะที่มิสเทคกำลังเอาแผ่นหลังพิงอกผม ภายใต้อ้อมกอดของผมเงียบๆ
“ล..แล้วแต่มึงสิ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบเสียงสั่น คล้ายกับมันกำลังทำตัวไม่ถูก แถมหัวใจของมันก็ยังเต้นแรงจนผมยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกต่างหาก ..

“เต้นรำกันมั้ยมึง กูอยากทำอะไรๆที่มันโรแมนติกกับมึงบ้าง เพราะที่ผ่านมากูแม่งทำเชี่ยใส่มึงตลอด .. หวานก็ไม่เป็น กูๆมึงๆ เชี่ยๆ สัสๆ ก็บ่อย .. เต้นรำกันนะครับ ..” ผมลุกขึ้นยืน พร้อมกับทำตัวประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย และกำลังจะร้องขอให้เจ้าหญิงในดวงใจรับเป็นคู่เต้นรำด้วย
“มึงมีเพลงรึไง อีกอย่างกูก็เต้นไม่เป็นด้วย ถ้ากูเหยียบเท้ามึงขึ้นมา มึงจะหมดอารมณ์โรแมนติกใส่กูเปล่าๆ ..” ไอ้มิสเทคมันตอบ แต่มันก็วางมือลงบนฝ่ามือของผมที่ยื่นออกไปตรงหน้ามัน

“เถอะน่า .. วันนี้วันดี มึงจะทำให้เสียบรรยากาศทำไมวะ มึงนี่เว้ย ..” ผมโอบประคองมันในท่าเต้นรำที่จำเอามาจากในละคร แล้วก็เต้นหมุนไปเรื่อยอย่างไม่มีสเต็ปเชี่ยอะไรเลย แถมยังผลัดกันเหยียบตีนอีกต่างหาก แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ดูโรแมนติกอย่างไม่น่าเชื่อ อาจเป็นเพราะเสียงคลื่น หรืออาจเป็นเพราะสายลม แสงจันทร์ แต่จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ มันคงไม่สามารถเป็นตัวแปรได้มากเท่านัยน์ตาของเราที่มองสบกันอย่างลึกซึ้งและสื่อความหมายของหัวใจนั่นหรอก ..
“รักกับกูไปนานๆนะมิสเทค ..” ผมบอกพลางจุมพิตเบาๆลงบนหน้าผากของมันประหนึ่งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์

“เหวออออ .. โอ๊ยไอ้สัส!” จากบรรยากาศที่กำลังหวานซึ้ง พอสะดุดปลายเท้าของกันและกันเท่านั้นแหละ แม่ง บรรยากาศที่ร่วมสร้างกันมาก็พังลงหมด แถมยังเจ็บเชี่ยๆอีกต่างหาก ..
“จริงๆมันควรจะล้มเหมือนในละครนะเว้ย ชีวิตจริงนี่แม่งโคตรเชี่ย .. ทำไมไม่ล้มแบบนี้วะ” ผมลุกขึ้นมานั่งอย่างเซ็งๆ แล้วก็พลิกตัวขึ้นไปคล่อมทับไอ้มิสเทคอย่างรวดเร็วพร้อมกับโคฟเวอร์เป็นพระเอกละครเวลาเจอนางเอกครั้งแรกแล้วต้องมีฉากบังเอิญชนกันจนล้ม โดยที่จมูกแตะจมูกงี้ ตามองตางี้ ..
แต่สำหรับกูไม่ต้องครับเรื่องเบสิคแบบนั้น ..
จูบเลยดีกว่าจะได้ไม่เป็นภาระต่อเด็กดีของกูที่กำลังดิ้นพล่านอย่างควบคุมไม่อยู่ ..



<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸> 
มาต่อแล้วค่ะ ตอนหน้าคือตอนสุดท้ายของจริง ฉะนั้นก็หวานๆให้มันเต็มที่ไปเลยแล้วกันเนอะ


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น