Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[38]
ช่วงวันหยุดแบบนี้ ปกติผมจะต้องทำความสะอาดบ้านในช่วงเช้า
แล้วก็มาเล่นดนตรีในช่วงเย็น แต่เนื่องจากวันนี้ทงเฮโทรมาขอร้องให้ผมไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นเพื่อนเขาหน่อย
ผมก็เลยต้องทิ้งงานประจำของตนเองในช่วงวันหยุดเพื่อไปเป็นเพื่อนทงเฮซื้อของ ..
ผมกับทงเฮนัดเจอกันตรงป้ายรถเมล์หน้ามหาลัย เมื่อผมเดินไปถึง
ก็เห็นทงเฮยืนรออยู่ก่อนแล้ว และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่เขากำลังยืนอยู่
ผมก็เห็นฮยอกแจที่อยู่ทางฝั่งขวามือของเขาด้วย ..
“ซองมินทางนี้!” ทงเฮโบกมือให้ผม
เมื่อเขาหันมาเห็นผมเข้าพอดี
ผมก็เลยต้องเร่งก้าวเดินเพื่อไปให้ถึงตัวพวกเขาในเร็วขึ้น
ประจวบเหมาะกับรถประจำทางเข้ามาจอดเทียบท่าพอดี พวกเราก็เลยไม่มีเวลามาทักทายกันมากมายนัก
ผมอาศัยความเนียนทำตามที่ฮยอกแจกับทงเฮทำทุกอย่าง
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเพิ่งจะขึ้นรถประจำทาง ..
“คงต้องแยกกันนั่งแล้วล่ะ
..”
เมื่อเดินขึ้นมาบนรถที่เต็มไปด้วยผู้โดยสารจากป้ายก่อนหน้านั่งเรียงแถวกันหน้าสลอน
ฮยอกแจก็ออกความเห็นเป็นคนแรก เพราะที่นั่งว่างๆแทบจะไม่มีเลย ที่สำคัญมันยังว่างแบบกระจัดกระจายกันอีกต่างหาก
..
ผมเดินไปนั่งยังที่ว่างเกือบท้ายสุด
ส่วนฮยอกแจก็เดินไปนั่งที่ว่างเกือบจะหน้าสุด ดีหน่อยที่ทงเฮยังอยู่ใกล้ผม
ไม่อย่างนั้นผมคงได้นั่งเลยป้ายแน่ๆ
“ซองมิน
..” ผมหันไปมองตามเสียงเรียกของทงเฮที่ได้ยินแว่วๆ
ก็เลยเห็นเขาพยักหน้าเพื่อบอกให้ผมเตรียมตัว
จากนั้นไม่นานรถประจำทางก็มาจอดตรงป้ายที่เราต้องการจะลงพอดี
ผมจึงรีบลุกออกจากที่นั่งแล้วก็เดินตามทงเฮลงไปข้างล่าง ..
“ไปกินข้าวกันเถอะว่ะ ตั้งแต่เช้ากูยังไม่ได้กินอะไรเลย ..” ทงเฮหันไปบอกฮยอกแจด้วยภาษาเป็นกันเอง
แต่พอเขาหันมาเจอผมกลับส่งยิ้มแหยมาให้เสียอย่างนั้น ..
“เอ่อ.. ไปหาอะไรกินกันเร็ว ..”
จากนั้นทงเฮก็เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ให้ดูสุภาพขึ้น
แล้วก็ออกแรงลากแขนผมกับฮยอกแจคนละข้างเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านที่เขาอยากกิน
ทงเฮเวลาอยู่กับฮยอกแจจะเหมือนเด็กเอาแต่ใจ ดูร่าเริงแจ่มใส ส่วนเวลาที่อยู่กับผม
เขาเหมือนจะเกร็งๆตลอดเวลา ผมหมายถึงเขาเกร็งเรื่องใช้คำพูดกับผมน่ะ
เหมือนกับว่าเขาไม่กล้าใช้คำหยาบคายกับผมสักเท่าไหร่
แต่เวลาที่ทงเฮอยู่กับคิบอม เขาจะดูทะโมนๆแบบผู้ชายห้าวๆ
ออกแนวเฮไหนเฮนั่น น้อยครั้งมากที่ทงเฮจะออกอาการงอแงใส่คิบอม ..
“ตกลงมึงให้พวกกูมาเป็นตัวช่วยมึงทำคะแนนว่างั้นเถอะ
?”
หลังจากทานอาหารไปจนพร่องจานแล้ว
ทงเฮก็เริ่มเล่าจุดประสงค์ที่เขาชวนพวกเราออกมาในวันนี้
เพราะแท้ที่จริงแล้วทงเฮไม่ได้ต้องการจะซื้อของใช้หรือของจำเป็นอะไร
“ทำคะแนน ชะ เชี่ย .. เอ่อ .. ทำคะแนนอะไรของมึง”
ทงเฮเริ่มใส่อารมณ์เพราะความเก้อเขินหรือเปล่า
เพราะแวบนึงผมเห็นแก้มของเขาเป็นสีแดงระเรื่อด้วย
“ก็มึงชวนกูกับซองมินมาช่วยเลือกของขวัญวันเกิดให้น้องสาวไอ้คิบอมไม่ใช่หรือไงวะ
.. กูเข้าใจผิดตรงไหน
ในเมื่อมึงชอบพี่ชายเค้า มึงก็ต้องเร่งทำคะแนนกับน้องเค้าดิวะ”
ฮยอกแจพูดออกมาเป็นฉากๆ จนทงเฮถึงกับทำตาโต
“พะ ..พ่อง! .. กูไม่ได้ชอบคิบอม ..” ทงเฮพยายามทำหน้านิ่งให้มากที่สุด
แต่อาการของเขาก็ยังเผยออกมาอยู่ดีว่าข้อสันนิษฐานของฮยอกแจน่ะถูกต้องแล้ว
“มึงชอบเขา กูรู้ ..” ฮยอกแจยังคงเถียง
“กูเปล่า ..”
“มึงปฏิเสธกูน่ะทำได้
แต่จะปฏิเสธใจตัวเองน่ะมึงทำไม่ได้หรอกเชื่อกู ..”
ฮยอกแจยักคิ้วใส่ทงเฮอย่างล้อเลียนเมื่อมีช่องโหว่ให้ได้แกล้ง
“แหมมม .. มึงพูดจากประสบการณ์ตรงสินะ .. ก็อย่างว่าพี่ซีวอนเขามีเสน่ห์มาก มึงเลยปฏิเสธใจตัวเองไม่ลง” ทงเฮได้ทีก็รีบเกทับ
ทำเอาฮยอกแจหุบปากฉับทันควัน ..
‘การหักห้ามใจตัวเอง ถือวิธีที่เจ็บปวดที่สุด ..
เพราะสุดท้ายคำตอบก็ยังเหมือนเดิม .. ’ ผมเขียนข้อความที่ผมอยากจะบอกกับทงเฮลงในสมุดปกแข็งเล่มเล็ก
แล้วก็ยื่นมันให้ทงเฮอ่าน …
ทุกตัวอักษรที่ผมเขียนบอกทงเฮออกไป มันคือความจริงที่ผมเคยพบเจอมาก่อน
…
และสุดท้ายผมก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้น ..
“จัดว่าเด็ด! จี้ใจดำเลยสิมึง .. เลิกทำตัวเป็นเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อแบบเงียบๆสักทีเถอะ
.. ทำแบบนี้แล้วเมื่อไหร่มึงจะสมหวัง คนอย่างไอ้หมอ
มันต้องพูดตรงๆ ถ้ามัวแต่อ้อมค้อมก็แดกยาแก้ช้ำในไปจนตายเถอะมึง ..” หลังจากที่ฮยอกแจแนะนำออกมาแบบนั้น ทงเฮก็ทำหน้านิ่งคิดไม่ตก
ซึ่งผมเข้าใจเขานะ …
เพราะการจะบอกใครสักคนว่าเราชอบเขา
มันไม่ใช่เรื่องง่าย ..
ยิ่งเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใจตรงกันไหม
มันยิ่งเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากมากกว่าเดิม
‘ทงเฮ .. นายพูดกับเราแบบที่พูดกับคนอื่นก็ได้นะ
.. ไม่ต้องเกรงใจหรอก’ พอบรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ผมก็เขียนโน้ตให้ทงเฮอ่าน เจตนาก็เพื่อดึงให้เขาหันไปสนใจเรื่องอื่นแทน
“จะดีเหรอ ?” พอทงเฮอ่านจบ ก็เงยหน้าขึ้นมาถามผม
“อื้อ” ผมพยักหน้าพลางส่งเสียงในลำคอ
“ไม่เอาอ่ะ นายพูดกับเราเพราะ .. ให้เราพูดไม่เพราะกับนาย
คงสถุนน่าดู ..” ทงเฮส่ายหัวพรืด ผมก็เลยอมยิ้ม
เพราะอย่างน้อย
ผมก็ไม่ต้องมานั่งคิดมากว่าทงเฮแท้ที่จริงอาจจะยังไม่เปิดใจให้ผมก็ได้
เขาถึงได้เกร็งๆเวลาคุบกับผม แต่พอได้ทราบเหตุผลของเขาอย่างนี้ มันก็ทำเอาผมนึกขำ ..
ผมไม่เคยสังเกตเลยแฮะ
ว่าทำไมทุกคนถึงได้พูดจาภาษาดอกไม้กับผมนัก ทั้งๆที่เวลาคุยกับคนอื่น
พวกเขาก็จะคุยกันด้วยภาษาที่เป็นกันเองขึ้นมานิดนึง ..
แม้แต่พี่คยูก็ด้วย เขาไม่เคยพูดไม่เพราะกับผมเลย
..
ผมกับฮยอกแจและทงเฮกำลังเดินดูของขวัญให้น้องสาวของคิบอมอยู่
แต่ก็ยังไม่มีอะไรเข้าตาทงเฮเลยสักอย่าง
เขาดูตั้งใจกับการเลือกของขวัญในครั้งนี้มาก
ซึ่งท่าทางแบบนี้มันผิดกับตอนที่เขาอยู่กับคิบอมลิบลับ
ความจริงทงเฮดูเป็นคนอ่อนโยนมากนะ สังเกตได้จากการเลือกของขวัญ
เพราะเขาดูใส่ใจในทุกสิ่งอย่างจริงๆ
“มึงจะซื้อตุ๊กตาให้เซฮี ?” ฮยอกเลิกคิ้วถามทงเฮ
เมื่อเขาพาพวกเราทั้งหมดมาอยู่ยืนตรงหน้าชั้นสำหรับวางขายตุ๊กตาโดยเฉพาะ
“อ..อื้อ ..”
ทงเฮหันมาพยักหน้าหงึกหงักให้กับฮยอกแจ
“กูนึกว่ามึงจะมีความคิดที่ดีกว่านี้ซะอีกเห็นเดินเลือกอยู่ตั้งนานสองนาน
สุดท้ายมึงก็ลงเอยที่ตุ๊กตาเนี่ยนะ ?”
“ก..ก็ .. กูคิดไม่ออกนี่หว่า ..
ส่วนใหญ่ผู้หญิงก็ชอบตุ๊กตาไม่ใช่เหรอวะ ?”
ทงเฮเกาหัวแกรกๆ อย่างคิดไม่ตก
“ถ้ามึงอยากได้ใจพี่ชายเค้า
มึงก็ต้องหาของที่มันมีประโยชน์กับเซฮีในสายตาไอ้หมอสิวะ เรื่องแค่นี้ต้องให้บอก?” พอฮยอกแจแนะนำทงเฮอย่างนั้น
ผมก็รีบพยักหน้าสัมทับทันที เพราะผมก็เห็นด้วยกับฮยอกแจ
ตุ๊กตาน่ะ
ได้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ..
เราสามคนใช้เวลาเดินวนอยู่ในห้างสรรพสินค้าตั้งแต่เช้าจรดบ่าย
ก็ยังไม่ได้ในสิ่งที่ทงเฮต้องการ พวกเราก็เลยแวะพักเหนื่อยกันที่ร้านค้อฟฟี้ช็อป
พอบ่ายสามเราก็เริ่มเดินหาของขวัญให้น้องชายของคิบอมกันใหม่
ซึ่งคราวนี้ทงเฮดูเหมือนจะได้สิ่งของที่ต้องการแล้ว ..
ทงเฮพาผมกับฮยอกแจเดินวนอยู่ในร้านขายกระเป๋าอยู่หลายรอบแล้ว
แต่เขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาแบบไหนดี
ครั้นพอเลือกแบบที่คิดว่าน้องชายของคิบอมน่าจะชอบ
ทงเฮก็ต้องมาคิดไม่ตกว่าจะเอาสีไหนอีก
ดูวุ่นวายชะมัด …
“อีทงเฮ!” ฮยอกแจดูเหมือนจะทนไม่ไหว
อยู่ๆก็วีนแตกหันมากระชากแขนทงเฮให้หันกลับมามองตนเอง
“อะไรมึง” ทงเฮทำหน้าทำตาเอาเรื่อง
แต่ก็ทำแค่ทีเล่นทีจริงเท่านั้น
“ตกลงมึงตั้งใจจะเลือกของขวัญให้เซฮีหรือมึงจะเลือกให้ไอ้หมอกันแน่วะสัส”
ฮยอกแจประชดจนทงเฮถึงกับหงอย
“ก..กู ..ก็เลือกให้เซฮีสิ”
ทงเฮหน้าแดงพลางตอบเสียงอ่อย แล้วก็หันกลับไปคิดไม่ตกกับการเลือกสีกระเป๋าต่อ
“น..น้อง .. ข ..เขา ..เป็น ..คะ ..คน .. บะ ..แบบไหน ?” ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ทงเฮ แล้วก็ถามเขาอย่างต้องการให้ความช่วยเหลือ
“เซฮีเหรอ .. ก็สวย น่ารัก .. แต่งตัวเก่ง ออกแนวหรูๆหน่อย” ทงเฮทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็หันมาตอบผม
“อ..เอา .. สี .. ระ ..เรียบๆ ..ต ..แต่ ..ระ ..หรูสิ”
ผมพยายามจะพูดให้เป็นประโยคพร้อมกับยิ้มให้ทงเฮ ที่กำลังมองผมสลับกับมองกระเป๋า
“ผู้หญิงเขาชอบสีอะไรกันวะ?” ทงเฮหันไปถามฮยอกแจ
แล้วก็หันมามองหน้าผม
“เหอะ .. อย่างมึงนี่คงรู้ดีแต่เรื่องของไอ้หมอสินะ”
ฮยอกแจทำเสียงเหอะใส่ทงเฮ โดยไม่ยอมออกความคิดเห็นอะไร
“สีชมพูเหรอซองมิน ?” ผมชี้ให้ทงเฮดู
ทงเฮก็เลยหันมาถามผมเพื่อความแน่ใจ ผมจึงพยักหน้าตอบ ซึ่งอันที่จริงผมก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าผู้หญิงแบบน้องสาวของคิบอมจะชอบสีชมพูหรือเปล่า
แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เห็นจะชอบสีชมพูกันทั้งนั้น
อย่างน้องสาวที่เป็นญาติกับผมยังชอบสีชมพูเลย เซฮีก็คงจะชอบเหมือนกันแหละ ..
“มึงแม่งมีประโยชน์กับกูมาก .. ให้ตายสิ รู้งี้กูไม่ชวนมึงมาก็ดี
..”
หลังจากทงเฮเลือกกระเป๋าแบบที่ตนเองคิดว่าน้องสาวของคิบอมน่าจะชอบได้ ทงเฮก็ยิ้มร่ากอดถุงใส่กระเป๋าไว้ในอ้อมกอด
แต่ก็ไม่วายจะแขวะฮยอกแจที่เดินอยู่ข้างๆกัน
“รถมาแล้ว ไปกันเถอะซองมิน ..” พอรถประจำทางมาจอดเทียบท่า
ทงเฮก็เดินเข้ามาคล้องแขนผม แล้วลากขึ้นรถไปนั่งด้วยกันในทันที
ส่วนฮยอกแจก็ต้องนั่งแยกกันไปตามระเบียบ
“นี่ซองมิน!” หลังจากเดินทางไปได้แค่ครึ่งทาง
ฮยอกแจก็เอี้ยวตัวจากเบาะหน้ามาพูดกับผม
“อื้อ” ผมส่งเสียงตอบรับ
พร้อมกับเลิกคิ้วในเชิงถาม
“นายอย่าไปเชื่อทงเฮให้มากนะ .. อย่าไปเอาอย่างมันด้วย ..
”
“ไอ้ลิง
มึงกำลังด่ากูทางอ้อมอยู่ใช่มั้ย ?” หลังจากที่ทงเฮได้ยินฮยอกแจพูดกัดแบบนั้น
ทงเฮก็หันมาทำหน้าตาเอาเรื่องทันที
“เออ! ฉลาดเหมือนกันนี่หว่า ..” ผมถึงกับส่ายหัวกับอาการเถียงกันไม่เลิกราของสองเพื่อนซี้ตรงหน้า
ณ วันนี้ผมรู้แล้วว่าการมีโลกที่เป็นของผมจริงๆมันมีความสุขมากแค่ไหน ..
ผมชอบโลกใบนี้ของผมนะ ..
ชอบมากๆเลย …
ก่อนกลับบ้าน
ผมแวะตลาดใกล้ๆมหาลัยก่อนเป็นอันดับแรก อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากจะซื้ออะไรเป็นเรื่องเป็นราวนักหรอก
เพราะผมแวะทานข้าวพร้อมกับฮยอกแจและทงเฮไปแล้ว
หากถามเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากแวะ
ผมเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ..
“น้องแฟนคยูครับ .. แวะซื้อน้ำเต้าหู้ของพี่ก่อนสิครับ
.. ” ผมเดินดูของกินเล่นไปเรื่อยเปื่อย
แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินผ่านร้านขายน้ำเต้าหู้
รุ่นพี่คณะวิศวะก็ร้องเรียกผมเอาไว้ก่อน …
แถมยังเรียกผมด้วยชื่อที่มันฟังแล้วให้อารมณ์เขินอายแปลกๆ
น้องแฟนคยูงั้นเหรอ ..
“สองถุงเลยเนอะ พี่แถม ..” ผมพยักหน้ารับ
จากนั้นก็จ่ายเงิน แล้วก็เดินออกจากตลาดเพื่อมุ่งตรงไปยังบ้านของตนเอง
แต่ก่อนที่ผมจะกลับเข้าบ้าน ผมกลับหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของพี่คยูเป็นนานสองนาน
…
ผมมองถุงน้ำเต้าหู้ในมือ
จากนั้นก็ชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้านของพี่เขา ..
“ฮั่นแน่~ น้องแฟนมองหาใคร ?” ผมถอยเท้าไปข้างหลังอย่างตกใจ
เมื่ออยู่ๆพี่ชางมินก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของผม
“มองหาแฟนล่ะซี้~” พี่จงฮยอนเดินออกมาจากโรงรถ
จากนั้นก็ตรงเข้ามาสัมทับพี่ชางมินทันที
“อู้ววววว .. มีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยวุ้ย
..” พี่ชางมินเกาะขอบรั้วบ้าน
พร้อมกับเหลือบสายตาลงมองถุงน้ำเต้าหู้ในมือผม …
“อะไรกันน้องแฟน บ้านนี้มีกันสามคน
แต่ซื้อมาแค่สองถุง ?” พี่จงฮยอนยกแขนขึ้นมาท้าวขอบรั้วบ้านบ้าง
จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาล้อผมใหญ่ ผมจึงได้แต่ยืนเขินอยู่ตรงนั้น …
“ผ..ผม .. ฝ ..ฝาก .. ให้ ..พี่คยู ..
ด..ด้วย”
ผมก้มหน้าพร้อมกับยื่นถุงน้ำเต้าหู้ทั้งสองถุงไปตรงหน้ารั้ว
แต่รอแล้วรอเล่าพวกพี่เขาก็ไม่ยอมรับของฝากจากผมเลย ..
“น้องแฟนลำเอียง พี่ไม่รับฝากหรอก ..” พี่ชางมินพูดแล้วก็หันหลังเดินเข้าบ้านของตัวเองไปเลย
ส่วนพี่จงฮยอนก็ไม่ยอมพูดอะไรกับผมสักคำ แต่กลับเปิดประตูรั้วอ้าซ่าเอาไว้ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปอีกคน
…
ทำแบบนี้ พวกพี่เขาหมายความว่ายังไง
?
ผมก้าวเดินเข้ามายังเขตรั้วบ้านของพี่เขา
แล้วก็หันหลังไปปิดประตูรั้ว จากนั้นผมก็เดินเข้ามาในบ้าน ก็พบว่าเจ้าของบ้านหลังนี้เดินเข้าห้องใครห้องมันไปแล้ว
ผมจึงยืนลังเลอยู่ตรงปากประตูว่าผมควรจะเอาอย่างไรดี …
ผมมองถุงน้ำเต้าหู้ในมืออีกครั้ง
แล้วก็มองไปรอบๆบ้านอีกหน ..
ผมควรจะแอบวางไว้ที่หน้าประตูบ้าน
หรือว่าจะเอาขึ้นไปให้พี่เขาดี แล้วถ้าเกิดผมเอาแขวนไว้ที่หน้าประตูบ้าน
เกิดพี่เขาไม่เห็นขึ้นมาล่ะ น้ำเต้าหู้พวกนี้ต้องเสียแน่ๆ
แล้วถ้าเกิดผมจะเดินเอาขึ้นไปให้พี่เขาด้วยตัวเองล่ะ
ผมควรจะตอบคำถามของเขาว่าอย่างไร ?
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอย่างสับสน สองขาของผมมันก็ก้าวเดินขึ้นไปยังบันไดตรงหน้า
เพื่อก้าวเดินขึ้นไปยังห้องของใครสักคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ..
เราไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้ว
ทั้งๆที่บ้านของเราก็อยู่ติดกันเท่านี้ ..
ผมคิดถึงพี่เขา …
ก๊อก ..
ผมยืนลังเลอยู่นาน
กว่าจะทำใจกล้าเคาะประตูห้องของพี่เขา
แต่ก็ทำใจเคาะมันได้ไม่นานก็ต้องรีบชักออกมาราวกับโดนของร้อน
ผมยืนลนลานอย่างคนควบคุมตัวเองไม่ได้ …
จนกระทั่งคนในห้องส่งเสียงตอบรับ
พร้อมกับจังหวะการก้าวเดินที่ดังตามมา …
หัวใจของผมเต้นแรงมาก
เมื่อปลายเท้าของพี่เขาหยุดลงและประตูห้องถูกเปิดออกจากคนด้านใน …
“เคาะทำเชี่ยอะไร
มึงก็รู้กูไม่เคยล็อค …” พี่เขาเปิดประตูออกมาโดยยังไม่ทันได้มองว่าใครเป็นคนมายืนเคาะประตูห้องของเขาอยู่ตอนนี้
..
แต่พอเขาเห็นว่าเป็นผม
พี่เขาก็เงียบลงไปทันที …
“ผ ..ผม .. ผม ..” ผมเกิดอาการลิ้นแข็งขึ้นมาทันที
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเขินอายที่มันไม่อาจควบคุมได้
“มาหาพี่เหรอครับ ?” พี่เขายืนกอดอกพิงประตู
พร้อมกับยิ้มหวานออกมา
“…” ผมเกิดอาการพูดไม่เป็นขึ้นมาดื้อๆ
แถมยังขาแข็งอีกต่างหาก พอต้องมาเจอสถานการณ์ที่มันรับมือยากอย่างนี้
ผมก็เริ่มคิดได้แล้วว่า ผมไม่ควรจะเดินเข้ามาในบ้านของพี่เขาจริงๆ
“น้องแฟนซื้อน้ำเต้าหู้มาให้พี่ ..”
พี่เขาเหลือบตาลงมามองฝ่ามือของผมที่กำลังถือถุงน้ำเต้าหู้อยู่
ผมก็เลยเกาหัวแบบเขินๆ จากนั้นถึงค่อยพยักหน้าช้าๆ
แล้วผมก็ยื่นน้ำเต้าหู้ถุงนั้นมาให้พี่เขา ครั้นพอพี่เขารับไปถือไว้
ผมก็คิดจะปลีกตัวออกมาจากที่ตรงนั้น ..
แต่ว่ามันช้าไป ..
“คิดถึงน้องแฟนจัง ..” พี่เขาดึงผมเข้ามาในห้อง
แล้วก็รวบตัวผมเข้ามากอด
“น้องแฟนก็คิดถึงพี่เหมือนกันใช่มั้ย
?” พี่เขากระซิบถาม
พลางวางปลายคางลงบนลาดไหล่ของผม
“เราไม่ได้เจอหน้ากันมากี่วันแล้วนะ
.. เกือบจะอาทิตย์นึงได้หรือเปล่า
?”
พี่เขาเอี้ยวตัวเอาถุงน้ำเต้าหู้ที่ผมซื้อมาเพื่อให้เขาไปแขวนกับกลอนประตู
จากนั้นเขาก็หันมาโอบกอดผมอีกครั้ง ..
“…” ผมพยักหน้า …
“พี่ไม่ได้ไปทำตัวเหลวไหลที่ไหน
น้องแฟนเข้าใจพี่หรือเปล่า? ดูสิ
พี่ต้องอ่านหนังสือกองเท่าภูเขานั่นเลย” พี่เขาจูงมือผมเดินเข้าไปดูหลักฐานบนโต๊ะเขียนหนังสือของตัวเอง
“ย ..ยัง ไม่ ..สอบเลย .. ” ผมเถียงพี่เขาเสียงเบา เมื่อพี่เขาทุ่มเทกับการอ่านหนังสือมากจนเกินไป
แล้วไหนจะยังต้องทำรายงานที่พี่เขารับผิดชอบอีก ทำเอาเวลาของผมมันหดหายไปหมดเลย ..
“พี่ต้องสอบชิงทุนไปต่างประเทศน่ะ ..” พี่เขากวาดหนังสือไปไว้มุมซ้ายมือของโต๊ะ
จากนั้นก็ดันตัวผมให้นั่งลงบนโต๊ะแล้วเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้
พลางเอาศีรษะวางบนหน้าขาของผม ..
“ตะ ..ต่าง ..ป ..ประ…เทศ ..”
ผมก้มน้ำมองเส้นผมของพี่เขาแน่นิ่ง จากนั้นไม่นานน้ำตาของผมก็เป็นต้องล่วงหล่นอย่างไม่ตั้งใจ
หัวใจของผมกำลังสั่นคลอนเพราะความกลัวอีกครั้ง …
“พี่ไม่ได้จะไปต่างประเทศ
.. น้องแฟนอย่าร้องไห้สิ”
พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาทันทีที่น้ำตาของผมหยดลงบนตัวเขา
จากนั้นพี่เขาก็ประครองใบหน้าของผมไว้ พลางจูบซับน้ำตาของผมอย่างแผ่วเบา
แต่ยิ่งจูบซับหยดน้ำตาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไหลออกมาเท่านั้น …
“พี่แค่ต้องสอบเพื่อพิสูจน์ตัวเองกับคุณย่าเท่านั้น .. พี่ไม่ได้จะไปต่างประเทศสักหน่อย ..”
พี่เขาจูบปากผมเบาๆ จากนั้นเขาก็ลูบข้างแก้มของผม เมื่อน้ำตาของผมเริ่มหยุดไหล ..
ผมในตอนนี้ยังใจสั่นไม่หาย …
เพียงแค่คิดว่าวันใดวันหนึ่ง ผมจะไม่มีพี่เขาคอยอยู่ข้างๆ
ผมก็รู้สึกกลัวไปหมด ..
“ส..สัญญา ..”
ผมยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าของพี่เขาเพื่อร้องขอคำสัญญา
“สัญญา
..” พี่เขาเกี่ยวปลายนิ้วก้อยกับปลายนิ้วก้อยของผมพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
..
“คืนนี้นอนกับพี่นะ .. พี่จะยกเวลาอ่านหนังสือทั้งหมดให้เราคนเดียว
…”
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
หวัง
ว่าตอนนี้ทุกคนจะเข้าใจแล้วนะ ว่าทำไมทงเฮถึงดูแปลกๆ
เพราะทงเฮเกร็งไม่เคยพูดจาแบบเพราะๆทุกคำเหมือนที่ต้องพูดกับซองมิน
เพราะปกติทงเฮจะอยู่กับคิบอมบุคลิกก็เลยจะห้าวๆ
เพราะทงเฮไม่อยากให้คิบอมรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นเพื่อนสนิทแอบคิดไม่ซื่อ
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่ว่าจะใครก็ตามไม่กล้าพูดภาษาไม่ดอกไม้กับซองมิน
เพราะซองมินบุคคลิกแบบไม่น่าจะพูดใส่น่ะ
มาต่อครึ่งหลังแล้วค่ะ หวานเบาๆ ตอนหน้า หึหึหึหึ มีอะไรหว่า ?
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [38]