Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[37]
ช่วงนี้พี่เขางานยุ่งมาก
ไม่ค่อยจะมีเวลาให้ผมสักเท่าไหร่ เพราะต้องออกภาคสนามบ่อยครั้ง
และงานก็เร่งรีบด้วย ผมเองก็เข้าใจพี่เขานะ เลยไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก แม้ว่าพี่เขาจะยังอาสามารับมาส่งเหมือนเดิมก็ตาม
แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะผมไม่อยากให้พี่เขาเสียการเรียน
วันนี้ผมมีเรียนวิชาเอก
ซึ่งจะต้องนำเครื่องดนตรีที่ตนเองถนัดติดสอยห้อยตามไปเรียนด้วย
ปกติอาจารย์ก็จะให้เครื่องดนตรีแต่ละชนิดจับกลุ่มฟอร์มวงด้วยกันหลังจากเรียนภาคทฤษฎีจบ
แต่วันนี้อาจารย์ให้พวกเราจับกลุ่มฟอร์มวงแบบประสมแทน
ผมก็เลยต้องยืนเคว้งอยู่อย่างนี้
เพราะทุกคนต่างก็พากันจับกลุ่มกับคนที่ตัวเองสนิทสนมด้วย ..
“ยังไม่มีกลุ่มใช่มั้ย มาอยู่ด้วยกันสิ”
ผมหันไปมองทางด้านซ้ายมือของตัวเองทันทีที่ได้ยินคำชวน จึงได้เห็นว่าคนที่เข้ามาชวนผมให้อยู่ร่มกลุ่มด้วยกันคืออีทงเฮ
คนที่ผมเดินหนีเมื่อวันก่อน ..
“อื้ม” เมื่อไม่มีทางหนีหน้าได้อีก ผมก็ต้องตอบตกลงอย่างช่วยไม่ได้
“จะเล่นเพลงไหนกันดีล่ะ
? อีกชั่วโมงนึงอาจารย์ก็จะเรียกแล้วด้วย”
เพื่อนร่วมคณะคนหนึ่งถามความเห็นขึ้นมากลางวง จากนั้นทุกคนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เพราะยังคิดไม่ออกว่าเราควรจะเล่นเพลงอะไรดี
“เพลงไหนดีล่ะซองมิน
?” ทงเฮหันมาถามคนเห็นจากผม
จึงทำให้ผมทำหน้าตาเหลอหลาออกมา จากนั้นเขาก็หลุดหัวเราะกับท่าทางของผม
“นายนี่ดูตื่นๆเวลาเจอฉันทุกที
..”
เขาส่ายหน้าแต่ยังคงหัวเราะผมอยู่
“นายสองคนไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย
?”
เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามขึ้นอย่างสงสัย ส่วนทงเฮก็ทำเพียงแค่ยักไหล่ตอบ
‘Butterfly Waltz’ ผมหยิบสมุดเล่มเล็กของตัวเองขึ้นมาวางบนตัก
จากนั้นผมก็เขียนชื่อเพลงที่ผมอยากจะเสนอลงไป พอเขียนเสร็จผมก็ชูให้เพื่อนๆในกลุ่มดู
“นายกำลังเสนอเพลงงั้นเหรอ
?”
เพื่อนร่วมคณะหลายคนต่างมองมาที่ผมอย่างเหลือเชื่อ
เพราะปกติผมจะไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น ใครว่าอะไรผมก็ว่าตามกัน ..
“แต่เพลงนี้มันมีแค่เปียโน
กับเชลโล่เองไม่ใช่เหรอ ?”
เพื่อนที่ถนัดสีเชลโล่ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับเพลงที่ผมเสนอออกมาดี เขาถึงได้ถามผมกลับมาแบบนั้น
“ไม่มีเพลงไหนที่สมบูรณ์ไปทุกอย่างหรอก
.. ในเมื่อไม่มี
เราก็ด้นกันเองเลยสิ โน้ตเพลงก็มี” ทงเฮยักไหล่อย่างไม่ซีเรียสอะไร
จากนั้นทุกคนก็เริ่มจะเห็นด้วยกับเขา
เมื่อทุกคนพากันก้มหน้าก้มตาหาโน้ตเพลงจากในสมุดโน้ตเพลงที่อาจารย์เตรียมไว้ให้
ทงเฮก็หันมาขยิบตาใส่ผม แล้วก็หันไปปรึกษากับเพื่อนคนอื่นว่าใครควรจะเล่นท่อนไหนดี
ส่วนผมก็ได้แต่แอบอมยิ้มกับการกระทำของเขา
จากนั้นผมก็เริ่มเปิดใจเข้าร่วมวงกับเพื่อนๆคนอื่นบ้าง
จนในที่สุดการแสดงของเราก็เป็นที่ชื่นชมของอาจารย์มาก เพราะว่าพวกเรามีความคิดสร้างสรรค์และมีความสามารถที่จะประสมประสานเครื่องดนตรีหลากประเภทให้เข้ากันได้ดีกับเนื้อเพลง
ครั้นพอได้รับคำชมแบบนั้น
ทุกคนก็เลยออกอาการอยากจะฉลอง …
ณ
ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆในกลุ่มกำลังปักหลักนั่งทานอาหารกลางวันอยู่ที่ร้านด้านนอกมหาลัยด้วยกัน
..
“พวกเราต้องขอโทษจริงๆที่มองซองมินผิดไป
..”
หลังจากที่ผมยอมเปิดใจอย่างที่พี่คยูบอก ผลลัพธ์ก็ดูจะเหนือความคาดหมายมาก
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกคนสามารถรับได้กับสิ่งที่ผมเป็น
ที่ผมไม่อยากจะเชื่อนั่นก็เพราะว่าตอนเด็กๆผมเคยถูกรังเกียจเพียงแค่พูดไม่ได้
“ม…ไม่ ..ป..เป็น
..ไร” ผมส่ายหน้าพลางละล่ำละลักพูดออกมาอย่างดีใจ
“ความจริงนายก็น่าจะพูดคุยกับคนอื่นบ้างนะ
ถึงจะพูดได้ไม่มากแต่ก็ยังดีกว่านายไม่พูด แล้วใช้วิธีการเขียนลงในสมุดนะ
เพราะว่ามันจะทำให้คนอื่นเค้ามองว่านายหยิ่ง ไม่เต็มใจที่จะพูดกับเค้า”
“ตะ ..แต่ ..ก่อน .. ระ ..เรา ..ยัง ..พูด .. ไม่ได้ .. ระ ..เรา ..ก็ ..เลย ..ขะ ..เขียน .. เรา ..เพิ่ง ..จะพูด ..ได้ ..ไม่ ..นะ ..นานนี้ ..เอง” ผมรีบอธิบายให้ทงเฮเข้าใจว่าทำไมแต่ก่อนผมถึงเลือกที่จะใช้สมุด
และช่วงหลังถึงเลือกที่จะพยายามพูดให้เป็นประโยคให้ได้ ..
ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่าการที่ผมเลือกที่จะพูดกับคนที่ผมเปิดใจให้พวกเขาเท่านั้น
จะทำให้ทุกคนเข้าใจผมผิด เพราะตอนนั้นถึงผมจะพูดได้บ้าง แต่ผมยังไม่มีความมั่นใจพอที่จะแน่ใจว่าการพูดของผมมันจะไม่ไปสร้างความรำคาญให้ใครเขา
..
แต่ตอนนี้หลังจากที่ผมได้รับคำแนะนำจากทงเฮ
..
ผมก็เปลี่ยนความคิดของตัวเองใหม่แล้ว
..
ช่วงบ่ายสาขาของเราไม่มีเรียนแล้ว
สี่สาวร่วมคณะจึงขอตัวไปเดินเที่ยวตามประสาผู้หญิง
เหลือก็แต่ผมกับทงเฮที่ยังไม่รู้จะพาตัวเองไปที่ไหนดี
เราก็เลยนั่งปักปลักกันอยู่ที่นี่ ..
ผมเดินออกมาด้านนอกร้านอาหารเพื่อโทรหาพี่คยูอย่างอดรนทนไม่ไหว
ผมต่อสายอยู่พักใหญ่พี่เขาก็รับสายของผมเสียที …
“พะ ..พี่ ..คะ ..ครับ ..ผะ ..ผม ..” ผมออกอาการปากสั่นคอสั่น เมื่อถึงเวลาบอกข่าวดีกับคนสำคัญของตัวเอง
“ใจเย็นๆน้องแฟน ค่อยๆพูด
พี่จะได้ฟังรู้เรื่อง ..”
“ผม ..มี ..พะ ..เพื่อน ..แล้ว .. มีแล้ว ..” ผมเริ่มตั้งสติและพูดมันออกไปอีกครั้ง
“ดีใจมั้ย ?” พี่เขาถามผมด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
“ดีใจ ..”
“เห็นมั้ยพี่บอกแล้ว .. ทุกคนบนโลกไม่ได้มีนิสัยเหมือนกันหมดสักหน่อย
..”
“อื้อ”
“ไว้พาเพื่อนมาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างนะ”
ผมส่งเสียงตอบในลำคอ พลางพยักหน้าขึ้นลงอย่างคนตื่นเต้นไม่หาย
เราคุยกันแค่นี้
แล้วก็ต่างคนต่างวางสาย แต่หลังจากที่ผมวางสายผมก็ยืนยิ้มไม่หุบเลย
จนกระทั่งหันหลังมาเจอทงเฮนั่นแหละ ผมถึงรีบหุบยิ้มลงด้วยความเขิน
“ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอ ?” เขาถามผมอย่างสงสัย
“…” ผมก็เลยพยักหน้าให้
“นายนี่เหมือนเด็กจริงๆ .. ฉันจะไปคณะแพทย์ ไปด้วยกันไหม ?” เขาถาม ผมจึงตอบตกลงกลับไป
“ตก ..ละ …ลง ..เรา
..เป็น ..พะ ..เพื่อน
..กัน ..แล้วนะ”
ระหว่างเดินไปยังตึกคณะแพทย์ ผมก็หันไปถามย้ำกับทงเฮอีกหน
“ใช่สิ .. ก็นายเล่นไปพูดอวดแฟนแบบนั้น”
ทงเฮยักคิ้วให้ผมอย่างทะเล้นๆ ผมก็เลยต้องหันหน้าหนี
เพราะตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าทงเฮต้องได้ยินที่ผมคุยโวกับพี่เขาแน่ๆ
เราสองคนเลือกที่จะนั่งใต้ต้นไม้ข้างตึกคณะแพทย์
เพราะมุมนี้มันเงียบสงบมากที่สุด ทงเฮบอกผมว่าเขามารอกลับบ้านพร้อมกับคิบอม
ระหว่างรอเขาก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ผมฟังเยอะแยะเลย
ส่วนผมก็ใช้วิธีเขียนข้อความโต้ตอบกับเขาแทน เพราะถ้าจะให้ผมพูด เห็นทีจะไม่ทันใจทงเฮแน่ๆ
“นายนี่โชคดีนะที่แฟนยอมรับได้
แถมยังทุ่มเทกับนายมากขนาดนี้ ..
บอกเลยหลายคนบนโลกไม่ได้โชคดีเหมือนอย่างนายหรอก .. ที่จริงนายก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นเค้าหรอกนะ จำไว้ ..”
“อื้อ”
“มินโฮ มาหาคิบอมเหรอ ?” ผมหันไปมองตามสายตาของทงเฮ
พลางหรี่ตามองอย่างสงสัยว่ามินโฮคนที่ทงเฮเรียกจะใช่มินโฮคนเดียวกันกับที่ผมรู้จักหรือเปล่า
และเมื่อผู้ชายที่ชื่อมินโฮเดินเข้ามาใกล้บริเวณที่เรานั่งกันอยู่มากขึ้นๆ
ผมก็ได้คำตอบแล้วว่า …
โลกของเรามันกลมเสียยิ่งกว่ากลมซะอีก
..
“อืม .. พอดีผมลืมกุญแจไว้ในห้อง
เลยจะกลับพร้อมมัน .. อ้าวซองมิน ?”
ตะโกนตอบทงเฮตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึงที่โต๊ะ แล้วพอเขาเดินมาถึง
เขาก็ทำหน้าประหลาดใจที่เห็นผมมานั่งอยู่ตรงนี้
“นายรู้จักซองมินด้วยเหรอ ?”
ทงเฮถามมินโฮที่เข้ามานั่งร่วมวงกับเราด้วย
“อืม .. พี่ชายเพื่อนผมเอง .. แล้วนี่สองคนรู้จักกันได้ไง ?”
“ก็เรียนคณะเดียวกัน ..” ทงเฮตอบ ส่วนมินโฮก็พยักหน้า
“ซองมินเดี๋ยวฉันมา
ไปเข้าห้องน้ำก่อน ..”
พูดจบทงเฮก็ลุกออกไปจากโต๊ะ จึงเหลือแค่ผมกับมินโฮที่นั่งอยู่ตรงนั้นแค่สองคน ผมเงียบและเขาก็เงียบ
บรรยากาศรอบกายก็เลยดูอึดอัดมากขึ้น …
“ซองมิน ..”
“อื้อ” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองมินโฮที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวถัดจากผม
“ผมคบกับแทมินแล้วนะ .. เมื่อกี้นี้เอง ..” มินโฮบอกผม
“จ ..จริง ..เหรอ ? .. ยะ ..ยินดี ..ด้วยนะ”
ผมยิ้มให้มินโฮบางๆ พลางกล่าวคำอวยพรอย่างจริงใจ ฝ่ายนั้นก็ยิ้มกลับมาให้ผม
แล้วก็พยักหน้ารับเบาๆ
“หลังจากนี้
ผมคงจะเป็นเพื่อนกับซองมินได้อย่างสนิทใจซะที ..” มินโฮพูดกับผมเบาๆ หากแต่สีหน้าของเขามันกับเรียบเฉยอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาพูดประโยคนั้น
“…..” ผมไม่รู้จะพูดกับเขาว่าอะไรดี ก็เลยนั่งก้มหน้าสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อย
แต่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ ผมก็เห็นว่าเขากำลังแอบมองผมอยู่ ..
“นี่เพื่อนใหม่เรา ..” เสียงของทงเฮดึงความสนใจจากผมไปจนหมด
จึงทำให้ผมเพิ่งจะเห็นว่าคิบอมคนที่ว่าก็คือคนเดียวกันกับคืนนั้น
“คนที่นายไม่ค่อยชอบขี้หน้าน่ะนะ .. ”
เพี๊ยะ!
“มึงจะพูดทำไมวะ .. บอกแล้วไงว่าเราเข้าใจซองมินผิด”
ทงเฮเริ่มเปลี่ยนสรรพนามเมื่อออกอาการไม่พอใจ แต่แล้วก็กลับมาใช้คำพูดเหมือนอย่างเดิมเมื่อเขาเข้ามานั่งร่วมวงกับผมและมินโฮ
“กู ..เอ้ย .. เราลืมไป ..” คิบอมเหมือนกับไม่ชินที่ต้องใช้สรรพนามแบบนี้กับทงเฮ
เพราะดูท่าทางแล้วทั้งสองคนคงจะสนิทกันมาก
ก็เลยออกอาการกระดากอายเมื่อต้องเปลี่ยนสรรพนามระหว่างกันใหม่ …
“ไปกินข้าวกันเถอะ
ไหนๆก็มากันพร้อมหน้าแล้ว” ผม ทงเฮ คิบอม มินโฮ
กำลังนั่งทานข้าวด้วยกันตรงร้านไม่ใกล้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่นัก
มื้อนี้ผมมีความสุขมากที่สังคมของผมเริ่มมีคนมากหน้าหลายตาผ่านเข้ามามากขึ้น
แต่หลังจากที่เราทานมื้อเย็นด้วยกันเสร็จ
ผมกลับรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอย่างไรชอบกล
เพราะว่าผมต้องกลับบ้านพร้อมกับมินโฮแค่สองคน
..
ผมก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมผมต้องอึดอัด
ในเมื่อมินโฮเองก็มีแฟนแล้ว และผมเองก็มีแฟนแล้ว สถานการณ์แบบนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้น
ในเมื่อเขาบอกกับผมว่าเขาสามารถเป็นเพื่อนกับผมได้อย่างสนิทใจแล้ว
แต่ทำไมสถานการณ์ของเรามันถึงยังเหมือนเดิมอยู่อีก
..
เมื่อรถขับมาจอดเทียบท่ายังหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
ผมก็หันไปขอบคุณมินโฮ แล้วก็เตรียมตัวจะก้าวลงจากรถ
แต่เขากลับรั้งข้อมือของผมเอาไว้
“ฝันดีนะ ..” เขาบอกกับผมอย่างนั้น
แล้วเขาก็ปล่อยมือจากข้อมือของผม เมื่อผมมองเขาแบบปรามๆ
“อื้อ” ผมพยักหน้า
แล้วก็เปิดประตูลงจากรถ แล้วก็ยืนส่งเขาจนไฟท้ายรถหายลับไปท่ามกลางความมืดของต้นซอย
…
“ทำไมกลับดึกจังครับ ?” พอผมเดินขึ้นไปบนห้อง
และเปิดไฟจนสว่างทั่วทั้งห้องเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็ส่งเสียงทักข้ามฟากฝั่งมาถึงผม
‘ไปทานข้าวกับทงเฮมาครับ’
ผมส่งภาษามือตอบกลับพี่เขาไป
‘น้องแฟน .. พี่อ่านหนังสือจนปวดตาแล้ว .. อยากฟังเพลงที่น้องแฟนเล่นจัง
..’ พี่เขาออดอ้อนผมผ่านทางภาษามือ
ผมก็เลยพยักหน้าเพื่อตอบตกลง
จากนั้นพี่เขาก็ย้ายตัวเองมานั่งบนขอบหน้าต่างเพื่อรอฟังบทเพลงจากผม
วันนี้ผมจะขอเล่นเพลง Butterfly Waltz
ที่ใช้ไวโอลินในการขับท่วงทำนองทั้งหมด พี่เขาจะเป็นคนแรกที่ได้ฟังเพลงนี้โดยใช้เครื่องดนตรีเพลงชนิดเดียวจากผม
..
ที่ผมเลือกจะเล่นเพลงนี้
เพราะเพลงนี้คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ผมได้รับมาในวันนี้
ผมจะบอกเล่าเรื่องราวที่ผมได้พบเจอมา ผ่านท่วงทำนองของเพลงนี้
เพื่อให้พี่เขารู้ว่าการที่ผมยอมเปิดใจตามคำแนะนำของพี่เขา มันทำให้ผมมีความสุข …
ซึ่งผมก็อยากจะให้พี่เขามีความสุขไปกับผมด้วย
..
เพราะผมรักพี่คยูและอยากจะขอบคุณพี่เขาจากใจจริง
…
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ในที่สุดน้องแฟนก็ก้าวออกมาจากโลกสีเทาได้แล้ว
แถมยังมีการมาโอ้อวดใส่พี่โมเมด้วย คึคึ โปรดติดตามตอนต่อไป
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [37]