วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [35]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
   



[34]


                โชคดีที่วันนี้ผมไม่มีเรียน ผมก็เลยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่มันอาจจะโหดร้าย เพราะถึงผมจะได้รับกำลังใจมาจนเต็มเปลี่ยม แต่อย่างไรแล้วผมก็ยังต้องการเวลาทำใจสักระยะอยู่เหมือนกัน
                “ป..ไปไหน ?” ผมหันหลังไปถามคนตัวสูงที่ออกแรงรุนแผ่นหลังของผมให้ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า ปกติแล้ววันนี้ เวลานี้ พี่เขาจะต้องไปเรียน แต่เขากลับทำตัวเองให้ไม่มีเรียนเหมือนกันกับผมเสียอย่างนั้น

                “ความลับ” พี่เขายักคิ้วให้ผมข้างหนึ่ง ขณะที่มุมปากของพี่เขาก็เอาแต่อมยิ้มอยู่คนเดียว ผมก็เลยจนปัญญาจะสืบสาวราวเรื่อง เลยได้แต่ก้าวเดินตามแรงผลักดันจากทางด้านหลัง จนกระทั่งผมวาดตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลังมอเตอร์ไซด์คันเก่งที่เดี๋ยวนี้มักไม่ค่อยจะได้นำออกมาใช้งานสักเท่าไหร่ เมื่อเจ้าของเขามัวแต่เห่อรถยนต์คันเก่งที่เอามาจากเมืองกรุง
                ผมนั่งมองสองข้างทางที่พี่เขาขับผ่านอยู่เงียบๆ ซึ่งบรรยากาศแวดล้อมเหล่านั้นก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล หากแต่เป็นอาณาบริเวณของรั้วมหาวิทยาลัยของเรานั่นเอง ผมนั่งมองสองข้างทางนิ่งๆจนกระทั่งตัวรถจอดสนิทลงตรงหน้าสถาปัตยกรรมอันทันสมัย ..

                “พ..พา ..มะ ..มา ..ทะ ..ทำไม ..” ผมจิกฝ่ามือลงบนชายเสื้อของพี่เขาแน่น เมื่อทราบแล้วว่าอาคารอันทันสมัยตรงหน้า แท้ที่จริงมันคือโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยของเรานั่นเอง
                “น้องแฟนเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า .. หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่งหรือเปล่า ?” พี่เขาไม่ตอบคำถามของผม แต่กลับย้อนถามผมแทน ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็พยายามจะคลายอาการเกร็งจากฝ่ามือของผมให้ได้

                “ถ้ากลัวอะไร เราก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นนะ .. จะได้เลิกกลัว” ในที่สุดพี่เขาก็แกะฝ่ามือทั้งสองข้างของผมออกได้ จากนั้นพี่เขาก็ใช้เท้าถีบขาตั้งมอเตอร์ไซด์ให้ค้ำยันกับพื้น แล้วก็ลงมายืนอยู่บนพื้นซีเมนต์ข้างๆตัวรถ
                “เข้าไปเดินเล่นข้างในกัน ..” พี่เขาแบฝ่ามือยื่นมาตรงหน้าผม จากนั้นเขาก็พูดเชิญชวนให้ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย ราวกับว่าเขากำลังจะชวนผมไปเดินเล่นในสวนสาธารณะเสียอย่างนั้น ..

                ผมเหลือบมองฝ่ามือของพี่เขาที แล้วก็พื้นซีเมนต์ที สุดท้ายผมก็เอื้อมมือไปวางลงบนฝ่ามือของพี่เขาเพียงแป้บเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็วาดขาลงจากรถมอเตอร์ไซด์และเดินเคียงข้างไปกับพี่เขา เพื่อเข้าไปยังอาคารอันทันสมัยที่มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด ..
                บรรยากาศในโรงพยาบาลของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโรงพยาบาลของรัฐสักเท่าไหร่ แต่เห็นจะมีสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ผมก็มักจะเห็นนักศึกษาแพทย์เดินกันให้ขวักไขว่เต็มไปหมด เนื่องจากว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงตรง ทุกคนก็เลยอยู่ในช่วงของเวลาพักผ่อน ..

                ผมเดินตัวลีบเกาะชายเสื้อของพี่เขาไปตลอดทาง ไม่ว่าคนที่ผมเดินผ่านจะเป็นอาจารย์หมอ หรือนักเรียนแพทย์ก็ตาม มือของผมก็จะสั่นโดยอัตโนมัติ และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมกับพี่คยูก็ตาม ผมก็ยังหวั่นกลัวอยู่ดี ..
                ผมรู้ .. คุณหมอทุกคนไม่ได้ใจร้ายแบบคุณหมอคนนั้น แต่ผมก็ยังทำความเข้าใจในข้อนี้ได้ยาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง ผมเดินเบียดพี่เขาไปตลอดทาง จนแทบจะรวมร่างเป็นเนื้อเดียวกันเสียให้ได้ ผมมีโอกาสได้ถอยห่างพี่เขาอีกหน่อยก็ตอนที่บริเวณนั้นมันล้างไร้ผู้คนที่สวมชุดกราวน์สีขาวแล้วนั่นแหละ
                “อ๊ะ” ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อตอนที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวเข้ามุมตึกตรงฝั่งซ้าย สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีขาวบริสุทธิ์อยู่บนร่างกายของเขาที่กำลังเดินสวนกันมาพอดี ผมจึงรีบถอยเท้าไปทางด้านหลังในทันที

                “มึงอีกแล้วเหรอวะไอ้น้อง ?” พี่คยูเป็นฝ่ายทักผู้ชายที่สวมเสื้อกราวน์สีขาวเป็นคนแรก จึงทำให้ผมค่อยๆตั้งสติและพยายามจะเพ่งมองคนตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง เลยทันได้เห็นว่าคนที่เดินสวนกันกับผม แท้ที่จริงแล้วเขาคือผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่กับทงเฮเมื่อวันก่อน
                ถ้าอย่างนั้นเสื้อกราวน์ที่เขาใส่ ก็คงจะเป็นแค่เสื้อที่ใช้สำหรับใส่ในห้องทดลองหรือเปล่า ?  อ่า .. ผมก็นึกว่าเขาจะเรียนคณะเดียวกันกับผมเสียอีก ก็ตอนนั้นน่ะ เขากับทงเฮนินทาผมซะออกรสออกชาติเลยทีเดียว แสดงว่าทงเฮเอาผมไปเผาให้เขาฟังทุกวันเลยใช่หรือเปล่าเนี่ย? ท่าทางทงเฮคงจะเหม็นขี้หน้าผมมากจริงๆ แล้วแบบนี้เขาจะยอมรับเพื่อนอย่างผมได้จริงๆหรือ ?
               
                “เออ .. ถอยไปดิวะพี่ .. คนกำลังรีบ ..” พอพี่คยูไม่ยอมถอย อีกฝ่ายจึงเดินผ่ากลางระหว่างผมกับพี่คยูไปเลย ท่าทางของเขาดูเร่งรีบ ผมจึงได้แต่ยืนมองอย่างงงๆ เลยทำให้อาการกลัวเสื้อกราวน์ของคุณหมอมันหายไป
                “คิมคิบอม! ใครสั่งใครสอนให้เธอสวมเสื้อกราวน์ออกมาจากห้องแล็บห๊ะ .. แถมยังเดินร่อนตั้งแต่ห้องแล็บมายังโรงพยาบาลอีกต่างหาก .. มันน่าหักคะแนนมั้ยห๊ะ .. ฉันล่ะเหนื่อย .. พอได้ใส่เสื้อกราวน์กันที ไอ้เด็กพวกนี้ก็ชอบโชว์อ๊อฟ  อยู่เรื่อย ..” ผมมองตามอาจารย์หมอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไล่ตามผู้ชายที่ชื่อคิมคิบอมจนลั่นโรงพยาบาลอย่างงงๆ

                “หายกลัวแล้วนี่ ..” พอสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติสุข พี่เขาก็หันมาโยกหัวผมอยู่ทีสองที
                “หะ ..หึ” ผมสายหัวดุ้กดิ๊กเพื่อบอกพี่เขาว่าเมื่อสักครู่ผมกำลังงงอยู่ต่างหาก เลยไม่ทันได้ตกใจกลัว ..

                “ไม่จริงน่า ..” พี่เขาส่ายหน้า พลางเอื้อมมือมาดึงแก้มผม เมื่อผมเอาแต่ปฏิเสธ ผมก็เลยยกฝ่ามือขึ้นมาตีมือของพี่เขา แต่ปรากฏว่าพี่เขาชักมือของตัวเองหลบฝ่ามือของผมได้ทัน ผมก็เลยตีแก้มของตัวเองไปเต็มๆ และเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนั้น ผมก็เลยออกอาการขุ่นเคืองใส่พี่เขาในทันที
                มันน่าให้ผมเคืองมั้ยล่ะ ? มีอย่างที่ไหนกัน พอเห็นผมตีแก้มตัวเองแทนที่จะตกใจ แต่พี่เขากลับยิ้มขำที่ผมดันทำตัวเองให้เจ็บเองอย่างมีความสุข
                เคืองร้อยวินาที อย่ามาดีร้อยชั่วโมงเลยแบบนี้ ..
               
                หลังจากที่ผมทำหน้าตูมแล้วตูมอีก พี่เขาก็ยังไม่หยุดหัวเราะผมสักที จากที่ผมโกรธปลอมๆ มันก็ชักจะกลายเป็นโกรธจริงๆเข้าให้แล้ว ..
 พอกลับมาถึงบ้านผมก็เลยรีบเดินตุบตับเข้าไปในบ้านทันที แล้วพอเดินขึ้นมาจนถึงห้องนอนของตัวเองได้ ผมก็ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา จากนั้นผมก็เดินไปหยิบไวโอลินตัวโปรดที่เดี๋ยวนี้มักจะได้ใช้งานจริงก็ต่อเมื่อผมมีเรียนในสาขาวิชาเอกเพียงเท่านั้น ..

                ผมเริ่มสีไวโอลินในท่วงทำนองอันหนักหน่วง ด้วยต้องการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองให้มันบรรเทาลงด้วยเสียงเพลง ผมบรรเลงบทเพลงไร้ทำนองอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม พออารมณ์เริ่มดีขึ้นผมก็นำไวโอลินตัวโปรดมาเก็บใส่ตู้ไม้เหมือนเดิม ..

                แอ๊ด~

                หลังจากอารมณ์ปรับอยู่ในขั้นปกติดีแล้ว ผมก็เปิดประตูเตรียมจะเดินลงไปหาน้ำดื่มข้างล่าง แต่ปรากฏว่าคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องอารมณ์ขุ่นมัว กลับนั่งเอาหลังพิงประตูรอผมอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู
 และเมื่อผมดึงประตูเปิดออกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง พี่เขาก็เลยหงายหลังลงมานอนแหมะอยู่บนพื้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากปลายเท้าของผมนัก ..
            เห็นอย่างนั้น ผมก็เลยรีบชักฝ่าเท้าของตัวเองให้ออกห่างจากศีรษะของพี่เขาในทันที ..

                ผมไม่คิดจะอยู่รอให้พี่เขาตั้งตัวได้ทัน จึงรีบก้าวเท้าเดินหนีคนที่กำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งหลังตรงอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็เดินไปได้ไม่ถึงสามก้าว ร่างกายของผมก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วยอ้อมกอดของพี่เขาแล้ว ปลายคางของพี่เขาวางอยู่บนลาดไหล่ของผม ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็ผสานกันอยู่บนหน้าท้องของผม ซ้ำร้ายหน้าอกของพี่เขาก็ยังจะเอามาบดเบียดแผ่นหลังของผมอีก ..
                นี่พี่เขาไม่คิดจะเหลือพื้นที่ว่างระหว่างเรา ไว้ให้ลมมันเล็ดรอดผ่านบ้างหรือ ?

                “แหย่เล่นนิดเดียวเอง ..” พี่เขาพูดเสียงอ่อนตรงข้างหู
                ” ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งและเงียบงัน หากแต่ริมฝีปากก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงชอบกระตุกอยู่เรื่อย
                ขอร้องล่ะ อย่ามาอยากยิ้มเอาตอนนี้เชียวนะ!

                เพี๊ยะ!

                อยู่ๆพี่เขาก็คว้าฝ่ามือของผมไปตีตรงข้างแก้มของตัวเองอย่างแรงเลย ซึ่งผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปล่อยข้อมือสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงจากพี่เขาเสียเต็มที่
ผลปรากฏว่าข้างแก้มของพี่เขามีรอยแดงเป็นปื้นประทับอยู่อย่างชัดเจน ..
               
                เมื่อพี่เขาทำท่าจะสะบัดข้อมือของผมให้ฟาดเข้าที่ข้างแก้มของตัวเองอีกรอบ ผมก็รีบพลิกตัวหันหน้าเข้าหาพี่เขาในทันที จากนั้นผมก็พยายามจะยื้อแย่งข้อมือของตัวเองให้หลุดพ้นจากการจับกุมของพี่เขาให้ได้
                แต่พอข้อมือหลุดจากการจับกุม ก็ดันกลายเป็นว่าใบหน้าของผมกำลังถูกตรึงให้ขยับไปไหนไม่ได้แทน

                “หายกันหรือยัง ? หืม ?” พี่เขากระซิบถามผมเสียงแผ่ว ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขาก็ลากไล้ไปทั่วใบหน้าของผม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ่งหลับตานิ่งพร้อมด้วยหัวใจที่มันเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก
                “ถ้ายังไม่ตอบ .. พี่ก็จะง้อน้องแฟนแบบได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้แหละ” ดูคำพูดงอนง้อของพี่เขาสิ ทำไมมันถึงได้ฟังดูทะแม่งๆนักนะ

                “อื้อ” ผมรีบอ้อมแอ้มตอบในลำคอทันที เมื่อริมฝีปากของพี่เขากดจูบลงบนลาดไหล่ของผมและนิ่งค้างเอาไว้อยู่นานหลายนาที
                “อื้ออะไร ?” พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม แล้วก็เปลี่ยนมากดจูบบนลาดไหล่อีกข้างของผม

                “หะ ..หาย ..กะ ..กัน ..ละ แล้ว ..” สาบานได้ ที่เสียงของผมมันสั่น และการออกเสียงก็ย่ำแย่ มันเป็นเพราะพี่เขานั่นแหละที่เอาแต่ใจ มากดดันให้ผมรีบตอบคำถามในสิ่งที่เขาต้องการด้วยการจูบที่มันอุ่นวาบไปทั้งตัว
                “ว่าไงนะ ? ..” พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาหรี่ตาข้างนึงเพื่อถามผม

                “หะ ..” ผมจึงต้องพยายามเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดอีกครั้ง แต่ผมก็ยังพูดไม่ทันจบประโยค พี่เขาก็
                “ถ้าไม่ตอบ งั้นพี่จูบ ..” พูดจบพี่เขาก็ทำท่าจะกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผมจริงๆ ผมก็เลยละล่ำละลักตอบพี่เขาจนหูตาเหลือก เนื่องจากผมกำลังตื่นเต้น

                “แต่ถึงน้องแฟนจะตอบ .. พี่ก็จะจูบ ..” ผมยังไม่ทันประมวลผลถ้อยคำของพี่เขาให้เข้าใจเลยสักนิด ริมฝีปากของพี่เขาก็จู่โจมริมฝีปากของผมซะแล้ว กลีบปากของพี่เขาละเลียดชิมกลีบปากของผมราวกับขนมหวานแสนอร่อยอยู่นานสองนาน จนกระทั่งขนมชิ้นนั้นที่พี่เขาโปรดปรานมันใกล้จะหมดลงทุกที ทุกที พี่เขาก็ยิ่งละเลียดมันให้ช้าลง
                หากแต่ผมคนนี้ที่เปรียบเสมือนขนมหวาน กำลังใกล้จะหมดแรง .. และขาดอากาศหายใจ ..

                “แฮ่กๆ” พอพี่เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระได้ ผมก็รีบกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดในทันที แต่ก็ทำอย่างนั้นได้ไม่นาน พี่คยูก็เข้ามาฉกฉวยอากาศหายใจไปจากผมอีกแล้ว แถมคราวนี้พี่เขายังจูบผมอย่างร้อนแรงเสียจนในหัวของผมตื้อไปหมด จึงได้แต่ตามน้ำพี่เขาไป ..
                ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขากำลังควานหาความหวานจากกลีบปากของผม ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็โอบกระชับตัวผมให้เข้ามาแนบชิดกับพี่เขาจนร่างกายของผมแทบจะจมหายไปกับอกของพี่เขาแล้ว แถมปลายเท้าของผมตอนนี้มันก็ปีนขึ้นไปเหยียบยืนอยู่บนหลังเท้าของพี่เขาจนเรียบร้อยแล้ว
               
                “อ..อื้อ ..” ผมส่งเสียงทักท้วงเมื่อพี่เขาชักจะเพลิดเพลินมากเกินไปแล้ว แต่ก็ดูเหมือนเสียงของผมจะเป็นเพียงแค่เสียงลมที่ไม่มีใครได้ยิน พี่เขาถึงได้ยังดูดดึงเอาความหวานจากผมไม่มีหยุด ..
                “อืม ..” ผมเขาคำรามในลำคอคล้ายกับพอใจในรสสัมผัสจากผมมาก จนผมนึกอายจนหน้าขึ้นสี ..

                “ฮื่อออ” ผมเริ่มส่งเสียงประท้วงอีกครั้ง เมื่อพี่เขายังไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ และครั้งนี้ผมก็ออกแรงตุบตีพี่เขาด้วย พี่เขาถึงได้ปล่อยให้ผมได้หายใจหายคอบ้าง
                ปากของผมตอนนี้มันจะต้องแดงมากแน่ๆ เพราะพี่เขาจูบผมถึงสองครั้งสองครา
                แบบนี้ผมจะกล้ามองหน้าพี่เขาได้ยังไง ..

                แต่แล้วผมก็ยังไม่ทันได้คิดเขินอายให้มันจบไป พี่เขาก็เชยปลายคางของผมขึ้น แล้วก็กดจูบลงมาบนกลีบปากของผมอีกแล้ว ช่วงนี้พี่เขารุกผมด้วยจูบติดต่อกันหลายครั้งมาก
                มันกำลังเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่างที่ผมเริ่มจะลืมไปแล้วใช่หรือเปล่า ?
                สิ่งที่ซองจินเคยเตือน มันใกล้จะเดินทางมาถึงแล้วหรือไง ?

                ตึก ตึก ตึก

                “เฮ้ย! ทำอะไรกันวะ!


<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

ฮ่าๆๆๆๆๆ ใครมาหว่า ? หมดเวลาค้ากำไรแล้วพี่โมโม กร๊ากกกกก
งานนี้มีคนโดนเตะโด่งออกจากบ้านแน่ๆ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น