[34]
โชคดีที่วันนี้ผมไม่มีเรียน ผมก็เลยไม่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่มันอาจจะโหดร้าย
เพราะถึงผมจะได้รับกำลังใจมาจนเต็มเปลี่ยม
แต่อย่างไรแล้วผมก็ยังต้องการเวลาทำใจสักระยะอยู่เหมือนกัน
“ป..ไปไหน ?”
ผมหันหลังไปถามคนตัวสูงที่ออกแรงรุนแผ่นหลังของผมให้ก้าวเดินตรงไปข้างหน้า
ปกติแล้ววันนี้ เวลานี้ พี่เขาจะต้องไปเรียน แต่เขากลับทำตัวเองให้ไม่มีเรียนเหมือนกันกับผมเสียอย่างนั้น
“ความลับ”
พี่เขายักคิ้วให้ผมข้างหนึ่ง ขณะที่มุมปากของพี่เขาก็เอาแต่อมยิ้มอยู่คนเดียว
ผมก็เลยจนปัญญาจะสืบสาวราวเรื่อง เลยได้แต่ก้าวเดินตามแรงผลักดันจากทางด้านหลัง
จนกระทั่งผมวาดตัวขึ้นไปนั่งคร่อมบนหลังมอเตอร์ไซด์คันเก่งที่เดี๋ยวนี้มักไม่ค่อยจะได้นำออกมาใช้งานสักเท่าไหร่
เมื่อเจ้าของเขามัวแต่เห่อรถยนต์คันเก่งที่เอามาจากเมืองกรุง …
ผมนั่งมองสองข้างทางที่พี่เขาขับผ่านอยู่เงียบๆ
ซึ่งบรรยากาศแวดล้อมเหล่านั้นก็ไม่ใช่ที่ไหนไกล
หากแต่เป็นอาณาบริเวณของรั้วมหาวิทยาลัยของเรานั่นเอง
ผมนั่งมองสองข้างทางนิ่งๆจนกระทั่งตัวรถจอดสนิทลงตรงหน้าสถาปัตยกรรมอันทันสมัย ..
“พ..พา ..มะ ..มา ..ทะ ..ทำไม ..” ผมจิกฝ่ามือลงบนชายเสื้อของพี่เขาแน่น
เมื่อทราบแล้วว่าอาคารอันทันสมัยตรงหน้า
แท้ที่จริงมันคือโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยของเรานั่นเอง
“น้องแฟนเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า
.. หนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่งหรือเปล่า
?” พี่เขาไม่ตอบคำถามของผม แต่กลับย้อนถามผมแทน
ขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็พยายามจะคลายอาการเกร็งจากฝ่ามือของผมให้ได้
“ถ้ากลัวอะไร
เราก็ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นนะ .. จะได้เลิกกลัว” ในที่สุดพี่เขาก็แกะฝ่ามือทั้งสองข้างของผมออกได้
จากนั้นพี่เขาก็ใช้เท้าถีบขาตั้งมอเตอร์ไซด์ให้ค้ำยันกับพื้น
แล้วก็ลงมายืนอยู่บนพื้นซีเมนต์ข้างๆตัวรถ
“เข้าไปเดินเล่นข้างในกัน
..”
พี่เขาแบฝ่ามือยื่นมาตรงหน้าผม จากนั้นเขาก็พูดเชิญชวนให้ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย
ราวกับว่าเขากำลังจะชวนผมไปเดินเล่นในสวนสาธารณะเสียอย่างนั้น ..
ผมเหลือบมองฝ่ามือของพี่เขาที
แล้วก็พื้นซีเมนต์ที
สุดท้ายผมก็เอื้อมมือไปวางลงบนฝ่ามือของพี่เขาเพียงแป้บเดียวเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็วาดขาลงจากรถมอเตอร์ไซด์และเดินเคียงข้างไปกับพี่เขา
เพื่อเข้าไปยังอาคารอันทันสมัยที่มีแต่กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยคละคลุ้งเต็มไปหมด ..
บรรยากาศในโรงพยาบาลของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโรงพยาบาลของรัฐสักเท่าไหร่
แต่เห็นจะมีสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ ไม่ว่าจะมองไปทางไหน
ผมก็มักจะเห็นนักศึกษาแพทย์เดินกันให้ขวักไขว่เต็มไปหมด
เนื่องจากว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงตรง ทุกคนก็เลยอยู่ในช่วงของเวลาพักผ่อน ..
ผมเดินตัวลีบเกาะชายเสื้อของพี่เขาไปตลอดทาง
ไม่ว่าคนที่ผมเดินผ่านจะเป็นอาจารย์หมอ หรือนักเรียนแพทย์ก็ตาม
มือของผมก็จะสั่นโดยอัตโนมัติ และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจผมกับพี่คยูก็ตาม
ผมก็ยังหวั่นกลัวอยู่ดี ..
ผมรู้ .. คุณหมอทุกคนไม่ได้ใจร้ายแบบคุณหมอคนนั้น
แต่ผมก็ยังทำความเข้าใจในข้อนี้ได้ยาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง
ผมเดินเบียดพี่เขาไปตลอดทาง จนแทบจะรวมร่างเป็นเนื้อเดียวกันเสียให้ได้ ผมมีโอกาสได้ถอยห่างพี่เขาอีกหน่อยก็ตอนที่บริเวณนั้นมันล้างไร้ผู้คนที่สวมชุดกราวน์สีขาวแล้วนั่นแหละ
…
“อ๊ะ”
ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อตอนที่ผมกำลังจะเดินเลี้ยวเข้ามุมตึกตรงฝั่งซ้าย
สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีขาวบริสุทธิ์อยู่บนร่างกายของเขาที่กำลังเดินสวนกันมาพอดี
ผมจึงรีบถอยเท้าไปทางด้านหลังในทันที
“มึงอีกแล้วเหรอวะไอ้น้อง ?”
พี่คยูเป็นฝ่ายทักผู้ชายที่สวมเสื้อกราวน์สีขาวเป็นคนแรก
จึงทำให้ผมค่อยๆตั้งสติและพยายามจะเพ่งมองคนตรงหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง เลยทันได้เห็นว่าคนที่เดินสวนกันกับผม
แท้ที่จริงแล้วเขาคือผู้ชายคนนั้นที่ยืนอยู่กับทงเฮเมื่อวันก่อน …
ถ้าอย่างนั้นเสื้อกราวน์ที่เขาใส่
ก็คงจะเป็นแค่เสื้อที่ใช้สำหรับใส่ในห้องทดลองหรือเปล่า ? อ่า .. ผมก็นึกว่าเขาจะเรียนคณะเดียวกันกับผมเสียอีก
ก็ตอนนั้นน่ะ เขากับทงเฮนินทาผมซะออกรสออกชาติเลยทีเดียว
แสดงว่าทงเฮเอาผมไปเผาให้เขาฟังทุกวันเลยใช่หรือเปล่าเนี่ย?
ท่าทางทงเฮคงจะเหม็นขี้หน้าผมมากจริงๆ
แล้วแบบนี้เขาจะยอมรับเพื่อนอย่างผมได้จริงๆหรือ ?
“เออ .. ถอยไปดิวะพี่ .. คนกำลังรีบ
..” พอพี่คยูไม่ยอมถอย อีกฝ่ายจึงเดินผ่ากลางระหว่างผมกับพี่คยูไปเลย
ท่าทางของเขาดูเร่งรีบ ผมจึงได้แต่ยืนมองอย่างงงๆ
เลยทำให้อาการกลัวเสื้อกราวน์ของคุณหมอมันหายไป
“คิมคิบอม! ใครสั่งใครสอนให้เธอสวมเสื้อกราวน์ออกมาจากห้องแล็บห๊ะ
.. แถมยังเดินร่อนตั้งแต่ห้องแล็บมายังโรงพยาบาลอีกต่างหาก ..
มันน่าหักคะแนนมั้ยห๊ะ .. ฉันล่ะเหนื่อย ..
พอได้ใส่เสื้อกราวน์กันที ไอ้เด็กพวกนี้ก็ชอบโชว์อ๊อฟ อยู่เรื่อย ..”
ผมมองตามอาจารย์หมอที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไล่ตามผู้ชายที่ชื่อคิมคิบอมจนลั่นโรงพยาบาลอย่างงงๆ
“หายกลัวแล้วนี่
..”
พอสถานการณ์เริ่มกลับมาเป็นปกติสุข พี่เขาก็หันมาโยกหัวผมอยู่ทีสองที
“หะ
..หึ”
ผมสายหัวดุ้กดิ๊กเพื่อบอกพี่เขาว่าเมื่อสักครู่ผมกำลังงงอยู่ต่างหาก
เลยไม่ทันได้ตกใจกลัว ..
“ไม่จริงน่า ..” พี่เขาส่ายหน้า
พลางเอื้อมมือมาดึงแก้มผม เมื่อผมเอาแต่ปฏิเสธ
ผมก็เลยยกฝ่ามือขึ้นมาตีมือของพี่เขา แต่ปรากฏว่าพี่เขาชักมือของตัวเองหลบฝ่ามือของผมได้ทัน
ผมก็เลยตีแก้มของตัวเองไปเต็มๆ และเมื่อผลมันออกมาเป็นอย่างนั้น
ผมก็เลยออกอาการขุ่นเคืองใส่พี่เขาในทันที …
มันน่าให้ผมเคืองมั้ยล่ะ ? มีอย่างที่ไหนกัน
พอเห็นผมตีแก้มตัวเองแทนที่จะตกใจ แต่พี่เขากลับยิ้มขำที่ผมดันทำตัวเองให้เจ็บเองอย่างมีความสุข
…
เคืองร้อยวินาที อย่ามาดีร้อยชั่วโมงเลยแบบนี้ ..
หลังจากที่ผมทำหน้าตูมแล้วตูมอีก
พี่เขาก็ยังไม่หยุดหัวเราะผมสักที จากที่ผมโกรธปลอมๆ มันก็ชักจะกลายเป็นโกรธจริงๆเข้าให้แล้ว
..
พอกลับมาถึงบ้านผมก็เลยรีบเดินตุบตับเข้าไปในบ้านทันที
แล้วพอเดินขึ้นมาจนถึงห้องนอนของตัวเองได้ ผมก็ปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
จากนั้นผมก็เดินไปหยิบไวโอลินตัวโปรดที่เดี๋ยวนี้มักจะได้ใช้งานจริงก็ต่อเมื่อผมมีเรียนในสาขาวิชาเอกเพียงเท่านั้น
..
ผมเริ่มสีไวโอลินในท่วงทำนองอันหนักหน่วง
ด้วยต้องการระบายอารมณ์ขุ่นเคืองให้มันบรรเทาลงด้วยเสียงเพลง
ผมบรรเลงบทเพลงไร้ทำนองอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์เป็นเวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงเต็ม
พออารมณ์เริ่มดีขึ้นผมก็นำไวโอลินตัวโปรดมาเก็บใส่ตู้ไม้เหมือนเดิม ..
แอ๊ด~
หลังจากอารมณ์ปรับอยู่ในขั้นปกติดีแล้ว
ผมก็เปิดประตูเตรียมจะเดินลงไปหาน้ำดื่มข้างล่าง แต่ปรากฏว่าคนที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องอารมณ์ขุ่นมัว
กลับนั่งเอาหลังพิงประตูรอผมอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู
และเมื่อผมดึงประตูเปิดออกอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง
พี่เขาก็เลยหงายหลังลงมานอนแหมะอยู่บนพื้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากปลายเท้าของผมนัก ..
เห็นอย่างนั้น
ผมก็เลยรีบชักฝ่าเท้าของตัวเองให้ออกห่างจากศีรษะของพี่เขาในทันที ..
ผมไม่คิดจะอยู่รอให้พี่เขาตั้งตัวได้ทัน
จึงรีบก้าวเท้าเดินหนีคนที่กำลังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมานั่งหลังตรงอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว
แต่ก็เดินไปได้ไม่ถึงสามก้าว ร่างกายของผมก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วยอ้อมกอดของพี่เขาแล้ว
ปลายคางของพี่เขาวางอยู่บนลาดไหล่ของผม
ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็ผสานกันอยู่บนหน้าท้องของผม
ซ้ำร้ายหน้าอกของพี่เขาก็ยังจะเอามาบดเบียดแผ่นหลังของผมอีก ..
นี่พี่เขาไม่คิดจะเหลือพื้นที่ว่างระหว่างเรา ไว้ให้ลมมันเล็ดรอดผ่านบ้างหรือ
?
“แหย่เล่นนิดเดียวเอง ..”
พี่เขาพูดเสียงอ่อนตรงข้างหู
“…” ส่วนผมก็ได้แต่นิ่งและเงียบงัน
หากแต่ริมฝีปากก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงชอบกระตุกอยู่เรื่อย …
ขอร้องล่ะ อย่ามาอยากยิ้มเอาตอนนี้เชียวนะ!
เพี๊ยะ!
อยู่ๆพี่เขาก็คว้าฝ่ามือของผมไปตีตรงข้างแก้มของตัวเองอย่างแรงเลย
ซึ่งผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปล่อยข้อมือสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงจากพี่เขาเสียเต็มที่
ผลปรากฏว่าข้างแก้มของพี่เขามีรอยแดงเป็นปื้นประทับอยู่อย่างชัดเจน
..
เมื่อพี่เขาทำท่าจะสะบัดข้อมือของผมให้ฟาดเข้าที่ข้างแก้มของตัวเองอีกรอบ
ผมก็รีบพลิกตัวหันหน้าเข้าหาพี่เขาในทันที
จากนั้นผมก็พยายามจะยื้อแย่งข้อมือของตัวเองให้หลุดพ้นจากการจับกุมของพี่เขาให้ได้
แต่พอข้อมือหลุดจากการจับกุม
ก็ดันกลายเป็นว่าใบหน้าของผมกำลังถูกตรึงให้ขยับไปไหนไม่ได้แทน …
“หายกันหรือยัง ? หืม ?”
พี่เขากระซิบถามผมเสียงแผ่ว ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขาก็ลากไล้ไปทั่วใบหน้าของผม
ส่วนผมก็ได้แต่ยิ่งหลับตานิ่งพร้อมด้วยหัวใจที่มันเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก …
“ถ้ายังไม่ตอบ .. พี่ก็จะง้อน้องแฟนแบบได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแบบนี้แหละ…” ดูคำพูดงอนง้อของพี่เขาสิ ทำไมมันถึงได้ฟังดูทะแม่งๆนักนะ …
“อื้อ” ผมรีบอ้อมแอ้มตอบในลำคอทันที
เมื่อริมฝีปากของพี่เขากดจูบลงบนลาดไหล่ของผมและนิ่งค้างเอาไว้อยู่นานหลายนาที
“อื้ออะไร
?”
พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาถาม แล้วก็เปลี่ยนมากดจูบบนลาดไหล่อีกข้างของผม
“หะ
..หาย ..กะ ..กัน ..ละ … แล้ว ..” สาบานได้ ที่เสียงของผมมันสั่น
และการออกเสียงก็ย่ำแย่ มันเป็นเพราะพี่เขานั่นแหละที่เอาแต่ใจ
มากดดันให้ผมรีบตอบคำถามในสิ่งที่เขาต้องการด้วยการจูบที่มันอุ่นวาบไปทั้งตัว …
“ว่าไงนะ ? ..” พี่เขาเงยหน้าขึ้นมาหรี่ตาข้างนึงเพื่อถามผม
“หะ
..” ผมจึงต้องพยายามเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดอีกครั้ง
แต่ผมก็ยังพูดไม่ทันจบประโยค พี่เขาก็ …
“ถ้าไม่ตอบ งั้นพี่จูบ ..”
พูดจบพี่เขาก็ทำท่าจะกดริมฝีปากลงบนริมฝีปากของผมจริงๆ ผมก็เลยละล่ำละลักตอบพี่เขาจนหูตาเหลือก
เนื่องจากผมกำลังตื่นเต้น …
“แต่ถึงน้องแฟนจะตอบ .. พี่ก็จะจูบ ..” ผมยังไม่ทันประมวลผลถ้อยคำของพี่เขาให้เข้าใจเลยสักนิด
ริมฝีปากของพี่เขาก็จู่โจมริมฝีปากของผมซะแล้ว กลีบปากของพี่เขาละเลียดชิมกลีบปากของผมราวกับขนมหวานแสนอร่อยอยู่นานสองนาน
จนกระทั่งขนมชิ้นนั้นที่พี่เขาโปรดปรานมันใกล้จะหมดลงทุกที ทุกที …พี่เขาก็ยิ่งละเลียดมันให้ช้าลง …
หากแต่ผมคนนี้ที่เปรียบเสมือนขนมหวาน กำลังใกล้จะหมดแรง .. และขาดอากาศหายใจ ..
“แฮ่กๆ” พอพี่เขาปล่อยให้ผมเป็นอิสระได้ ผมก็รีบกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ปอดในทันที
แต่ก็ทำอย่างนั้นได้ไม่นาน พี่คยูก็เข้ามาฉกฉวยอากาศหายใจไปจากผมอีกแล้ว
แถมคราวนี้พี่เขายังจูบผมอย่างร้อนแรงเสียจนในหัวของผมตื้อไปหมด
จึงได้แต่ตามน้ำพี่เขาไป ..
ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขากำลังควานหาความหวานจากกลีบปากของผม
ฝ่ามือทั้งสองข้างของพี่เขาก็โอบกระชับตัวผมให้เข้ามาแนบชิดกับพี่เขาจนร่างกายของผมแทบจะจมหายไปกับอกของพี่เขาแล้ว
แถมปลายเท้าของผมตอนนี้มันก็ปีนขึ้นไปเหยียบยืนอยู่บนหลังเท้าของพี่เขาจนเรียบร้อยแล้ว
…
“อ..อื้อ ..” ผมส่งเสียงทักท้วงเมื่อพี่เขาชักจะเพลิดเพลินมากเกินไปแล้ว
แต่ก็ดูเหมือนเสียงของผมจะเป็นเพียงแค่เสียงลมที่ไม่มีใครได้ยิน
พี่เขาถึงได้ยังดูดดึงเอาความหวานจากผมไม่มีหยุด ..
“อืม ..” ผมเขาคำรามในลำคอคล้ายกับพอใจในรสสัมผัสจากผมมาก
จนผมนึกอายจนหน้าขึ้นสี ..
“ฮื่อออ” ผมเริ่มส่งเสียงประท้วงอีกครั้ง
เมื่อพี่เขายังไม่ยอมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ และครั้งนี้ผมก็ออกแรงตุบตีพี่เขาด้วย
พี่เขาถึงได้ปล่อยให้ผมได้หายใจหายคอบ้าง …
ปากของผมตอนนี้มันจะต้องแดงมากแน่ๆ เพราะพี่เขาจูบผมถึงสองครั้งสองครา …
แบบนี้ผมจะกล้ามองหน้าพี่เขาได้ยังไง ..
แต่แล้วผมก็ยังไม่ทันได้คิดเขินอายให้มันจบไป พี่เขาก็เชยปลายคางของผมขึ้น
แล้วก็กดจูบลงมาบนกลีบปากของผมอีกแล้ว
ช่วงนี้พี่เขารุกผมด้วยจูบติดต่อกันหลายครั้งมาก …
มันกำลังเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่างที่ผมเริ่มจะลืมไปแล้วใช่หรือเปล่า
?
สิ่งที่ซองจินเคยเตือน มันใกล้จะเดินทางมาถึงแล้วหรือไง ?
ตึก ตึก ตึก …
“เฮ้ย! ทำอะไรกันวะ!”
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ฮ่าๆๆๆๆๆ ใครมาหว่า ? หมดเวลาค้ากำไรแล้วพี่โมโม กร๊ากกกกก
งานนี้มีคนโดนเตะโด่งออกจากบ้านแน่ๆ
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [35]