วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

[Fic KyuMin] Mistake 32

Mistake


Mistake 32

                ผมได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ อยู่กลางบ้านของไอ้มิสเทคอย่างเดียวดาย เพราะทันทีที่มันเดินตามผมเข้ามาในบ้าน มันก็เดินเลยผ่านผมขึ้นไปหาน้องมันข้างบนทันที
                กูนี่ยืนหง่าวท่ามกลางความมืดเลยครับ!

                คือบ้านของมันกูก็เพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก สวิตซ์ไฟแม่งอยู่ตรงไหนกูก็ไม่รู้ กว่ากูจะคลำหาเจอ กูนี่แทบจะเดินเตะข้าวของในบ้านมันแล้ว
                ทันทีที่ไฟสว่างวาบจนทั่วบ้าน ผมก็เริ่มต้นสังเกตไปรอบๆเป็นอย่างแรก คือบ้านแม่งสะอาดมาก หน้าอย่างไอ้ซองจินนี่กูไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นคนเจ้าระเบียบ ถ้าให้เดากูว่าเซอึนมากกว่าป่ะที่เป็นคนคอยจัดบ้านให้น่าอยู่ขนาดนี้ หึ!

                หมู่บ้านของไอ้มิสเทคถึงแม้ว่าพื้นที่จะมีไม่มาก แต่กูว่าก็น่าจะแพงอยู่แหละ ก็อย่างที่รู้กัน บ้านแต่ละหลังในเกาหลีแม่งแพงมหาโหด ถ้าไม่ใช่พวกผู้ดีเก่าหรือพวกที่เงินเดือนมากมายก่ายกองนี่คงไม่คิดจะซื้อบ้านอ่ะ กูพูดจริงเพราะคนส่วนใหญ่ในเกาหลีมักจะอยู่คอนโดมากกว่า เพราะค่าที่แม่งแพง สามคนนั้นถึงได้ลงทุนหารเงินกันซื้อบ้าน เพราะตัวเงินที่จะต้องจ่ายจริงมันไม่มากเท่ารับภาระคนเดียว ..
                แต่ต่อไปหนึ่งในสามคนนั้นคงต้องขอถอนตัวแล้วล่ะ เพราะมันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาหารเงินกันต่อไป ในเมื่อเซอึนก็เป็นแค่คนอื่นป่ะ ไม่ใช่แฟนของไอ้ซองจินสักหน่อย ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกับไอ้มิสเทค ในสายตาของกูก็ยังมองว่าเป็นคนอื่น ที่ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมามีส่วนได้ส่วนเสีย ..
                ไว้รอกูสบโอกาสเหมาะก่อน กูจะกำจัดศัตรูหัวใจของกูแน่ ..  

                เรื่องสั่งให้เลิกคบกันเป็นเพื่อน กูไม่ทำหรอกเพราะนั่นคือเรื่องของมันกับเพื่อน แต่กูจะแสดงให้เห็นว่าไอ้มิสเทคมันคือคนของกู ถ้าคิดจะชอบก็ชอบไป แต่อย่าทำตัวมีปัญหาเรียกร้องความสนใจจากมันมากเกินกว่าเพื่อน เพราะกูไม่ได้ใจกว้างพอขนาดนั้น เอาจริงๆกูเป็นคนที่รักใครแล้วกูก็รักจริงนะโว้ย ..
                ฉะนั้นเรื่องหวงแฟนนี่กูพูดเลยว่าหวงมาก ..

                ครืด ครืด ..

                ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ก็เห็นว่าเป็นพี่สาวของตัวเองที่โทรเข้ามา หลังจากที่กีดกันกูออกจากวงจรชีวิตมาพักใหญ่ ดีเลยกูจะได้เคลียร์ให้มันจบๆ
                “ไง .. จำได้แล้วเหรอว่ายังมีน้องชายคนนี้อยู่ในโลก ..” ผมเดินออกมานั่งคุยโทรศัพท์ตรงบันไดด้านนอกบ้าน ทำให้มองเห็นบรรยากาศเงียบสงบของหมู่บ้านของมันได้อย่างชัดเจน
               
                “ชิ .. อยู่ไหน ?” พี่อาราสะบัดเสียงใส่อย่างไม่พอใจกับคำกล่าวต้อนรับทางโทรศัพท์ของผมสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมพูดคุยกับผมดีๆเหมือนเดิม
                “ทำไมอ่ะ ?” ผมไม่ตอบ แต่ดันถามกลับ

                “แม่มาหา ตกลงแกอยู่ไหน ไม่กลับห้อง ?” พี่อาราเริ่มเสียงแข็ง บ่งบอกให้รู้ว่าจริงจัง
                “อยู่บ้านคนนั้นแหละ ..” ผมตอบโดยเลี่ยงที่จะตอบออกมาตรงๆว่าผมอยู่บ้านของใคร

                “อืม .. งั้นแค่นี้นะ .. อ้อ”
                “ผมมีเรื่องจะถาม ..” ผมกับพี่สาวพูดออกมาพร้อมๆกัน แต่แล้วพี่อาราก็ให้ผมเป็นฝ่ายพูดก่อน

                “พี่ลดตำแหน่งมันทำไม มันไม่ดีตรงไหน ?” ผมถามออกมาตรงๆและจริงจังในน้ำเสียง
                “ก็ไม่ใช่ไม่ดี แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดฉัน ในเมื่อฉันให้โอกาสไปแล้ว แต่ถ้าไม่รับมันก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะรับฮีชอลเข้ามาแทนที่ เพราะ ณ ตอนนี้ ไอเดียของเราตรงกันที่สุด ..” พี่อาราตอบกลับมาอย่างเฉียบขาด แต่ผมกลับไม่เข้าใจว่าไอ้มิสเทคมันได้รับโอกาสอะไร ในเมื่อทุกวันนี้ผมยังมองไม่เห็นโอกาสที่ว่านั่นเลย ..

                “อย่างเช่นเรื่อง ?
                “แผนงานของฉันตอนนี้จะมองแค่ด้านเดียวไม่ได้ ลูกค้าของเราเริ่มหลากหลาย ถ้าทำการตลาดแบบเดิมๆ คิดว่าผลประกอบการมันจะโอเคไหม ? สำหรับผู้บริหารอย่างฉัน ถ้าใครโชว์ผลงานที่ดีกว่าให้เห็น ฉันก็ต้องเลือกคนนั้น .. อย่าลืมสิ ก่อนที่ซองมินจะได้นั่งตำแหน่งนี้ คนเก่าก็ต้องโดนเขี่ยออกไปไม่ต่างกัน .. แต่นี่เป็นเพราะซองมินทำงานเก่งฉันเองก็เสียดายถ้าจะทิ้งเขาไป และที่สำคัญเขาก็เป็นคนสำคัญของแกจะให้ฉันใจร้ายได้ยังไง ?

               
                “แต่ในเมื่อเขาไม่ยอมรับความหวังดีของฉันที่อยากให้เขาก้าวหน้า มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องยอมลดตำแหน่งตัวเองลง .. จะคบกันฉันไม่ว่า เพราะซองมินก็นิสัยโอเค ดูจริงจัง ตั้งใจทำงาน แล้วก็รักครอบครัวมากๆด้วย แต่ถ้าคบกันแล้วมาคอยถ่วงกันแบบนี้ฉันว่ามันก็ไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่ .. คยูแกรู้ตัวไหมว่าทำให้เขายึดติดกับแกมากเกินไป ..” ผมอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะคิดไม่ถึงว่าเหตุผลจริงๆจะเป็นเพราะมันยึดติดกับผม

                ตั้งแต่เราคบกัน ผมกับมันก็ตัวติดกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอนทำงาน หรือหลังเลิกงาน ให้ตายเราก็เจอหน้ากันอยู่ดี แถมวิถีชีวิตของเราก็เริ่มค่อยๆโคจรออกห่างจากเพื่อนฝูงและครอบครัวของตัวเองอย่างไม่รู้ตัว
                ผมว่า คงไม่ใช่แค่มันคนเดียวแล้วที่ยึดติดกับผมน่ะ

                “อ้อ .. ฉันว่าจะบอกแกนานแล้ว แต่ฉันก็ยุ่งเรื่องบริษัทใหม่จนลืมไปเลย ..
                “อะไรอ่ะ ?” ผมถามอย่างล่องลอย

                “พ่อกับแม่ดูเหมือนจะไม่โอเคนะ ถ้าแกจะชอบผู้ชายด้วยกัน .. แต่ก็ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันก็พูดชมแฟนแกให้เขาฟังอยู่มาก ก็หวังว่าถ้าแกเปิดตัวเมื่อไหร่ เขาจะยอมรับได้น่ะนะ ..
                “อย่าพูดให้คิดมากดิวะพี่ นี่ก็กลัวๆอยู่ กะว่าจะพามันไปแนะนำที่บ้านเหมือนกัน คือผมสัญญากับมันไว้แล้วด้วย ให้กลัวยังไงก็ต้องบอกพ่อกับแม่ว่ะ ..” ผมขมวดคิ้วพลางทำสีหน้าเครียดๆ จนลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้กูปิดเรื่องมันกับคนที่บ้านจะตายห่า

                “ยังไงก็ต้องบอก เพราะสักวันเขาก็ต้องรู้ คิดอะไรมาก ..
                “คิดมากดิ .. แต่จะทำยังไงได้วะพี่ ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาชอบผู้ชาย .. แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าจะทำให้พ่อกับแม่เสียใจมากกว่าเดิม”

                “ตั้งแต่มีแฟนนี่มีหัวคิดขึ้นเยอะนะแก .. แค่เป็นเด็กดีไม่ทำตัวมั่วให้พ่อกับแม่ปวดหัวแบบแต่ก่อน พวกท่านก็ดีใจแล้ว .. รักแกนะ ..
                “ขนลุก .. ไปนอนแล้ว ฝันดี ..” ผมรู้สึกเขินๆแปลกๆ ผมก็เลยแกล้งทำเสียงแขยงๆ แล้วก็รีบวางสายจากพี่สาวของตัวเองทันที จากนั้นก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น เพราะผมมีเรื่องให้ต้องคิดหลายเรื่อง ..

                “พี่ไม่เข้าใจว่าทำไมซองจินต้องลงทุนขนาดนั้น .. บอกตรงๆนะ ใจพี่อยากโกรธนายมาก แต่มันโกรธไม่ลง ..” เสียงของมิสเทคมันดังมาจากที่ไหนสักแห่งแถวๆนี้แหละ ผมเลยลุกขึ้นยืน แล้วก็พยายามจะมองหา จนกระทั่งผมมองเห็นว่าสองพี่น้องกำลังปรับทุกข์กันอยู่ตรงสวนเล็กๆบนชั้นสอง
                ผมเลยทิ้งตัวลงนั่งที่เดิม ..
                เพราะกูตั้งใจจะแอบฟังด้วยความเสือกอย่างเต็มที่
               
               
                “เรื่องอื่นมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาหลอกว่าตัวเองตาบอดด้วย พอกันเลยทั้งนายทั้งจงจิน .. หมอกับคนไข้จำเป็นแบบนี้มันน่าจับตีให้ตาย แทนที่จะช่วยกันห้ามปราม แต่นี่กลับส่งเสริมกัน .. บอกตรงๆนะ วิธีที่จะเรียกร้องให้เขามาสนใจเรามันมีอีกตั้งมากมาย ไม่จำเป็นต้องมาโกหกแบบนี้ พอเขารู้ความจริงแล้วเป็นไงล่ะ ? คุ้มไหม ?

                “ก็ผมคิดอะไรไม่ออก พี่ไม่เป็นผมพี่ไม่รู้หรอก ..
                “ใช่พี่ไม่ได้เป็นนาย แต่เรื่องทำนองนี้ก็ใช่ว่าพี่จะไม่เคยเจอ .. เราควรทำตัวให้มีค่าสิซองจิน ไม่ใช่ทำตัวให้เขาเห็นใจ ความเห็นใจมันก็แค่การสงสารไม่ใช่ความรัก แบบนี้มันต่างจากเดิมตรงไหน ?” อืมนะ .. มึงให้คำแนะนำน้องซะกูมองเห็นภาพตอนที่กูถูกปั่นหัวจนแทบบ้าเลยว่ะ เออ .. ณ ตอนนั้นมึงมีค่ามากจริงๆ กูนี่โคตรดิ้น เพราะกลัวมึงจะหลุดมือ

                “ทำใจซะ .. ถ้ารักเขาแล้วเจ็บขนาดนี้ก็ควรจะรักตัวเองบ้าง พี่เป็นห่วงนายนะ ผอมไปมากรู้ตัวไหม ?
                “หึ .. ถ้าเลิกรักได้ง่ายๆก็ดีสิ .. ผมชอบเขามาตั้งกี่ปี พี่คิดว่ามันเลิกได้ง่ายๆเหรอ ?” เสียงของไอ้ซองจินแม่งเจ็บปวดมาก คือมันเหมือนคนอับจนหนทางจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าคนเถื่อนๆที่ชอบการยิงปืนอย่างมันจะมีมุมนี้กับเขาด้วย

                “พี่ ..
                “หืม ?” ทำไมแม่งพูดกันเสียงเบาจังวะ ลำบากต่อการเสือกของกูไหม ?

                “ผมมันโง่กว่าที่พี่คิดอีก .. เพราะผมดันรับปากไปแล้วว่าผมจะช่วยเขาเรื่องพี่ .. ผมยอมพาเขาเข้ามาพัวพันกับเราก็เพียงเพราะผมอยากอยู่ใกล้ๆเขา .. ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่าเขารักพี่ .. ผมก็ยังเลือกที่จะวิ่งตัดหน้ารถเขา เพื่อที่จะแกล้งตาบอด เพราะผมรู้ว่าเขาชอบอักษรเบลล์ ทางเดียวที่ผมจะทำให้เขาสนใจผมได้ก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่เขาชอบ จนกระทั่งลามมาถึงสิ่งที่เขารัก .. ผมนี่มันโง่จริงๆนะ ..” ไอ้ซองจินแม่งฉลาด วิธีจีบของมันนี่มาเหนือมาก พอๆกับพี่มันเลย เพียงแต่โชคร้ายที่เซอึนไม่เห็นความพยายามของมัน ..
                ก็อย่างว่าคนมันไม่รัก ก็คือไม่รัก ..
               
                “เห้อ .. ช่างเถอะ แค่นายสุขภาพร่างกายดีแข็งแรงดี พี่ก็โล่งใจแล้ว ..
                “ผมรักพี่นะ .. กลับมาอยู่กับผมบ้างสิ ทำไมต้องอยู่แต่กับแฟนด้วย .. แบ่งเวลาให้เท่ากันไม่ได้เลยเหรอ ?” ไอ้เวรซองจินนี่มึงอ้อนมิสเทคมันเรอะ คนแข็งกระด้างแบบมึงเนี่ยนะ

                “อืม ..ได้สิ ..
                “ขอบคุณครับ ..” แหวะ ไอ้สัส ขอบคุณครับเสียงแป้นแล้นเลยนะมึง!

                “ซองจินคิดว่าคยูเป็นยังไงบ้าง ?
                “ก็ไม่รู้สิ .. รู้สึกเฉยๆ แต่บางครั้งก็อยากตั้นหน้ามัน แม่งชอบทำท่าทางกวนตีน .. โอ้ย!” สมน้ำหน้า! ไงล่ะ โดนฝ่ามือพิฆาตเข้าไป กูนี่อยากจะหัวเราะให้ลั่น
                เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับกู รู้ไว้ซะว่ากูมีพี่มึงหนุนหลังโว้ยไอ้ซองจิน!

                “ไอ้คยูมันเป็นพี่นายนะ ดูพูดเข้า ..
                “เหอะ” ไอ้ซองจินมันทำเสียงแบบหมั่นไส้ใส่พี่มันอย่างดัง แต่กูมั่นใจว่าไอ้เสียงเหอะที่มันทำเนี่ย แม่งมอบให้กูชัดๆ

                “แต่ก่อนมันก็นิสัยไม่ค่อยดีหรอก แต่ตอนนี้มันก็โอเคนะ ..
                “ไม่ต้องมาพูดทำคะแนนความดีความชอบเลย ผมมีตาสังเกตุเองได้ คนมันจะดีไม่ว่าตอนไหนก็ต้องมองเห็น .. ทำไมพูดดักคอแบบนี้แสดงว่ากลัวโดนสั่งเลิก .. ชอบเขามากเลยเหรอ ?” ซองจินมันถามคำถามที่กูอยากจะได้ยินขึ้นมาเข้าพอดี กูนี่ตั้งใจเงี่ยหูฟังสุดชีวิต แต่แม่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ..
                สัส! พวกมึงโต้ตอบกันด้วยวิธีไหน เผื่อแผ่กูบ้าง!

                “อะไรนี่ชอบขนาดไปสักชื่อมันเลย ?
                “ชอบก็ส่วนชอบสิ .. แต่เรื่องชื่อที่สักนั่นไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย .. คือพี่ไม่อยากสักไง แต่วันก่อนนัดเจอกับไอ้ชินดงมันเลยคะยั้นคะยออยู่นั่น มันบอกมันอยากสักรูปปลาวาฬอะไรของแม่งก็ไม่รู้ พี่เลยอ้างไงว่ากลัวแฟนว่า มันก็เลยถามว่าแฟนชื่ออะไร พอบอกไปแม่งก็สักชื่อที่นิ้วให้เฉย..

               
                “แล้วเหตุผลของมันนะ โคตรบ้า .. มันบอกว่าถ้าแฟนพี่ให้มาลบออก พี่จะไม่โดนว่าสักคำ ทีนี้มันก็จะสักลายที่มันต้องการได้สมใจ ..
                ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยย!
                ความลับของรอยสัก ทำไมมันเชี่ยแบบนี้ กูเสียใจ T___T


 <-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>  
 
คึคึ ทำไมมิสเทค ปล่อยให้เพี้ยนคิดไปเองอีกแล้ว
 แถมคำพูดยังชวนให้คนเพี้ยนเข้าข้างตัวเองมากว่าเขาสักมาเพื่อตัว 555
 เจองี้คนเพี้ยนเฟลนะ 5555
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น