วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
           





[Special] Great Musician – Sungmin Part

                หลังจากที่เสียงเครื่องยนต์เคลื่อนตัวออกห่างจากโลกของผม ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเดิม เพียงแต่ผมอาจจะรู้สึกเหงาและใจหายเป็นพักๆ เมื่อสายตามันเอาแต่จะเหลือบมองไปยังบานหน้าต่างของห้องทางฝั่งตรงข้ามด้วยความลืมตัว..
หรือบางครั้งที่ผมเผลอตัวลงมือทำในสิ่งเคยๆ อย่างเช่นการร้องเรียกพี่เขาผ่านทางโทรศัพท์กระดาษ แต่ผลตอบรับที่ได้กลับเป็นความเงียบงัน
และไม่นานผมก็ตื่นจากฝัน เมื่อเสียงเครื่องยนต์ที่เคลื่อนห่างออกไปทุกที .. ทุกที ..
มันหวนกลับมาเตือนสติของผมว่า .. ‘โลกของผมในตอนนี้ มันไม่สมบูรณ์อีกต่อไปแล้ว

“ฉันตื่นเต้นว่ะ” อีทงเฮยืนย่ำเท้าบนพื้นข้างๆผมด้วยความตื่นเต้น เมื่อ ณ ตอนนี้มันใกล้จะถึงเวลาที่พวกเราชาวคณะดุริยางคศาสตร์ จะต้องขึ้นแสดงโชว์ที่ใช้วัดผลแทนการสอบปลายภาคแล้ว.
“คราว .. ที่ ..แล้ว ..นาย ..ก็ ..พูด ..แบบ ..นี้ ..” ผมพูดดักคอทงเฮอย่างรู้ทัน เมื่อคราวที่แล้วซึ่งเป็นการสอบเก็บคะแนนรอบแรกมันเพิ่งจะผ่านพ้นไป และอีทงเฮก็ออกอาการตื่นเต้นไม่แพ้กับตอนนี้เลยทีเดียว ..

“ก็สอบคราวนั้นเรายังมีสิทธิ์แก้ตัวคราวนี้นี่ .. แต่รอบนี้ ถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย จะไม่ให้เครียดได้ไง ?
“เพื่อน ..ของ ..ฉัน ..เก่ง ..จะ ..ตาย .. รอบ ..ที่ ..แล้ว ..อา ..จารย์ ..ชม ..ไม่ ..ขาด ..ปาก ..เลย” ผมยิ้มบางๆให้ทงเฮ แต่กลับฉายแววตาเศร้าสร้อย เมื่อก้มลงมองไวโอลินในอ้อมแขนของตนเอง ..

ผลการสอบรอบที่แล้ว ผมทำคะแนนได้ไม่ดีนัก เนื่องจากจิตใจของผมไม่ได้จดจ่ออยู่กับกิจกรรมที่ตนเองกำลังทำดังนั้นผมจึงได้รับคำติเตียนจากอาจารย์มามากมาย
เหตุที่ทำให้ผมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะช่วงเวลาที่ผมกำลังขึ้นเวทีเพื่อทำการแสดงของตัวเอง มันเป็นเวลาเดียวกันกับไฟล์ทบินของพี่เขากำลังทะยานขึ้นสู่แผ่นฟ้า

ข้อความสุดท้ายจากพี่เขา มันทำให้หัวใจของผมหวิวไหว อีกทั้งความอ่อนแอมากมายก็ดาหน้าเข้ามาสุมอยู่ในอก ซึ่งเวลานั้นผมต้องแสดงบทเพลงรักแสนหวานท่ามกลางหัวใจที่กำลังสั่นคลอน
ผมต้องปลดปล่อยความอบอุ่น อ่อนหวานของบทเพลงผ่านทางสีหน้าและท่วงทำนองอันไพเราะ แต่ในเวลานั้นผมกำลังอยากจะร้องไห้ น้ำตาของผมมันคลออยู่ในหน่วยตาจนเต็มพื้นที่
บทเพลงของผมที่มันควรจะสะกดคนดูให้ซาบซึ้ง จึงกลายเป็นบทเพลงอันไร้ค่า
เมื่อผู้เล่นไม่ได้แสดงศักยภาพอันน่าทึ่งอย่างที่ควรจะทำ ..

รักผมเปิดอ่านข้อความสั้นๆจากพี่เขาราวกับตกอยู่ในภวังค์ ผมจ้องมองคำคำนั้นราวกับว่ามันจะปรากฏใบหน้าของผู้พูดให้ผมเห็น ..
“นายเองก็เก่งนะซองมิน .. ถ้าความเศร้ามันไม่กัดกินหัวใจของนายจนผุพังไปซะก่อน ..” ผมเงยหน้าขึ้นมองทงเฮ จึงทำให้ผมเริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าผมกำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองจนอีกฝ่ายก็รู้สึกได้ ..

“เฮ้ยๆ คิวฉันแล้วว่ะ .. เร็วจริงเลยโว้ย .. ตื่นเต้นสาดดดดด” อีทงเฮตีไหล่ผมแปะๆ พลางย่ำเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม จากนั้นผู้ชายตัวเล็กก็เดินออกไปยืนตรงกลางเวทีด้วยมาดสงบนิ่ง ผิดจากท่าทางเมื่อครู่นี้ลิบลับ ..
เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ..’ ผมกดข้อความส่งหาพี่เขา แม้ว่าผมจะทราบดีว่าอีกฝ่ายคงจะไม่มีทางได้รับมันอย่างแน่นอน เนื่องจากพี่เขาต้องใช้เครือข่ายโทรศัพท์ของทางประเทศนั้นๆ ซึ่งเบอร์โทรก็อาจจะเปลี่ยนไป

การแสดงของทงเฮในวันนี้ก็ยังคงน่าประทับใจไม่มีที่ติ เสียงฟรุตที่บรรเลงในท่วงทำนองหวานซึ้ง สามารถสะกดผู้ฟังได้แทบทั้งหอประชุม
ซึ่งผู้ฟังในวันนี้ นอกจะมีอาจารย์ประจำคณะแล้ว ก็ยังมีนักศึกษาภาควิชาดุริยางคศาสตร์ทุกชั้นปีมาร่วมชื่นชมการแสดงกันอย่างคับคั่ง ..
นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้แสดงตื่นเต้นกันเป็นพิเศษ ..

“อีซองมิน ..” หลังจากที่เพื่อนๆแสดงฝีมือไปคนแล้วคนเล่า ก็มาถึงคิวของผมในที่สุด ผมค่อยๆเดินออกมาจากด้านข้างเวทีอย่างเชื่องช้า พลางหลับตาทำจิตใจให้สงบ ..
วันนี้ผมจะพลาดไม่ได้
ผมต้องเข้มแข็งและปล่อยวางทุกสิ่งอย่างให้หมดสิ้น..

ผมยกไวโอลินขึ้นมาวางพาดบนลาดไหล่ จากนั้นผมก็ยกคันชักขึ้นมาวางตรงกึ่งกลางระหว่างฟิงเกอร์บอร์ดกับหย่อง ผมเริ่มออกแรงใช้ข้อมือสีไวโอลินเป็นบทเพลงที่ผมเคยใช้สอบเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ปัง!

ผมเหลือบไปมองยังบานประตูทางเข้าหอประชุมอย่างวอกแวก เมื่อสมาธิทั้งหมดถูกชักพาให้หันไปสนใจกับเสียงดังตึงตังเมื่อครู่ ไม่นานร่างสองร่างของผู้ชายที่ทำให้เกิดเสียงรบกวนก็ก้าวเดินเข้ามาใกล้กับเวทีที่ผมกำลังยืนอยู่มากขึ้น
ผู้ชายสองคนนั้นก้มหัวพลางขอโทษขอโพยผู้คนที่พากันหันไปมองเขาสองคนเป็นการใหญ่ จากนั้นหนึ่งในสองหนุ่มจากคณะวิศวะที่ไม่ควรจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะดุริยางคศาสตร์ก็หยิบกล้องวีดิโอขึ้นมา ราวกับจะทำตัวเป็นสโตรกเกอร์
ผู้ชายสองคนที่ผมพูดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นพี่ชายข้างบ้านที่มีนามว่า ชางมิน กับ จงฮยอน นั่นเอง ..

ผมเหลือบมองพวกพี่เขาอย่างนึกสงสัย ขณะที่พี่จงฮยอนกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรบางอย่างอยู่บนหน้าตักของตัวเอง ส่วนพี่ชางมินกำลังถือกล้องวีดิโอนั่งหลังตรงจนคอยืดคอยาวอยู่บนที่นั่งของผู้ชม ..
บทเพลงของผมเกือบจะล้มลงไม่เป็นท่าเมื่อพี่จงฮยอนกำลังสวมหน้ากากของพี่คยูฮยอนมองมาทางผม ขณะที่สองมือของพี่จงฮยอนกำลังหยิบจับอะไรบางอย่างยื่นไปทางหน้าจอของกล้องวีดิโอที่พี่ชางมินถือเอาไว้ ..
ก็ไม่รู้ว่าพวกพี่เขาทำอะไรของเขากัน
แต่มันก็ทำให้ผมอุ่นใจขึ้นเยอะเลย ..

แปะ แปะ
แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ แปะ

เสียงปรบมือดังขึ้นจนเต็มหอประชุมทันทีที่ผมบรรเลงบทเพลงมาจนถึงโน้ตตัวสุดท้าย แต่เห็นจะมีแต่เสียงปรบมือของพี่ชางมินที่โยนกล้องลงบนตักกับพี่จงฮยอนที่สวมหน้ากากของพี่คยูฮยอนอยู่บนหน้านั่นแหละที่มันออกจะเอิกเกริกไปเสียหน่อย ..
“น้องผม! น้องผม!” พอเสียงปรบมือเงียบสนิท พวกพี่เขาก็ลุกขึ้นยืน พลางก้มหัวไปทั่วทุกสารทิศ พร้อมกับประกาศบอกคนอื่นๆว่าผมคือน้องชายของพวกเขา ..

“พวกเธอไม่ใช่เด็กดุริยางคศาสตร์นี่ ?” พออาจารย์หันกลับไปมองพวกพี่เขาที่เอาแต่นำเสนอผมไม่หยุด พวกพี่เขาก็ยืนนิ่งค้างเป็นหิน จากนั้นก็พากันยิ้มแหยแล้ววิ่งออกจากหอประชุมไป ..
เหลือทิ้งเอาไว้เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของผมเท่านั้น ..

หลังจากฟังคอมเม้นต์ในส่วนผิดพลาดของแต่ละคนเสร็จเรียบร้อย ผมกับทงเฮก็แยกย้ายกัน เพราะอีกฝ่ายมีธุระส่วนตัวต้องไปทำ ผมจึงเดินออกมาจากหอประชุมเป็นคนสุดท้าย ..
“อ่ะ!” ดอกกุหลาบสีแดงสดหนึ่งดอกถูกยื่นมาตรงหน้าผม และเมื่อผมหันไปมองผู้ให้ ก็เห็นว่าเป็นซองจินที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่ออยู่

“รับๆไปสักทีสิ!” ซองจินเขย่าดอกไม้ในมืออยู่หลาย หน้าตาก็เริ่มบูดบึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมไม่ยอมรับดอกไม้จากเขาเสียที
“เอา ..มา ..ให้ ..พี่ ..ทำ ..ไม ..พี่ ..ไม่ใช่ ..ผู้ ..หญิง ..ของ ..ซองจิน ..สัก..หน่อย” ผมรับดอกกุหลาบมาจากซองจิน จากนั้นก็นำมันไปโบกขึ้นโบกลงตรงหน้าซองจินเพื่อรอคอยคำตอบ

“ก็ลุงรหัสมันสั่งมา .. รับๆไปเถอะ ถามมากจริง ..” ซองจินตัดบท พลางลากแขนผมให้เดินตามตัวเองต้อยๆ
“เดี๋ยว ..ไว ..โอ ..ลิน ..พี่ ..หล่น ..ปล่อย ..ก่อน ..สิ” ผมเขย่าข้อมือของตัวเองไปมา เพื่อบอกให้ซองจินรู้ตัวว่าเขากำลังคว้าข้อมือข้างที่ผมถือไวโอลินอยู่ หากฉุดกระชากลากถูกันแบบนี้ ประเดี๋ยวมันได้ล่วงลงกับพื้นดินแน่ ..

“หิวยัง ?” หลังจากขึ้นมาบนรถ ซองจินก็ถามความเห็นของผม
“อื้อ .. แล้ว ..ก็ ..ดอกไม้ ..นี่ ..ขอบ ..คุณ ..นะ” 

“บอกแล้วไง .. ไอ้พี่ชางมินมันสั่ง จะขอบคุณทำไม” ซองจินขับรถไปด้วย พลางเถียงกับผมไปด้วย ซึ่งจากมุมมองที่ผมเห็น จะรู้ได้เลยว่าซองจินกำลังเขินอายมากแค่ไหน เพราะตอนนี้ใบหน้าของเขากำลังแดงก่ำอย่างเห็นได้ชัด ..
” ผมไม่ตอบรับใดๆ แต่กลับนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แม้ว่าความจริงผมจะไม่ได้ชอบดอกไม้พวกนี้มากมายนัก ก็แน่ล่ะ ผมไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ชอบกลิ่นหอมของดอกไม้สักหน่อย ..

“ยิ้มอยู่นั่น .. ก็บอกแล้วไงว่าไอ้พี่ชางมินมัน ..
“รู้..แล้ว.. น่า ..
ซองจินพาผมมาร้านขายน้ำเต้าหู้ที่ตลาดหลังมหาลัยของเด็กวิศวะ ทำให้ผมออกอาการงุนงงไม่น้อย เพราะเมื่อครู่ซองจินดูเหมือนจะถามผมว่า หิวหรือยังไม่ใช่เหรอ ? ฉะนั้นมื้อเย็นแบบนี้ เราควรจะทานของที่มันหนักท้องสิ
“ไม่..ทาน ..ข้าว ..เหรอ ?” ผมกระตุกข้อมือของซองจิน พลางออกปากถามอย่างสงสัย
“ทำไมอ่ะ ? แปลกตรงไหน ? ก็เห็นชอบกินแทนข้าวอยู่บ่อยๆ” ซองจินตอบผมสั้นๆ แล้วก็เดินเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างสนิทสนม จากนั้นก็ช่วยรุ่นพี่คนนั้นจัดเตรียมร้านไปด้วยในตัว ..

ส่วนผมก็เดินแยกมาหาที่นั่งมุมประจำของตนเอง พลางครุ่นคิดประโยคเมื่อครู่ของซองจิน ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ครั้นเมื่อแปลความหมายออก ผมก็ต้องแอบเบะปากใส่น้องชายตัวดีที่ชอบทำตัวไม่ดีกับพี่ชายในไส้ แต่ชอบทำตัวดีมีวินัยกับพี่ชายนอกไส้เสียเหลือเกิน ..
พี่ไม่ได้ชอบกินแทนข้าวสักหน่อย
พี่ก็แค่ชอบทาน เพราะคนที่พี่ชอบ ซื้อมาให้เท่านั้นเอง ..

“ไปไหน ?” ผมเงยหน้าขึ้นถามซองจิน เมื่อน้องเอาน้ำเต้าหู้ผสมเครื่องมาเสิร์ฟ จากนั้นก็ทำท่าว่าจะเดินปลีกตัวไปที่ไหนสักแห่ง
“ไปหาซื้อของหนักท้องมาให้กินไง” ซองจินหันหน้ามาตอบผม แล้วก็เดินออกไปด้วยมาดนิ่งๆ ส่วนผมก็ได้แต่อมยิ้มกับท่าทางนิ่งเงียบของน้อง ..

หลังจากทานมื้อเย็นพร้อมด้วยน้ำเต้าหู้เสร็จเรียบร้อย ซองจินก็ไปล่ำลารุ่นพี่ แล้วก็ปลีกตัวออกมาจากร้านพร้อมผม พอกลับมาถึงบ้าน เราก็ต่างคนต่างเข้าห้องนอนของตัวเองในทันที ..
ช่วงนี้ซองจินกลับมานอนที่บ้านทุกวันเลย ..
พอผมไม่เหลือใคร ซองจินก็มักจะกลับมาหาผมเสมอ ..

ครืด ครืด

ผมกำลังอาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่ปรากฏว่าเสียงโทรศัพท์ดันเรียกร้องความสนใจจากผมอยู่ด้านนอก ผมจึงจำเป็นต้องปล่อยให้มันร้องเรียกผมต่อไป เนื่องจากว่าตอนนี้บนศีรษะของผมมันเต็มไปด้วยฟองยาสระผม อีกทั้งเนื้อตัวของผมก็เต็มไปด้วยฟองสบู่เหลว ..
กว่าผมจะจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อย หน้าจอโทรศัพท์ของผมก็ดับสนิทไปนานแล้ว ..

ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอนของตัวเอง จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดดูเบอร์โทรที่ไม่ได้รับ ปรากฏว่ามันเป็นเบอร์ที่ผมไม่รู้จัก อีกทั้งหมายเลขโทรศัพท์ก็ยังแปลกตาอีกด้วย ..
ราวกับว่ามันคือเบอร์โทรศัพท์จากต่างประเทศ ..

ความคิดที่จินตนาการขึ้นมาเอง ทำเอาข้อมือของผมสั่น อีกทั้งหัวใจของผมก็ยังสั่นไหว ในใจก็ได้แต่ภาวนาให้บุคคลปลายสายพยายามกดโทรหาผมอีกครั้ง ..
และครั้งนี้ผมจะไม่ให้เขาคนนั้น ต้องรอคอยนานๆอีกต่อไป ..

“ฮะ ..” ไม่นานจากนั้น ปลายสายก็โทรเข้ามาหาผมอีก และคราวนี้ผมก็รีบกดรับทันที แต่ดูเหมือนว่าผมรวดเร็วของผมจะยังไม่เท่ากับบุคคลปลายสายเลยนะนั่น
“สวัสดีครับ .. นี่ใช่เบอร์โทรศัพท์ของคุณอีซองมินหรือเปล่าครับ .. คือผมอยากจะคุยกับเขาน่ะครับ .. ผมโจวคยูฮยอนนะครับ .. ช่วยบอกให้เขารีบมารับสายของผมที ..

“ผ ..ผม ..
“ช่วยบอกเขาทีนะครับว่าผมคิดถึง อยากได้ยินเสียงมากกว่านี้ .. ฮ่าๆ” หลังจากที่พี่เขาแย่งผมพูดจนพอใจแล้ว พี่เขาก็หัวเราะออกมาจนเสียงดังลั่น

“หัว..เราะ ..อะไร ..ครับ ..” ผมถามพี่เขา พลางทิ้งตัวลงนอนกอดหมอนข้างและห่มผ้าห่มที่พี่เขายกให้ผมก่อนที่เขาจะไปเรียนต่อต่างประเทศ
“ต้องรีบฝึกพูดให้คล่องนะน้องแฟน ไม่งั้นพี่ได้แย่งพูดหมดแน่ ..

“หึ ..” ผมหลุดหัวเราะกับคำสั่งของพี่เขา

“จะนอนหรือยัง ? ที่นี่จะห้าโมงแล้ว .. อีกเดี๋ยวพี่ก็ต้องไปเรียนแล้ว .. ขี้เกียจจริงๆ”  พี่เขาอ้อนผมเสียงอู้อี้ราวกับพี่เขาบี้หน้าลงกับหมอนหรืออะไรสักอย่าง ..

“ยัง..ครับ .. ผม ..อยาก ..คุย ..กับ ..พี่ ..” ผมตอบพลางเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง ขณะที่มือก็ถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้ตรงข้างใบหู
“ช่วงอาทิตย์แรกพี่ไม่มีเวลาเลย มัวแต่วุ่นหาหอแล้วก็ทำเรื่องเทียบโอนด้วย เพิ่งจะมีเวลามาหาซื้อซิมของบ้านเขาใช้ แล้วก็โทรหาเรากับไอ้พวกนั้นนี่แหละ ..

“อื้อ”
“คำนวณคร่าวๆแล้ว พี่น่าจะใช้เวลาเรียนสองปีนะ เพราะมีบางตัวที่สามารถเทียบโอนได้เลย ..” พอพี่เขาบอกข่าวดีนี้กับผม ริมฝีปากของผมก็ฉีกออกกว้างทันที ..

“แต่พี่ว่าจะต่อโทด้วย ก็คงจะสี่ปีเท่าเดิม ..” ผมยิ้มค้างทันทีที่พี่เขาพูดจนจบประโยค แต่ผมก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไรออกไป

“สอบวันนี้เป็นไงมั่ง ?” พี่เขายังคงถามต่อไป และคำถามนั้นก็ทำเอาผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ครับ ?

“สอบเดี่ยวไวโอลินไง”
“ก็ ..ดี ..ครับ ..” ผมตอบพี่เขาพลางอมยิ้มจนเต็มแก้ม เมื่อความเป็นมาเป็นไปของผมยังคงอยู่ในสายตาของพี่เขาเสมอ แม้ว่าพี่เขาจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ ข้างๆผมก็ตาม ..

“มันแค่ก็ดีที่ไหน .. พี่ว่ามันดีมากเลยต่างหาก ..” คำพูดของพี่เขาทำเอาผมใจเต้นระรัวอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ริมฝีปากมันสั่นระริก อยากจะถามพี่เขาว่า ทำไมพี่เขาถึงพูดอย่างนั้น ..
ที่พูดไปแค่ต้องการเอาใจผมหรือว่าพี่เขาได้ฟังมันจริงๆ

“อนาคตน้องแฟนต้องเป็นนักดนตรีที่ยอดเยี่ยมแน่ๆ”
“พ..พี่ ..ฟะ ..ฟัง ..มา ..จาก ..ที่ ..ไหน” ผมละล่ำละลักถามพี่เขาอย่างดีใจจนทำอะไรไม่ถูกที่การสอบของผมก็อยู่ในสายตาของพี่เขาด้วย ..

“ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดก็ได้มั้งงง .. ไอ้จงฮยอนมันคอลหาพี่ ตอนที่เราขึ้นแสดงน่ะแหละ .. พวกมันนี่ก็ประสาท เอากล้องวีดิโอมาถ่ายซูมเราเพื่อที่พี่จะได้มองเห็นเราใกล้ๆ ไม่บ้านี่ทำไม่ได้นะนั่น ..” ผมอมยิ้มออกมาอีกแล้ว แค่ฟังที่พี่เขาเล่า ผมก็นึกสภาพหลังเลนส์กล้องวีดิโอตัวนั้นออกเลยว่ามันสับสนและวุ่นวายแค่ไหน

“แต่เพราะความบ้าของมันนี่แหละที่ทำให้พี่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องแฟน ..” คำพูดของพี่เขาทำให้ผมเปลี่ยนจากแค่อมยิ้มเป็นยิ้มกว้างขึ้นมาทันที ..
“ถ ..ถ้า ..ผม ..รู้ ..ว่า ..พี่ ..กำ ..ลัง ..ดู ..อยู่ ..ผม ..จะ ..ยิ้ม ..ให้ ..มาก..กว่า ..นั้น ..อีก ..” ผมบอกพี่เขาตามที่ใจของผมอยากจะทำ เล่นเอาพี่เขาหัวเราะด้วยความเอ็นดูเสียยกใหญ่

“ไว้คราวหน้าพี่จะคอลหานะ .. รอบนี้ได้ยินแค่เสียงไปก่อน .. จะได้เมมเบอร์ใหม่ของพี่ไว้ ..
“อื้อ”



“นอนเถอะจะเที่ยงคืนแล้ว .. พี่จะได้มีเวลางีบอีกนิด ..
“ครับ ..” ผมตอบรับพี่เขาเพียงสั้นๆ เพราะผมยังไม่อยากจะวางสายจากพี่เขานัก เราไม่ได้คุยกันเป็นอาทิตย์ๆ ดังนั้นการได้พูดคุยกันเพียงแค่ไม่กี่นาที มันทำให้ยังไม่เต็มอิ่มกับการได้ยินเสียงของพี่เขาเลย ..

“กุหลาบดอกนั้น ถึงจะเหี่ยวก็ห้ามทิ้งเด็ดขาด .. ฝันถึงพี่นะ ..ถึงจะเรียกว่าฝันดี ..” ณ ตอนนี้ผมได้ยินเพียงแค่สัญญาณโทรศัพท์เพียงเท่านั้น แต่ผมก็ยังคงถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้ตรงข้างใบหู
ดวงตาของผมเหลือบมองไปยังดอกกุหลาบที่ผมวางเอาไว้บนโต๊ะหนังสือ จากนั้นสมองก็เริ่มคิดทบทวนในคำพูดของพี่เขา
กุหลาบดอกนั้น แท้ที่จริงมันมาจากพี่เขาหรอกหรือ ?
ผม .. กำลังจะยิ้มกว้างออกมาอีกแล้ว


<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>



มาต่อจนครบตอนแล้ว อิพี่สันขวาน (เรียกตามคนอ่าน) ดูทำตัวให้ยุ่งยากเนอะ แต่ก็เพื่อที่เพื่อนจะได้มองเห็นแฟนตัวเองชัดๆ ก็เลยต้องลงทุนกันหน่อย อีกอย่างการมาถึงของอิพี่สันขวานก็ทำให้น้องแฟนอุ่นใจด้วย คึคึคึ แต่เหนือสิ่งอื่นใด พี่โมเมของเราก็ยังคงทำให้น้องแฟนมีความสุขมากอยู่ดี ..
ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นตัวเราต่างหากที่ทำให้มันกลายเป็นอุปสรรค จริงไหม ? ฟิคโลกสวย ก็ต้องมาพร้อมกับแนวคิดสวยๆ 555555555555

เห็นคนอ่านขอตอนพิเศษสักสิบยี่สิบตอน คนเขียนแทบอยากจะเป็นลม เค้าคิดไว้สาม สี่ตอนเองพวกเธอ! เอาเป็นว่าจะพยายามยืดพล็อตให้เท่าที่จะทำได้แล้วกันเนอะ
ฝากเรื่องใหม่ด้วยค่ะ ลงแค่อินโทลอาจจะยังงง แต่เดี๋ยวถ้าเริ่มเรื่องเมื่อไหร่เราจะทำให้เรื่องกระจ่างขึ้นว่าอะไรเป็นมายังไง เรื่องนี้เป็นแนวโรแมนติกดราม่า (นิดหน่อยค่ะ) จะพยายามเขียนเรื่องให้อยู่ในกรอบของฟิคเรื่องยาวที่ผ่านมาทั้งสามเรื่องแล้วกัน คนอ่านจะได้ไม่ซีเรียส
[KyuMin Fic] Melted : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1164250




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น