Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[52]
ค่ำคืนนั้นเราปลอบใจกันและกันท่ามกลางความเงียบ
อีกทั้งความมืดมิดยังเป็นเกราะป้องกันความอ่อนไหวในจิตใจของเราสองคนได้เป็นอย่างดี
อ้อมกอดของผมกับพี่เขาในเวลานั้น ต่างก็พากันโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ราวกับหวาดกลัวว่าวันหนึ่งความอบอุ่นเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงแค่อดีตให้หวนกลับมานึกถึงเพียงเท่านั้น
..
ประโยคคำถามเล่นๆในตอนนั้น
แท้ที่จริงมันคือประโยคที่ถามไถ่อย่างจริงจัง เมื่อคุณย่าเดินทางมาที่นี่
เพื่อทำเรื่องติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการตอบรับทุนการศึกษาของพี่เขา …
ทันทีที่ทำเรื่องเสร็จเรียบร้อย …
ผมก็จะไม่มีพี่เขาคอยอยู่เคียงข้างอีกต่อไป …
“ซองมินเป็นอะไรวะ ?” อีทงเฮโบกมือไปมาตรงหน้าผมอยู่หลายต่อหลายที
แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าผมจะรู้สึกตัว จนกระทั่งเขาตบโต๊ะจนเสียงดังสนั่น
ความคิดของผมจึงกลับมาอยู่กับความเป็นจริงตรงหน้า …
“เปล่า ..” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
เนื่องจากผมไม่อยากทำให้ทงเฮคอยเป็นกังวลไปด้วย
เพราะช่วงนี้ทงเฮเองก็ต้องรับมือกับเรื่องราวของตัวเองไม่น้อย ..
“ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลายังจะบอกว่าเปล่าอีก”
ทงเฮส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย
พลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะม้าหินอ่อนไปมาอยู่หลายที ..
“…” ผมถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อความจริงมันจุกอกจนแทบจะล้นทะลัก
“พี่เขาต้องไปจริงๆเหรอวะ
? ปฏิเสธหรือต่อต้านอะไรไม่ได้เลยเหรอ
?” หลังจากที่ผมกับเขา ต่างคนต่างก็เงียบไปนาน
อยู่ๆอีทงเฮก็เอ่ยถามขึ้น ซึ่งคำถามของเขามันสร้างความตกใจให้กับผมเป็นอย่างมาก
เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ผมยังไม่ได้บอกใครสักคน ..
“ฉันรู้มาจากฮยอกแจ .. ” ทงเฮไหวไหล่
พลางบอกที่มาที่ไปของข่าวคราวที่เขาทราบมา
ซึ่งข่าวจากอีฮยอกแจก็คงจะรู้มาจากใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่จากคณะของเขาเอง
ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็คือคนรักของผม ..
‘ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว .. ยังไงก็คงต้องไป’
ผมหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียนข้อความตอบโต้กับอีทงเฮ
พลางถอนหายใจ เมื่อนึกไปถึงความจริงที่พี่เขาสารภาพออกมา ..
พี่เขาบอกผมว่า พี่เขาพลาดเอง พลาดมาตั้งแต่แรก ..
พอคิดจะแก้ไข มันก็สายไปแล้ว ..
พี่เขาพร่ำขอโทษผมไม่หยุด เมื่อเขาคือต้นเหตุที่ทำให้โลกของผมมันสั่นคลอน
จริงอยู่ที่ตอนแรกพี่เขาตั้งหน้าตั้งตาสอบเพียงเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวของพี่เขาเห็น
แต่พอเกิดเรื่องของผมกับมินโฮ พี่เขาก็ตบปากรับคำที่จะใช้ทุนนั้นให้เป็นประโยชน์ ..
จนกระทั่งเรื่องราวเข้าใจผิดต่างๆมันเริ่มคลี่คลาย พี่เขาจึงรีบติดต่อสะสางเรื่องยุ่งๆที่เขาก่อไว้อย่างเร่งด่วน
แต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น …
และตอนนี้มันก็ถูกอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว
…
ความจริงของเรื่องนี้ ผมไม่อาจจะรู้ได้เลย
ถ้าหากผมไม่ออกปากถามพี่เขาอย่างจริงจังอีกครั้ง ทีแรกพี่เขาก็อิดออด
เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอก เพราะพี่เขาไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ แต่พอผมบอกพี่เขาว่า
ยิ่งพี่เขาทำแบบนี้ ผมต่างหากที่จะยิ่งไม่สบายใจ
สุดท้ายผมจึงได้ทราบความจริงทั้งหมด ..
ซึ่งมันทำเอาผมพูดไม่ออก ..
เพราะพี่เขาก็พลาดเองจริงๆ ..
ผมจะโกรธพี่เขาก็โกรธไม่ลง
เพราะผมเองก็เข้าใจว่าเรื่องราวที่ผ่านมา ในมุมมองของพี่เขามันคงเจ็บปวดมาก
เพราะการนอกใจไม่ใช่เรื่องราวที่ใครๆจะยอมรับกันได้ง่ายๆ
สรุปแล้วเรื่องนี้ถ้าหากจะถามหาคนผิด
ผมก็บอกได้แค่ว่า..
เราสองคน ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ..
พี่เขาต้องเก็บงำเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว แถมยังต้องต่อสู้ดิ้นรนเพียงเพื่อให้โลกของผมไม่ต้องเคว้งคว้างอยู่ฝ่ายเดียว
แค่นี้มันก็ทำให้หัวใจของผมอบอุ่นได้มากมายแล้ว..
หากแต่ความอบอุ่นเหล่านั้น มันไม่อาจส่งผ่านมาถึงก้นบึ้งของหัวใจผมได้เลย ..
การต้องยิ้มทั้งที่ใจไม่อยากจะยิ้ม
มันทรมานดีจริงๆ
“ไม่อยากให้พี่เขาไป
แต่ก็ผลักไสให้พี่เขาไปเนี่ยนะ เชื่อเค้าเลย..” อีทงเฮถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ
เมื่อผมบอกความจริงอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้พี่เขาแทบจะหมดแรงในการดิ้นรน …
“….” ใช่แล้ว .. ผมเป็นคนผลักไสให้พี่เขาทำใจยอมรับความจริงนั้นให้ได้
.. และผมเองก็สัญญาว่าผมจะต้องยืนด้วยขาของตัวเองเช่นกัน …
อย่างน้อยเราสองคนก็ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย …
บางทีการเสียสละของผม อาจจะทำให้คุณย่าเห็นใจผมบ้างก็ได้ ..
วันนั้นที่พี่เขามารับผมที่บ้านของทงเฮ คือวันที่คุณย่าเดินทางมาที่นี่เพื่อทำเรื่องขอการอนุมัติจากทางมหาวิทยาลัย
ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็ทราบกันดี ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ของพี่เขาหรือแม้แต่ตัวของพี่เขาเอง
…
พี่เขาถึงได้ออกอาการกระวนกระวาย และหงุดหงิดอย่างที่เห็น ..
คืนนั้นผมออกปากถามพี่เขาว่า
พี่เขาจะบอกผมเรื่องนี้เมื่อไหร่ พี่เขาเงียบไป เพราะเขาไม่กล้าพูด
และเขาก็ยังหวังว่าเรื่องราวเหล่านี้มันจะต้องมีทางออก พี่เขาจึงรอเวลาต่อไปโดยที่ไม่คิดจะบอกผม
…
แต่เพราะความอ่อนแอของพี่เขานี่ล่ะ ที่มันจุดความสงสัยของผม
จนผมต้องถามย้ำอย่างจริงจังจนได้คำตอบ …
ตอนนี้ถ้าบอกว่าทรมาน เราก็ทรมานด้วยกันทั้งคู่นี่แหละ ..
“บางทีความคิดกับการกระทำของคนเรามันก็ขัดแย้งกันแบบนี้แหละ .. สาเหตุก็แค่ อยากจะดูดีในสายตาของใครสักคน ..”
ทงเฮถอนหายใจ พลางพูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้
ทั้งผมและเขาก็เข้าตาจนพอกัน ..
เพราะทางออกมันมีแค่ ..
เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ ก็แค่นั้น…
เมื่อเวลาสี่โมงตรงเดินทางมาถึง ผมกับทงเฮก็แยกย้ายกัน
สถานการณ์ระหว่างผมกับพี่เขาในตอนนี้ จะเรียกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงใช่
แต่จะบอกว่ามันปกติ ก็คงจะไม่ใช่ เพราะระหว่างเราในตอนนี้มันมีแต่ความเงียบ
ผมรู้ว่าพี่เขาโกรธที่ผมผลักไสเขาออกจากโลกของผม
…ซึ่งอันที่จริงผมไม่ได้อยากทำอย่างนั้น
..
ผมจ้องมองเสี้ยวหน้าของพี่เขาตลอดทาง
ขณะที่พี่เขาก็มองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ผมมองเพื่อที่วันข้างหน้าผมจะได้จดจำภาพใบหน้าของพี่เขาได้
..
ผมก็แค่มองเผื่อวันข้างหน้า ที่อาจจะไม่มีให้เห็นในความเป็นจริง ..
พอรถมาจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้าน ผมก็ลงจากรถ
ขณะที่พี่เขาก็ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ เมื่อคุณย่าเป็นคนมาเปิดประตูให้
ผมยกยิ้มให้ท่านเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าบ้านไป …
แต่พอประตูบ้านปิดลง ความเข้มแข็งที่ผมกักเก็บเอาไว้ก็พังทลายลง ..
ผมก้มหน้าร้องไห้ตรงหน้าประตูสักพัก
ผมก็เช็ดน้ำตาและวิ่งขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องของตัวเอง
จากนั้นผมก็หยิบไวโอลินออกมาจากในตู้ และเริ่มบรรเลงท่วงทำนองที่มันจะทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น
เพราะผมได้ปลดปล่อยความอัดอั้นใจใจผ่านทางเสียงเพลง ..
ดนตรีจะทำให้ผมไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องอ่อนแอ …
มันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมเข้มแข็งได้ในเวลานี้ ..
แกรก แกรก ..
โน้ตเพลงในหัวก็พลันมลายหายไป เมื่อเสียงดังก๊อกแก๊กจากแก้วน้ำกระดาษซึ่งออกแบบเป็นโทรศัพท์ในการสื่อสารดังขึ้น
ผมยืนลังเลอยู่กับที่ว่าผมควรจะเดินเข้าไปหามันดีไหม
เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมจะต้องเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมาแน่ ..
แต่สุดท้ายเมื่อผมมองตรงไปยังหน้าต่างทางฝั่งตรงข้าม ปลายเท้าของผมก็ก้าวเดินเข้าไปหาโทรศัพท์แก้วกระดาษอย่างเลื่อนลอย
..
“ไม่อยากให้พี่ไป ทำไมไม่พูดครับ ?”
พี่เขาถามเสียงเศร้า ส่วนผมได้แต่เงียบและยืนร้องไห้อยู่แบบนั้น
“…..” เราต่างคนต่างมองตากันผ่านบานหน้าต่างที่ตั้งตรงกันเงียบๆ
“ทุกอย่างมันต้องมีทางออก
.. แต่ในเมื่อน้องแฟนอยากให้พี่ไป
.. พี่ก็จะไป .. และไม่ดิ้นรนอะไรอีก”
“ฮึก
.. ฮึก”
ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เมื่อพี่เขาพูดประโยคนั้นออกมา
ทั้งๆที่พี่เขาก็รู้ดีว่าทางออกมันไม่มี นอกจากพี่เขาจะเบี้ยวให้เสียประวัติ
ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ..
“คุณย่าพี่เป็นห่วงน้องแฟนนะ
.. เห็นสีหน้าไม่ค่อยดี
..” ผมยิ้ม .. ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
เมื่อการกระทำของผมมันทำให้คุณย่าของพี่เขาเห็นใจ และเริ่มจะเปิดใจรับผมมากขึ้น …
แผนของผมเกือบสำเร็จแล้ว …
แค่ต้องอดทนยอมรับมันให้ได้ คุณย่าก็จะรักผมเหมือนอย่างคุณแม่ ..
“คุณย่ากำลังจะใจอ่อนแล้ว .. แต่พี่กำลังจะใจสลาย ..” พี่เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
ขณะที่ใบหน้าของพี่เขากำลังส่งยิ้มให้ผม เนื่องจากพี่เขาเข้าใจดีว่าที่ผมทำแบบนั้นมันเพื่ออะไร
…
“ค ..คุณ ..ย่า ..ใจ ..อ่อน ..แล้ว” ผมพูดขึ้นเบาๆด้วยความดีใจ
หากแต่ภายในจิตใจของผมก็รู้สึกหวิวไหวด้วยเช่นกัน เมื่อพี่เขาบอกว่าใจของพี่เขากำลังจะสลาย
..
“ในเมื่อตัดสินใจแล้ว
เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ จริงไหม ?” พี่เขาถามย้ำผม
“อื้อ”
ผมพยักหน้ารับ
“รวมถึงต้องไม่ร้องไห้ด้วย
..”
พี่เขาพูดเสริมขึ้นมา ผมจึงรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนเอง
“ไม่
.. ร้อง ..แล้ว ..”
“ต้องยิ้มด้วย
..”
พี่เขายังคงหลอกล่อผมให้ยิ้มด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวของเขา
“พ..พี่..ก็ ..ด้วย ..” ผมย้อนกลับ จนพี่เขาหลุดหัวเราะในลำคอ
จากนั้นพี่เขาก็ฉีกยิ้มให้ผมดู ผมจึงยิ้มตอบพี่เขากลับ …
“อยากกอดเราจัง .. มาหาพี่ได้ไหม ?” พี่เขาถาม
“ครับ
..” ผมพยักหน้า
จากนั้นผมก็วางโทรศัพท์แก้วกระดาษลงตรงที่เดิม และรีบเก็บไวโอลินที่วางกองกับที่นอนอย่างไม่ใยดีด้วยความรวดเร็ว
…
แต่เมื่อผมเดินมาถึงหน้าบ้านของพี่เขา ผมก็ต้องชะงักฝีเท้าและใบหน้าเปื้อนยิ้มในทันที
…
เพราะผมกำลังกังวล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณย่าของพี่เขาอย่างเป็นทางการ ..
“มาหาตาคยูฮยอนหรือ
?” คุณย่าท่านเดินเข้ามาถามผม
เมื่อผมเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูรั้วอย่างลังเล
“ครับ”
ผมพยักหน้ารับ และพยายามจะหลบสายตาของคุณย่าที่มองมาด้วยความเกรงกลัว
“เข้ามาสิ
..”
คุณย่าท่านเปิดประตูให้ผมเข้ามา ผมจึงโค้งขอบคุณท่านด้วยท่าทีเกร็ง
ขณะที่หัวใจก็เต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น
“….”
เมื่อเข้ามาในบ้านได้ผมก็ยื่นนิ่งอยู่อย่างนั้น คล้ายกับไม่รู้ทิศทางว่าพี่เขากำลังรอผมอยู่ที่ไหน
“ขอบใจ
..”
ขณะที่ผมกำลังจะเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านอย่างเก้ๆกังๆ อยู่ๆคุณย่าก็พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ใจความนั้นคงต้องการสื่อมาถึงผมเป็นแน่
เพราะในระแวกนี้ไม่มีใครอยู่อีกเลย นอกจากผมและคุณย่า
“ครับ
?”
“ขึ้นหาไปคยูฮยอนสิ ..”
“….” ผมเบิกตาโตอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดของคุณย่า
ไหนพี่เขาบอกว่าท่านแค่กำลังจะใจอ่อน
แล้วทำไมท่านถึงยอมให้ผมเข้าหาหลานชายของท่านง่ายๆ
“ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าเสียใจกับมัน
.. ฉันขอบคุณที่เธอเสียสละเพื่อคยูฮยอน
..” คุณย่าพูดประโยคสุดท้ายกับผมและเดินเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ผมยืนนิ่งและยิ้มกว้างอยู่คนเดียว
…
ท่านเริ่มชอบผมแล้วใช่ไหม ?
ใช่หรือเปล่านะ ..
“ยืนยิ้มอะไรนักหนา
หืม ?”
พี่เขาโผล่มาจากข้างหลังของผม
พลางชะโงกหน้ามองเบื้องหน้าที่ผมเอาแต่จับจ้องอยู่อย่างนั้น ..
“…” ผมส่ายหน้าและเอาแต่ยิ้มจนตาปิดใส่พี่เขา
“อย่ายิ้มแบบนี้
.. เดี๋ยวพี่ไม่อยากจบลงแค่กอด
..” พี่เขาพูดขึ้นมานิ่งๆ แล้วก็เดินนำผมเข้ามาในบ้าน
ส่วนผมก็ได้แต่ยืนใจสั่นอยู่ตรงนั้น ..
เพราะคำพูดของพี่เขาแท้ๆ
ว่าแต่ .. ถ้าอยากไม่จบลงแค่กอด
แล้วมันจะจบลงที่อะไร ?
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
บอกแล้วเรื่องนี้จะมีแต่ความอบอุ่น
ดราม่าทีก็ดราม่าแบบอบอุ่น กร๊ากกกกกกกก
ตอนนี้บ่งบอกได้ว่า
ทุกอย่างมักไม่เป็นอย่างตั้งใจไว้เสมอไป
การยอมรับความจริงคือทางออกที่ดีที่สุด
เรื่องนี้จะจบไม่เกิน 60 ตอน
เพราะเราสามารถดึงเข้าเนื้อเรื่องหลักได้แล้ว กร๊ากกกก
ทุกคนย่อมมีทางเดินของตัวเองค่ะ
น้องแฟนต้องหัดยืนด้วยตัวเองบ้าง จริงไหม ? (คนอ่านอย่าปารองเท้า ขอร้อง)
ทีนี้มันก็จะสอดคล้องกับเรื่องราวที่พี่โมเมคอยบอกคอยสอน
คอยตะล่อมให้น้องแฟนเปิดใจรับเพื่อนใหม่ เพราะสิ่งที่พี่โมเมบอกไว้
มันสามารถนำมาใช้ได้จริงก็อิตอนนี้ คึคึคึคึคึ
คุณย่าท่านไม่ได้ใจร้าย
ถึงท่านจะไม่ชอบน้องแฟนในตอนแรกเพียงเพราะน้องแฟนเป็นผู้ชายก็ตาม
แต่ความรักของคุณย่าที่มีต่อพี่โมเม
และการกระทำของน้องแฟนต่างหากที่ทำให้คุณย่าใจอ่อน
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [52]