วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [52]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 
 
 
[52]

                ค่ำคืนนั้นเราปลอบใจกันและกันท่ามกลางความเงียบ อีกทั้งความมืดมิดยังเป็นเกราะป้องกันความอ่อนไหวในจิตใจของเราสองคนได้เป็นอย่างดี อ้อมกอดของผมกับพี่เขาในเวลานั้น ต่างก็พากันโอบกอดอีกฝ่ายอย่างแนบแน่น ราวกับหวาดกลัวว่าวันหนึ่งความอบอุ่นเหล่านี้จะกลายเป็นเพียงแค่อดีตให้หวนกลับมานึกถึงเพียงเท่านั้น ..
                ประโยคคำถามเล่นๆในตอนนั้น แท้ที่จริงมันคือประโยคที่ถามไถ่อย่างจริงจัง เมื่อคุณย่าเดินทางมาที่นี่ เพื่อทำเรื่องติดต่อกับทางมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการตอบรับทุนการศึกษาของพี่เขา
                ทันทีที่ทำเรื่องเสร็จเรียบร้อย
                ผมก็จะไม่มีพี่เขาคอยอยู่เคียงข้างอีกต่อไป

                “ซองมินเป็นอะไรวะ ?” อีทงเฮโบกมือไปมาตรงหน้าผมอยู่หลายต่อหลายที แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าผมจะรู้สึกตัว จนกระทั่งเขาตบโต๊ะจนเสียงดังสนั่น ความคิดของผมจึงกลับมาอยู่กับความเป็นจริงตรงหน้า
                “เปล่า ..” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เนื่องจากผมไม่อยากทำให้ทงเฮคอยเป็นกังวลไปด้วย เพราะช่วงนี้ทงเฮเองก็ต้องรับมือกับเรื่องราวของตัวเองไม่น้อย ..
               
                “ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลายังจะบอกว่าเปล่าอีก” ทงเฮส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย พลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะม้าหินอ่อนไปมาอยู่หลายที ..
                ” ผมถึงกับพูดไม่ออก เมื่อความจริงมันจุกอกจนแทบจะล้นทะลัก

                “พี่เขาต้องไปจริงๆเหรอวะ ? ปฏิเสธหรือต่อต้านอะไรไม่ได้เลยเหรอ ?” หลังจากที่ผมกับเขา ต่างคนต่างก็เงียบไปนาน อยู่ๆอีทงเฮก็เอ่ยถามขึ้น ซึ่งคำถามของเขามันสร้างความตกใจให้กับผมเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ผมยังไม่ได้บอกใครสักคน ..
                “ฉันรู้มาจากฮยอกแจ .. ” ทงเฮไหวไหล่ พลางบอกที่มาที่ไปของข่าวคราวที่เขาทราบมา ซึ่งข่าวจากอีฮยอกแจก็คงจะรู้มาจากใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่จากคณะของเขาเอง ซึ่งรุ่นพี่คนนั้นก็คือคนรักของผม ..

                ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว .. ยังไงก็คงต้องไปผมหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมาเขียนข้อความตอบโต้กับอีทงเฮ พลางถอนหายใจ เมื่อนึกไปถึงความจริงที่พี่เขาสารภาพออกมา ..
                พี่เขาบอกผมว่า พี่เขาพลาดเอง พลาดมาตั้งแต่แรก ..
                พอคิดจะแก้ไข มันก็สายไปแล้ว ..

                พี่เขาพร่ำขอโทษผมไม่หยุด เมื่อเขาคือต้นเหตุที่ทำให้โลกของผมมันสั่นคลอน จริงอยู่ที่ตอนแรกพี่เขาตั้งหน้าตั้งตาสอบเพียงเพื่อจะพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวของพี่เขาเห็น แต่พอเกิดเรื่องของผมกับมินโฮ พี่เขาก็ตบปากรับคำที่จะใช้ทุนนั้นให้เป็นประโยชน์  ..
                จนกระทั่งเรื่องราวเข้าใจผิดต่างๆมันเริ่มคลี่คลาย พี่เขาจึงรีบติดต่อสะสางเรื่องยุ่งๆที่เขาก่อไว้อย่างเร่งด่วน แต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น
                และตอนนี้มันก็ถูกอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว
                ความจริงของเรื่องนี้ ผมไม่อาจจะรู้ได้เลย ถ้าหากผมไม่ออกปากถามพี่เขาอย่างจริงจังอีกครั้ง ทีแรกพี่เขาก็อิดออด เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอก เพราะพี่เขาไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ แต่พอผมบอกพี่เขาว่า ยิ่งพี่เขาทำแบบนี้ ผมต่างหากที่จะยิ่งไม่สบายใจ สุดท้ายผมจึงได้ทราบความจริงทั้งหมด ..
                ซึ่งมันทำเอาผมพูดไม่ออก ..
            เพราะพี่เขาก็พลาดเองจริงๆ ..
               
                ผมจะโกรธพี่เขาก็โกรธไม่ลง เพราะผมเองก็เข้าใจว่าเรื่องราวที่ผ่านมา ในมุมมองของพี่เขามันคงเจ็บปวดมาก เพราะการนอกใจไม่ใช่เรื่องราวที่ใครๆจะยอมรับกันได้ง่ายๆ
สรุปแล้วเรื่องนี้ถ้าหากจะถามหาคนผิด ผมก็บอกได้แค่ว่า..
                เราสองคน ก็ผิดด้วยกันทั้งคู่ ..

                พี่เขาต้องเก็บงำเรื่องราวเหล่านี้มานานแล้ว แถมยังต้องต่อสู้ดิ้นรนเพียงเพื่อให้โลกของผมไม่ต้องเคว้งคว้างอยู่ฝ่ายเดียว แค่นี้มันก็ทำให้หัวใจของผมอบอุ่นได้มากมายแล้ว..
                หากแต่ความอบอุ่นเหล่านั้น มันไม่อาจส่งผ่านมาถึงก้นบึ้งของหัวใจผมได้เลย ..
            การต้องยิ้มทั้งที่ใจไม่อยากจะยิ้ม มันทรมานดีจริงๆ 

                “ไม่อยากให้พี่เขาไป แต่ก็ผลักไสให้พี่เขาไปเนี่ยนะ เชื่อเค้าเลย..  อีทงเฮถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เมื่อผมบอกความจริงอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้พี่เขาแทบจะหมดแรงในการดิ้นรน
                ….” ใช่แล้ว .. ผมเป็นคนผลักไสให้พี่เขาทำใจยอมรับความจริงนั้นให้ได้ .. และผมเองก็สัญญาว่าผมจะต้องยืนด้วยขาของตัวเองเช่นกัน
                อย่างน้อยเราสองคนก็ไม่ได้เลิกกันสักหน่อย
                บางทีการเสียสละของผม อาจจะทำให้คุณย่าเห็นใจผมบ้างก็ได้ ..

                วันนั้นที่พี่เขามารับผมที่บ้านของทงเฮ คือวันที่คุณย่าเดินทางมาที่นี่เพื่อทำเรื่องขอการอนุมัติจากทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็ทราบกันดี ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ของพี่เขาหรือแม้แต่ตัวของพี่เขาเอง
                พี่เขาถึงได้ออกอาการกระวนกระวาย และหงุดหงิดอย่างที่เห็น ..
               
                คืนนั้นผมออกปากถามพี่เขาว่า พี่เขาจะบอกผมเรื่องนี้เมื่อไหร่ พี่เขาเงียบไป เพราะเขาไม่กล้าพูด และเขาก็ยังหวังว่าเรื่องราวเหล่านี้มันจะต้องมีทางออก พี่เขาจึงรอเวลาต่อไปโดยที่ไม่คิดจะบอกผม  
                แต่เพราะความอ่อนแอของพี่เขานี่ล่ะ ที่มันจุดความสงสัยของผม จนผมต้องถามย้ำอย่างจริงจังจนได้คำตอบ
                ตอนนี้ถ้าบอกว่าทรมาน เราก็ทรมานด้วยกันทั้งคู่นี่แหละ ..

                “บางทีความคิดกับการกระทำของคนเรามันก็ขัดแย้งกันแบบนี้แหละ .. สาเหตุก็แค่ อยากจะดูดีในสายตาของใครสักคน ..” ทงเฮถอนหายใจ พลางพูดขึ้นมาลอยๆ เมื่อสถานการณ์ในตอนนี้ ทั้งผมและเขาก็เข้าตาจนพอกัน ..
                เพราะทางออกมันมีแค่ ..
 เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ ก็แค่นั้น

                เมื่อเวลาสี่โมงตรงเดินทางมาถึง ผมกับทงเฮก็แยกย้ายกัน สถานการณ์ระหว่างผมกับพี่เขาในตอนนี้ จะเรียกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงใช่ แต่จะบอกว่ามันปกติ ก็คงจะไม่ใช่ เพราะระหว่างเราในตอนนี้มันมีแต่ความเงียบ
            ผมรู้ว่าพี่เขาโกรธที่ผมผลักไสเขาออกจากโลกของผม ซึ่งอันที่จริงผมไม่ได้อยากทำอย่างนั้น ..

                ผมจ้องมองเสี้ยวหน้าของพี่เขาตลอดทาง ขณะที่พี่เขาก็มองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ผมมองเพื่อที่วันข้างหน้าผมจะได้จดจำภาพใบหน้าของพี่เขาได้ ..
                ผมก็แค่มองเผื่อวันข้างหน้า ที่อาจจะไม่มีให้เห็นในความเป็นจริง ..

                พอรถมาจอดเทียบท่าตรงหน้าบ้าน ผมก็ลงจากรถ ขณะที่พี่เขาก็ขับรถเข้าไปจอดในโรงรถ เมื่อคุณย่าเป็นคนมาเปิดประตูให้ ผมยกยิ้มให้ท่านเพียงเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าบ้านไป
                แต่พอประตูบ้านปิดลง ความเข้มแข็งที่ผมกักเก็บเอาไว้ก็พังทลายลง ..

                ผมก้มหน้าร้องไห้ตรงหน้าประตูสักพัก ผมก็เช็ดน้ำตาและวิ่งขึ้นบันไดเพื่อขึ้นห้องของตัวเอง จากนั้นผมก็หยิบไวโอลินออกมาจากในตู้ และเริ่มบรรเลงท่วงทำนองที่มันจะทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะผมได้ปลดปล่อยความอัดอั้นใจใจผ่านทางเสียงเพลง ..
                ดนตรีจะทำให้ผมไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องอ่อนแอ
                มันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมเข้มแข็งได้ในเวลานี้ ..

                แกรก แกรก ..

                โน้ตเพลงในหัวก็พลันมลายหายไป เมื่อเสียงดังก๊อกแก๊กจากแก้วน้ำกระดาษซึ่งออกแบบเป็นโทรศัพท์ในการสื่อสารดังขึ้น ผมยืนลังเลอยู่กับที่ว่าผมควรจะเดินเข้าไปหามันดีไหม เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมจะต้องเผยความอ่อนแอของตัวเองออกมาแน่ ..
                แต่สุดท้ายเมื่อผมมองตรงไปยังหน้าต่างทางฝั่งตรงข้าม ปลายเท้าของผมก็ก้าวเดินเข้าไปหาโทรศัพท์แก้วกระดาษอย่างเลื่อนลอย ..

                “ไม่อยากให้พี่ไป ทำไมไม่พูดครับ ?” พี่เขาถามเสียงเศร้า ส่วนผมได้แต่เงียบและยืนร้องไห้อยู่แบบนั้น
                …..” เราต่างคนต่างมองตากันผ่านบานหน้าต่างที่ตั้งตรงกันเงียบๆ

                “ทุกอย่างมันต้องมีทางออก .. แต่ในเมื่อน้องแฟนอยากให้พี่ไป .. พี่ก็จะไป .. และไม่ดิ้นรนอะไรอีก”
                “ฮึก .. ฮึก” ผมยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เมื่อพี่เขาพูดประโยคนั้นออกมา ทั้งๆที่พี่เขาก็รู้ดีว่าทางออกมันไม่มี นอกจากพี่เขาจะเบี้ยวให้เสียประวัติ ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ..
               
                “คุณย่าพี่เป็นห่วงน้องแฟนนะ .. เห็นสีหน้าไม่ค่อยดี ..” ผมยิ้ม .. ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อการกระทำของผมมันทำให้คุณย่าของพี่เขาเห็นใจ และเริ่มจะเปิดใจรับผมมากขึ้น
                แผนของผมเกือบสำเร็จแล้ว
                แค่ต้องอดทนยอมรับมันให้ได้ คุณย่าก็จะรักผมเหมือนอย่างคุณแม่ ..

                “คุณย่ากำลังจะใจอ่อนแล้ว .. แต่พี่กำลังจะใจสลาย ..” พี่เขาพูดประโยคสุดท้ายออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ขณะที่ใบหน้าของพี่เขากำลังส่งยิ้มให้ผม เนื่องจากพี่เขาเข้าใจดีว่าที่ผมทำแบบนั้นมันเพื่ออะไร
                “ค ..คุณ ..ย่า ..ใจ ..อ่อน ..แล้ว” ผมพูดขึ้นเบาๆด้วยความดีใจ หากแต่ภายในจิตใจของผมก็รู้สึกหวิวไหวด้วยเช่นกัน เมื่อพี่เขาบอกว่าใจของพี่เขากำลังจะสลาย ..
               
                “ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องยอมรับมันให้ได้ จริงไหม ?” พี่เขาถามย้ำผม
                “อื้อ” ผมพยักหน้ารับ

                “รวมถึงต้องไม่ร้องไห้ด้วย ..” พี่เขาพูดเสริมขึ้นมา ผมจึงรีบปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตนเอง
                “ไม่ .. ร้อง ..แล้ว ..

                “ต้องยิ้มด้วย ..” พี่เขายังคงหลอกล่อผมให้ยิ้มด้วยน้ำเสียงแผ่วหวิวของเขา
                “พ..พี่..ก็ ..ด้วย ..” ผมย้อนกลับ จนพี่เขาหลุดหัวเราะในลำคอ จากนั้นพี่เขาก็ฉีกยิ้มให้ผมดู ผมจึงยิ้มตอบพี่เขากลับ

                “อยากกอดเราจัง .. มาหาพี่ได้ไหม ?” พี่เขาถาม
                “ครับ ..” ผมพยักหน้า จากนั้นผมก็วางโทรศัพท์แก้วกระดาษลงตรงที่เดิม และรีบเก็บไวโอลินที่วางกองกับที่นอนอย่างไม่ใยดีด้วยความรวดเร็ว
                แต่เมื่อผมเดินมาถึงหน้าบ้านของพี่เขา ผมก็ต้องชะงักฝีเท้าและใบหน้าเปื้อนยิ้มในทันที
            เพราะผมกำลังกังวล เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคุณย่าของพี่เขาอย่างเป็นทางการ ..

                “มาหาตาคยูฮยอนหรือ ?” คุณย่าท่านเดินเข้ามาถามผม เมื่อผมเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูรั้วอย่างลังเล
                “ครับ” ผมพยักหน้ารับ และพยายามจะหลบสายตาของคุณย่าที่มองมาด้วยความเกรงกลัว

                “เข้ามาสิ ..” คุณย่าท่านเปิดประตูให้ผมเข้ามา ผมจึงโค้งขอบคุณท่านด้วยท่าทีเกร็ง ขณะที่หัวใจก็เต้นระส่ำอย่างตื่นเต้น
                ….” เมื่อเข้ามาในบ้านได้ผมก็ยื่นนิ่งอยู่อย่างนั้น คล้ายกับไม่รู้ทิศทางว่าพี่เขากำลังรอผมอยู่ที่ไหน

                “ขอบใจ ..” ขณะที่ผมกำลังจะเดินเลี่ยงเข้าไปในบ้านอย่างเก้ๆกังๆ อยู่ๆคุณย่าก็พูดขึ้นมาลอยๆ แต่ใจความนั้นคงต้องการสื่อมาถึงผมเป็นแน่ เพราะในระแวกนี้ไม่มีใครอยู่อีกเลย นอกจากผมและคุณย่า
                “ครับ ?

                “ขึ้นหาไปคยูฮยอนสิ ..
                ….” ผมเบิกตาโตอย่างไม่เข้าใจกับคำพูดของคุณย่า ไหนพี่เขาบอกว่าท่านแค่กำลังจะใจอ่อน แล้วทำไมท่านถึงยอมให้ผมเข้าหาหลานชายของท่านง่ายๆ

                “ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าเสียใจกับมัน .. ฉันขอบคุณที่เธอเสียสละเพื่อคยูฮยอน ..” คุณย่าพูดประโยคสุดท้ายกับผมและเดินเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ผมยืนนิ่งและยิ้มกว้างอยู่คนเดียว
                ท่านเริ่มชอบผมแล้วใช่ไหม ?
                ใช่หรือเปล่านะ ..

                “ยืนยิ้มอะไรนักหนา หืม ?” พี่เขาโผล่มาจากข้างหลังของผม พลางชะโงกหน้ามองเบื้องหน้าที่ผมเอาแต่จับจ้องอยู่อย่างนั้น ..
                ” ผมส่ายหน้าและเอาแต่ยิ้มจนตาปิดใส่พี่เขา

                “อย่ายิ้มแบบนี้ .. เดี๋ยวพี่ไม่อยากจบลงแค่กอด ..” พี่เขาพูดขึ้นมานิ่งๆ แล้วก็เดินนำผมเข้ามาในบ้าน ส่วนผมก็ได้แต่ยืนใจสั่นอยู่ตรงนั้น ..
                เพราะคำพูดของพี่เขาแท้ๆ
            ว่าแต่ .. ถ้าอยากไม่จบลงแค่กอด แล้วมันจะจบลงที่อะไร ?


<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


บอกแล้วเรื่องนี้จะมีแต่ความอบอุ่น ดราม่าทีก็ดราม่าแบบอบอุ่น กร๊ากกกกกกกก
ตอนนี้บ่งบอกได้ว่า ทุกอย่างมักไม่เป็นอย่างตั้งใจไว้เสมอไป
การยอมรับความจริงคือทางออกที่ดีที่สุด
เรื่องนี้จะจบไม่เกิน 60 ตอน เพราะเราสามารถดึงเข้าเนื้อเรื่องหลักได้แล้ว กร๊ากกกก
ทุกคนย่อมมีทางเดินของตัวเองค่ะ น้องแฟนต้องหัดยืนด้วยตัวเองบ้าง จริงไหม ? (คนอ่านอย่าปารองเท้า ขอร้อง)
ทีนี้มันก็จะสอดคล้องกับเรื่องราวที่พี่โมเมคอยบอกคอยสอน คอยตะล่อมให้น้องแฟนเปิดใจรับเพื่อนใหม่ เพราะสิ่งที่พี่โมเมบอกไว้ มันสามารถนำมาใช้ได้จริงก็อิตอนนี้ คึคึคึคึคึ
คุณย่าท่านไม่ได้ใจร้าย ถึงท่านจะไม่ชอบน้องแฟนในตอนแรกเพียงเพราะน้องแฟนเป็นผู้ชายก็ตาม แต่ความรักของคุณย่าที่มีต่อพี่โมเม และการกระทำของน้องแฟนต่างหากที่ทำให้คุณย่าใจอ่อน  
 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น