Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[Special] Real Dream (3) – Sungmin Part
“หายเงียบไปเลยนะมึง ..กูก็นึกว่ามึงโดนฆาตกรรมอำพรางศพกลางกรุงปารีสไปละ!” เสียงพูดคุยก่อกวนการนอนจากรอบตัว ทำให้ผมต้องมุดตัวเองเข้ามาอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่ม
พร้อมกับเอาหมอนใบเล็กของพี่เขามาปิดใบหูของตัวเองไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็วางราบไปกับหมอนหนุนใบใหญ่ที่พี่เขาสละให้ผมใช้ตลอดทริป
..
“หนังเหนียวอย่างกู
ฆ่าไม่ตายหรอกสันขวาน ..” ผมนิ่วหน้าเมื่อเสียงพูดคุยยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
..
“เออ .. มึงสบายดี ปากหมาแบบนี้ กูก็โอเคละ ..
ไอ้สัส .. แล้วนั่นใครนอนอยู่บนเตียงของมึงวะ ?
น .. นะ .. นี่ๆๆ มึงนอกใจน้องแฟนเหรอวะ!
ไอ้สันขวาน เดี๋ยวก่อนๆ เดี๋ยวกูจะบอกให้เมียมึงขึ้นไปจัดการ ..
แต่ .. ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวน้องกูเสียใจ ..
กูไปบอกไอ้ซองจินให้แม่งขึ้นไปฆาตรกรรมอำพรางศพมึงดูจะยังเข้าท่าซะกว่า
..”
“เดี๋ยวก่อนครับสันขวาน
มึงช่วยแหกตาดูหน่อยซิว่านั่นเมียกูคนที่มึงเคยคุ้นหรือเปล่า ..”
“ไอ้ผู้ชายขี้ตอแหล! น้องมันอยู่เกาหลี
มึงอย่ามาโกหกกูไอ้หน้าหลุมโบกปูน ..
แล้วนี่มึงจะซูมตีนเมียปริศนาของมึงใส่หน้ากูทำเพื่อวะ สัส กวนตีน!”
“ห่า
.. ด่ากูซะเสียหมาเลย
.. มึงเบาๆเสียงหน่อยดิ น้องมันนอนอยู่ ..”
ผมเริ่มทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเสียงพูดคุยมันเริ่มจะดังจนเกินไปแล้ว
“ไอ้จงฮยอนมึงมาแหกตาดูเพื่อนของมึงนะ
แม่ง เลว! เห็นอยู่ทนโท่แม่งยังจะโกหกทำตัวลื่นเป็นปลาไหลอีก
คิดว่ากูโง่เหรอวะ ? .. เออ .. แต่กูก็โง่จริง
.. แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นเว้ย!”
“ไหงมึงมาอยู่กับมันได้วะ
?”
“มีอยู่เรื่องเดียวที่แม่งลงทุน!”
“แดกแต่หัววันเลยนะพวกมึง”
“ว่าแต่มึงเถอะ
.. ตกลงนั่นใคร ?”
“บอกว่าเมียก็เมียดิครับ
พวกมึงนี่ท่าจะบ้า .. แค่นี้นะครับไอ้พวกขี้เมา”
แรงยื้อผ้าห่มที่ผมนำคลุมโปงตัวเองไว้
ส่งผลให้ผ้าทั้งผืนลอยวืดออกไปจากตัวผม
จากนั้นเป้าหมายต่อมาก็คือหมอนใบเล็กที่ผมใช้ปิดหูเพื่อกันเสียงรบกวน
“ตื่นได้แล้วน้องแฟน
.. ออกไปทานมื้อเช้ากัน
..” พี่เขากระซิบเสียงค่อยตรงข้างหู
ผมจึงต้องทำตามอย่างว่าง่าย
ไม่อย่างนั้นริมฝีปากของพี่เขาคงจะไม่หยุดคลอเคลียกับใบหูของผมแน่
ผมลุกขึ้นนั่งทั้งที่หัวยังฟูชี้โด่ชี้เด่
จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนเอาไว้บนราวตากผ้าหน้าห้องน้ำฝั่งซ้าย
แล้วก็เดินมาที่ตู้เสื้อผ้าที่วางตั้งอยู่ตรงหน้าห้องน้ำฝั่งขวา
พลางรื้อค้นเครื่องแต่งกายที่หอบมาจากบ้านเกิดอย่างคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ..
ทุกเช้าผมจะต้องตื่นนอนพร้อมกันกับพี่เขาเพื่อที่จะออกมาหาอะไรกินที่ตลาด
หลังจากนั้นเราก็จะแยกย้ายกัน โดยพี่เขามุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ
ส่วนผมก็มุ่งหน้ากลับมานั่งเหงาคนเดียวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ …
แต่พอช่วงบ่ายๆพี่เขาก็จะกลับมา
เพราะไม่ได้แวะไปนั่งเตร็ดเตร่ที่ไหนเหมือนตอนที่เราใช้วีดิโอคอลคุยกัน ..
“กี่..โมง..แล้ว..ครับ ?”
ผมหันไปถามพี่เขาเพื่อที่ผมจะได้ทำเวลาในการจัดการตัวเองถูก
“เจ็ดครึ่ง
..”
พี่เขานั่งกดโทรศัพท์พลางเอนตัวและนอนยืดขาพิงหัวเตียงอย่างสบายๆ
ไร้อาการตื่นตระหนกของคนที่กำลังจะไปเข้าเรียนสายจริงๆ
‘เดี๋ยวผมทำขนมปังชุบไข่ให้ทานดีกว่าครับ
ท่าทางจะไปกินข้างนอกไม่ทันแล้ว ..’ ผมรีบหมกทั้งเสื้อผ้าและผ้าเช็ดตัวไว้ในตู้เสื้อผ้า
จากนั้นก็ใช้ภาษามือสื่อสารกับพี่เขาเพื่อความรวดเร็ว
“อื้อ”
พี่เขาก็พยักหน้า แล้วก็ก้มหน้าก้มตาสนใจโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อ
บางครั้งก็มีหลุดหัวเราะออกมาด้วย ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ
แม้ใจจะกังวลว่าคนที่ทำให้พี่เขาหัวเราะแบบนั้น จะใช่ผู้หญิงคนนั้นที่ชอบคุยแชทกับพี่เขาหรือเปล่า
..
ผมเดินออกไปตั้งหลักปักฐานในการทำขนมปังชุบไข่ทอดตรงริมระเบียง
เพราะไม่อยากให้กลิ่นอาหารมันติดที่นอน พอจัดการตั้งกระทะไฟฟ้าเสร็จ
ผมก็เดินเข้ามาข้างในเพื่อหยิบจานชามตรงชั้นวางข้างๆโทรทัศน์มาใช้เป็นภาชนะในการผสมเครื่องปรุงและใส่มื้อเช้าให้พี่เขาทาน
..
ผมกะจะทำขนมปังชุบไข่สักห้าแผ่นสำหรับทานสองคน
ดังนั้นผมจึงเดินไปหยิบไข่ไก่ในตู้เย็นมาสามฟอง แล้วก็นมอีกหนึ่งกล่อง
จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวถุงขนมปังติดมือมาด้วย ..
เหตุที่อุปกรณ์การทำครัวดูมีซะพร้อมขนาดนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าสองวันก่อนเราได้มีโอกาสไปหาซื้อวัตถุดิบมาทำต๊อกตามพี่เขาร้องขอ
แต่ครั้นจะถ่อไปซื้อเพียงแค่นั้นมันก็ใช่ที่ ก็เลยทำให้ตู้เย็นเต็มไปด้วยของกิน
ซึ่งวันนี้ไม่ต้องออกไปทานข้างนอกก็ดีเหมือนกัน
เพราะตั้งแต่ซื้อมาเราก็เอาแต่ออกไปทานข้างนอกตลอด จนของยังค้างอยู่ในตู้อีกเพียบ ..
ผมง่วนอยู่กับการทำมื้อเช้าให้พี่เขาทานอยู่นาน ในที่สุดก็เสร็จ
ผมจึงเตรียมตัวจะเดินเข้าไปเรียกพี่เขาให้ออกมากินข้างนอก
แต่พอหันไปทางประตูระเบียงเท่านั้นล่ะ
ผมก็มองเห็นพี่เขามายืนอออยู่ตรงนี้แล้ว
..
“เสร็จ.. แล้ว ..ครับ
.. รีบ .. มา ..ทาน
..เถอะ ..” ผมเอื้อมมือมาเปิดประตูระเบียงและบอกให้พี่เขาออกมานั่งทนหนาวเพื่อทานมื้อเช้าสักหน่อย
จะได้รีบไปเรียน
“..” พี่เขาพยักหน้า
แล้วก็แทรกตัวออกมายืนบริเวณระเบียงห้อง
ขณะที่ฝ่ามือของพี่เขาก็ยกขึ้นโยกศีรษะของผมไปมา ..
ผมยังไม่เก็บอุปกรณ์เครื่องครัวพวกนี้ เพราะถ้าหากพี่เขาทานทั้งหมดนั่นไม่มีเหลือ
ผมจะได้ทำในส่วนของผมกินบ้าง
“กินด้วยกันสิ
พี่กินไม่หมดหรอก ..”
พี่เขาเชื้อเชิญให้ผมไปนั่งทานด้วยกัน
ผมจึงเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม จากนั้นผมก็กินไปเงียบๆ
ขณะที่พี่เขาก็กินไปด้วยแล้วก็เล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย ..
ครืด ..
ผมหันไปมองพี่เขา
เมื่อเสียงถอยเก้าอี้มันดึงความสนใจจากการชมวิวในยามเช้าของกรุงปารีสไปเสียหมด
จากนั้นพี่เขาก็ทำมือเหมือนกับแก้วน้ำและยกขึ้นดื่มกลางอากาศ
จึงทำให้ผมเข้าใจได้ไม่ยากว่าพี่เขาต้องการเข้าไปเอาอะไร ..
ผมเหลือบมองโทรศัพท์ของพี่เขาที่วางอยู่ทางด้านซ้ายนิดหน่อย
จึงพอจะเห็นว่าพี่เขาลงรูปที่ผมกำลังทำมื้อเช้ากับรูปขนมปังชุบไข่แบบเสร็จสมบูรณ์แล้วในเฟสบุ๊ค
..
แล้วก็ตามสเต็ปที่พวกเพื่อนๆของพี่เขาจะเข้ามาคอมเม้นท์ ..
แต่รูปดิสเพลย์ของผู้หญิงคนนั้นที่ชอบทักมาแชทกับพี่เขาก็ขึ้นหลบมุมอยู่ด้านบนขวาเช่นกัน
บ่งบอกได้ว่าพวกเขายังคงติดต่อกันอยู่ และคงจะเพิ่งต่อบทสนทนามาหมาดๆ ..
“น้ำองุ่น” พี่เขาวางแก้วน้ำองุ่นพาสเจอร์ไรส์ทางด้านขวามือของผม ส่วนตัวพี่เขาในตอนนี้กำลังดื่มล้างปากเป็นการจบมื้อเช้าอยู่
“…” ผมจึงหยิบน้ำองุ่นขึ้นมาดื่มบ้าง
แต่ไม่ใช่เพราะการดื่มเพื่อล้างปากแต่อย่างใด
“ไปเรียนแล้วนะ ..” พี่เขาลุกขึ้น
พลางหยิบแก้วน้ำติดมือไปด้วย คงจะเอาไปล้างเองล่ะมั้ง..
พี่เขาลืมโทรศัพท์ ซึ่งผมเห็นแต่แรกแล้ว แต่ผมไม่ยอมทักท้วง
จนกระทั่งพี่เขาล้างแก้วและนำมันมาคว่ำบนชั้นวางเครื่องครัวๆเล็กๆตรงข้างโทรทัศน์และตบท้ายด้วยการบอกย้ำกับผมอีกรอบว่าพี่เขาจะไปแล้ว
ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทลง ผมก็ไม่แม้แต่จะปริปากบอก
ทั้งๆที่ผมก็มีโอกาสจะเตือนพี่เขาตั้งหลายครั้ง ..
ที่ผมทำเงียบแบบนั้นมันเป็นเพราะผมตั้งใจ
..
ผมหยิบโทรศัพท์ของพี่เขามาวางไว้บนเตียง
แล้วก็หันกลับไปจัดการเครื่องครัวที่ผมใช้งานเมื่อสักครู่ให้สะอาด
ด้วยเพราะห้องๆนี้ไม่มีอ่างล้างจาน ผมจึงต้องนำพวกมันไปล้างในห้องน้ำ
พอล้างเสร็จถึงค่อยเอามาคว่ำบนชั้นวาง
จากนั้นก็หาผ้ามาเช็ดพื้นให้แห้ง …
เมื่อกิจกรรมงานบ้านทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
ผมก็ไปอาบน้ำจากนั้นก็มานอนจ้องโทรศัพท์มือถือของพี่เขาพลางถอนหายใจเข้าออกอย่างคิดไม่ตก
อีกทั้งฝ่ามือมันก็เอาแต่หยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาดู
แล้วก็ยังไม่ทันได้สไลด์เปิดหน้าจอหาความจริง ผมก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์ในมือลงกับที่นอน
เพราะผมไม่กล้าจะเสียมารยาทขนาดนั้น ..
หรือแท้ที่จริง ผมกำลังกลัวคำตอบก็ไม่รู้
ครืด
ครืด
ผมสะดุ้งตกใจ
เมื่อโทรศัพท์มันสั่นครืดคราดอยู่บนที่นอน
ผมจึงนอนคว่ำหน้าพลางเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดู ก็เห็นว่าพี่สาวของพี่เขาโทรมา
จากนั้นผมก็เริ่มลังเลว่าจะกดรับสายแทนดีไหม
ครืด..
‘พี่จะใช้รถ เย็นนี้เอามาคืนด้วย!’ พี่สาวของพี่เขาส่งข้อความมา
และผมก็เผลอตัวกดอ่านไปแล้วเรียบร้อย จากนั้นผมก็เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่านี่มันเพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเท่านั้น
อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าพี่เขาจะกลับมาถึง
ยังไงก็น่าจะเอาไปคืนทันแหละมั้ง
..
สุดท้ายผมก็ทนทานต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว จนต้องเข้าแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊คจนได้
พี่เริ่มสไลด์อ่านข้อความที่พี่เขาอัพเป็นอย่างแรก เพราะตั้งแต่ที่ผมเดินทางมาอยู่ที่นี่
ผมก็ไม่มีโอกาสได้ยุ่งเกี่ยวกับโซเชียลเน็ตเวิร์กอีกเลย
เพราะผมไม่ได้ลงทุนเปิดโรมมิ่งไว้ ..
รูปแรกที่เห็นก็คือรูปที่พี่เขาแอบถ่ายตอนผมกำลังทำขนมปังชุบไข่ทอดและรูปเมนูอาหารแบบเสร็จสมบูรณ์
ซึ่งคำบรรยายใต้ภาพที่กำกับเอาไว้ มันทำให้ผมต้องแอบอมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ..
‘เบทำมื้อเช้าให้ .. โคตรอร่อย!’
‘ขึ้นชื่อว่าเมีย ทำให้อะไรมาให้ก็บอกว่าอร่อยทั้งนั้นนะมึง .. กับอิแค่ขนมปังชุบไข่ สัสเอ้ย เขียนซะยังกับเมียมึงทำอาหารชาววังให้แดก’
พี่ชางมินเข้ามาคอมเม้นท์เป็นคนแรก
‘ไอ้พวกโรคจิตชอบสะสมถุงยางอย่างมึงจะไปเข้าใจอะไร
วื้ยยยย’ พี่เขาโต้กลับพี่ชางมินอย่างรวดเร็ว
เพราะเวลาห่างกันไม่กี่วินาที ..
แสดงว่าที่พี่เขากดๆโทรศัพท์อยู่ ก็คงจะเถียงกับเพื่อนตามประสาคนสนิทน่ะสิ
..
‘ไอ้พวกหลงเมียอย่างมึงจะไปเข้าใจอะไร วื้ยยยย’ พี่จงฮยอนเองก็เอาด้วย
..
‘วื้ยยยย เรื่องของกู ..’
ผมเลื่อนลงมาอีกนิดก็เจอรูปภาพด้านหลังของผมที่กำลังนั่งคุ้ยหาซื้อผ้าเตรียมจะไปอาบน้ำเมื่อเช้านี้
ส่วนคำบรรยายใต้ภาพของพี่เขาคือ ..
‘เฟิร์มนะครับ .. เมียปริศนาที่พวกมึงว่าคือน้องแฟน ..เบเบ .. ของกูครับ พวกมึงช่วยหยุดเห่าว่าร้ายกูได้แล้วไอ้สันขวาน!’
‘เฮ้ย! มึงพูดจริง ? นี่ไอ้ซองจินแม่งยอมปล่อยน้องแฟนมาอยู่กับไอ้โฉดอย่างมึงถึงปารีสเลยเหรอวะ
ตะลึงสัส!’ พี่ชางมินเข้ามาแสดงความคิดเห็นพี่คนแรกอีกแล้ว
นี่พี่เขานั่งจับตาดูเฟสบุ๊คทั้งวันหรือเปล่าเนี่ย
‘หึหึหึ’ พี่เขาเข้ามาพิมพ์เสียงหัวเราะแบบเจ้าเล่ห์ใส่พี่ชางมินด้วย
‘เบเบ อะไรของมึงวะ ? นี่มึงมีภาษาที่รู้กันสองคนอีกแล้วเหรอสัส .. กูยังเจ็บใจเรื่องที่มึงหลอกด่ากูด้วยภาษามือที่พวกมึงก็รู้กันแค่สองคนไม่หาย
.. ไปอยู่โน่นด้วยกัน ไม่ใช่ว่ามึงแอบสอนน้องมาหลอกด่าภาษาฝรั่งเศสใส่พวกกูล่ะ
..’
‘สันขวาน ความลับของกู .. กูรู้ของกูคนเดียวพอ ..
ส่วนเรื่องข้อเสนอของมึงนี่น่าสนดีว่ะ ไว้กูสอนให้น้องแฟนเอามาหลอกด่าพวกมึงดีกว่า
ฮ่าๆ’
หลังจากที่พี่เขาเกทับไปแบบนั้น เพื่อนสนิททั้งสองก็พิมพ์ด่าขึ้นมาพร้อมๆกันเลย
ด้วยคำว่า ‘ไอ้ชั่ว!’
หลังจากรูปนี้ไปแล้ว
พี่เขาก็ไม่ได้อัพเดตอะไรใหม่ นับระยะเวลาๆคร่าวๆแล้ว พี่เขาเริ่มห่างหายจากโลกโซเชี่ยวตั้งแต่ตอนที่ผมมาเหยียบเมืองน้ำหอมเป็นวันแรก
..
ซึ่งมันจะดีกว่านี้มาก ถ้าหากข้อความแชทของพี่เขากับผู้หญิงคนนั้นจะไม่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ผมอยู่ที่เกาหลี
จวบจนกระทั่งผมมาอยู่ที่นี่แล้ว ..
พวกเขาก็ไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย ..
ความจริงในข้อนี้มันกำลังกัดกินหัวใจของผมให้เกิดความหวาดระแวงอีกครั้ง
ทั้งๆที่พี่เขาก็ยังทำตัวปกติดีทุกอย่าง
แหวนด้ายแดงนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าความสัมพันธ์ของเราไม่มีอะไรให้ต้องระแวง
..
แต่เพราะเรื่องของผู้หญิงคนนั้น ..
ทุกอย่างที่มันดูราบรื่นก็เริ่มกลายเป็นหลุมบ่อให้ต้องคอยระวังตัวอยู่ทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บปวด
..
ผมตัดสินใจไม่เปิดข้อความแชทดู
จากนั้นผมก็พยายามนอนหลับตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียน้ำตาให้กับความคิดของตัวเองในตอนนี้
…
เสียงเกากีตาร์เบาๆทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมา
ก็พบว่าพี่เขากลับมาแล้ว และตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตาสนใจในกิจกรรมของตัวเองอย่างใจจดใจจ่อ
…
ผมขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะไปล้างหน้าและบ้วนปาก
จึงทำให้พี่เขาหยุดสนใจกีตาร์ตัวนั้นและหันมามองผมแทน
ผมจึงสนยิ้มให้และเดินเข้าห้องน้ำไป ..
“พี่ .. ลืม .. โทร
.. ศัพท์ ..ครับ ..” พี่เดินไปใช้หน้าเช็ดตาตรงราวตากผ้า แล้วก็เดินมาหยิบโทรศัพท์ของพี่เขาที่ผมทิ้งมันไว้บนเตียงนอน
..
“อ้อ ..”
พี่เขาพยักหน้าและรับโทรศัพท์ของตัวเองไป แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเกากีตาร์ตัวโปรดต่อ
“พี่สาว .. ของ .. พี่
.. บอกให้ ..เอา .. รถ ..ไป .. คืน .. เย็น .. นี้ ..”
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆพี่เขา พร้อมกับมองจ้องปลายนิ้วของพี่เขาและบอกข่าวเรื่องที่พี่สาวของพี่เขาต้องการจะเอารถคืน
“อ้าวเหรอ .. ไหนบอกช่วงนี้ไม่มีกิจต้องใช้ ..” พี่เขาโคลงหัวนิดหน่อยแล้วก็บ่นพี่สาวของตัวเอง โดยไม่มีท่าทีจะดุผมเลยที่แอบเสียมารยาทเปิดข้อความของพี่เขาอ่าน
“ผม .. ขอโทษ .. ที่ .. แอบ ..อ่าน .. นะครับ”
“อื้อ .. ถ้างั้นก็รีบเอารถไปคืนกันเถอะ”
พี่เขายักไหล่ แล้วยังแอบกดยิ้มตรงมุมปากอีกด้วย
ท่าทางแบบนี้มันคล้ายกับพี่เขากำลังถูกใจอะไรบางอย่าง
..
พี่เขาขับรถเข้าในย่าน Saint-Germain-des-Prés ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านกาแฟรสชาติดีอยู่มากมาย
และหนึ่งในร้านกาแฟพวกนั้นก็เป็นร้านของพี่อารา พี่สาวของพี่เขานั่นเอง ..
พี่เขาบอกว่าตัวบ้านจะอยู่ด้านบน
ส่วนร้านค้าจะอยู่ข้างล่าง ..
อันที่จริงบ้านของพี่อาราก็อยู่ในกรุงปารีสเหมือนกันนะ
แต่ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เขาถึงไม่ยอมไปอยู่กับพี่สาวของตัวเอง ทั้งๆที่มันก็เป็นทางที่ประหยัดเงินได้ตั้งมากมาย
เพราะการออกมาอยู่ตามลำพัง ค่าใช้จ่ายก็ออกจะเยอะแยะ ..
แถมผมถามแล้ว
พี่เขาก็ไม่ยอมตอบอีกด้วย ..
คงจะเกรงใจพี่สาวตัวเองล่ะมั้ง ..
พอไปถึงที่ร้าน
พี่เขาก็เดินควงกุญแจเข้าไปหาหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดเค้าน์เตอร์ด้านหลัง
แต่พอพี่เขาวางกุญแจรถลงข้างๆตัวของหญิงสาวคนนั้นอย่างแรง เธอก็อุทานวีดว้ายออกมา
และเมื่อหันมาเห็นตัวต้นเหตุ หญิงสาวคนนั้นก็ตีเข้าที่ข้างแขนของพี่เขาจนเต็มเปา
“เด็กนี่นิ
ตกใจหมด!”
พี่สาวคนนั้นตีข้างแขนของน้องชายด้วยอารามหมั่นไส้
“หึหึ
..” หากแต่ฝ่ายคนน้องกลับเอาแต่หัวเราะ
หึหึ อย่างเดียว
“แล้วนี่พี่เขยไปไหนอ่ะ
?”
เขาหยิบคุกกี้แถวๆนั้นขึ้นมากิน พลางยืนพิงเค้าน์เตอร์ถามพี่สาวของตัวเอง
“ออกไปรับเลโอ
.. แล้วนั่นใคร ?” พี่อาราหันกลับมาตรงหน้าเค้าน์เตอร์จึงเห็นผมยืนเงียบอยู่ตรงด้านหน้า
“BeBe ..”
พี่เขาเดินเข้ามาจูงมือผมให้เดินเข้าไปในเค้าน์เตอร์
แล้วก็จับตัวผมให้มายืนตัวตรงต่อหน้าพี่สาวของตัวเอง
จากนั้นก็แนะนำผมให้พี่สาวของตัวเองรู้จักอย่างเป็นทางการ ..
แต่ว่าพี่เขาเอาฉายาใหม่ของผมมาแนะนำเนี่ยนะ …
“ผม .. อีซองมินครับ”
ผมโค้งตัวให้พี่อาราและแนะนำตัวเองอย่างคล่องแคล่ว
เพราะผมต้องพูดชื่อของตัวเองบ่อยๆจึงพูดได้คล่องแล้ว
“ดีจ้ะ
.. เคยได้ยินแต่ชื่อ
เพิ่งจะได้เห็นหน้านี่แหละเนอะ .. พี่ชื่ออารานะ ..” พี่เขายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผมแปลก พร้อมกับมองไปที่น้องชายของเธอด้วยสายตาเดียวกันอีกต่างหาก
..
“มองไรล่ะ วู้ว ..” พี่เขาปล่อยตัวผม
แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบคุกกี้มาทาน
“เขินเป็นกับเค้าด้วย
? นี่ซองมิน ..
หมอนั่นน่ะ .. มันเรียกเราด้วยคำนี้มากี่ครั้งแล้ว
?” พี่เขาดึงตัวผมมากระซิบถาม
จนผมเกิดความสงสัยว่าคำคำนั้นมันมีความหมายอย่างไรกันแน่
ดูพี่อาราจะสนอกสนใจเหลือเกิน ..
“ก็ .. หลาย .. ครั้ง ..
แล้ว ..ครับ ..”
ผมตอบพี่อารากลับไป
พลางนึกต่อในใจว่า .. พี่เขาน่ะ ชอบเรียกผมด้วยคำคำนี้ก็อิตอนที่พี่เขานึกอยากจะอ้อนผม
..
“คำนี้น่ะ .. มันแปลว่าที่รักนะ
รู้เปล่า ?” พี่อารากระซิบกับผมแล้วก็หัวเราะคิกคักเสียยกใหญ่
แต่ผมนี่สิ กำลังหน้าแดงและรู้สึกเหมือนตัวมันชาๆจนคล้ายกับถูกสาปเข้าให้แล้ว
เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดที่จะถามหาความหมายของถ้อยคำนั้นที่พี่เขาใช้เรียกผมเลย..
ทั้งๆที่มันเป็นคำที่
ออกจะพิเศษมากๆซะด้วยซ้ำ ..
“ขำไรพี่ ไปขายของไป ลูกค้ามาละ .. แล้วนั่นก็อีกคน
ยืนแข็งยังกับหินเลยนะ .. อะไรๆ นี่คุยอะไรกัน ?” พี่เขาหันมาชี้หน้าผมกับพี่สาวตัวเอง พลางโวยวายราวกับเด็ก
แต่ก็ไม่มีใครปริปากบอกพี่เขาสักคน
ซึ่งสาเหตุของผมกับพี่อาราที่ไม่ยอมบอกพี่เขานั้นแตกต่างกัน
..
เพราะว่าผมอายเกินกว่าจะพูด
ส่วนพี่อาราก็ต้องการจะแกล้งน้องชายของเธอแค่นั้น ..
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
*bébé (เบเบ)
มีความหมายเหมือนกับคำว่า baby (ที่รัก) ในภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในกลุ่มวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่
มีความหมายเหมือนกับคำว่า baby (ที่รัก) ในภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่จะใช้ในกลุ่มวัยรุ่นมากกว่าผู้ใหญ่
คนตอบถูกเพียบ 555 ความจริงมันไม่ใช่คำที่เดายากเย็นอะไรเลย กร๊ากกกก
มาอัพแล้วค่า
ตอนนี้น้องแฟนได้รู้จักคนในครอบครัวของพี่โมเมเพิ่มขึ้นแล้ว แถมยังได้รู้ความหมายที่ตัวเองไม่คิดจะหาคำตอบอีกด้วย
.. เอาจริงๆพี่โมเมใส่ใจน้องแฟนมากกว่าที่น้องแฟนใส่ใจพี่โมเมอีกน้า
ต่อไปน้องจะไม่คิดมากแล้ว
ไม่มีอะไรมาให้หน่วงใจแล้วจ้า คึคึ
เพราะตอนหน้าจะเฉลยความจริงละว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ..
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [Special by Sungmin 6]