วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [31]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 
 



[31]


                เช้านี้ผมต้องนำไวโอลีนติดตัวไปด้วย เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาเอก ผมกับพี่คยูมีเรียนพร้อมกันแต่เลิกไม่พร้อมกัน ซึ่งเราสองคนก็ตกลงกันแล้วว่าจะต้องรอกลับพร้อมกัน ผมที่ไม่ได้อยากจะตอบรับในข้อตกลงนี้สักเท่าไหร่ก็ขี้คร้านจะเถียง เพราะถึงยังไงพี่เขาก็คงจะดึงดันไม่ให้ผมแอบกลับเองแบบคราวก่อนอยู่ดี ..
                “ไอ้พวกเชี่ย! นั่นรถกูนะโว้ย!” ผมหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นคนหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากในบ้านของเขาเอง คือเมื่อคืนพี่เขาก็มานอนที่ห้องผมนั่นแหละ แต่ตอนเช้าพี่เขาต้องแวะเข้าไปเอาอุปกรณ์การเรียนการสอนที่บ้านของเขาก่อน เราสองคนถึงจะออกไปเรียนกันได้

                “เออแม่ง!” พี่เขาสบถอย่างหัวเสีย จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง แล้วก็เดินไปยังพื้นที่ตรงข้างบ้านที่พี่เขาทำไว้เป็นโรงจอดรถเล็กๆสำหรับรถมอเตอร์ไซด์
                ว่าแต่ว่า .. รถยนต์ของพี่เขาหายไปไหนกัน ?
                ทุกทีรถสีดำมันแววคันนั้นจะต้องจอดอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าบ้านของผมกับพี่เขานะ
                 
                รถหายไปไหนเหรอครับ ?’ เมื่อพี่เขาขับรถมอเตอร์ไซด์มาจอดอยู่ใกล้ๆ พี่ก็เลยถามพี่เขาด้วยภาษามือ
                “ไอ้พวกนั้นมันขโมยไป .. แม่งจะเอาไปหลีสาว มันน่าด่ามั้ย?” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ผมจึงเอื้อมมือไปลูบข้างแขนของพี่เขาเบาๆ เพื่อให้เขาใจเย็นลง

                “เมื่อกี้ .. โทษทีนะ ..” พี่เขาวางมือลงบนมือของผม พลางพูดขอโทษเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองเผลอใส่อารมณ์กับผมขึ้นมา ผมก็เลยส่ายหน้ายิ้มๆ พลางชักมือออกจากการกอบกุมของพี่เขา แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซด์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานพอสมควร
                “พี่จะซิ่งแล้วนะ .. หาที่เกาะดีๆ ระวังจะล่วงทั้งคนทั้งไวโอลิน” พอพี่เขาพูดจบ พี่เขาก็ออกรถกระตุกตัวจนหัวของผมไปโขกกับแผ่นหลังของพี่เขาเลย
                พี่เขากำลังแกล้งกันชัดๆเลยนี่ แบบนี้น่ะ

                “ไปนะ ..” พอพี่เขาขับรถมาจอดเทียบท่าตรงหน้าตึกคณะของผมเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบลงจากรถทันทีเพราะตอนนี้เรากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างอยู่ ..
                เมื่อพี่เขาเห็นผมทำท่าทางยึกยัก เขาก็เลยเป็นฝ่ายบอกลาผมแทน ..
                ผมยังคงหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งรถมอเตอร์ไซด์ของพี่เขาขับออกไปจนไกลสุดสายตา ..

            การเรียนการสอนของภาควิชาดนตรีตะวันตกยังคงเป็นไปอย่างเรียบง่าย เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ต่างก็มีความชำนาญในเครื่องดนตรีประจำกายของตนเองกันอยู่แล้ว อาจารย์จึงสอนเรื่องการประสมวงดนตรีสากลให้กับพวกเรา โดยให้นักศึกษาแต่ละคนที่มีความชำนาญในการใช้เครื่องดนตรีในแต่ละประเภทมาจับกลุ่มกันเพื่อฟอร์มวงแบบรวม จากนั้นเมื่อมีความพร้อมเพียง อาจารย์ก็จะเริ่มให้พวกเราประสมวงกับเครื่องดนตรีทุกประเภท
                หากผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาจารย์ก็จะปล่อยคลาสเร็วกว่ากำหนด

                ทั้งๆที่ผมก็มีโอกาสในการหาเพื่อนที่จะมาเป็นอีกโลกนึงของผมตั้งมากมาย แต่ผมก็ยังเป็นอีซองมินคนที่ได้แต่นั่งเงียบ ไร้ความคิดเห็นใดๆในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทไวโอลิน ..
                ผมเงียบขณะที่เพื่อนคนอื่นเขาคุยปรึกษากันว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรให้การสีไวโอลินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมเงียบแม้ว่าผมจะรู้คำตอบของปัญหาบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้
                ผมเงียบแม้ว่าผมจะสามารถให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆกับพวกเขาได้ ..
                ผมก็แค่คนขี้ขลาดที่กำลังจะหมดกำลังใจในการเปิดโลกสีเทาให้เป็นสีขาว

                หลังจากหมดคาบเรียน ผมก็เดินมาหาที่นั่งเล่นเงียบๆตรงสวนระหว่างคณะศิลปกรรมกับคณะดุริยางคศาสตร์ บรรยากาศอันเงียบสงบเหมาะกับการนั่งทอดอารมณ์เป็นอย่างมาก ผมเลือกเดินเข้าไปนั่งปักหลักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกติแล้วพื้นที่ตรงนี้มักจะมีเด็กศิลปกรรมมาคอยจับจองพื้นที่อยู่เสมอ ..
                ผมทิ้งตัวลงนั่งกับผืนหญ้าอันเขียวขจี จากนั้นก็วางกระเป๋าไวโอลินลงบนหน้าขาของตัวเองอีกที สายตาของผมกำลังมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ..
               
                เรื่องราวตรงหน้าของผมกำลังฉายภาพของเด็กคณะศิลปกรรมสองคน ซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาคือเพื่อนสนิทกัน ผู้ชายสองคนนั้นกำลังวิ่งไล่เตะกันไปมาอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะของพวกเขาถึงแม้จะไม่ดังมาก แต่มันก็สามารถดึงความสนใจจากคนรอบข้างได้ดี ..
                ความสดใสของพวกเขา ทำให้รอบกายของผมดูหดหู่ขึ้นมาทันที

                ผมตัดสินใจนั่งหันหลังให้ภาพของผู้ชายสองคนนั้น และล้มตัวลงนอนกับผืนหญ้า พลางกอดกระเป๋าไวโอลินเอาไว้แน่น แสงแดดอุ่นๆเล็ดรอดผ่านเงาร่มไม้ตกกระทบสายตา จนผมต้องหลับตาลงและค่อยๆขยับตัวให้พ้นจากแสงอาทิตย์รำไร ..
                มันคือความจริงที่ผมไม่เคยยอมรับว่าอันที่จริงแล้วผมเองก็ต้องการ เพื่อนเหมือนกัน ..

                ผมสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่ออยู่ๆหยดน้ำบางอย่างก็หยดใส่ใบหน้าของผมเสียหลายหยด ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของตัวเองก่อนจะลืมตาขึ้นมาดูตัวการณ์ ก็พบใบหน้าหล่อเหลาของคนคุ้นเคยที่กำลังนั่งยองๆอยู่เหนือศีรษะของผม ส่วนมือขวาของเขาคนนั้นก็ถือขวดน้ำพลาสสติกใสที่ภายในบรรจุน้ำดื่มอันเย็นชื่นใจเอาไว้ ..
                “ทำไมน้องแฟนมานอนขึ้นอืดตรงนี้คนเดียว ?” ผู้ชายขี้แกล้งคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่คยูฮยอนนี่เองแหละ เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม พลางถามไถ่ไปตามเรื่องตามราว จากนั้นเขาก็ยกขวดน้ำในมือขึ้นมากระดกเสียหลายอึก

                “พี่คยู!” ผมใช้สายตาเขียวปั๊ดมองพี่เขาที่เอาแต่ยิ้มระรื่น
                “แหมมมม .. ทีโมโหนี่พูดซะคล่องปากเชียวนะ” พี่เขาเอาขวดน้ำเย็นๆในมือมาแนบข้างแก้มของผมอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าผมจะโกรธเขายิ่งกว่าเดิม นี่ขนาดผมส่งสายตาไม่พอใจให้พี่เขาแล้วนะ

                “น้องแฟนเลิกเรียนเร็วจัง พี่ยังทำแลปไม่เสร็จเลย” พี่เขานั่งชันเข่าพลางกอดเข่าของตัวเองเอาไว้ ส่วนใบหน้าของเขาก็หันมามองผมที่ยังคงนอนอยู่บนผืนหญ้าไม่ขยับไปไหน
                แล้วทำไมไม่รีบกลับไปทำล่ะครับ มานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ?’ ผมถามพี่เขากลับด้วยภาษามือ

                “เห็นน้องแฟนนอนขึ้นอืดอยู่คนเดียวไง พี่เลยเดินเข้ามาทัก” พอได้ยินพี่เขาบอกว่าผมกำลังนอนขึ้นอืด ริมฝีปากของผมก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ในทันที ..
                “พี่กำลังทำแลปอยู่ตรงโน้นแน่ะ” พี่เขาชี้ไปทางด้านหลังของเขา ผมก็เลยต้องไถหัวมองตามปลายนิ้วชี้ของพี่เขา ก็เลยเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่สวมเสื้อช็อปคณะวิศวะกำลังทำกิจกรรมอะไรสักอย่างอยู่ ดูได้จากอุปกรณ์อันครบครันนั่น ขณะนี้พวกเขาคงจะยุ่งกันไม่เบา ..
                แล้วทำไมผู้ชายที่สวมเสื้อช็อปวิศวะข้างๆผม ถึงได้ไม่ยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาเลย ?

                “พี่ไปทำงานต่อก่อนนะ .. ถ้าหิวก็ไปทานก่อนได้เลย แต่ถ้ายังจะรอทานพร้อมพี่ก็ได้ .. น่าจะสักประมาณเที่ยงกว่าๆคงเสร็จมั้ง ..” พี่เขาขยี้หัวผม พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
                “ฝากทิ้งหน่อยนะ ..” และก่อนที่พี่เขาจะเดินถอยห่างออกไป เขาก็โน้มตัวลงมายัดขวดน้ำใส่ฝ่ามือของผมเฉยเลย!
เท่านั้นไม่พอ
พี่เขายังจะมีหน้ามายักคิ้วใส่ผมอีก!
               
                ครืด ครืด

                ผมนอนหลับตานิ่งๆอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลามันผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงโทรศัพท์ก็ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ที่ผมสร้างขึ้นชั่วคราว ..
                วันนี้งานของพี่คงไม่เสร็จง่ายๆ น้องแฟนไปทานข้าวแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเลยดีกว่า พี่โทรตามซองจินให้แล้ว อีกเดี๋ยวมันก็คงจะมา ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วย ..’ พอผมอ่านข้อความจบ เงาของใครบางคนก็ซ้อนทับบนใบหน้าผม เมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปมอง ผมก็พบหน้าน้องชายของตัวเองที่ไม่ได้เจอมาหลายวันเสียที ..

                “ไม่เจอกันหลายวัน .. พี่ยังโอเคดีอยู่นะ?” ซองจินถามพลางยักคิ้วให้ผม ส่วนสายตาของน้องก็มองสำรวจไปทั่วตัวผมอย่างกวนประสาท ผมก็เลยรีบลุกขึ้นนั่งโดยไม่ลืมจับประครองไวโอลินเครื่องเก่งเอาไว้อย่างดี ..
                ไอ้เด็กงี่เง่า ..’ ผมแอบบ่นซองจินด้วยภาษามือที่ผมมั่นใจว่าน้องไม่มีทางรู้ความหมายของมันแน่

                “แอบด่าเหรอ ? คิดว่าผมแปลไม่ออกว่างั้น ?” ซองจินปลายสายตามองผมอย่างคาดโทษ แล้วก็เดินนำหน้าผมไปยังตำแหน่งที่ตนเองจอดรถทิ้งไว้
                ทำไมไม่กลับมานอนบ้านมั่ง ?’ ผมเขียนข้อความให้ซองจินอ่านเหมือนปกติ เพราะผมไม่แน่ใจว่าซองจินเข้าใจภาษามือมากน้อยแค่ไหน

                “ติดงานกลุ่มน่ะ เลยต้องอยู่เคลียร์ให้เสร็จ”
                “อื้อ” ผมตอบรับทั้งๆที่ในใจมันแอบค้านกับคำตอบของซองจิน

                “หัวเราะอะไร ?” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองทันทีเมื่อผมไม่รู้ตัวว่าเผลอไปหลุดหัวเราะกับความคิดของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
                “พี่มันดูแลดีหรือเปล่า? ให้อาหารครบทุกมื้อมั้ย?

                “ซองจิน!” ผมตะโกนเสียงดังลั่น พลางยกมือขึ้นฟาดลาดไหล่ของซองจินจนเสียงดังลั่น ก็แล้วมันสมควรมั้ยล่ะ มีอย่างที่ไหนมาถามผมแบบนั้น
นี่ซองจินคิดว่าพี่ชายของตัวเองเป็นตัวอะไรกันถึงได้มาถามแบบนี้!

                “ก็เห็นว่าเชื่องดี .. พูดอะไรก็เชื่อเค้าไปหมด ..” พอซองจินพูดจบก็ประจวบเหมาะกับรถเคลื่อนมาจอดตรงหน้าร้านอาหารพอดี ผมก็เลยไม่มีโอกาสตอบโต้อะไรได้
                ยิ่งท้องกำลังหิวแบบนี้
ผมก็เลิกสนใจเรื่องคำพูดประชดประชันของซองจินไปทันที

                เมื่ออิ่มท้องซองจินก็พาผมมาส่งผมที่บ้าน จากนั้นน้องก็รีบบึ่งรถไปมหาลัยในทันที เพราะนี่ก็ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายแล้ว พอเดินเข้ามาในบ้านจนถึงห้องนอน ผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง พลางลืมตามองเพดานและคิดไปถึงคำพูดของซองจิน ..
                น้องกำลังเตือนไม่ให้ผมปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินไปงั้นเหรอ? แล้วนี่ผมไปปล่อยตัว ปล่อยใจตรงไหน อีกอย่างพี่ คยูก็ไม่ได้คิดอะไรลามกแบบที่ซองจินเคยขู่สักหน่อย ไม่งั้นพี่เขาก็คงจะรวบรัดไปตั้งแต่วันแรกที่ผมยอมให้พี่เขานอนร่วมเตียงด้วยแล้วสิ
                อีซองจิน! ได้โปรดอย่ามาทำให้พี่ชายของนายกังวลจนปวดประสาทอีกจะได้มั้ย!

                ครืด ครืด

                เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้แค่นั้น และเมื่อเปิดข้อความออกอ่านผมก็ถึงกับต้องอมยิ้มจนแก้มบวมขึ้นมาทันที ...
                ก็ซองจินน่ะสิ ส่งข้อความมาบอกผมว่า
                ซองจินหวงซองมินนะ .. ถึงพี่มันจะดูแลดี ก็อย่าไปยอมพี่มันมาก .. เดี๋ยวพี่มันจะได้ใจ

                พออารมณ์ดีขึ้นมา ผมก็เริ่มสีไวโอลินเป็นท่วงทำนองเพลงตามใจนึก ผมใช้เวลาอยู่กับเสียงเพลงจนท้องฟ้าเริ่มจะมืดตัวลง เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็รีบเก็บไวโอลินตัวโปรดใส่กระเป๋าแล้วนำไปเก็บไว้ในตู้ไม้ จากนั้นก็รีบหอบเสื้อผ้าวิ่งเข้าไปอาบน้ำล้างตัวให้สดชื่น
                “พี่บอกว่าถึงบ้านแล้วให้ส่งข้อความมาบอกพี่ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวนี้ชักดื้อใหญ่ละ” พี่เขากอดอกพลางนั่งตัวตรงอยู่บนเตียงนอนของผม

                ขอโทษครับ ..’ หน้าของผมตอนนี้คงจะหดเหลือสองนิ้วซะแล้วมั้ง ขนาดขอโทษเป็นภาษามือก็ยังทำผิดๆถูกๆเลย
                “ซองจินมันสอนให้ก่อกบฏกับพี่หรือเปล่า? ท่าทางมันนี่วอนตีนพี่มาก” อยู่ๆพี่เขาก็ยิ้มจนผมปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ถูกเลย

                “อันที่จริงซองจินมันรายงานพี่แล้วล่ะ .. แกล้งเราเล่นไปงั้น ..” พี่เขาลุกขึ้นยืน พลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ขณะที่พี่เขากำลังจะเดินผ่านตัวผม พี่เขาก็แกล้งยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมด้วย ..
                ทำไมพี่เขาถึงชอบแกล้งให้ผมต้องคอยมาตื่นตระหนกอยู่เรื่อยเลยก็ไม่รู้

            ตอนนี้ผมสามารถนอนปิดไฟได้แล้ว ไม่ว่าจะมีแสงไฟจากข้างนอกหรือไม่ มันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมแล้วจริงๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะความเคยชินที่เกิดจากการเริ่มต้นฝึกหัดของพี่คยู
                อีกอย่าง แค่มีพี่เขาอยู่ข้างๆ ผมก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว

                “ไงเรา วันนี้เป็นอะไรดูเงียบๆแปลกๆ” พี่เขาอาบน้ำเสร็จแล้ว และกำลังนั่งเช็ดผมเปียกหมาดๆของตัวเองอยู่ข้างๆตัวผมที่กำลังนอนห่มผ้าจนมิดชิด
                “ป..เปล่า ..” ผมส่ายหน้าพลางส่งเสียงตอบ

                “วันหลังพาเพื่อนมาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างสิ ..” พี่เขาหยุดเช็ดผม พลางหันมามองหน้าผมในความมืด ผมก็เลยได้แต่หลบสายตา
และเมื่อผมทำอย่างนั้น ความเงียบก็เริ่มปกคลุมเราสองคนเอาไว้ ..

                “ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับน้องแฟนเลยเหรอ? ไม่จริงหรอกมั้ง ..” พี่เขาล้มตัวลงนอนพลางกอดผมเอาไว้ แม้ว่าศีรษะของพี่เขาจะยังเปียกอยู่ก็ตาม
               

                “น้องแฟนลองยิ้มให้พวกเขาบ้างหรือยัง?” ผมส่ายหน้าเมื่อพี่เขาถาม และเมื่อปมในใจกำลังถูกขุดขึ้นมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะโหยหาที่พึ่งพึงอย่างพี่เขา ผมหันไปกอดพี่เขาเอาไว้เมื่อผมกำลังรู้สึกอ่อนแอ ..
                สุดท้ายแล้ว ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าอันที่จริงแล้ว ผมได้ตั้งความหวังกับการมีเพื่อนที่เป็นอีกโลกนึงของผมไปนานแล้ว

                “น้องแฟนอยากได้กำลังใจมั้ย ?” เมื่อพี่เขาถามผมก็พยักหน้าตอบ และถึงตอนนี้ผมจะกำลังอ่อนแอ แต่ผมก็ไม่คิดจะร้องไห้
                “ได้ยินเสียงหัวใจของพี่มั้ย?” ผมพยักหน้ากับอกของพี่เขา

                “เสียงหัวใจของพี่ .. มันบ่งบอกได้ว่าครั้งหนึ่งพี่เคยเป็นคนอื่นสำหรับน้องแฟน เราไม่เคยรู้จักกัน เราไม่เคยคุยกัน .. แต่เรามารู้จักกันได้ก็เพราะการเปิดใจจริงมั้ย ? … ถ้าน้องแฟนหมดกำลังใจก็มาแอบฟังเสียงหัวใจของพี่ได้ เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องยืนยันว่าพี่เป็นคนแรกที่อยากรู้จักน้องแฟนไม่ว่าน้องแฟนจะเป็นยังไงพี่ก็ยังอยากรู้จักให้มากกว่าเดิม ทีนี้ไม่ว่าน้องแฟนจะโดนใครหันหลังให้สักกี่คน .. น้องแฟนก็จะยังนึกถึงพี่ว่าเออ น้องแฟนก็ยังมีไอ้โง่คนนึงที่มันคอยแต่จะหันซ้ายเมื่อน้องแฟนหันซ้าย อยากจะหันขวาเมื่อน้องแฟนหันขวา .. จริงป่ะ? ตราบใดที่พี่ยังมีชีวิตอยู่ พี่ก็สามารถเติมกำลังใจให้น้องแฟนได้เรื่อยๆนั่นแหละ .. ผิดหวังสักร้อยครั้งก็ยังดีกว่าเรายังไม่เริ่มมันสักครั้งเพราะคำว่ากลัวแค่คำเดียว”
               

                “การให้ความหวังตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด ในเมื่อเราหวังในสิ่งที่เราก็รู้ว่ามันมีทางแก้ไข .. ยังไงซะเราก็ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ .. เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหวังเลย ” ผมกอดพี่เขาให้แน่นขึ้น พลางซุกหน้ากับอกของพี่เขาให้มากกว่าเดิม คำพูดของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นกอง
                ณ ตอนนี้ความหวังเหมือนถูกจุดขึ้นมาในใจของผมแล้ว
                และดูเหมือนครั้งนี้มันก็น่าจะสำเร็จเสียด้วย

                ผมแกล้งเฉียดริมฝีปากของตัวเองกับแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของพี่เขาอย่างรวดเร็ว เมื่อผมต้องการจะขอบคุณโดยที่ไม่บอกให้เขารู้ และดูเหมือนว่าทันทีที่ผมทำอย่างนั้นลงไป ร่างกายของพี่เขาก็นิ่งแข็งราวกับหินผา
                “เมื่อกี้ .. ..น้องแฟน ..” พี่เขาพูดคล้ายกับคนสติเลื่อนลอย ส่วนผมก็เสแสร้งแกล้งหลับเพื่อไม่ให้พี่เขางัดผมขึ้นมาถามหาเอาความ
                ในเมื่อผมเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวกับการกระทำของตัวเองอย่างไร
                ก็ผมเล่นไปจูบแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของพี่เขาเองนี่ ..



<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>



ซองจินมาแว้ววววว มาเพื่อขู่แล้วก็จากไป อิอิ นี่ถ้าซองจินรู้ว่าคุณพี่โมเมเค้าย้ายมานอนกับน้องแฟนจะอกแตกตายหรือไม่ 555 ตอนเอาความคิดมากของน้องแฟนไปอ่านแล้วปิดท้ายตัวการให้กำลังใจหวานๆอีกนิด ประเดี๋ยวก็จะได้เวลามาเกรียนกับพวกตัวยุ่งและวนเวียนอยู่ในคลาสภาษามือกัน ต่อไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น