Beautiful Rich
แฟนผมสวยและรวยมาก
[31]
เช้านี้ผมต้องนำไวโอลีนติดตัวไปด้วย
เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาเอก
ผมกับพี่คยูมีเรียนพร้อมกันแต่เลิกไม่พร้อมกัน
ซึ่งเราสองคนก็ตกลงกันแล้วว่าจะต้องรอกลับพร้อมกัน ผมที่ไม่ได้อยากจะตอบรับในข้อตกลงนี้สักเท่าไหร่ก็ขี้คร้านจะเถียง
เพราะถึงยังไงพี่เขาก็คงจะดึงดันไม่ให้ผมแอบกลับเองแบบคราวก่อนอยู่ดี ..
“ไอ้พวกเชี่ย! นั่นรถกูนะโว้ย!”
ผมหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็นคนหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินคุยโทรศัพท์ออกมาจากในบ้านของเขาเอง
คือเมื่อคืนพี่เขาก็มานอนที่ห้องผมนั่นแหละ
แต่ตอนเช้าพี่เขาต้องแวะเข้าไปเอาอุปกรณ์การเรียนการสอนที่บ้านของเขาก่อน
เราสองคนถึงจะออกไปเรียนกันได้
“เออแม่ง!” พี่เขาสบถอย่างหัวเสีย
จากนั้นก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง
แล้วก็เดินไปยังพื้นที่ตรงข้างบ้านที่พี่เขาทำไว้เป็นโรงจอดรถเล็กๆสำหรับรถมอเตอร์ไซด์
…
ว่าแต่ว่า
.. รถยนต์ของพี่เขาหายไปไหนกัน
?
ทุกทีรถสีดำมันแววคันนั้นจะต้องจอดอยู่ตรงกลางระหว่างหน้าบ้านของผมกับพี่เขานะ
‘รถหายไปไหนเหรอครับ ?’ เมื่อพี่เขาขับรถมอเตอร์ไซด์มาจอดอยู่ใกล้ๆ
พี่ก็เลยถามพี่เขาด้วยภาษามือ
“ไอ้พวกนั้นมันขโมยไป
.. แม่งจะเอาไปหลีสาว
มันน่าด่ามั้ย?” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงกระโชกโฮกฮาก ผมจึงเอื้อมมือไปลูบข้างแขนของพี่เขาเบาๆ
เพื่อให้เขาใจเย็นลง
“เมื่อกี้
.. โทษทีนะ ..” พี่เขาวางมือลงบนมือของผม
พลางพูดขอโทษเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองเผลอใส่อารมณ์กับผมขึ้นมา ผมก็เลยส่ายหน้ายิ้มๆ
พลางชักมือออกจากการกอบกุมของพี่เขา
แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนรถมอเตอร์ไซด์ที่ไม่ได้ใช้งานมานานพอสมควร
“พี่จะซิ่งแล้วนะ
.. หาที่เกาะดีๆ
ระวังจะล่วงทั้งคนทั้งไวโอลิน” พอพี่เขาพูดจบ
พี่เขาก็ออกรถกระตุกตัวจนหัวของผมไปโขกกับแผ่นหลังของพี่เขาเลย …
พี่เขากำลังแกล้งกันชัดๆเลยนี่ แบบนี้น่ะ …
“ไปนะ ..”
พอพี่เขาขับรถมาจอดเทียบท่าตรงหน้าตึกคณะของผมเรียบร้อยแล้ว
ผมก็รีบลงจากรถทันทีเพราะตอนนี้เรากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนรอบข้างอยู่ ..
เมื่อพี่เขาเห็นผมทำท่าทางยึกยัก เขาก็เลยเป็นฝ่ายบอกลาผมแทน ..
ผมยังคงหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งรถมอเตอร์ไซด์ของพี่เขาขับออกไปจนไกลสุดสายตา
..
การเรียนการสอนของภาควิชาดนตรีตะวันตกยังคงเป็นไปอย่างเรียบง่าย
เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ต่างก็มีความชำนาญในเครื่องดนตรีประจำกายของตนเองกันอยู่แล้ว
อาจารย์จึงสอนเรื่องการประสมวงดนตรีสากลให้กับพวกเรา
โดยให้นักศึกษาแต่ละคนที่มีความชำนาญในการใช้เครื่องดนตรีในแต่ละประเภทมาจับกลุ่มกันเพื่อฟอร์มวงแบบรวม
จากนั้นเมื่อมีความพร้อมเพียง อาจารย์ก็จะเริ่มให้พวกเราประสมวงกับเครื่องดนตรีทุกประเภท
…
หากผลงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาจารย์ก็จะปล่อยคลาสเร็วกว่ากำหนด …
ทั้งๆที่ผมก็มีโอกาสในการหาเพื่อนที่จะมาเป็นอีกโลกนึงของผมตั้งมากมาย
แต่ผมก็ยังเป็นอีซองมินคนที่ได้แต่นั่งเงียบ
ไร้ความคิดเห็นใดๆในกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทไวโอลิน ..
ผมเงียบขณะที่เพื่อนคนอื่นเขาคุยปรึกษากันว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรให้การสีไวโอลินเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ผมเงียบแม้ว่าผมจะรู้คำตอบของปัญหาบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้ …
ผมเงียบแม้ว่าผมจะสามารถให้คำแนะนำเล็กๆน้อยๆกับพวกเขาได้ ..
ผมก็แค่คนขี้ขลาดที่กำลังจะหมดกำลังใจในการเปิดโลกสีเทาให้เป็นสีขาว
…
หลังจากหมดคาบเรียน
ผมก็เดินมาหาที่นั่งเล่นเงียบๆตรงสวนระหว่างคณะศิลปกรรมกับคณะดุริยางคศาสตร์
บรรยากาศอันเงียบสงบเหมาะกับการนั่งทอดอารมณ์เป็นอย่างมาก
ผมเลือกเดินเข้าไปนั่งปักหลักตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ปกติแล้วพื้นที่ตรงนี้มักจะมีเด็กศิลปกรรมมาคอยจับจองพื้นที่อยู่เสมอ
..
ผมทิ้งตัวลงนั่งกับผืนหญ้าอันเขียวขจี
จากนั้นก็วางกระเป๋าไวโอลินลงบนหน้าขาของตัวเองอีกที
สายตาของผมกำลังมองตรงไปด้านหน้าอย่างเลื่อนลอย ..
เรื่องราวตรงหน้าของผมกำลังฉายภาพของเด็กคณะศิลปกรรมสองคน
ซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาคือเพื่อนสนิทกัน ผู้ชายสองคนนั้นกำลังวิ่งไล่เตะกันไปมาอย่างสนุกสนาน
เสียงหัวเราะของพวกเขาถึงแม้จะไม่ดังมาก แต่มันก็สามารถดึงความสนใจจากคนรอบข้างได้ดี
..
ความสดใสของพวกเขา ทำให้รอบกายของผมดูหดหู่ขึ้นมาทันที …
ผมตัดสินใจนั่งหันหลังให้ภาพของผู้ชายสองคนนั้น และล้มตัวลงนอนกับผืนหญ้า
พลางกอดกระเป๋าไวโอลินเอาไว้แน่น แสงแดดอุ่นๆเล็ดรอดผ่านเงาร่มไม้ตกกระทบสายตา
จนผมต้องหลับตาลงและค่อยๆขยับตัวให้พ้นจากแสงอาทิตย์รำไร ..
มันคือความจริงที่ผมไม่เคยยอมรับว่าอันที่จริงแล้วผมเองก็ต้องการ ‘เพื่อน’ เหมือนกัน ..
ผมสะดุ้งอย่างตกใจ
เมื่ออยู่ๆหยดน้ำบางอย่างก็หยดใส่ใบหน้าของผมเสียหลายหยด
ผมยกมือขึ้นลูบหน้าลูบตาของตัวเองก่อนจะลืมตาขึ้นมาดูตัวการณ์
ก็พบใบหน้าหล่อเหลาของคนคุ้นเคยที่กำลังนั่งยองๆอยู่เหนือศีรษะของผม
ส่วนมือขวาของเขาคนนั้นก็ถือขวดน้ำพลาสสติกใสที่ภายในบรรจุน้ำดื่มอันเย็นชื่นใจเอาไว้
..
“ทำไมน้องแฟนมานอนขึ้นอืดตรงนี้คนเดียว ?” ผู้ชายขี้แกล้งคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่คยูฮยอนนี่เองแหละ
เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม พลางถามไถ่ไปตามเรื่องตามราว
จากนั้นเขาก็ยกขวดน้ำในมือขึ้นมากระดกเสียหลายอึก
“พี่คยู!”
ผมใช้สายตาเขียวปั๊ดมองพี่เขาที่เอาแต่ยิ้มระรื่น
“แหมมมม .. ทีโมโหนี่พูดซะคล่องปากเชียวนะ”
พี่เขาเอาขวดน้ำเย็นๆในมือมาแนบข้างแก้มของผมอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าผมจะโกรธเขายิ่งกว่าเดิม
นี่ขนาดผมส่งสายตาไม่พอใจให้พี่เขาแล้วนะ
“น้องแฟนเลิกเรียนเร็วจัง
พี่ยังทำแลปไม่เสร็จเลย” พี่เขานั่งชันเข่าพลางกอดเข่าของตัวเองเอาไว้
ส่วนใบหน้าของเขาก็หันมามองผมที่ยังคงนอนอยู่บนผืนหญ้าไม่ขยับไปไหน
‘แล้วทำไมไม่รีบกลับไปทำล่ะครับ
มานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม ?’ ผมถามพี่เขากลับด้วยภาษามือ
“เห็นน้องแฟนนอนขึ้นอืดอยู่คนเดียวไง
พี่เลยเดินเข้ามาทัก” พอได้ยินพี่เขาบอกว่าผมกำลังนอนขึ้นอืด
ริมฝีปากของผมก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ในทันที ..
“พี่กำลังทำแลปอยู่ตรงโน้นแน่ะ” พี่เขาชี้ไปทางด้านหลังของเขา
ผมก็เลยต้องไถหัวมองตามปลายนิ้วชี้ของพี่เขา ก็เลยเห็นกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่สวมเสื้อช็อปคณะวิศวะกำลังทำกิจกรรมอะไรสักอย่างอยู่
ดูได้จากอุปกรณ์อันครบครันนั่น ขณะนี้พวกเขาคงจะยุ่งกันไม่เบา ..
แล้วทำไมผู้ชายที่สวมเสื้อช็อปวิศวะข้างๆผม
ถึงได้ไม่ยุ่งวุ่นวายอะไรกับเขาเลย ?
“พี่ไปทำงานต่อก่อนนะ .. ถ้าหิวก็ไปทานก่อนได้เลย
แต่ถ้ายังจะรอทานพร้อมพี่ก็ได้ .. น่าจะสักประมาณเที่ยงกว่าๆคงเสร็จมั้ง
..” พี่เขาขยี้หัวผม พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“ฝากทิ้งหน่อยนะ
..”
และก่อนที่พี่เขาจะเดินถอยห่างออกไป เขาก็โน้มตัวลงมายัดขวดน้ำใส่ฝ่ามือของผมเฉยเลย!
เท่านั้นไม่พอ …
พี่เขายังจะมีหน้ามายักคิ้วใส่ผมอีก!
ครืด
ครืด …
ผมนอนหลับตานิ่งๆอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลามันผ่านไปนานหลายชั่วโมง
เสียงโทรศัพท์ก็ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ที่ผมสร้างขึ้นชั่วคราว ..
‘วันนี้งานของพี่คงไม่เสร็จง่ายๆ น้องแฟนไปทานข้าวแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านเลยดีกว่า
พี่โทรตามซองจินให้แล้ว อีกเดี๋ยวมันก็คงจะมา ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกพี่ด้วย ..’
พอผมอ่านข้อความจบ เงาของใครบางคนก็ซ้อนทับบนใบหน้าผม
เมื่อสายตาเลื่อนขึ้นไปมอง ผมก็พบหน้าน้องชายของตัวเองที่ไม่ได้เจอมาหลายวันเสียที
..
“ไม่เจอกันหลายวัน .. พี่ยังโอเคดีอยู่นะ?” ซองจินถามพลางยักคิ้วให้ผม
ส่วนสายตาของน้องก็มองสำรวจไปทั่วตัวผมอย่างกวนประสาท ผมก็เลยรีบลุกขึ้นนั่งโดยไม่ลืมจับประครองไวโอลินเครื่องเก่งเอาไว้อย่างดี
..
‘ไอ้เด็กงี่เง่า ..’ ผมแอบบ่นซองจินด้วยภาษามือที่ผมมั่นใจว่าน้องไม่มีทางรู้ความหมายของมันแน่
“แอบด่าเหรอ
? คิดว่าผมแปลไม่ออกว่างั้น
?” ซองจินปลายสายตามองผมอย่างคาดโทษ แล้วก็เดินนำหน้าผมไปยังตำแหน่งที่ตนเองจอดรถทิ้งไว้
‘ทำไมไม่กลับมานอนบ้านมั่ง ?’
ผมเขียนข้อความให้ซองจินอ่านเหมือนปกติ
เพราะผมไม่แน่ใจว่าซองจินเข้าใจภาษามือมากน้อยแค่ไหน
“ติดงานกลุ่มน่ะ
เลยต้องอยู่เคลียร์ให้เสร็จ”
“อื้อ”
ผมตอบรับทั้งๆที่ในใจมันแอบค้านกับคำตอบของซองจิน
“หัวเราะอะไร
?”
ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองทันทีเมื่อผมไม่รู้ตัวว่าเผลอไปหลุดหัวเราะกับความคิดของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่มันดูแลดีหรือเปล่า? ให้อาหารครบทุกมื้อมั้ย?”
“ซองจิน!” ผมตะโกนเสียงดังลั่น
พลางยกมือขึ้นฟาดลาดไหล่ของซองจินจนเสียงดังลั่น ก็แล้วมันสมควรมั้ยล่ะ
มีอย่างที่ไหนมาถามผมแบบนั้น
นี่ซองจินคิดว่าพี่ชายของตัวเองเป็นตัวอะไรกันถึงได้มาถามแบบนี้!
“ก็เห็นว่าเชื่องดี .. พูดอะไรก็เชื่อเค้าไปหมด ..” พอซองจินพูดจบก็ประจวบเหมาะกับรถเคลื่อนมาจอดตรงหน้าร้านอาหารพอดี
ผมก็เลยไม่มีโอกาสตอบโต้อะไรได้ …
ยิ่งท้องกำลังหิวแบบนี้
ผมก็เลิกสนใจเรื่องคำพูดประชดประชันของซองจินไปทันที
…
เมื่ออิ่มท้องซองจินก็พาผมมาส่งผมที่บ้าน
จากนั้นน้องก็รีบบึ่งรถไปมหาลัยในทันที เพราะนี่ก็ใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายแล้ว
พอเดินเข้ามาในบ้านจนถึงห้องนอน ผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง
พลางลืมตามองเพดานและคิดไปถึงคำพูดของซองจิน ..
น้องกำลังเตือนไม่ให้ผมปล่อยตัวปล่อยใจจนเกินไปงั้นเหรอ? แล้วนี่ผมไปปล่อยตัว ปล่อยใจตรงไหน อีกอย่างพี่ คยูก็ไม่ได้คิดอะไรลามกแบบที่ซองจินเคยขู่สักหน่อย
ไม่งั้นพี่เขาก็คงจะรวบรัดไปตั้งแต่วันแรกที่ผมยอมให้พี่เขานอนร่วมเตียงด้วยแล้วสิ
…
อีซองจิน! ได้โปรดอย่ามาทำให้พี่ชายของนายกังวลจนปวดประสาทอีกจะได้มั้ย!
ครืด ครืด …
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมจึงหยุดความคิดของตัวเองเอาไว้แค่นั้น
และเมื่อเปิดข้อความออกอ่านผมก็ถึงกับต้องอมยิ้มจนแก้มบวมขึ้นมาทันที ...
ก็ซองจินน่ะสิ ส่งข้อความมาบอกผมว่า …
‘ซองจินหวงซองมินนะ .. ถึงพี่มันจะดูแลดี ก็อย่าไปยอมพี่มันมาก
.. เดี๋ยวพี่มันจะได้ใจ’
พออารมณ์ดีขึ้นมา
ผมก็เริ่มสีไวโอลินเป็นท่วงทำนองเพลงตามใจนึก ผมใช้เวลาอยู่กับเสียงเพลงจนท้องฟ้าเริ่มจะมืดตัวลง
เมื่อเห็นอย่างนั้นผมก็รีบเก็บไวโอลินตัวโปรดใส่กระเป๋าแล้วนำไปเก็บไว้ในตู้ไม้
จากนั้นก็รีบหอบเสื้อผ้าวิ่งเข้าไปอาบน้ำล้างตัวให้สดชื่น …
“พี่บอกว่าถึงบ้านแล้วให้ส่งข้อความมาบอกพี่ไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวนี้ชักดื้อใหญ่ละ” พี่เขากอดอกพลางนั่งตัวตรงอยู่บนเตียงนอนของผม
‘ขอโทษครับ ..’ หน้าของผมตอนนี้คงจะหดเหลือสองนิ้วซะแล้วมั้ง
ขนาดขอโทษเป็นภาษามือก็ยังทำผิดๆถูกๆเลย
“ซองจินมันสอนให้ก่อกบฏกับพี่หรือเปล่า? ท่าทางมันนี่วอนตีนพี่มาก”
อยู่ๆพี่เขาก็ยิ้มจนผมปรับอารมณ์ของตัวเองไม่ถูกเลย
“อันที่จริงซองจินมันรายงานพี่แล้วล่ะ
.. แกล้งเราเล่นไปงั้น
..” พี่เขาลุกขึ้นยืน
พลางเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ขณะที่พี่เขากำลังจะเดินผ่านตัวผม
พี่เขาก็แกล้งยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมด้วย ..
ทำไมพี่เขาถึงชอบแกล้งให้ผมต้องคอยมาตื่นตระหนกอยู่เรื่อยเลยก็ไม่รู้ …
ตอนนี้ผมสามารถนอนปิดไฟได้แล้ว
ไม่ว่าจะมีแสงไฟจากข้างนอกหรือไม่ มันไม่เป็นปัญหาสำหรับผมแล้วจริงๆ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะความเคยชินที่เกิดจากการเริ่มต้นฝึกหัดของพี่คยู
…
อีกอย่าง แค่มีพี่เขาอยู่ข้างๆ ผมก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรแล้ว …
“ไงเรา วันนี้เป็นอะไรดูเงียบๆแปลกๆ” พี่เขาอาบน้ำเสร็จแล้ว
และกำลังนั่งเช็ดผมเปียกหมาดๆของตัวเองอยู่ข้างๆตัวผมที่กำลังนอนห่มผ้าจนมิดชิด
“ป..เปล่า ..”
ผมส่ายหน้าพลางส่งเสียงตอบ
“วันหลังพาเพื่อนมาแนะนำให้พี่รู้จักบ้างสิ
..” พี่เขาหยุดเช็ดผม
พลางหันมามองหน้าผมในความมืด ผมก็เลยได้แต่หลบสายตา
และเมื่อผมทำอย่างนั้น
ความเงียบก็เริ่มปกคลุมเราสองคนเอาไว้ ..
“ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับน้องแฟนเลยเหรอ? ไม่จริงหรอกมั้ง ..” พี่เขาล้มตัวลงนอนพลางกอดผมเอาไว้
แม้ว่าศีรษะของพี่เขาจะยังเปียกอยู่ก็ตาม …
“…”
“น้องแฟนลองยิ้มให้พวกเขาบ้างหรือยัง?” ผมส่ายหน้าเมื่อพี่เขาถาม และเมื่อปมในใจกำลังถูกขุดขึ้นมา
ผมก็อดไม่ได้ที่จะโหยหาที่พึ่งพึงอย่างพี่เขา
ผมหันไปกอดพี่เขาเอาไว้เมื่อผมกำลังรู้สึกอ่อนแอ ..
สุดท้ายแล้ว
ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าอันที่จริงแล้ว
ผมได้ตั้งความหวังกับการมีเพื่อนที่เป็นอีกโลกนึงของผมไปนานแล้ว …
“น้องแฟนอยากได้กำลังใจมั้ย ?”
เมื่อพี่เขาถามผมก็พยักหน้าตอบ และถึงตอนนี้ผมจะกำลังอ่อนแอ
แต่ผมก็ไม่คิดจะร้องไห้ …
“ได้ยินเสียงหัวใจของพี่มั้ย?”
ผมพยักหน้ากับอกของพี่เขา
“เสียงหัวใจของพี่
.. มันบ่งบอกได้ว่าครั้งหนึ่งพี่เคยเป็นคนอื่นสำหรับน้องแฟน
เราไม่เคยรู้จักกัน เราไม่เคยคุยกัน .. แต่เรามารู้จักกันได้ก็เพราะการเปิดใจจริงมั้ย
? … ถ้าน้องแฟนหมดกำลังใจก็มาแอบฟังเสียงหัวใจของพี่ได้
เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องยืนยันว่าพี่เป็นคนแรกที่อยากรู้จักน้องแฟนไม่ว่าน้องแฟนจะเป็นยังไงพี่ก็ยังอยากรู้จักให้มากกว่าเดิม
… ทีนี้ไม่ว่าน้องแฟนจะโดนใครหันหลังให้สักกี่คน .. น้องแฟนก็จะยังนึกถึงพี่ว่าเออ
น้องแฟนก็ยังมีไอ้โง่คนนึงที่มันคอยแต่จะหันซ้ายเมื่อน้องแฟนหันซ้าย
อยากจะหันขวาเมื่อน้องแฟนหันขวา .. จริงป่ะ? ตราบใดที่พี่ยังมีชีวิตอยู่
พี่ก็สามารถเติมกำลังใจให้น้องแฟนได้เรื่อยๆนั่นแหละ .. ผิดหวังสักร้อยครั้งก็ยังดีกว่าเรายังไม่เริ่มมันสักครั้งเพราะคำว่ากลัวแค่คำเดียว”
“…”
“การให้ความหวังตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด
ในเมื่อเราหวังในสิ่งที่เราก็รู้ว่ามันมีทางแก้ไข .. ยังไงซะเราก็ต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ .. เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหวังเลย …”
ผมกอดพี่เขาให้แน่นขึ้น พลางซุกหน้ากับอกของพี่เขาให้มากกว่าเดิม
คำพูดของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นกอง …
ณ ตอนนี้ความหวังเหมือนถูกจุดขึ้นมาในใจของผมแล้ว
และดูเหมือนครั้งนี้มันก็น่าจะสำเร็จเสียด้วย
ผมแกล้งเฉียดริมฝีปากของตัวเองกับแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของพี่เขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อผมต้องการจะขอบคุณโดยที่ไม่บอกให้เขารู้ และดูเหมือนว่าทันทีที่ผมทำอย่างนั้นลงไป
ร่างกายของพี่เขาก็นิ่งแข็งราวกับหินผา
“เมื่อกี้
.. น ..น้องแฟน ..” พี่เขาพูดคล้ายกับคนสติเลื่อนลอย ส่วนผมก็เสแสร้งแกล้งหลับเพื่อไม่ให้พี่เขางัดผมขึ้นมาถามหาเอาความ
…
ในเมื่อผมเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวกับการกระทำของตัวเองอย่างไร …
ก็ผมเล่นไปจูบแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของพี่เขาเองนี่ ..
<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>
ซองจินมาแว้ววววว มาเพื่อขู่แล้วก็จากไป อิอิ
นี่ถ้าซองจินรู้ว่าคุณพี่โมเมเค้าย้ายมานอนกับน้องแฟนจะอกแตกตายหรือไม่ 555
ตอนเอาความคิดมากของน้องแฟนไปอ่านแล้วปิดท้ายตัวการให้กำลังใจหวานๆอีกนิด
ประเดี๋ยวก็จะได้เวลามาเกรียนกับพวกตัวยุ่งและวนเวียนอยู่ในคลาสภาษามือกัน ต่อไป
[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [31]