วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [28]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 

 


 

[28]

                เดี๋ยวนี้ซองจินไม่กลับมานอนที่บ้านเลย เขาเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับจงจินแทบจะตลอดเวลา จนผมชักจะน้อยใจเข้าให้แล้ว และพอซองจินไม่อยู่ พี่เขาก็สามารถเข้านอกออกในบ้านของผมได้อย่างสะดวก ..
                พี่เขามักจะรับอาสามานอนเป็นเพื่อนผมทุกคืน แถมยังชอบพูดจาให้ผมต้องมานอนคิดลึกอยู่บ่อยๆ และที่เขาทำอย่างนั้น ก็ไม่ใช่เพราะเขาคิดอย่างที่พูด แต่เหตุผลที่เขาทำไป มันเป็นเพราะเขาอยากจะแกล้งให้ผมลนลานเพราะเขาต่างหาก ..

                “น้องแฟนทำอะไรให้พี่กินน่ะ ?” พี่เขามองจ้องมื้อเช้าที่ผมเพิ่งทำเสร็จไปหมาดๆ ราวกับไม่มั่นใจว่านี่มันใช่อาหารคนอย่างไรอย่างนั้น ..
                พอได้ยินคำถาม ผมก็เอี้ยวตัวไปหยิบบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่โกโก้ร้อนขึ้นมาชูให้พี่เขาดู

                “หน้าตามันเหมือนอ้วกหมาเลยน้องแฟน” พี่เขาทำหน้าปูเลี่ยน เมื่อมองโกโก้ร้อนกับขนมปังที่มันขึ้นอืดอยู่ในแก้ว
                พี่ครับ.. มันอร่อยนะผมทำหน้ามุ่ย พลางส่งภาษามือไปยืนยันกับพี่เขาอีกหน ..

                “ขึ้นอืดแบบนี้เนี่ยนะ ?” พี่เขาเอาช้อนกาแฟเขี่ยๆเนื้อขนมปังหุ้มน้ำโกโก้อย่างเอียนๆ
                “อื้อ” ผมส่งเสียงตอบ พลางนั่งลงทางฝั่งตรงกันข้ามกับพี่เขา แล้วจากนั้นผมก็เริ่มตักขนมปังชุ่มน้ำจากในถ้วยของผมขึ้นมากิน พอพี่เขาเห็นผมเคี้ยวตุ้ยๆ พี่เขาก็เลยตักมันขึ้นมาเพื่อจะกินอย่างผมบ้าง ..
                แต่กว่าพี่เขาจะทำใจกระเดือกมันลงคอ สีหน้าผะอืดผะอมก็ฉายชัดจนผมแอบอมยิ้ม ..

                มื้อนี้ไม่ใช่มื้อแรกที่ผมกับพี่คยูฮยอนนั่งทานมื้อเช้าด้วยกัน เพียงแต่เมนูนี้ผมก็เพิ่งจะเคยทำให้พี่เขาลองทานดูนี่ล่ะ คือความจริงผมชอบใส่ขนมปังลงไปในถ้วยโกโก้ร้อนเอามากๆ แต่เพราะซองจินก็ชอบทำหน้าแบบพี่คยูนี่แหละ ผมก็เลยไม่ค่อยทำเมนูนี้ทานสักเท่าไหร่

                “ขนมปังมันเละมากน้องแฟน คือกินแล้วกลืนได้เลยน่ะ” พี่เขาตักเนื้อขนมปังมาใส่แก้วของผม จากนั้นพี่เขาก็ทำหน้าแหวะใส่เมนูโปรดของผม ซึ่งท่าทางแหวะของพี่เขามันน่าเอ็นดูเอามากๆ
                พี่เขาหลับตาปี๋ พลางแลบลิ้นออกมาแบบนั้นน่ะ
                มันช่างดูดีชะมัดยาก

                หลังจากทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว พี่เขาก็เดินไปหยิบหนังสือการใช้ภาษามือของเขาเองออกมาวางกางลงบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็จัดเตรียมในสิ่งที่พี่เขาจะนำไปสอนให้พวกพี่ๆคนอื่นได้รับรู้ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองท่าทางตั้งใจของพี่เขาอยู่เงียบๆ
                วันนี้เราสองคนมีนัดกับพี่ๆทุกคนตอนหกโมงเย็น ที่ร้านน้ำเต้าหู้ประจำคณะวิศวะนั่นแหละ และการนัดแนะกันในครั้งนี้ มันก็น่าจะเป็นที่สงสัยของใครหลายๆคน ว่าเพราะเหตุใดพี่คยูถึงได้ทุ่มเทให้ผมขนาดนี้
                เรื่องของเรา หากไม่พูดก็น่าจะมองกันออก ..

เปราะ!

เสียงดีดนิ้วของพี่คยู ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ของตนเองในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดวงตาของผมสบกับดวงตาของพี่เขา ผมก็มองเห็นอาการล้อเลียนอยู่ในแววตานั้น จึงทำให้ผมเสยหน้ามองไปทางอื่น พลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปซะ พี่เขาจะได้เลิกแกล้งผมเสียที
ซึ่งพอผมทำแบบนั้น พี่เขาก็หันกลับไปก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือของตนเองต่อ ..

 พอพี่เขาหลุดเข้าไปในภวังค์ของตัวหนังสือเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร พลางเดินออกไปตรงห้องนั่งเล่น เพื่อหยิบหนังสือมาอ่าน
พี่เขาให้คำแนะนำกับผมตามที่คุณหมอที่ปรึกษาของพี่เขาบอก ..

คุณหมอให้ผมลองอ่านหนังสือทั่วๆไปดูบ้าง ซึ่งขณะที่อ่านนั้น ผมก็ต้องพยายามออกเสียงตามที่สมองสั่งการให้ได้ หากผมฝึกแบบนี้ทุกวัน มันก็จะเกิดความคล่องแคล่ว ..
พี่เขาบอกว่าผมมีสิทธิ์จะหายขาด หากแต่มันต้องใช้เวลา ขอแค่ผมอดทน ทุกอย่างจะต้องบรรลุผลสำเร็จ แล้วพี่เขาก็บอกอีกว่า อาการของผมไม่จำเป็นต้องไปหาหมอโดยตรงก็ได้ เพียงแต่ผมจะต้องฝึกฝนตามคำแนะนำที่พี่เขาได้รับมาอย่างเคร่งครัดก็พอ

“You must lose your fear of being wrong
In order to live a creative life”

                คะ ..คุณ ..ตะ .. ต้องละ ทะ ..ทิ้ง คะ ..ความ ..กะ ..กลัว .. ที่จะ ผะ..ผิดพลาด เพื่อจะได้ .. ชะ..ใช้ .. ชะ ..ชีวิตอย่าง ..สะ ..สร้าง .. สะ ..สรรค์” ผมอ่านข้อความภาษาอังกฤษในหนังสือที่พี่คยูเป็นคนเลือกซื้อให้ผมเมื่อค่ำคืนวานในใจ จากนั้นก็เริ่มหัดออกเสียงเป็นภาษาเกาหลีที่ผมแปลความหมายของมันออกมาเพียงเสี้ยววินาที หากแต่การจะออกเสียงให้มันครบทั้งประโยค กลับใช้เวลาไปเนิ่นนาน ..

‘People grow through experience
If they meet life honestly and courageously.
This is how character is built’

                คนเราเติบโตขึ้นได้จากประสบการณ์ หากเราเลือกที่จะเผชิญชีวิตอย่างซื่อสัตย์และกล้าหาญ และนั่นคือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นเราอย่างทุกวันนี้ ผมยังคงอ่านออกเสียงอย่างไม่ชินปาก เพราะลิ้นของผมยังคงแข็งกระด้างอยู่ แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม อีกทั้งการอ่านหนังสือที่พี่เขาซื้อมาให้ มันก็ทำให้ผมได้รับกำลังใจและข้อคิดในการใช้ชีวิตอีกมากมาย
               
‘You might meet a hundred acquaintances
Just to find a few special friend’

“คุณอาจต้องทำความรู้จักกับผู้คนนับร้อย กว่าจะได้พบเพื่อนแท้เพียงไม่กี่คน” ยิ่งอ่านมากเข้า ผมก็เริ่มจะอ่านออกมาได้อย่างราบรื่น ..
และหากผมฝึกฝนและทุ่มเทอย่างนี้ตั้งแต่อาการของผมยังคงอยู่ในระยะแรกเริ่ม
ผมคงไม่ต้องทนอยู่ในโลกสีเทาที่ผมสร้างมันขึ้นมาเสียนมนาน

เราสองคนหมดเวลาไปกับกิจกรรมของตัวเอง โดยไม่ได้พูดกันจนกระทั่งเวลาเยื้องย่างเข้าสู่บ่ายคล้อย จากที่ผมเคยนั่งตัวตรงฝึกการอ่านของตนเองอย่างกระฉับกระเฉง มาตอนนี้ผมก็เริ่มไถลตัวพลางเอียงคอแนบหน้าลงกับโต๊ะไม้เนื้อดี ขณะที่ริมฝีปากของผมก็ยังคงออกเสียงไปตามสิ่งที่สมองกำลังประมวลผล ..
ยิ่งบรรยากาศรอบกายของเรามันมีแต่ความเงียบสงบ ฝ่ามือของผมที่กำลังจับยึดหนังสืออยู่ก็เริ่มอ่อนแรงลง จนกระทั่งเปลือกตาของผมปิดสนิท และสุดท้ายฝ่ามือของผมก็ปล่อยให้หนังสือมันนอนแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะข้างๆตัว ..

ในความฝันของผม มีพี่คยูฮยอนเป็นตัวเอก เขาเดินเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนในที่สุดปลายเท้าของเขาก็หยุดลงตรงหน้าผม จากนั้นริมฝีปากของเขาก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้ม ต่อจากนั้น ริมฝีปากที่เคยคลี่ยิ้มก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ริมฝีปากของผม
พี่เขาหยุดค้างริมฝีปากเอาไว้อย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน ..
นานเสียจนผมแทบจะหยุดหายใจ

ผมถูกปลุกให้ตื่นก็เมื่อเวลามันใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว พี่เขาบอกให้ผมรีบไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เพราะพี่เขาแต่งตัวเตรียมพร้อมจะออกไปข้างนอกตั้งนานแล้ว ..
ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนงงอยู่พักใหญ่ จากนั้นผมก็เดินสะลืมสะลือขึ้นไปข้างบน ..

พออาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ผมก็เดินมายืนจัดกระเป๋าตรงโต๊ะเขียนหนังสือ ผมหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กใส่ลงไปในกระเป๋า จากนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ใส่ตามลงไป แล้วก็ทำท่าจะปิดกระเป๋า เมื่อไม่มีอะไรสำคัญจนต้องพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ..

พลันสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตเพลงที่ผมแกะให้มินโฮเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงยืนลังเลอยู่ตรงนั้น ว่าผมควรจะนำมันติดตัวไปด้วยหรือไม่
ผมแอบกังวลอยู่นิดหน่อย เพราะผมกลัวว่าผมกับเขาจะไม่อาจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ก็เขาเล่นเงียบหายไปแบบนี้ ปกติเขาจะต้องตามทวงโน้ตเพลงที่เขาไหว้วานให้ผมทำอยู่ตลอด แต่หลังจากที่เขารู้เรื่องของผมกับพี่คยูฮยอนแล้ว เขาก็เงียบหายไปเลย ..
สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหยิบมันยัดใส่กระเป๋าลงไปด้วย ..

พอเราสองคนมาถึงร้านขายน้ำเต้าหู้ของกลุ่มคณะวิศวะ ก็ดูเหมือนว่าเราจะกลายเป็นจุดเด่นในทันที เพราะทุกคนในกลุ่มสายรหัสของพี่เขา เอาแต่มองมาเป็นตาเดียว ซ้ำยังมีพวกเพื่อนๆของพี่ๆคนอื่นๆอีก ผมก็เลยทำสีหน้าไม่ถูก
ซองจินเรียกผมให้ไปนั่งข้างๆตัวเอง ซึ่งที่นั่งตรงนั้นก็อยู่ข้างๆกับมินโฮด้วยเช่นกัน ..

“มึงมีอะไรจะสารภาพมั้ยวะ ?” พี่อีทึกเป็นคนเปิดฉากขึ้น เมื่อครบองค์ประชุม
“สารภาพอะไรวะพี่ ?” พี่เขาถามกลับอย่างหน้าซื่อตาใส หากแต่น้ำเสียงของพี่เขากำลังบ่งบอกได้เลยว่า อยากจะลองดี ..

“มึงอย่ามาเล่นลิ้นไอ้คยู เดี๋ยวกูโบกให้” พี่อีทึกลุกขึ้น พลางทำท่าจะตีพี่คยูจริงๆ
“โห่ๆ ทำมาใช้กำลัง ..

“สรุปคือซองจินกับซองมินไม่ใช่แฟนกัน ?” พี่อีทึกถาม พลางมองมาที่พวกเราสามคนอย่างต้องการคำตอบ แต่ผมกับซองจินก็ยังคงนิ่งเงียบ ส่วนพี่คยูก็ทำเป็นยักไหล่ใส่พี่อีทึกซะอย่างนั้น
“ถามซองจินมันดิวะ พี่มึงจะมองกูทำไมนักหนาเนี่ย ทำเหมือนกูผิดมากอ่ะ”

“ช่างเหอะๆ เรื่องซองมินกับซองจินพวกกูรู้ตั้งแต่จะจบทริปละ .. เหลือแต่มึงกับซองมินนี่แหละที่ยังทำอะไรไม่ชัดเจนกับพวกกูเลย ..” ผมหันไปมองหน้าซองจินทันทีที่พี่อีทึกพูดจบ เพราะผมไม่รู้จริงๆว่าซองจินไปสารภาพความจริงกับทุกคนแล้ว
ถ้าอย่างนั้น .. การที่พี่เขาเข้ามาหาผมถึงในเต้นท์ได้ .. ก็หมายความว่าซองจินรู้เห็น แต่ไม่คิดจะห้ามปรามงั้นเหรอ ?

“ใช่ๆ .. ตกลงน้องซองมินกับมึงคบกันจริงดิ ?” พี่แจจุงยื่นหน้าเข้าไปถามพี่คยู ฝ่ายนั้นก็ทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมตอบ กลับเอาแต่ยิ้มกรุ้มกริ่มใส่พี่ๆเขาอยู่ได้
ทีนี้ผมก็เลยต้องมานั่งเดือดร้อนแทนพี่คยูเขานี่ไง ..

“ตกลงซองมินเป็นหลานสะใภ้พี่จริงๆเหรอ ?” พี่อีทึกหันมาถามผมอย่างนุ่มนวล แตกต่างกับท่าทางตอนพูดกับพี่คยูมาก ลำพังแค่พี่อีทึกถาม ผมก็อายจะแย่แล้ว แต่นี่คนทั้งโต๊ะดันหันมามองผมกันหมด ผมก็เลยได้แต่นั่งก้มหน้าซ่อนอาการของเขินอายตนเองเอาไว้ ..
แต่มันคงจะปิดไม่มิดใช่มั้ย พวกพี่เขาถึงส่งเสียงแซวซะดังลั่นร้านเลย ..

“เริ่มกันได้แล้วโว้ย พี่มึงนี่แซวไม่รู้จักเวล่ำเวลา” พี่คยูลุกขึ้นไปลากกระดานดำขนาดเล็กที่วางตั้งอยู่ตรงหน้าร้านขายน้ำเต้าหู้มาวางใกล้ๆโต๊ะของพวกเรา
“ไอ้สันขวาน มึงลบเมนูกูทำเชี่ยอะไร ?” พี่เจ้าของร้านที่ผมพอจะคุ้นเคยอยู่บ้าง เพราะมาซื้อกับพี่คยูบ่อยๆรีบถลาเข้ามาหาพี่คยูที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำที่พกมาเองกับมือลงบนกระดานดำ

“ยืมหน่อย ..” พี่คยูตอบเสียงเรียบ พลางใช้เท้ายันร่างของเพื่อนตนเองเอาไว้
“มึงนะมึง .. มาขอใช้สถานที่กับกูก็ยังไม่วายจะเบียดเบียนกูอีก ไอ้เลว!” พี่เจ้าของร้านเอื้อมมือมาผลักหัวพี่คยูราวกับหมั่นไส้ในความติสท์แตกของเพื่อนตนเอง แล้วก็กลับหลังหันไปยืนตรงหน้าหม้อน้ำเต้าหู้ร้อนๆของตนเองต่อ ..

“เอาจริงๆคือกูสอนคนไม่เป็นนะโว้ย .. ถ้าไม่เข้าใจให้รีบถามกูเลยนะ” พอเนื้อกระดานสะอาดเกลี้ยง พี่คยูก็เปิดกระเป๋าของผมที่เขายึดมันไปใส่สัมภาระของตนเองด้วย จากนั้นก็หยิบชอล์กฝุ่นขึ้นมาวางบนโต๊ะใกล้ๆมือ
“พี่มึงกำลังด่ากูรึเปล่าวะ ?” มินโฮที่นั่งอยู่ข้างๆผม แกล้งผมเย้าอย่างกวนประสาท

“กวนตีนกูแล้วมึง” พี่คยูฮยอนปาชอล์กใส่พี่มินโฮทันทีที่อีกฝ่ายยั่วเย้าประสาทของพี่เขาก่อน
“เฮ้ย! ตั้งใจเรียนกันหน่อยดิวะ พวกมึงจะจ้องหน้ากูทำซากอะไรนักวะ” พี่คยูใช้ชอล์กชี้หน้าทุกคนจนรอบวง เมื่อทุกคนเอาแต่จ้องพี่เขาพร้อมกับยิ้มบางๆอย่างมีเลศนัย

“ไอ้เกรียน มึงเขินเหรอวะ ? ฮ่าๆ ตลก!” พี่ฮีชอลหัวเราะออกมาซะเสียงดังลั่น จากนั้นพี่คยูฮยอนก็เริ่มจะหน้าแดงหูแดง ก็ยิ่งทำให้ทุกคนในโต๊ะดูครื้นเครงไปกันใหญ่
“หึ” ผมหันไปมองซองจินทันที เมื่อน้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆในลำคอ
ซองจินนี่ก็เป็นไปกับคนอื่นเขาด้วยเหรอเนี่ย ?

“ซีวอนเวลามึงเขินตอนกูแซวเรื่องฮยอกแจ มึงก็เป็นแบบนี้เลย เป๊ะโคตร!” พี่รยออุคยิ้มแป้นจนแก้มป่อง พลางหันไปล้อเลียนเพื่อนสนิทของตนเองทันที ..
ซึ่งคำพูดของพี่รยออุคนั้นยิ่งกว่าการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวเสียอีก เพราะ ณ ตอนนี้ มีคนร่วมด้วยช่วยกันอายถึงสี่คนด้วยกัน

“เฮ้ย! นี่กูซีเรียสนะเว้ยเฮ้ย .. ตั้งใจเรียนกันดิ กูจะเริ่มสอนแล้ว” พี่คยูเอามือทุบกระดานดำอันเล็กเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายของตนเอง
พี่เขาแจกอุปกรณ์ให้พวกเราคนละหนึ่งใบจนรอบวง ซึ่งอุปกรณ์ที่พี่เขาแจกก็คือกระดาษสีตัดเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัสนั่นเอง แต่บนหน้ากระดาษสีในวันนี้แตกต่างจากเมื่อวันนั้นที่ผมช่วยพี่เขาทำสื่อการเรียนการสอนเอามากๆ
ที่ผมว่าแตกต่างก็คือ วันนี้บนหน้ากระดาษกลับมีตัวหนังสือภาษาเกาหลีกำกับเอาไว้ด้วย

“พี่มึงคิดว่ากูโง่ไม่รู้จักแม่สีเหรอวะ เขียนมาเพื่อ ?” พี่เฮนรี่ชูกระดาษสีชมพูของตนเองขึ้นมา จากนั้นก็ชี้ไปที่ตัวหนังสือลายมือยึกๆยือๆนั่นอย่างสงสัย
“เหอะน่า .. เดี๋ยวเรามาเริ่มที่สีเขียวก่อนแล้วกัน” พี่เขายกมือซ้ายขึ้นมาจากนั้นก็เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางเลื่อนเข้าใกล้จนแทบจะบรรจบกัน ขณะที่นิ้วชี้ก็ชูขึ้นสูง จากนั้นพี่เขาก็ขยับนิ้วโป้งกับนิ้วกลางไปมา ..

“ท่าเชี่ยไรวะเนี่ย!” พี่ฮีชอลลุกขึ้นยืน พลางทำไม้ทำมือแบบงงๆ
“สีเขียวไง .. มึงวาดลักษณะนิ้วมือลงไปเลยไอ้ชางมิน ..” พอพี่คยูตอบพี่ฮีชอลเสร็จ พี่เขาก็บังคับให้พี่ชางมินวาดรูปขั้นตอนการทำไม้ทำมือเป็นคำว่า สีเขียว

“ไอ้สัส ศิลปะกูง่อยแดกมาก กูจะวาดออกมาเป็นรูปมั้ยวะเนี่ย” พี่ชางมินบ่นอุบ เมื่อพี่คยูเริ่มหยิบดินสอออกมาแจกพวกพี่ๆกันคนละแท่ง
“เอาล่ะไอ้ชางมิน มึงทำมือเป็นคำว่าสีเขียวดิ๊ ส่วนน้องแฟนก็ต้องหัดออกเสียงด้วย ..” พอพี่ชางมินทำภาษามือเป็นคำว่า สีเขียว ผมก็เริ่มขยับปากเป็นคำว่า สีเขียว บ้าง

“ต่อไปสีชมพู ชูกระดาษดิวะไอ้จงฮยอน ..” พี่คยูสะกิดไหล่พี่จงฮยอน พอพี่เขาชูกระดาษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พี่คยูก็ทำมือเป็นท่าโอเค แล้วก็เลื่อนมือไปทางซ้ายกับขวาอยู่สองสามครั้ง
“ส..สี ..ชะ ..ชมพู” พอพี่จงฮยอนทำภาษามือเป็นคำว่า สีชมพูผมก็เริ่มออกเสียงตามโดยอัตโนมัติ

พี่เขาค่อยๆสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนรอบวง จากนั้นพี่เขาก็ให้สลับสีกัน แล้วก็ให้ทุกคนทำภาษามือ เพื่อที่ผมจะได้ลองออกเสียงเป็นคำพูด ..
และหากใครทำผิดหรือจำไม่ได้ ก็จะถูกลงโทษโดยการไล่ให้ไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าร้านขายน้ำเต้าหู้ จากนั้นก็ทำภาษามือเป็นคำที่ตัวเองจำไม่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเลยแหละ ..
การเรียนการสอนในวันนี้ ดูจริงจังอย่างไม่น่าเชื่อ ..

พอการเรียนการสอนดำเนินไปแบบไม่เคร่งเครียด หากแต่ก็จริงจัง พี่ๆที่กำลังนั่งคุยกันเป็นกลุ่มๆก็หันมาสนใจเรียนรู้ตามพวกเราทั้งหมดไปด้วย ทีนี้ก็เลยกลายเป็นว่าพี่มีถูกลงโทษกันเยอะมาก
หลายคนที่เดินผ่านไปมาอยู่หน้าร้านก็พากันหันมามองเสียยกใหญ่ คงจะสงสัยว่าเจ้าเด็กคณะวิศวะพวกนี้มันเล่นพิเรนท์อะไรกันเป็นแน่ ..
หากถามถึงการประเมินผลการเรียนการสอนของคุณครูจำเป็นอย่างพี่คยู ผมจะให้เท่าไหร่ ..
ซึ่งคะแนนที่ผมให้ ก็คงจะไม่ผ่าน เต็มร้อยอย่างแน่นอน .. 

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>


 

มาต่อแล้วค่ะ หลังจากหลายไปปั่นโปรเจควันเกิดคยูเสียหลายวัน 5555 เกือบไม่รอด ทีนี้ก็รอหายตัวช่วงวาเลนไทน์อีกที เพราะจะหันไปปั่นตอนพิเศษต่อ กรั่กๆ น้องแฟนตอนนี้เฮฮาแฝงความตั้งใจและความน่ารักของพี่โมเมมากๆ อยู่กันครบกลุ่มเมื่อไหร่ก็เป็นคนต้องลับฝีปากกันไป อิอิ
ต่อไปนี้จะมีภาษามือสอดแทรกมาเรื่อยๆ คึคึคึ 
ปล. แอบเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่แค่ตรงรูปประกอบ ไว้มีโอกาสและไม่ขี้เกียจค่อยตามเปลี่ยน แต่กลัวคนติดชื่อเก่าแล้วอ่ะ เอิ๊กช่างมัน เราว่าชื่อใหม่มันเหมาะกับเรื่องมากกว่า

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น