วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[Fic KyuMin] Beautiful Rich - [29]

Beautiful Rich   
แฟนผมสวยและรวยมาก
 



[29]


                ภาคเรียนใหม่เริ่มมาได้สองสามวันแล้ว แต่ผมก็ยังเป็นอีซองมินคนเดิมที่ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว ต่างกับเพื่อนคนอื่นที่พอเจอหน้ากันก็พากันขุดคุ้ยเรื่องราวที่ตนเองได้พบเจอมาในช่วงปิดเทอมมาเล่าสู่กันฟัง และกว่าที่เสียงดังอันเซ็งแซ่เหล่านั้นจะหยุดลง ก็ต่อเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินย่างก้าวเข้ามาในห้องบรรยายจนเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ
                 วันนี้อาจารย์ให้พวกเราแบ่งกลุ่มตามการลงทะเบียนเลือกสาขา โดยให้นักศึกษาทุกคนมานั่งรวมกลุ่มกัน จากนั้นอาจารย์ประจำสาขาก็จะแนะนำการเรียนการสอนในสาขาที่พวกเราลงเพียงคร่าวๆ

                การเรียนดนตรีสากลจะต้องมีการฟอร์มวงเพื่อแสดงให้เห็นถึงทักษะการแสดงของเหล่านักศึกษาว่าได้รับความรู้ไปมากมายเพียงใด อนาคตข้างหน้าอาจารย์บอกว่าจะให้พวกเราจับกลุ่มฟอร์มวงเพื่อสอบเอาคะแนน ..
                คาบหน้าอาจารย์บอกให้พวกเราเตรียมเครื่องดนตรีที่แต่ละคนถนัดมาด้วย เพราะอาจารย์จะเริ่มสอนการบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีสากลอย่างจริงจังแล้ว ..

                วันนี้อาจารย์จะยังไม่ทำการสอน จึงปล่อยให้พวกเราทุกคนเลิกคลาสได้ ผมก็เลยต้องมาเดินเตร็ดเตร่อย่างไม่รู้จุดหมายปลายทางอยู่แบบนี้ ..
                ครั้นเมื่อเปิดกระเป๋าสะพายแล้วสายตามันมองเห็นกระดาษโน้ตที่ผมยังไม่ได้ส่งมันคืนให้เจ้าของที่แท้จริง ผมก็เลยตัดสินใจส่งข้อความไปถามมินโฮว่าเขามีเรียนหรือเปล่า เมื่อได้คำตอบอันเป็นที่น่าพอใจ ผมก็เดินกุมกระเป๋าไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ตึกคณะวิศวะ ..

                ครืด ครืด

                เสียงโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ในกระเป๋า ทำให้การก้าวเดินของผมต้องหยุดชะงักลง จากนั้นผมก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่ยังคงสั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
                “เลิกเรียนแล้วเหรอครับ ?” บุคคลปลายสายไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็เป็นพี่คยูฮยอนเขานั่นแหละ
                “อื้อ” ผมตอบพลางพยักหน้าเบาๆ

                “เวลาน้องแฟนจะตอบรับพี่ผ่านทางโทรศัพท์ นี่ต้องพยักหน้าด้วยเหรอ ?” พี่เขาถามด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าทำไมพี่เขาถึงพูดออกมาเหมือนตาเห็น ผมจึงค่อยๆยืนหมุนตัวไปรอบๆ เพื่อมองหาบุคคลปลายสายที่ไม่รู้ว่ามาแอบมองผมจากส่วนไหนของตึกคณะวิศวะ
                “เดี๋ยวก็มึนหัวหรอกนั่น ..” พี่เขากล่าวเตือนพลางกลั้วหัวเราะเสียยกใหญ่

                “อ..แอบ ....อยู่ ..หนะ ..ไหน ..” ผมยังคงหมุนตัวอยู่อย่างนั้น เพียงแต่ลดความเร็วลงหน่อย
                “อยู่บนห้องเรียน แต่พี่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ..” พี่เขาตอบเสียงเบาลงกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเพราะอาจารย์กำลังเดินมาหาพี่เขาหรือเปล่า เพราะถ้าผมไม่เบลอจนเกินไป ตอนนี้พี่เขาก็น่าจะเรียนอยู่ แล้วทำไมถึงยังมีเวลามาโทรหาผมได้เนี่ย!

                “น้องแฟนมารอพี่เหรอ ?
                “ก..ก็ ..ด้วย ..” ผมทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหน้า จนคนปลายสายหลุดหัวเราะออกมาให้ได้ยินเบาๆเลยน่ะ

                “ตกลงน้องแฟนจะพยักหน้าหรือจะส่ายหัว เลือกเอาสักอย่างสิครับ”
                “ผ..ผม ..มะ ..มา ..ระ ..รอพี่ .. แล้ว ..ก็ .. ..เอาของ .. มะ ..มาให้ มะ มิน ....โฮด้วย”

                “ของอะไรครับ ?” พี่เขาทำเสียงเข้ม พลางส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอมาตามสาย
                “น..โน้ต ..พะ ..เพลง ..

                “หืม ? ไอ้มินโฮมันเล่นดนตรีสากลเป็นด้วยเหรอ ?” พี่เขากดเสียงต่ำราวกับไม่พอใจ
                “ม .. ไม่ ..

                “โดนจีบสินะ” พี่เขาถามผมเสียงเรียบ ..
                “พะ..เพื่อนกัน” ผมเองก็รีบตอบกลับไปทันที เพราะผมกลัวว่าพี่เขาจะเข้าใจผิด

                “แหมมมม .. ตอบเร็วเกิ๊น .. พี่รู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว .. ถ้าน้องแฟนเอาของไปให้มินโฮเสร็จแล้ว ก็รีบมานั่งรอพี่ตรงซุ้มแถวๆลานเกียร์เลยนะ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วพี่จะลงไปหา .. ไม่ต้องไปอยู่กับไอ้มินโฮมันนานๆนักหรอก .. ถึงมันจะเป็นแค่เพื่อนกัน แต่มันก็เป็นเพื่อนที่ได้ชื่อว่าชอบน้องแฟนของพี่ .. พี่คงไม่หึงไม่ได้หรอก ..” พี่เขาพูดรัวเร็วราวกับไม่ได้หายใจ ครั้นพอเขาพูดความจริงอย่างที่ใจคิดออกมาจนหมด พี่เขาก็รีบวางสายหนีผมในทันที
                ผมจึงได้แต่ยิ้ม พลางมองจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นเสียเนิ่นนาน

                ผมเดินหาลานจอดรถของตึกวิศวะจนขาลาก เพราะผมเล่นเดินหาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เลยนี่สิ เมื่อครู่ก่อนที่พี่คยูจะวางสายไป ผมเองก็ลืมถามเรื่องนี้ไปเลย ผมหยุดเดิน แล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง จากนั้นก็ส่งข้อความไปถามมินโฮ จนได้ความว่าตอนนี้อีกฝ่ายเดินทางมาถึงที่นัดหมายจนเรียบร้อยแล้ว
                ผมก็เลยรีบถามเขาว่าลานจอดรถมันอยู่ตรงส่วนไหนของพื้นที่คณะวิศวะ และเมื่อทราบเส้นทางแล้ว ผมก็รีบก้าวเดินไปยังที่หมายในทันที ..

เมื่อเดินมาจนถึงลานจอดรถด้านหลังตึกวิศวะขนาดใหญ่ ผมก็เห็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังยืนพิงรถยนต์ของเขา พลางก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ของตนเองเสียยกใหญ่ ..
“ซองมิน ..” พอเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม เขาก็ยกยิ้มพลางร้องเรียกชื่อของผมอย่างดีใจ ผมจึงยิ้มตอบพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้เขาอีกหน่อย จากนั้นผมก็ยิ้มกระดาษโน้ตเพลงที่ผมพับแล้วไว้ในหนังสือเรียนของผมส่งให้มินโฮ

“ซองมินแกะเสร็จแล้วเหรอ เก่งจัง ..” เขารับกระดาษแผ่นนั้นไปดู แล้วก็ออกปากชมผมเสียยกใหญ่ ผมก็เลยยิ้มแป้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนชมผมแบบนี้
                “อ..อะไร ?” แต่พอซองมินยื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนมา ผมก็รีบละล่ำละลักถามอย่างสงสัย

                “ซองมินเก็บเอาไว้เถอะ จะได้เอาไว้หัดเล่นเพลงนี้ไง” ผมยังไม่ยอมรับกระดาษโน้ตกลับคืนมา แต่ผมกลับก้มหน้าก้มตาหยิบสมุดปกแข็งเล่มเล็กขึ้นมา พลางเร่งมือเขียนข้อความให้มินโฮอ่าน ..
                เราลองแกะจนจำโน้ตเพลงได้หมดแล้ว ..’ พอมินโฮอ่านจบผมก็ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าและพูดเบาๆว่า จริงๆนะ

                 “งั้นแลกกัน .. ผมเก็บโน้ตเพลงนี้ไว้ ส่วนซองมินก็เก็บเจ้านี่เอาไว้ได้ไหม ?” เขาม้วนกระดาษโน้ตเพลงเป็นรูปทรงกระบอก จากนั้นก็นำมันไปวางหนีบไว้ที่คอเมื่อเขาต้องการหยิบอะไรบางอย่างจากในกระเป๋ากางเกง ..
                ” ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นสิ่งของที่เขาบอกว่าเป็นแลกเปลี่ยน เพราะมันดูมีค่าและมีราคามากเกินไป

                “สร้อยเส้นนี้ซองมินไม่ต้องใส่มันก็ได้ .. แค่ซองมินเก็บเอาไว้ ผมก็ดีใจมากแล้ว ..” มินโฮเอื้อมมือคว้าข้อมือของผม จากนั้นก็ยัดสร้อยคอพร้อมกับจี้รูปกุญแจซอลใส่มือผม ..
                “เฮ้ย .. ผมบริสุทธิ์ใจนะ คือว่ายังไงดีล่ะ .. คือผมตั้งใจซื้อมาให้ซองมินนานแล้ว .. กะจะให้ตั้งแต่ช่วงไปเที่ยวทะเลด้วยกัน .. แต่ก็นะ .. รับไว้ไม่ได้เหรอ ?” มินโฮหยิบกระดาษโน้ตออกจากปลายคางของเขา แล้วก็แกว่งมันไปมาคล้ายกับว่าเขากำลังเขินจนทำตัวไม่ถูก

                “อื้อ” สุดท้ายผมก็ตอบตกลงรับสร้อยเส้นนั้นมาจนได้ และเมื่อผมยอมรับของที่เขาตั้งใจมอบให้ เขาก็รีบฉีกยิ้มกว้างออกมาราวกับเด็กๆ
                “ไอ้พี่คยูนี่มันเจ๋งแฮะ ทำเอาไอ้ซองจินไม่เหลือคราบของคนหวงพี่อีกเลย ..” พอผมเอาแต่มองเขาแบบล้อๆ เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องในทันที ..

                “นี่ซองมินรู้มั้ย .. ที่มันมานอนค้างกับพวกผมอ่ะ .. จริงๆแล้วมันกำลังเปิดโอกาสให้ไอ้พี่คยูกับซองมินได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนะ .. อีตอนรู้เหตุผลจากมันทีแรก ผมนี่แทบอยากจะเตะก้นส่งมันกลับบ้านซะเดี๋ยวนั้น” ยิ่งมินโฮพูดถึงพี่คยู แก้มของผมก็ยิ่งแดง ไหนจะต้องมารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของน้องชายผมอีก แก้มของผมก็เลยแดงเถือกไปหมด ..
                พลันสมองก็คิดไปถึงคำขู่ของซองจินที่เคยพูดไว้ .. ซึ่งผมก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว ถ้าหากมินโฮไม่พูดเรื่องซองจินขึ้นมา

                และคำขู่พวกนั้นมันก็ทำเอาผมหวาดระแวงจนพี่คยูเขาแอบหลุดขำผมเสียตั้งหลายรอบ แล้วอยู่ๆมันจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ซองจินเปิดโอกาสให้ผมกับพี่คยูมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังล่ะ ขนาดจะไปเดทกัน น้องยังตามมาคุมผมเลย ..
                ซองจินนี่เข้าใจยากจัง ..

                “ผมไปเรียนแล้วนะ .. สายมาชั่วโมงครึ่งแล้วเนี่ย ..” มินโฮยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พลางกล่าวลาผม และเมื่อเขาเดินห่างออกจากบริเวณที่ผมยืนอยู่ เขาก็โบกไม้โบกมือให้ผมเสียยกใหญ่ ..
                เฮ้อ .. นี่ผมเป็นต้นเหตุทำให้มินโฮต้องเข้าเรียนสายใช่มั้ยเนี่ย ?
               
                หลังจากที่แยกทางกับมินโฮแล้ว ผมก็มานั่งรอพี่คยูตรงซุ้มแถวๆลานเกียร์ตามที่พี่เขาบอก ขณะที่ผมกำลังนั่งรอ ผมก็ลองฝึกการอ่านออกเสียงไปด้วย แต่หนังสือที่ผมใช้ฝึกอ่านไม่ใช่หนังสือแนวให้กำลังใจแบบวันก่อนๆแล้ว
เพราะผมมีหนังสือเล่มใหม่ที่พี่คยูเป็นคนเลือกให้
แถมหนังสือเล่มนี้ยังเป็นแนวเบาสมองอีกต่างหาก ..

ช่วงไหนพอมีเวลาว่างมากๆทีไร พี่คยูก็มักจะพาผมไปเดินเลือกซื้อหนังสือ เพื่อที่ผมจะได้ไม่เบื่อหน่ายกับการที่ผมจะต้องมาฝึกอ่านออกเสียงอยู่ทุกวัน อีกทั้งเนื้อหาของหนังสือ พี่เขาก็พยายามจะเลือกให้ผมแบบสลับสับเปลี่ยนแนวให้อีกด้วย

ลูกสาวของเราเก็บแมวจรจัดมาเลี้ยง แต่เลี้ยงไปสักพักฉันก็เริ่มไม่สบอารมณ์ เพราะเจ้าเหมียวยึดเอาด้านหลังโซฟาที่เราซื้อมาใหม่เป็นเครื่องลับกรงเล็บให้แหลมคม ไม่ต้องห่วงหรอกสามีบอก เดี๋ยวผมจะฝึกมันเอง หลายวันต่อมา ฉันเฝ้าดูสามีค่อยๆ ฝึกเจ้าเหมียวสมาชิกใหม่ของบ้านอย่างใจเย็น ทุกครั้งที่มันออกแรงเกาโซฟาแรงๆ สามีก็จะอุ้มไปไว้ด้านนอกเพื่อให้รู้ว่าห้ามเกาโซฟา เจ้าเหมียวเรียนรู้ได้เร็วมาก เพราะช่วง 16 ปีต่อมา ทุกครั้งที่อยากออกไปข้างนอก มันจะเกาด้านหลังโซฟาสุดแรง” ผมค่อยๆอ่านออกเสียงอย่างเชื่องช้า แม้ว่ามันจะกระท่อนกระแท่นก็ตาม แต่เนื้อหาที่ผมได้อ่านมันก็ทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญที่ตัวเองอ่านได้ไม่เป็นประโยคเอาซะเลย ซ้ำยังไม่สามารถออกเสียงบางคำให้มันชัดเจนได้อีกต่างหาก ..
แต่ทุกครั้งที่ได้ฝึกการอ่านออกเสียงจากหนังสือที่พี่คยูเลือกให้ ผมกลับต้องหลุดยิ้มหรือไม่ก็เผลอขำพรืดออกมาเลย .. พี่เขานี่เข้าใจเลือกหนังสือให้ผมไม่รู้สึกท้อแท้ในการฝึกพูดจริงๆ

                วันหนึ่งมีหนูตัวใหญ่หลุดเข้าไปในห้องรับแขก น้องชายฉันกลัวสุดขีดจนคว้าสิ่งของขว้างใส่ไม่ยั้ง หวังจะไล่ให้พ้นๆบ้าน หลานสาววัยสองขวบกลัวไม่แพ้กันจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนโซฟา แล้วเราก็ได้ยินเสียงหลานตะโกนว่า หยุดนะพอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กน้อยกำลังกดปุ่มเปิด-ปิดของรีโมตโทรทัศน์พร้อมกับชี้ไปทางเจ้าหนูตัวนั้น” หลังจากที่อ่านบทความเหล่านี้จบ ผมก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาอีกแล้ว ..
                “แฟนมึงท่าจะเป็นบ้า อยู่ๆก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว ” ผมรีบหุบปากฉับ พลางทำหน้านิ่งทันทีที่ได้ยินเสียงของพี่ชางมินดังขึ้นอยู่ตรงหน้าปากประตูซุ้ม

                “สงสัยแฟนกูจะติดโรคเพี้ยนไปวันๆมาจากไอ้มินโฮ” พี่เขาตอบเพื่อนตัวเองเสียงเข้ม คล้ายกับเขากำลังแสดงอาการหึงหวงที่มีต่อผมอยู่
                “แหม่ๆ หึงจนหน้าเป็นหลุมเลยนะมึง” พี่ชางมินหันหลังไปแซวพี่คยูที่เดินเข้ามาในซุ้มไม่ได้ เนื่องจากว่าพี่ชางมินกำลังยืนขวางทางอยู่ ซึ่งพอพี่ชางมินหลีกทางไปหาพี่คยูปุ้ป พี่จงฮยอนก็แทรกตัวเข้ามา พลางหันไปส่ายหน้าให้เพื่อนตัวเองอย่างเหนื่อยหน่าย จากนั้นพี่เขาก็เอื้อมมือมาหยิบหนังสือของผมขึ้นมาอ่าน ..

                “หนังสือปัญญาอ่อนแบบนี้ ไอ้คยูมันเลือกมาให้น้องแฟนใช่มั้ย ?” พี่จงฮยอนวางหนังสือลงกับโต๊ะ พลางเลิกคิ้วถามผม ขณะที่ริมฝีปากของพี่เขากำลังกดยิ้มลึกอย่างร้ายกาจ ..
                “มิน่า .. เวลาอ่านแล้วน้องแฟนถึงมีความสุข” พี่เขาเลื่อนหนังสือกลับมาวางตรงหน้าของผม จากนั้นเขาก็พูดจาหยอกล้อให้ผมได้อาการเขินจนได้
                มิน่า อยู่ๆพี่เขาก็กดยิ้มลึกแบบนั้น
                ที่แท้ก็จะแซวผมนี่เอง ฮึ่ม!

                “ไอ้สันขวาน .. กูเลือกแนวนี้ให้น้องแฟนอ่าน เพราะไม่อยากให้น้องเครียดเกินไป ลำพังแค่ฝึกอ่านก็ลำบากแล้ว ขืนกูให้น้องอ่านหนังสือแนวสอบสวน น้องไม่ปวดประสาทตายเหรอวะ .. ถือว่าสงสารกูเถอะ ลำพังชีวิตกูก็ไม่มีคนปกติอยู่รอบตัวอยู่แล้ว ให้กูมีแฟนแบบสติสตังค์อยู่ครบหน่อยเหอะวะ ..” พี่คยูพูดร่ายยาวออกมา หลังจากที่เขาได้ยินคำเหน็บแนมจากเพื่อนสนิทของตัวเอง
                พอพี่เขาพูดจบ เขาก็เดินเข้ามานั่งในซุ้มข้างๆผม พลางกระหยิ่มยิ้มย่อง คล้ายกับถูกใจที่บรรยากาศรอบกายมันเงียบกริบไปในพริบตา

                “ไอ้สัส นี่มึงว่าพวกกูไม่ปกติเหรอ ? อย่าอยู่เลยมึงไอ้คยู!” จากนั้นไม่นาน พวกพี่ทั้งสองคนก็เหมือนจะเข้าใจความหมายที่พี่คยูต้องการจะสื่อแล้ว พวกเขาสองคนถึงได้ตะโกนออกมาจนเสียงดังลั่น ฉับพลันพี่ชางมินก็กระโจนเข้ามาด้านใน จนซุ้มมันสั่นคลอนไปหมด ฝ่ายพี่คยูก็กระโดดออกจากซุ้มอย่างทุลักทุเล
                และพอความวุ่นวายมันรายล้อมอยู่รอบตัวผม
                การฝึกอ่านออกเสียงก็เลยถูกเมินไปโดยปริยาย

<-·´¯`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·`·.¸¸.·´¯`·._.·´¯`·.¸>

ขอโทษที่หายไปหลายวันค่ะ ช่วงนี้เหนื่อยๆ กลับถึงก็บ้านดึก
 เพราะต้องแวะโน่นแวะนี่ พอกะจะงีบสักแป้ปแล้วค่อยมาปั่นให้อ่านกัน ก็ดันกลายเป็นว่าหลับยาวไปเลย T^T  
ช่วงอาทิตย์นี้ลากยาวจนถึงอาทิตย์หน้าเราจะต้องทำงานแบบไม่มีวันหยุด คงจะอัพช้าสักหน่อย ไม่ว่ากันเนอะ  


1 ความคิดเห็น:

  1. ไมว่าคร้า ไรท์เตอร์สู้ๆนะค่ะ พักผ่อนเยอะๆ(แต่อย่าเยอะมาก) น้า

    :)

    ตอบลบ