เพาะรัก ✈
Special
by Kyuhyun 13 / (2)✈
ช่วงอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์
ผมกับฮาบีก็ยังต้องทำไฟล์ทด้วยกันเหมือนเคย
ต่างกันก็แค่คราวนี้เพื่อนร่วมงานของเราสองคน เป็นคนที่พวกเรารู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้มินโฮ ไอ้ชางมิน ไอ้ตะวัน
แต่รายชื่อที่พูดมาทั้งหมดนั่น ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะได้พบเจอพวกมันทีเดียวถึงสามคน
ด้วยความที่ไฟล์ทของผมกับฮาบีมันเป็นลักษณะ
turn around ก็เลยทำให้ได้มีโอกาสบินกลับมาเบสที่ดูไบบ่อยครั้งในสัปดาห์เดียว
ลูกเรือมากหน้าหลายตาจึงได้มีโอกาสมาพบปะกัน แต่ถ้าหากไฟล์ทของผมเป็นแบบ lay
over โอกาสจะเจอกับพวกมันถึงสามคนในสัปดาห์เดียวกันก็คงยาก เพราะเท่าที่ผมเคยทำไฟล์ทมาหลายปี
ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่ผมบังเอิญได้ทำไฟล์ทร่วมกับพวกมัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เจอกันแค่นานๆครั้ง
แถมยังเจอแค่คนเดียวอีกต่างหาก
แต่ในความคิดผม ถึงจะเป็นไฟล์ทในลักษณะไหน
โอกาสจะเจอกัน มันก็ยากมากอยู่ดี เพราะสายการบินของเราเป็นสายการบินใหญ่
จึงทำให้มีลูกเรือในความดูแลเยอะ
อีกทั้งฝ่ายบุคคลยังใช้โปรแกรมในการจัดตารางการบินให้กับลูกเรือด้วย ซึ่งไอ้โปรแกรมนี้แหละ
ที่มันทำให้ลูกเรือในแต่ละไฟล์ทมีคละกันจนแทบจะไม่ซ้ำเชื้อชาติ
แต่สำหรับไฟล์ทของผมกับฮาบี
บางทีทางฝ่ายบุคคลอาจจะใช้วิธีการจัดตารางบินด้วยตัวเองก็เป็นได้
เพราะพี่อาราได้ใช้เส้นเพื่อช่วยให้พวกเราไม่ต้องห่างเหินกัน
ก็เลยอาจจะทำให้ผมกับไอ้เพื่อนสนิทพวกนั้นได้มีโอกาสมาร่วมงานกันมากขึ้น
ซึ่งพอได้มาร่วมงานกันแล้ว
พวกมันต่างก็ออกปากถามพวกเราสองคนเป็นคำถามเดียวกันว่า ที่ผ่านมามีเรื่องดีๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ
พวกเราสองคนถึงได้ดูมีความสุขและสดชื่นมากกว่าปกติ ผมก็เลยเล่าให้พวกมันฟังว่าพ่อเปิดโอกาสให้ผมกับฮาบีคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว
และวันศุกร์ที่ใกล้จะถึงนี้ พวกเราจะไปกินเลี้ยงวันเกิดของคุณแม่โซเฟียที่บ้านด้วยกัน
ไอ้พวกนั้นมันก็ดีใจกับผมใหญ่ ผมเลยอดจะตื้นตันใจไม่ได้ที่พวกมันคอยเอาใจช่วยผมอยู่ตลอด
แม้กระทั่งท่านอามินกับมูนีร์เองก็ยินดีกับพวกเราด้วยเช่นกัน
วันก่อนถึงได้เชิญพวกเราสองคนไปกินเลี้ยงฉลองที่แกลอรี่ของมูนีร์เป็นการส่วนตัว
“ชาโมโรแคนเหรอครับ?”
หลังจากผมเข้าไปเอาชารสชาติดีของโมร็อกโกกับมูนีร์ที่แกลอรี่เรียบร้อยแล้ว
ผมก็รีบกลับมาที่รถและส่งชาโมโรแคนอันเป็นของขวัญวันเกิดของคุณแม่โซเฟียให้กับฮาบีที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ
เพราะวันนี้คือวันศุกร์ วันที่เป็นวันเกิดของคุณแม่โซเฟีย
และเป็นวันแรกที่ฮาบีเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงสำหรับครอบครัว
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ฮาบีจะได้ไปบ้านจริงๆของผมที่อยู่ที่ดูไบ
สำหรับของขวัญชิ้นนี้
มันอาจจะเป็นของขวัญที่ดูเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่ว่าคุณแม่โซเฟียท่านชอบดื่มชามากๆ
ของขวัญของผมจึงไม่ถือว่าเป็นของขวัญธรรมดาๆ เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอก
ดังนั้นในวันเกิดทุกๆปีของคุณแม่โซเฟีย
ผมก็เลยมักจะให้มูนีร์สั่งชาจากต่างประเทศทั้งขึ้นชื่อและไม่ขึ้นชื่อมาเป็นของขวัญให้ท่านบ่อยๆ
ส่วนพี่อาราจะเป็นฝ่ายหาซื้อชุดชงชาดีๆสักชุด เพื่อให้เข้ากันกับของขวัญของผม
แต่ในปีนี้คุณแม่โซเฟียคงจะได้รับของขวัญเป็นชุดชงชาถึงสองชุด
เพราะฮาบีเขาออกความเห็นว่า เราเองก็ควรจะหาชุดชงชาที่เห็นแล้วรู้สึกว่าชาประเภทนี้ควรต้องใช้ชุดชงชาอันนี้เท่านั้น
มันจะได้เกิดความพิเศษมากยิ่งขึ้น วันพุธหลังฮาบีเลิกเรียนภาษาอาราบิก
เราสองคนเลยไปหาซื้อชุดชงชาด้วยกันที่ซุกเก่าใกล้ๆบ้านเช่าแถวๆบาสตากิยา ซึ่งความพิเศษต่างๆก็ยังไม่หมดลงแค่นั้น
เพราะเท่าที่ผมทราบประวัติของชาโมโรแคนมานั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว
“ใช่ เพราะชานี่มันพิเศษตรงที่เวลาเสิร์ฟจะต้องใส่ใบมินท์เพื่อเพิ่มความหอมลงไปด้วย
และตามธรรมเนียมของคนโมร็อกโกแล้ว คนชงชาโมโรแคนจะต้องเป็นผู้ชาย
และต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น” ผมตอบฮาบี พลางขยับรถออกจากหน้าแกลอรี่ของมูนีร์
เพื่อมุ่งตรงสู่บ้านที่พ่อกับแม่โซเฟียอาศัยอยู่
“เข้าใจเลือกนะครับ”
ฮาบีเขาหัวเราะ พลางออกปากชม จนผมอดไม่ได้ที่จะหันมายักคิ้วเพื่อรับคำชมนั้นอย่างไม่คิดจะถ่อมตัวแต่อย่างใด
เพราะทุกความคิดมันล้วนออกมาจากมันสมองเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน
ดังนั้นการถ่อมตัวย่อมไม่ใช่วิถีของลูกเรือจากสายการบินอาหรับอย่างผมในเวลานี้
เพราะจุดประสงค์ของการเลือกให้ของขวัญกับคุณแม่โซเฟียเป็นชาโมโรแคนนั้น ก็เพื่อให้คุณพ่อเป็นคนชงชาให้แม่โซเฟียดื่มบ้าง
ในเมื่อที่ผ่านมาท่านมักจะชงชาดื่มเองเสมอ
ถือเป็นของขวัญที่น่าประทับใจในส่วนลึกดีนะผมว่า
“เราจะแวะไปที่ไหนก่อนเหรอครับ
หรือว่าพี่จะแวะไปหาเบด?”
ฮาบีเขาถามด้วยความสงสัย เมื่อผมขับรถพาเขาออกจากตัวเมืองดูไบ
และมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลทราย
ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยพาฮาบีไปเที่ยวซาฟารีเพื่อไปตะลุยทรายและดูดาวด้วยกัน
“พี่ไม่เคยบอกเราเหรอ
ว่าบ้านของคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียอยู่ในทะเลทรายน่ะ” ผมหันไปถาม
จึงทันได้เห็นฮาบีเขาส่ายหัว
“จริงๆแล้วครอบครัวของเรานอกจากจะมีธุรกิจการบินที่ได้รับมาจากพี่เขยแล้ว
ยังมีธุรกิจรีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์เล็กๆสไตล์เบดูอินด้วย
เพราะแต่ก่อนครอบครัวของคุณแม่โซเฟียท่านเคยมีธุรกิจโรงแรมระดับห้าดาวอยู่กลางทะเลทรายน่ะ
ก็เลยพอจะมีพื้นฐานในด้านนี้อยู่บ้าง ดูเหมือนรีสอร์ทของเราน่าจะเปิดมาได้ประมาณปีนึงแล้ว
เห็นว่าได้รับความนิยมอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงนึงรีสอร์ทของเราเข้าร่วมโปรโมชั่นกับทางสายการบิน
Royal Etihad Airline ด้วย อ้อ แล้วบ้านของเราก็อยู่แถวๆนั้นนะ
แต่จะเป็นส่วนตัว ไม่ได้ปะปนกับส่วนที่ให้บริการลูกค้าหรอก”
“นี่ถ้าผมยังอยู่ที่เกาหลี
ผมคงไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารเข้าให้แล้ว”
ฮาบีเขาพูดพลางกลั้วหัวเราะ ผมเลยอดจะเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายไม่ได้
“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮาบี
เพราะถึงยังไงธุรกิจการบินก็เป็นของพี่เขยอยู่ดี แถมธุรกิจที่พัก คุณแม่โซเฟียท่านก็เพิ่งจะเริ่มมาจับเมื่อปีก่อนนี่เอง
แล้วมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรด้วย” ผมแก้ตัวกับฮาบี จะว่าถ่อมตัวก็ได้
เพราะผมคิดเสมอว่าแต่ก่อนครอบครัวของเราก็แค่พอมีพอกิน อีกทั้งช่วงที่พ่อกับคุณแม่โซเฟียตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน
ก็เป็นช่วงที่ท่านลามือจากธุรกิจโรงแรมไปแล้ว เพราะคุณแม่โซเฟียท่านอยากจะทำงานวิจัยที่ท่านรัก
ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังริเริ่มโครงการวิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย
เลยยังไม่มีเงินทุนมากมายนัก อีกทั้งนักวิจัยก็ยังมีไม่มากเท่าปัจจุบัน เพราะสมัยนั้นโครงการนี้ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล
เงินทุนสนับสนุนจึงแทบไม่มี ทำให้นักวิจัยในช่วงนั้นต้องมีความสามัคคีกันอย่างมาก
เพื่อช่วยกันหาเงินทุนหรือทำแคมเปญต่างๆ นั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียได้พบกันและรักกัน
กระทั่งท่านอามินได้เริ่มเข้าสู่วงการทางการเมือง
โครงการดีๆแบบนั้นจึงถูกให้การสนับสนุนจนเป็นรูปเป็นร่าง และเมื่อพี่เขยแต่งงานกับพี่อาราที่ในตอนนั้นก็เป็นลูกเรือเหมือนผมนี่แหละ
ครอบครัวของเราก็เลยกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีของเมืองทะเลทรายอย่างก้าวกระโดด
อีกทั้งโครงการที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักของคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียก็ยังได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากสายการบิน
Royal Etihad Airline จนประสบความสำเร็จสูงสุด
เพราะสัตว์ทะเลทรายต่างๆ ทั้งใกล้สูญพันธุ์และยังไม่สูญพันธ์
ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่กอบโกยเข้าสู่ดูไบอย่างมากมาย ช่วงหลังคุณแม่โซเฟียจึงถอนตัวออกจากโครงการและหันมาเปิดธุรกิจที่พักแทน
“จำได้ไหม
คราวก่อนที่เรามาตะลุยทะเลทรายกันจะต้องเลี้ยวซ้าย
แต่ถ้าจะไปหาเบดต้องตรงเข้าไปในอุทยาน ส่วนจะไปบ้านหรือโรงแรมต้องเลี้ยวขวา
แต่ถนนจะสิ้นสุดแค่ช่วงโรงแรมห้าดาวนะ นอกนั้นจะต้องตะลุยทรายเหมือนเดิม
วันนี้เลยต้องเอารถ FWD มา”
พอใกล้ถึงทางแยกผมก็อธิบายให้ฮาบีฟัง
จากนั้นก็เลี้ยวรถไปทางขวามือตามถนนลาดยางที่ไม่กว้างขวางมากนัก
เพราะเขาทำถนนให้พอแค่รถสามารถขับสวนกันได้แบบหวุดหวิดแค่นั้น
“พูดถึงเจ้าเบดแล้วก็อิจฉาพี่จัง
ได้ไปเยี่ยมเจ้านั่นด้วย” ฮาบีเขาบ่นอุบจนผมอดจะหัวเราะเบาๆไม่ได้
เพราะหลังจากที่เจอเจ้าเบด ผมก็เล่าให้ฮาบีฟังถึงความเป็นอยู่ของเจ้าลูกชาย
รวมถึงเล่าด้วยว่ามันร้องหงิงๆจนน่าสงสารแค่ไหนตอนที่ผมจะกลับคอนโด
และมันดีใจมากแค่ไหนที่ได้เห็นผมอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน
วันนั้นทั้งวันฮาบีถึงกับบ่นอุบเลยว่าสงสารเจ้าเบด
ถ้าหากเขาว่างเขาก็อยากจะไปเยี่ยมเจ้าเบดบ้าง
ยิ่งคุณพ่อของผมยอมรับเรื่องของเราแล้ว ฮาบีก็เริ่มวางแผนจะไปเยี่ยมเจ้าเบดยกใหญ่
แต่เจ้าตัวก็มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นช่วงหลังจากงานวันเกิดของคุณแม่โซเฟียก่อน
เพราะฮาบีเขาจะได้วางตัวไม่ลำบากนัก ในเมื่อการไปเยี่ยมเบดไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกระหว่างคุณพ่อของผมกับฮาบี
“ก็ไว้รอสักอาทิตย์หน้าก็ได้ ยังไงเราก็ทำไฟล์ท turn around จนถึงสิ้นเดือนอยู่แล้วนี่”
ผมเสนอทางเลือกอย่างสบายๆ เพราะเรายังมีเวลาอีกมาก
“จริงด้วย ผมก็ลืมไปเลย”
“ก็แน่สิ จะไม่ให้ลืมได้ยังไง ในเมื่อคุณเอาแต่ดีใจที่พ่อยอมรับเรื่องระหว่างเราแล้ว
คืนนั้นทั้งคืนผมยังจำได้อยู่เลยว่าคุณร้องไห้หนักแค่ไหน แถมพอตื่นขึ้นมาคุณก็บ่นปวดหัว
มิหนำซ้ำคุณยังต้องทำไฟล์ทอีก
ทำเอาวันแรกของการทำงานคุณถึงกับต้องหลบไปนอนพักในห้องนอนของลูกเรือทั้งๆที่บินระยะใกล้แค่นิดเดียว”
ผมแกล้งพูดอย่างหยอกเย้า ทำเอาอีกฝ่ายย่นจมูก
เพราะเจ้าตัวเขานึกอายกับอาการดีใจจนโอเว่อร์ของตัวเองไม่น้อย
โดยที่ฮาบีเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า
ก่อนหน้าที่ผมจะได้บอกข่าวดีนี้ ผมเองก็ดีใจจนร้องไห้ซะโอเว่อร์ไม่ต่างกัน
“ก็วันนั้นผมดีใจมากๆ จนร้องไห้ออกมาไม่รู้ตัวเลยนี่ครับ
แถมพอรู้ก็หยุดไม่ได้ เพราะผมคิดว่าเราจะไม่มีวันนี้อีกแล้วด้วยซ้ำ”
“อ่าฮะ พี่เข้าใจ เพราะพี่เองก็คิดแบบเดียวกับฮาบีเหมือนกัน
วันนั้นพี่ถึงกับต้องรีบเดินออกจากศูนย์วิจัย เพื่อมาแอบร้องไห้ในรถเชียวล่ะ แล้วแบบนี้อาการของใครหนักกว่ากันล่ะ
หืม?”
“อาการใครจะหนักกว่ากัน มันก็ไม่สำคัญหรอกครับ
สำคัญแค่ว่าเรื่องที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆก็พอแล้ว”
“นั่นสินะ”
เราสองคนพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปสักพักก็ขับผ่านโรงแรมระดับห้าดาวที่เคยอยู่ในความดูแลของคุณแม่โซเฟีย
ผมจึงชี้ให้ฮาบีที่กำลังหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างทางฝั่งของตัวเอง
เพราะตัวโรงแรมชื่อดังมันอยู่ทางฝั่งขวามือตรงด้านที่ผมนั่ง
ซึ่งอีกฝ่ายก็ออกปากชมยกใหญ่ว่าโรงแรมน่าเข้าพักมาก
แถมยังเหมือนกับโอเอซิสขนาดใหญ่กลางทะเลทรายอีกด้วย
เพราะรอบๆโรงแรมนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ทะเลทรายที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
จนทำให้มองเห็นตัวอาคารไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าเป็นการก่อสร้างในสไตล์แบบชาวตะวันออกกลาง
ที่รูปทรงของตัวตึกจะเป็นสี่เหลี่ยมๆ
ส่วนพื้นผิวของตัวอาคารจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนลักษณะคล้ายกับผืนทราย
แลดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ
จากนั้นถนนที่เคยลาดยาง ก็แปรเปลี่ยนเป็นผืนทรายจนตัวรถเริ่มโคลงเคลงไปมา
เมื่อเรากำลังผจญภัยอยู่บนเนินทรายสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังร้อนระอุในช่วงกลางวัน
หากแต่กลางคืนอากาศจะเย็นเฉียบ เพราะผืนทรายกำลังคลายความร้อน
“นั่นเหรอครับที่พี่บอกว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ” เมื่อผ่านทางเข้าของรีสอร์ทที่ทำเป็นเส้นกำแพงแบ่งเขตแบบเรียบง่าย
โดยมีเพียงแค่ชื่อรีสอร์ทและโลโก้เท่านั้น และเมื่อขับเข้ามาด้านในของตัวรีสอร์ท
ถนนจากที่เคยเป็นทรายก็กลายเป็นถนนลาดยางเล็กๆ เพื่อให้สะดวกต่อการขับขี่ กระทั่งเห็นอาคารส่วนต้อนรับของรีสอร์ท
ผมก็เลี้ยวซ้ายไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ตัวบ้าน จึงทำให้เริ่มมองเห็นสิ่งก่อสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ที่แฝงอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นหย่อมๆ
ฮาบีเขาจึงรีบหันมาทักท้วง
“อื้อ สิบกว่าหลังเอง”
“สิบกว่าหลังก็จริง แต่มองดูแล้วมันก็ออกจะเกินไปหน่อยถ้าจะเรียกว่าโฮมสเตย์
เพราะมันควรจะเรียกว่ารีสอร์ทสุดหรูมากกว่าครับ”
“ไม่รู้สิ พี่ก็เรียกตามคุณแม่โซเฟียน่ะ”
ผมว่าพลางขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านของตัวเองที่เริ่มจะมองเห็นชัดเจนขึ้นแล้ว
เพราะบ้านของผมอยู่ห่างไกลจากส่วนของรีสอร์ทมากพอสมควร แต่ก็ยังมองเห็นกันได้
เพราะยังไงมันก็อยู่ในส่วนเดียวกับตัวรีสอร์ท อีกทั้งยังใช้ทางเข้าออกทางเดียวกัน
ซึ่งบ้านของเราสามารถขับรถไปยังศูนย์วิจัยโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ทำให้บริเวณรีสอร์ทของเรามักจะมีสัตว์ทะเลทรายพันธุ์ต่างๆ
แอบแวะเวียนเข้ามาเดินเล่นเป็นประจำ แต่เราไม่ต้องห่วงในเรื่องความปลอดภัยมากนัก
เพราะรถของนักท่องเที่ยวจะถูกจอดไว้ยังที่จอดรถบริเวณอาคารต้อนรับส่วนหน้า
จากนั้นนักท่องเที่ยวก็จะต้องโดยสารอูฐหรือม้ามายังบ้านพัก
เนื่องจากทางรีสอร์ทไม่ได้ทำถนนเข้ามาจนถึงบ้านแต่ละหลัง
“ฮาบีคุณอย่าลืมหยิบชุดชงชากับใบมินท์ตรงเบาะหลังลงมาด้วยล่ะ”
ผมเตือนอีกฝ่าย เมื่อจอดรถเทียบท่าตรงหน้าโรงจอดรถเรียบร้อยดีแล้ว
ซึ่งรถคันที่จอดอยู่ข้างในก็คือรถของพ่อ
ส่วนรถอีกคันเป็นของพี่อารากับพี่เขยที่มาถึงก่อนแล้ว ผมก็เลยต้องมาจอดข้างๆกับรถของพี่เขย
เพื่อไม่ให้แถวมันยาวเกินไป
“เอาชุดชงชามา เดี๋ยวพี่ถือเอง”
หลังจากจัดการดูความเรียบร้อยของพาหนะที่นำพาเรามาจนถึงที่แล้ว
ผมก็อาสาถือของที่หนักที่สุดแทนฮาบีที่กำลังยืนรออยู่ตรงท้ายรถ
“บ้านสวยดีนะครับ”
“อื้อ
เป็นสไตล์เบดูอินแบบประยุกต์ให้ทันสมัยหน่อยน่ะ” ผมพยักหน้ารับ
พร้อมกับมองไปยังตัวบ้านในรูปแบบกึ่งกระโจมกึ่งสิ่งก่อสร้างอันทันสมัยที่เห็นมาหลายครั้งแล้ว
แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นผมก็มักจะชอบหยุดมองมันนานๆอยู่เสมอ
เพราะผมเองก็ชอบอะไรที่มันออกแนวประวัติศาสตร์อยู่แล้ว
พอขึ้นบันไดขั้นเล็กๆประมาณสามขั้น ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงรถ
เพราะด้านหน้าคุณแม่โซเฟียเขาออกแบบให้เป็นสระว่ายน้ำแบบเอาท์ดอร์โดยมีต้นหญ้ารายล้อมเพื่อความเป็นธรรมชาติ
ผมก็ตั้งท่าจะเข้าบ้านที่ประตูแรกสุด
แต่พอได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวพากันมุงดูอะไรสักอย่าง ผมก็เดินนำฮาบีไปยังประตูที่สองซึ่งอยู่ตรงกลางบ้านที่กำลังเปิดอ้าอยู่
จากนั้นผมก็หันมาส่งสัญญาณไม่ให้ฮาบีส่งเสียงดัง
ก่อนจะถอดรองเท้าและไสไปวางไว้ตรงมุมปากประตูและยืนรอจนกระทั่งฮาบีเขาถอดรองเท้าของตัวเองเรียบร้อย
ผมก็ก้าวเข้าไปในตัวบ้าน และหยุดอยู่ตรงโต๊ะน้ำหอมเล็กๆ
ที่ทุกคนจะต้องฉีดก่อนเข้าบ้าน ซึ่งมันก็เป็นน้ำหอมชั้นดีของดูไบนี่แหละ แต่โดยส่วนตัวแล้ว
ผมไม่ค่อยชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆแบบนี้สักเท่าไหร่ เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหอมที่คอนโดของผม
มีอยู่ปริมาณเท่าไหร่ก็อยู่เท่านั้น แต่ที่ยังคงตั้งเอาไว้มุมเดิมก็เพราะผมแค่ทำตามใจคุณแม่โซเฟียเฉยๆ
“เฮ้ย! เบด!”
ผมที่ฉีดน้ำหอมให้ตัวเองเรียบร้อย ก็หันไปจะฉีดให้ฮาบีเขาบ้าง แต่ก็ต้องตกใจ
เมื่อจู่ๆอะไรบางอย่างก็กระโจนเข้ามารวบขาผมไว้ ซึ่งพอก้มลงดูก็เห็นเป็นเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวคุ้นเคย
ที่พอมันได้กลิ่นของฮาบี อดีตซี้สุดโปรด
มันก็รีบกอดรัดฟัดเหวี่ยงข้อเท้าของอีกฝ่ายยกใหญ่
“ทำไมเจ้าเบดถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ?” หลังจากเราทั้งสองคนทักทายทุกคนเรียบร้อยแล้ว
ผมก็รับของขวัญจากมือของฮาบีมาถือไว้เอง
เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เขาบ่นคิดถึงเจ้าเบดมานาน ได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกัน
ส่วนผมก็เดินเลี่ยงเอาของขวัญทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะกระจกของชุดโซฟารับแขก
“พ่อเขาเห็นอัสลานจะมาที่นี่ วันนี้ก็เลยพาเจ้าเบดมาด้วยน่ะ”
คุณแม่โซเฟียยิ้มพลางเดินมานั่งที่โซฟาและตบที่ว่างข้างๆ
เพื่อเป็นสัญญาณเรียกให้ผมเดินเข้าไปนั่งตรงนั้น
“ของขวัญของปีนี้ครับ ผมเลือกชาของโมร็อกโกมาให้
ส่วนนี่เป็นชุดชงชา ผมกับซองมินช่วยกันเลือกเมื่อวันหยุดคราวก่อน หวังว่าคุณแม่จะชอบนะครับ”
ผมพยักหน้าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆหญิงวัยกลางคนที่สวมใส่อบายะห์สีดำที่มีลวดลายเป็นงานปักสีทองอร่ามตรงช่วงลำตัวและข้อมือ
พร้อมด้วยฮิญาบเข้าชุดสีดำ ที่เวลานี้ไม่ได้ปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตาเหมือนกับตอนออกไปข้างนอก
จากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหยิบของขวัญแต่ละอย่างมาให้ท่านดู
พร้อมกับไม่ลืมจะอธิบายด้วยว่าผมไม่ได้เลือกของขวัญบางชิ้นแค่เพียงคนเดียว หากแต่คนสำคัญของผมก็มีส่วนในการตัดสินใจ
“ถ้าอย่างนั้นแม่ขอแกะเลยก็แล้วกันเนอะ เมื่อเช้าฮะนานีก็เพิ่งจะเอาชุดชงชามาให้แม่เหมือนกัน
แต่ชุดนั้นแม่ว่าเหมาะจะใช้ชงชากุหลาบมากกว่า
ส่วนของอัสลานถ้าให้เดาแม่ว่าเราต้องเลือกซื้อชุดชงชาที่เหมาะกับชาจากโมร็อกโกถูกไหม?”
“ครับ
ชุดชงชาอันนี้เหมาะกับชาโมโรแคนของโมร็อกโกมากทีเดียว” ผมพรีเซ็นต์พลางนั่งมองคุณแม่บรรจงแกะของขวัญที่ฮาบีเขาลงทุนห่อด้วยตัวเอง
โดยใช้กระดาษสีน้ำตาล เพื่อแสดงถึงความเรียบง่ายและคลาสสิค ซึ่งทีแรกผมกะจะไม่ห่อหรอก
เพราะทุกปีผมก็ไม่เคยคิดจะห่อ แต่ฮาบีเขาบอกว่าปีนี้ก็ทำให้มันพิเศษกว่าทุกปีด้วยการห่อของขวัญซะ
ผมก็เลยตามใจอีกฝ่าย เพราะถึงยังไงสิ่งที่เป็นของขวัญและมันคุณค่าทางจิตใจจริงๆก็คือการที่วันนี้หัวหน้าครอบครัวจะต้องเป็นคนชงชาด้วยตัวเองต่างหาก
“ทีแรกผมกะจะไม่เอาชุดชงชาแบบที่เหมือนกับต้นตำหรับแล้ว
แต่ซองมินเขาไม่เห็นด้วยครับ เขาบอกว่ายังไงก็ต้องหาให้ได้
เพราะวันเกิดของแม่ก็มีแค่ปีละหน วันนั้นเราเลยเดินตะเวนหาจนทั่วซุกเก่าจนในที่สุดเราก็หาเจอจนได้”
ผมเล่าให้คุณแม่โซเฟียฟังขณะที่สายตาก็มองไปที่ฮาบี
ที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเบดโดยมีพี่อารา พี่เขย และคุณพ่อนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย
ซึ่งทุกครั้งที่พี่เขยพูดคุยอะไรด้วยภาษาอาราบิก
พี่อาราหรือไม่ก็คุณพ่อจะเป็นคนแปลความหมายเป็นภาษาเกาหลี
“ลูกบอกเขาให้แม่ที ว่าแม่ชอบชุดชงชาและความพยายามของเขามาก
ถ้าหากเขาว่างเมื่อไหร่แม่อยากจะชวนเขามาดื่มน้ำชาด้วยกันที่นี่” ผมหันไปมองคุณแม่โซเฟียด้วยความนึกไม่ถึง
เพราะการชวนให้มาดื่มน้ำชาด้วยกัน มันไม่ใช่แค่การดื่มชาธรรมดาเพียงอย่างเดียว แต่ในทางวัฒนธรรมแล้วมันหมายถึงการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผู้เชิญ
“แม่”
ผมอุทานออกมาเบาๆ จากนั้นผมก็โน้มตัวลงไปกอดท่านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้
อีกทั้งยังร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร เพราะว่าคุณแม่โซเฟียก็เหมือนกับคุณแม่แท้ๆของผม
ยิ่งเวลาเห็นคุณแม่โซเฟียผมก็มักจะนึกถึงคุณแม่ฮันนาที่อยู่บนฟ้า
ผมถึงไม่ค่อยเข้าหาท่านแบบใกล้ชิดนัก และไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าท่านด้วย
แต่ครั้งนี้ผมห้ามไม่อยู่จริงๆ เพราะผมดีใจ
ที่คุณแม่โซเฟียไม่ได้ยอมรับเพราะแค่รักผม แต่คุณแม่ท่านยอมรับด้วยจิตใจของท่านเอง
ท่านจึงเปิดใจรับฮาบีของผมได้
“อ้าว สองคนนั้นอะไรกันน่ะ?” ผมหันไปมองพ่อ
จากนั้นก็รีบเช็ดหน้าเช็ดตาและผละออกจากอ้อมกอดของคุณแม่โซเฟีย
“คุณแม่โซเฟียท่านบอกว่าท่านชอบชุดชงชากับพยายามของซองมินมาก
และถ้าหากว่างเมื่อไหร่ ท่านก็อยากจะเชิญมาดื่มน้ำชาด้วยกันที่บ้าน”
ผมหันไปบอกพ่อเป็นภาษาเกาหลี
เพื่อให้ฮาบีเข้าใจความหมายที่คุณแม่โซเฟียต้องการจะส่งตรงถึงเขาโดยเฉพาะ
“ยินดีด้วยนะซองมิน” พี่อารายิ้มพลางกุมมือของฮาบีที่มีเจ้าเบดนอนเล่นอยู่บนตัก
หากแต่คนที่ได้รับคำยินดีก็ได้แต่ทำหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจถึงความนัยแอบแฝงของคำเชิญนั้น
“ยินดีอะไรเหรอครับ?” ฮาบีเขาถามออกมาด้วยความไม่รู้
แต่มันกลับทำให้ทุกคนเอ็นดูได้ไม่ยาก เพราะเจ้าตัวเล่นทำหน้าเหวอซะขนาดนั้น
“การเชิญดื่มน้ำชาตามวัฒนธรรมของดูไบแล้ว
เขาหมายถึงการต้อนรับที่ดีที่สุด” คุณพ่อเป็นคนเฉลย ส่วนฮาบีเขาก็ยิ้มจนแก้มปริก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคุณแม่
คงเพราะเจ้าตัวนึกคำตอบรับในภาษาอาราบิกไม่ออก ผมก็เลยยิ้มตามอีกฝ่ายไปด้วย
“เออ เห็นชะรีฟบอกว่า
ชาที่แกซื้อมาต้องให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนชงเท่านั้นใช่มั้ย” คุณพ่อลุกขึ้นยืน
พลางเดินมาหยิบกล่องชาโมโรแคนที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมาดู
“ครับ
ตามวัฒนธรรมของโมร็อกโกแล้วต้องเป็นอย่างนั้น” ผมตอบเป็นภาษาอาราบิก
เพราะคุณพ่อท่านพูดเป็นภาษาอาราบิก โดยไม่ต้องกังวลว่าฮาบีจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพี่อาราคอยเป็นล่ามให้ฮาบีเขาอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ตามสบาย
ส่วนชานี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง แต่อย่าหวังกันมากล่ะ ฉันไม่ค่อยชอบดื่มชาเท่าไหร่
แล้วก็เพิ่งจะได้โชว์ฝีมือเป็นครั้งแรกด้วย”
คุณพ่อท่านว่าอย่างนั้นก็ถือกล่องชาและใบมินท์ติดมือไปยังครัวที่อยู่ด้านในของตัวบ้าน
“ฮายาดที่ เดี๋ยวฉันไปช่วยเป็นลูกมือให้เองค่ะ”
คุณแม่โซเฟียตะโกนบอกคุณพ่อ จากนั้นก็หอบเอาชุดชงชาของผมกับฮาบีตามไปติดๆ
ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือเพียงแค่หนุ่มสาวในวัยทำงานเพียงสี่คน
พี่เขยจึงปลีกตัวเข้ามาคุยเล่นกับผมด้านนอกของตัวบ้าน
ส่วนพี่อารากับฮาบีก็เล่นกับเจ้าเบดอยู่ในบ้าน
บรรยากาศด้านนอกตัวบ้าน ให้อารมณ์แบบชาวทะเลทรายโดยแท้
เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ผืนทรายทั้งนั้น ส่วนต้นไม้ทะเลทรายก็มีขึ้นแซมบ้างเล็กน้อย
เพราะมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในส่วนที่ใกล้ๆกับตัวบ้านล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์
บ้านพักแห่งนี้เลยให้อารมณ์คล้ายๆกับโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่มีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า
บ่อน้ำ และสถานที่สำหรับตั้งกระโจมที่พัก
หากใครชื่นชอบธรรมชาติและความสงบ ผมคิดว่ารีสอร์ทของคุณแม่โซเฟียก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีพอควร
“รู้หรือยังว่าฮะนานีเขาลางานให้พรุ่งนี้น่ะ”
ผมส่ายหน้าให้พี่เขย เพราะไม่คิดว่าตารางการบินของตัวเองจะมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
“ไม่เห็นพี่เขาบอกผมเลย”
“คงจะกลัวแกบ่นเอาน่ะสิ”
พี่เขยหัวเราะพลางตบบ่าผมเบาๆ
“อยู่แล้วแหละ ถ้าผมรู้ก่อนผมจะบ่นฮะนานีของพี่จนหูชาแน่”
“เอาน่ะ นานๆทีจะได้หยุดงานเพื่อมาใช้เวลากับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือไง พวกพี่เองก็หยุดงานวันนึงเหมือนกัน
พ่อก็หยุดด้วยนะ แล้วแกสองคนจะไม่หยุดได้ยังไงกัน” พี่เขยว่าอย่างนั้น
ผมเองก็คร้านจะต่อต้าน เพราะถึงยังไงพี่อาราก็คงทำเรื่องจนสำเร็จไปแล้ว
“เรื่องแกกับนีสริน ฉันยินดีด้วยจริงๆนะ”
“ขอบคุณครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน”
ผมยิ้มให้พี่เขย พลางทอดสายตาออกไปยังผืนทรายอันกว้างใหญ่
เหมือนกับความรู้สึกเก่าๆของผมที่มันว่างเปล่า มองไม่เห็นทางออกของปัญหา
เพราะถึงยังไงความรักของเรามันก็หนีไม่พ้น ‘การดึงดัน’ ที่จะรักกัน
ซึ่งคนที่เหนื่อยก็คือตัวเราเอง
“เพราะรักด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์พวกเราทั้งหมดถึงได้มีวันนี้”
พี่ชะรีฟพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในตัวบ้าน
เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียกำลังร้องเรียกให้พวกเราไปรวมตัวกันที่โซฟารับแขก
และเมื่อสมาชิกมารวมตัวกันครบแล้ว
คุณพ่อก็เป็นฝ่ายรินน้ำชาลงในแก้วกระเบื้องแซมสีสันด้วยลวดลายคดโค้งไปมาอย่างสวยงาม
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเสียบใบมินท์ลงในแก้วเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงามตามคำแนะนำของคุณแม่โซเฟีย
สำหรับความรู้สึกแรกของการดื่มน้ำชาที่เป็นของขวัญวันเกิดของคุณแม่โซเฟีย
กลิ่นมินท์ก็ลอยคละคลุ้งจนเต็มปาก เพราะชาชนิดนี้จุดเด่นอยู่ที่ใบมินท์แห้งที่ผสมปนเปอยู่กับใบชา
จากนั้นก็เทน้ำชาส่วนแรกลงในแก้วที่เตรียมไว้ ก่อนจะเติมน้ำต้มเดือดลงไปอีกครั้งแต่ไม่ต้องมาก
โดยครั้งนี้จะต้องใส่ใบมินท์สดลงไปในกาน้ำชาประมาณหนึ่งกำมือ ตามด้วยน้ำตาลก้อนเพื่อเพิ่มรสหวาน
และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ากัน ก็นำชาที่เทใส่แก้วเมื่อครู่กลับลงไปในกาน้ำชาและเขย่าให้เข้าเนื้ออีกทีถึงจะสามารถนำมาเสิร์ฟได้
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเรานะ”
หลังจากดื่มชาไปครู่หนึ่ง หัวหน้าครอบครัวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น
พวกเราทั้งหมดจึงมีสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนฮาบีเขาจะยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อน
เพราะเจ้าตัวเขาคงจะชอบความหมายของคำว่า ‘บ้านของเรา’ ที่พ่อผมต้องการจะสื่อแน่ๆ
“เอ้อ แม่เกือบลืมบอกไปเลย เรื่องเบดน่ะ เมื่อครู่นี้พ่อกับแม่คุยกันแล้วว่าจะให้เบดมาอยู่ที่นี่
แม่จะคอยดูแลให้เอง ส่วนช่วงวันหยุดอัสลานกับนิสรีนต้องเข้ามารับช่วงต่อนะ”
คุณแม่รีบวางแก้วชาทรงสูงหลังจากที่ตั้งท่าจะจิบ แต่กลับนึกอะไรบางอย่างออก
จากนั้นก็รีบบอกข่าวดีกับเราสองคนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ชุก-กรัน” ผมกับฮาบีพูดขอบคุณและก้มหัวให้พวกท่านทั้งสองโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความตื้นตันใจ
เพราะลึกๆแล้วผมก็เป็นห่วงเจ้าเบดเหมือนกัน ยิ่งวันนั้นผมเห็นมันร้องครางหงิงๆจะตามผมกลับมาด้วย
ผมเองก็รู้สึกไม่ดี ในเมื่อที่ผ่านมาผมเคยแต่เลี้ยงมันแบบสัตว์เลี้ยง
แล้วจู่ๆก็มีความจำเป็นต้องปล่อยมันกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ
ซึ่งฟังแล้วมันอาจจะดูดี แต่ในทางกลับกัน มันคือการทำร้ายเจ้าเบดทางอ้อม
เพราะมันใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่เป็น
และในตอนนั้นผมก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร
โดยเฉพาะกับครอบครัวของตัวเอง นอกจากยอมปล่อยให้มันไปอยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทรายที่อยู่ภายใต้ความดูแลของท่านอามิน
ที่ผมก็ยังมีความเกรงใจในส่วนลึก เรื่องของเบดถึงได้ลงเอยแบบนั้น
พอมาวันนี้คุณแม่โซเฟียเป็นคนออกปากว่าท่านจะยอมเลี้ยงเบดด้วยตัวเอง
ผมก็อดจะดีใจไม่ได้
เพราะผมรักเบดและเป็นห่วงมันมาก
หลังจากเพลิดเพลินไปกับการดื่มน้ำชาแล้ว งานเลี้ยงของจริงก็ถูกจัดขึ้นตรงหน้าบ้านบริเวณริมสระว่ายน้ำ
ซึ่งก็เป็นแค่มื้อค่ำง่ายๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร
เพราะเน้นจัดให้ครอบครัวได้มาพบปะกันเท่านั้น เลยทำให้ระหว่างที่ช่วยกันจัดโต๊ะขณะที่รอคุณแม่โซเฟียกับคุณพ่อลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง
พวกเราที่พวกท่านมักจะเรียกว่าเด็กๆ ก็ถือโอกาสนี้ยืนมองดวงอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าและจมลงสู่ผืนทรายจนมืดมิด
กระทั่งดวงจันทร์สีเหลืองนวลโผล่ขึ้นมาอวดโฉมบนท้องนภา มื้อค่ำของเราก็ถึงคราวต้องเริ่มขึ้น
วันนี้คุณพ่อโชว์ฝีมือการทำสลัดฟาตุช ซึ่งเป็นตัวแทนของอาหารสไตล์อาหรับแบบดั้งเดิม ที่โรยหน้าด้วยแผ่นขนมปังอบกรอบแบบอาราบิก
ส่วนคุณแม่โซเฟียก็โชว์ฝีมือการทำฮัมมูส มาซาร่ากุ้ง ชาวาร์มา นู้ดเดิ้ลกะบับอันเป็นสูตรลับที่แม้แต่คุณพ่อก็ยังไม่ทราบ
แถมยังไม่สามารถหากินได้ตามท้องตลาดอีกด้วย
พอทานของคาวเสร็จ
ก็ตามด้วยของหวานที่คุณแม่โซเฟียเตรียมไว้คือเค้กอินทผาลัม พี่อาราเลยเสนอให้ท่านเป่าเค้กก่อนถึงค่อยตักมาแจกจ่ายทีหลัง
แต่คุณแม่โซเฟียท่านเป็นคนไม่ชอบเป่าเค้ก คะยั้นคะยอยังไงก็ไม่ยอม
สุดท้ายคุณแม่ก็เลยชนะ พวกเราทั้งหมดจึงต้องทานเค้ก โดยที่เจ้าของวันเกิดยังไม่ได้เป่าเทียนอธิษฐาน
มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังลงมือทำเองเสียอีก
แต่ก็เพราะคุณแม่โซเฟียท่านมีความสุข ที่ไม่ต้องเป่าเทียน
พวกเราก็เลยตามใจท่านกันหมด
“พ่อกับแม่ว่าจะไปนอนแล้วล่ะ ดื่มกันต่อให้สนุกนะ”
หลังจากทานของหวานจนหมดเกลี้ยง คุณพ่อก็นำไวน์ราคาแพงมาให้พวกเราหนุ่มสาววัยทำงานได้ดื่มกันหนึ่งขวด
ส่วนพวกท่านก็ขอตัวไปนอนพักผ่อน เพราะนี่มันก็ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว
แต่พวกเราทั้งหมดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนง่ายๆ ยิ่งมีไวน์รสชาติดีตรงหน้า
ท่าทางว่าความง่วงมันคงจะไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่
“ฝันดีครับ” รอจนกระทั่งพี่อาราหอมแก้มซ้ายขวาของคุณแม่โซเฟียกับคุณพ่อจนเรียบร้อย
พวกเราถึงได้โอกาสบอกพวกท่านบ้าง ซึ่งพวกท่านก็พยักหน้าพลางยิ้มรับ
จากนั้นก็ปลีกตัวเข้าไปยังด้านในของตัวบ้าน
ส่วนพวกเราก็นั่งดื่มไวน์กันต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน เพราะไหนๆพรุ่งนี้ก็ลางานกันไว้แล้ว
โอกาสจะได้พักผ่อนแบบไม่ต้องห่วงอะไรแบบนี้มันก็ออกจะหายาก
ดังนั้นต้องตักตวงให้มากเข้าไว้
“เบด ง่วงแล้วทำไมไม่ไปนอนดีๆล่ะฮึ?”
ฮาบีเขาลุกเข้าไปหาเบดที่นอนแอบอยู่ตรงปากประตูบ้าน
ฝ่ายเจ้าลูกชายตัวดีก็เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพักนึง จากนั้นก็ฟุบหน้าลงไปนอนกับพื้นอีกรอบ
ฮาบีเขาก็เลยอุ้มเจ้าตัวดีมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเดินออกไปบนผืนทราย
โดยไม่สนใจไวน์รสเลิศเลยแม้แต่น้อย ผมก็เลยถือโอกาสดื่มไวน์แก้วนั้นแทนเสียเอง
“พี่ว่าจะไปนอนกันแล้วล่ะ
ถ้าแกจะเข้านอนก็เก็บนี่ด้วย” พี่อาราว่าพลางลุกขึ้นยืน พี่เขยจึงลุกขึ้นบ้าง
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินคล้องแขนกันเข้าไปในบ้าน
ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงแค่ผมกับฮาบีและเบดที่อยู่ไกลออกไปจากตัวบ้านเพียงเล็กน้อย ผมจึงนั่งดื่มต่อให้หมด
จากนั้นก็เริ่มทยอยเอาของเข้าไปเก็บไว้ในครัว
จากนั้นก็เดินไปหาฮาบีที่กำลังพาเจ้าเบดเดินเล่นท่ามกลางหมู่ดาวในทะเลทราย
“นึกถึงครั้งแรกที่เรามาเดทกันที่ทะเลทรายเลยเนอะ”
ผมพูดขึ้นพลางหันไปยิ้มให้กับฮาบี ที่อุ้มเจ้าเบดไว้ในอ้อมแขน
ขณะที่เจ้าตัวกำลังแหงนหน้ามองดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า
“ครับ.. วันนั้นเป็นแรกที่ทำให้ผมได้รู้ว่า การดูดาวในแต่ละที่
มันจะให้ความรู้สึกที่สวยงามไม่เท่ากัน และการมองดาวจากทะเลทรายก็ทำให้ผมได้เห็นดาวที่สวยที่สุดอย่างที่พี่เคยบอกไว้”
ฮาบีเขาพูดพลางยิ้มทั้งปากและตา จนผมอดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะเวลานี้ความสุขมันแทบจะล้นปรี่เสียให้ได้
“แต่การดูดาวคนเดียว
ยังไงมันก็ไม่มีทางสวยได้เท่ากับตอนที่เราดูดาวด้วยกันหรอกครับ”
“นั่นสินะ” ผมยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นเราก็พากันเดินเล่นไปเรื่อยๆ
โดยไม่ได้หวาดกลัวเลยว่าจะมีสัตว์มีพิษที่เป็นอันตรายแฝงตัวอยู่ภายใต้ผืนทรายหรือไม่
“วันนั้นผมจำได้ว่าพี่แอบเดินตามรอยเท้าของผม”
ฮาบีเขาว่าพลางย้ายตัวเองมาเดินตามหลังผม พร้อมกับก้าวขาให้เหยียบย่ำไปตามรอยเท้าที่ผมก้าวเดิน
ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มให้กับการกระทำอันแสนน่ารักนั่น
เพราะการกระทำดังกล่าวมันเหมือนกับว่าฮาบีเขายังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเดทครั้งแรกของเราที่ทะเลทราย
“ตะฮอบบิค ฮายาดที่” ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน เมื่อใครบางคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง
จู่ๆเขาก็เอื้อนเอ่ยภาษาอาราบิกออกมา จนทำให้ใจผมสั่น
อีกทั้งเจ้าตัวยังเรียกผมด้วยคำพูดชวนหวานหู
“คุณ..” ผมหันหลังกลับไปมองฮาบีที่กำลังยืนอุ้มเจ้าเบดและส่งยิ้มมาให้ด้วยสายตาสั่นระริก
เพราะเราสองคนแทบจะไม่เคยเอ่ยคำนี้ต่อกันเลย ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม
“ตะฮอบบิค ฮาบีบี” ผมสูดลมหายใจให้ลึกจนเต็มปอด จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยคำๆเดียวกันในภาษาอาราบิก
ที่มันแปลตรงตัวได้ว่า..
ที่รัก ผมรักคุณ..
Real end ✈
-----------------------------------------------------------------------
ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว ถือเป็นฟิคที่ใช้เวลาแต่งนานที่สุดเรื่องนึงเลย เพราะเป็นช่วงที่เราเจอมรสุมชีวิตแบบหนักมาก มาเป็นระลอกจนในที่สุดเราก็ผ่านมรสุมนั้นมาได้ และก็ปิดจบเรื่องนี้ได้สำเร็จ สำหรับฟิคเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่เราชอบ เพราะมันเกี่ยวกับทะเลทรายค่ะ เป็นคนชอบอะไรแบบนี้ เลยเลือกเขียนโลเกชั่นแบบนี้ออกมา ซึ่งปมดราม่ามันก็คงไม่พ้นเรื่องที่ฮาบีกับคุณลูกเรือเขาเจอน่ะเนอะ
เราขอสอบถามหน่อยค่ะว่ามีใครอยากจะได้รวมเล่มเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าหากมีเราจะทำการรีไรท์ใหม่ทั้งหมด เอาให้มันสมูทขึ้น เพราะเราเขียนไม่ประติดประต่อเท่าไหร่ ถ้าหากมีรูปเล่มเกิดขึ้นเราก็จะเพิ่มเลิฟซีนเข้าไปด้วย และจะเขียนให้เห็นถึงวิวัฒนาการด้านภาษาของฮาบี และความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างฮาบีกับครอบครัวของคุณลูกเรือน่ะค่ะ เพราะคุณแม่โซเฟียท่านเชิญดื่มน้ำชาแล้วนี่เนอะ ก็แสดงว่ากลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว และอาจจะมีเพื่อนๆมาร่วมสร้างสีสันด้วย
ฮาบีบี แปลว่าที่รัก ใช้พูดกับผู้ชาย ถ้าพูดกับผู้หญิงจะใช้ฮาบิบที่
ฮายาดที่ แปลว่า My life สามารถใช้ได้กับคนรักเพียงอย่างเดียว
ตะฮอบบิค แปลว่า ฉันรักคุณ ใช้พูดกับผู้ชาย ถ้าพูดกับผู้หญิงจะใช้ ตะฮอบบิช
ฮะนานี เป็นชื่ออาราบิกของพี่อารา แปลว่า ที่รัก
อันนี้คือบ้านสไตล์เบดูอิน
ภาพรวมของรีสอร์ท
ชาโมโรแคนของโมร็อกโก
สลัดฟาตุช
มาซาร่ากุ้ง
เค้กอินทผลาลัม
[KyuMin Fic] Spe - เพ(ร)าะรัก ✈ 13 / (2) [Real End]