วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เพาะรัก

https://lh4.googleusercontent.com/-Fb8FGQ_H-OA/Un1AVJ_qUYI/AAAAAAAAiGM/f1B3ByPhrII/s1024/



Special by Kyuhyun 13 / (2)

ช่วงอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ ผมกับฮาบีก็ยังต้องทำไฟล์ทด้วยกันเหมือนเคย ต่างกันก็แค่คราวนี้เพื่อนร่วมงานของเราสองคน เป็นคนที่พวกเรารู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไอ้มินโฮ ไอ้ชางมิน ไอ้ตะวัน แต่รายชื่อที่พูดมาทั้งหมดนั่น ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราจะได้พบเจอพวกมันทีเดียวถึงสามคน
ด้วยความที่ไฟล์ทของผมกับฮาบีมันเป็นลักษณะ turn around ก็เลยทำให้ได้มีโอกาสบินกลับมาเบสที่ดูไบบ่อยครั้งในสัปดาห์เดียว ลูกเรือมากหน้าหลายตาจึงได้มีโอกาสมาพบปะกัน แต่ถ้าหากไฟล์ทของผมเป็นแบบ lay over โอกาสจะเจอกับพวกมันถึงสามคนในสัปดาห์เดียวกันก็คงยาก เพราะเท่าที่ผมเคยทำไฟล์ทมาหลายปี ก็มีแค่ไม่กี่ครั้งที่ผมบังเอิญได้ทำไฟล์ทร่วมกับพวกมัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เจอกันแค่นานๆครั้ง แถมยังเจอแค่คนเดียวอีกต่างหาก

แต่ในความคิดผม ถึงจะเป็นไฟล์ทในลักษณะไหน โอกาสจะเจอกัน มันก็ยากมากอยู่ดี เพราะสายการบินของเราเป็นสายการบินใหญ่ จึงทำให้มีลูกเรือในความดูแลเยอะ อีกทั้งฝ่ายบุคคลยังใช้โปรแกรมในการจัดตารางการบินให้กับลูกเรือด้วย ซึ่งไอ้โปรแกรมนี้แหละ ที่มันทำให้ลูกเรือในแต่ละไฟล์ทมีคละกันจนแทบจะไม่ซ้ำเชื้อชาติ แต่สำหรับไฟล์ทของผมกับฮาบี บางทีทางฝ่ายบุคคลอาจจะใช้วิธีการจัดตารางบินด้วยตัวเองก็เป็นได้ เพราะพี่อาราได้ใช้เส้นเพื่อช่วยให้พวกเราไม่ต้องห่างเหินกัน
ก็เลยอาจจะทำให้ผมกับไอ้เพื่อนสนิทพวกนั้นได้มีโอกาสมาร่วมงานกันมากขึ้น

ซึ่งพอได้มาร่วมงานกันแล้ว พวกมันต่างก็ออกปากถามพวกเราสองคนเป็นคำถามเดียวกันว่า ที่ผ่านมามีเรื่องดีๆเกิดขึ้นงั้นเหรอ พวกเราสองคนถึงได้ดูมีความสุขและสดชื่นมากกว่าปกติ ผมก็เลยเล่าให้พวกมันฟังว่าพ่อเปิดโอกาสให้ผมกับฮาบีคบหากันอย่างเป็นทางการแล้ว และวันศุกร์ที่ใกล้จะถึงนี้ พวกเราจะไปกินเลี้ยงวันเกิดของคุณแม่โซเฟียที่บ้านด้วยกัน ไอ้พวกนั้นมันก็ดีใจกับผมใหญ่ ผมเลยอดจะตื้นตันใจไม่ได้ที่พวกมันคอยเอาใจช่วยผมอยู่ตลอด
แม้กระทั่งท่านอามินกับมูนีร์เองก็ยินดีกับพวกเราด้วยเช่นกัน วันก่อนถึงได้เชิญพวกเราสองคนไปกินเลี้ยงฉลองที่แกลอรี่ของมูนีร์เป็นการส่วนตัว

“ชาโมโรแคนเหรอครับ?” หลังจากผมเข้าไปเอาชารสชาติดีของโมร็อกโกกับมูนีร์ที่แกลอรี่เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบกลับมาที่รถและส่งชาโมโรแคนอันเป็นของขวัญวันเกิดของคุณแม่โซเฟียให้กับฮาบีที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ เพราะวันนี้คือวันศุกร์ วันที่เป็นวันเกิดของคุณแม่โซเฟีย และเป็นวันแรกที่ฮาบีเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงสำหรับครอบครัว อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ฮาบีจะได้ไปบ้านจริงๆของผมที่อยู่ที่ดูไบ
สำหรับของขวัญชิ้นนี้ มันอาจจะเป็นของขวัญที่ดูเรียบง่ายไปสักหน่อย แต่ว่าคุณแม่โซเฟียท่านชอบดื่มชามากๆ ของขวัญของผมจึงไม่ถือว่าเป็นของขวัญธรรมดาๆ เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอก ดังนั้นในวันเกิดทุกๆปีของคุณแม่โซเฟีย ผมก็เลยมักจะให้มูนีร์สั่งชาจากต่างประเทศทั้งขึ้นชื่อและไม่ขึ้นชื่อมาเป็นของขวัญให้ท่านบ่อยๆ ส่วนพี่อาราจะเป็นฝ่ายหาซื้อชุดชงชาดีๆสักชุด เพื่อให้เข้ากันกับของขวัญของผม แต่ในปีนี้คุณแม่โซเฟียคงจะได้รับของขวัญเป็นชุดชงชาถึงสองชุด เพราะฮาบีเขาออกความเห็นว่า เราเองก็ควรจะหาชุดชงชาที่เห็นแล้วรู้สึกว่าชาประเภทนี้ควรต้องใช้ชุดชงชาอันนี้เท่านั้น มันจะได้เกิดความพิเศษมากยิ่งขึ้น วันพุธหลังฮาบีเลิกเรียนภาษาอาราบิก เราสองคนเลยไปหาซื้อชุดชงชาด้วยกันที่ซุกเก่าใกล้ๆบ้านเช่าแถวๆบาสตากิยา ซึ่งความพิเศษต่างๆก็ยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะเท่าที่ผมทราบประวัติของชาโมโรแคนมานั้น มันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากทีเดียว

“ใช่ เพราะชานี่มันพิเศษตรงที่เวลาเสิร์ฟจะต้องใส่ใบมินท์เพื่อเพิ่มความหอมลงไปด้วย และตามธรรมเนียมของคนโมร็อกโกแล้ว คนชงชาโมโรแคนจะต้องเป็นผู้ชาย และต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้น” ผมตอบฮาบี พลางขยับรถออกจากหน้าแกลอรี่ของมูนีร์ เพื่อมุ่งตรงสู่บ้านที่พ่อกับแม่โซเฟียอาศัยอยู่
“เข้าใจเลือกนะครับ” ฮาบีเขาหัวเราะ พลางออกปากชม จนผมอดไม่ได้ที่จะหันมายักคิ้วเพื่อรับคำชมนั้นอย่างไม่คิดจะถ่อมตัวแต่อย่างใด เพราะทุกความคิดมันล้วนออกมาจากมันสมองเป็นอย่างดีทุกขั้นตอน ดังนั้นการถ่อมตัวย่อมไม่ใช่วิถีของลูกเรือจากสายการบินอาหรับอย่างผมในเวลานี้ เพราะจุดประสงค์ของการเลือกให้ของขวัญกับคุณแม่โซเฟียเป็นชาโมโรแคนนั้น ก็เพื่อให้คุณพ่อเป็นคนชงชาให้แม่โซเฟียดื่มบ้าง ในเมื่อที่ผ่านมาท่านมักจะชงชาดื่มเองเสมอ
ถือเป็นของขวัญที่น่าประทับใจในส่วนลึกดีนะผมว่า

“เราจะแวะไปที่ไหนก่อนเหรอครับ หรือว่าพี่จะแวะไปหาเบด?” ฮาบีเขาถามด้วยความสงสัย เมื่อผมขับรถพาเขาออกจากตัวเมืองดูไบ และมุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ทะเลทราย ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยพาฮาบีไปเที่ยวซาฟารีเพื่อไปตะลุยทรายและดูดาวด้วยกัน
“พี่ไม่เคยบอกเราเหรอ ว่าบ้านของคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียอยู่ในทะเลทรายน่ะ” ผมหันไปถาม จึงทันได้เห็นฮาบีเขาส่ายหัว

“จริงๆแล้วครอบครัวของเรานอกจากจะมีธุรกิจการบินที่ได้รับมาจากพี่เขยแล้ว ยังมีธุรกิจรีสอร์ทกึ่งโฮมสเตย์เล็กๆสไตล์เบดูอินด้วย เพราะแต่ก่อนครอบครัวของคุณแม่โซเฟียท่านเคยมีธุรกิจโรงแรมระดับห้าดาวอยู่กลางทะเลทรายน่ะ ก็เลยพอจะมีพื้นฐานในด้านนี้อยู่บ้าง ดูเหมือนรีสอร์ทของเราน่าจะเปิดมาได้ประมาณปีนึงแล้ว เห็นว่าได้รับความนิยมอยู่เหมือนกัน เพราะช่วงนึงรีสอร์ทของเราเข้าร่วมโปรโมชั่นกับทางสายการบิน Royal Etihad Airline ด้วย อ้อ แล้วบ้านของเราก็อยู่แถวๆนั้นนะ แต่จะเป็นส่วนตัว ไม่ได้ปะปนกับส่วนที่ให้บริการลูกค้าหรอก”
“นี่ถ้าผมยังอยู่ที่เกาหลี ผมคงไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารเข้าให้แล้ว” ฮาบีเขาพูดพลางกลั้วหัวเราะ ผมเลยอดจะเอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายไม่ได้

“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกฮาบี เพราะถึงยังไงธุรกิจการบินก็เป็นของพี่เขยอยู่ดี แถมธุรกิจที่พัก คุณแม่โซเฟียท่านก็เพิ่งจะเริ่มมาจับเมื่อปีก่อนนี่เอง แล้วมันไม่ได้ใหญ่โตอะไรด้วย” ผมแก้ตัวกับฮาบี จะว่าถ่อมตัวก็ได้ เพราะผมคิดเสมอว่าแต่ก่อนครอบครัวของเราก็แค่พอมีพอกิน อีกทั้งช่วงที่พ่อกับคุณแม่โซเฟียตัดสินใจจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก็เป็นช่วงที่ท่านลามือจากธุรกิจโรงแรมไปแล้ว เพราะคุณแม่โซเฟียท่านอยากจะทำงานวิจัยที่ท่านรัก
ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงกำลังริเริ่มโครงการวิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย เลยยังไม่มีเงินทุนมากมายนัก อีกทั้งนักวิจัยก็ยังมีไม่มากเท่าปัจจุบัน เพราะสมัยนั้นโครงการนี้ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล เงินทุนสนับสนุนจึงแทบไม่มี ทำให้นักวิจัยในช่วงนั้นต้องมีความสามัคคีกันอย่างมาก เพื่อช่วยกันหาเงินทุนหรือทำแคมเปญต่างๆ นั่นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียได้พบกันและรักกัน กระทั่งท่านอามินได้เริ่มเข้าสู่วงการทางการเมือง โครงการดีๆแบบนั้นจึงถูกให้การสนับสนุนจนเป็นรูปเป็นร่าง และเมื่อพี่เขยแต่งงานกับพี่อาราที่ในตอนนั้นก็เป็นลูกเรือเหมือนผมนี่แหละ ครอบครัวของเราก็เลยกลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีของเมืองทะเลทรายอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งโครงการที่เป็นจุดเริ่มต้นความรักของคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียก็ยังได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้นจากสายการบิน Royal Etihad Airline  จนประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะสัตว์ทะเลทรายต่างๆ ทั้งใกล้สูญพันธุ์และยังไม่สูญพันธ์ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ที่กอบโกยเข้าสู่ดูไบอย่างมากมาย ช่วงหลังคุณแม่โซเฟียจึงถอนตัวออกจากโครงการและหันมาเปิดธุรกิจที่พักแทน   

“จำได้ไหม คราวก่อนที่เรามาตะลุยทะเลทรายกันจะต้องเลี้ยวซ้าย แต่ถ้าจะไปหาเบดต้องตรงเข้าไปในอุทยาน ส่วนจะไปบ้านหรือโรงแรมต้องเลี้ยวขวา แต่ถนนจะสิ้นสุดแค่ช่วงโรงแรมห้าดาวนะ นอกนั้นจะต้องตะลุยทรายเหมือนเดิม วันนี้เลยต้องเอารถ FWD มา” พอใกล้ถึงทางแยกผมก็อธิบายให้ฮาบีฟัง จากนั้นก็เลี้ยวรถไปทางขวามือตามถนนลาดยางที่ไม่กว้างขวางมากนัก เพราะเขาทำถนนให้พอแค่รถสามารถขับสวนกันได้แบบหวุดหวิดแค่นั้น
“พูดถึงเจ้าเบดแล้วก็อิจฉาพี่จัง ได้ไปเยี่ยมเจ้านั่นด้วย” ฮาบีเขาบ่นอุบจนผมอดจะหัวเราะเบาๆไม่ได้ เพราะหลังจากที่เจอเจ้าเบด ผมก็เล่าให้ฮาบีฟังถึงความเป็นอยู่ของเจ้าลูกชาย รวมถึงเล่าด้วยว่ามันร้องหงิงๆจนน่าสงสารแค่ไหนตอนที่ผมจะกลับคอนโด และมันดีใจมากแค่ไหนที่ได้เห็นผมอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน วันนั้นทั้งวันฮาบีถึงกับบ่นอุบเลยว่าสงสารเจ้าเบด ถ้าหากเขาว่างเขาก็อยากจะไปเยี่ยมเจ้าเบดบ้าง ยิ่งคุณพ่อของผมยอมรับเรื่องของเราแล้ว ฮาบีก็เริ่มวางแผนจะไปเยี่ยมเจ้าเบดยกใหญ่ แต่เจ้าตัวก็มีข้อแม้ว่าจะต้องเป็นช่วงหลังจากงานวันเกิดของคุณแม่โซเฟียก่อน เพราะฮาบีเขาจะได้วางตัวไม่ลำบากนัก ในเมื่อการไปเยี่ยมเบดไม่ใช่การเจอกันครั้งแรกระหว่างคุณพ่อของผมกับฮาบี

“ก็ไว้รอสักอาทิตย์หน้าก็ได้ ยังไงเราก็ทำไฟล์ท turn around จนถึงสิ้นเดือนอยู่แล้วนี่” ผมเสนอทางเลือกอย่างสบายๆ เพราะเรายังมีเวลาอีกมาก
“จริงด้วย ผมก็ลืมไปเลย”

“ก็แน่สิ จะไม่ให้ลืมได้ยังไง ในเมื่อคุณเอาแต่ดีใจที่พ่อยอมรับเรื่องระหว่างเราแล้ว คืนนั้นทั้งคืนผมยังจำได้อยู่เลยว่าคุณร้องไห้หนักแค่ไหน แถมพอตื่นขึ้นมาคุณก็บ่นปวดหัว มิหนำซ้ำคุณยังต้องทำไฟล์ทอีก ทำเอาวันแรกของการทำงานคุณถึงกับต้องหลบไปนอนพักในห้องนอนของลูกเรือทั้งๆที่บินระยะใกล้แค่นิดเดียว” ผมแกล้งพูดอย่างหยอกเย้า ทำเอาอีกฝ่ายย่นจมูก เพราะเจ้าตัวเขานึกอายกับอาการดีใจจนโอเว่อร์ของตัวเองไม่น้อย
โดยที่ฮาบีเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า ก่อนหน้าที่ผมจะได้บอกข่าวดีนี้ ผมเองก็ดีใจจนร้องไห้ซะโอเว่อร์ไม่ต่างกัน

“ก็วันนั้นผมดีใจมากๆ จนร้องไห้ออกมาไม่รู้ตัวเลยนี่ครับ แถมพอรู้ก็หยุดไม่ได้ เพราะผมคิดว่าเราจะไม่มีวันนี้อีกแล้วด้วยซ้ำ”
“อ่าฮะ พี่เข้าใจ เพราะพี่เองก็คิดแบบเดียวกับฮาบีเหมือนกัน วันนั้นพี่ถึงกับต้องรีบเดินออกจากศูนย์วิจัย เพื่อมาแอบร้องไห้ในรถเชียวล่ะ แล้วแบบนี้อาการของใครหนักกว่ากันล่ะ หืม?

“อาการใครจะหนักกว่ากัน มันก็ไม่สำคัญหรอกครับ สำคัญแค่ว่าเรื่องที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตา มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆก็พอแล้ว”
“นั่นสินะ”

เราสองคนพูดคุยกันด้วยเรื่องทั่วไปสักพักก็ขับผ่านโรงแรมระดับห้าดาวที่เคยอยู่ในความดูแลของคุณแม่โซเฟีย ผมจึงชี้ให้ฮาบีที่กำลังหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างทางฝั่งของตัวเอง เพราะตัวโรงแรมชื่อดังมันอยู่ทางฝั่งขวามือตรงด้านที่ผมนั่ง ซึ่งอีกฝ่ายก็ออกปากชมยกใหญ่ว่าโรงแรมน่าเข้าพักมาก แถมยังเหมือนกับโอเอซิสขนาดใหญ่กลางทะเลทรายอีกด้วย เพราะรอบๆโรงแรมนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ทะเลทรายที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จนทำให้มองเห็นตัวอาคารไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าเป็นการก่อสร้างในสไตล์แบบชาวตะวันออกกลาง ที่รูปทรงของตัวตึกจะเป็นสี่เหลี่ยมๆ ส่วนพื้นผิวของตัวอาคารจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนลักษณะคล้ายกับผืนทราย แลดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ
จากนั้นถนนที่เคยลาดยาง ก็แปรเปลี่ยนเป็นผืนทรายจนตัวรถเริ่มโคลงเคลงไปมา เมื่อเรากำลังผจญภัยอยู่บนเนินทรายสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังร้อนระอุในช่วงกลางวัน หากแต่กลางคืนอากาศจะเย็นเฉียบ เพราะผืนทรายกำลังคลายความร้อน

“นั่นเหรอครับที่พี่บอกว่าเป็นธุรกิจเล็กๆ” เมื่อผ่านทางเข้าของรีสอร์ทที่ทำเป็นเส้นกำแพงแบ่งเขตแบบเรียบง่าย โดยมีเพียงแค่ชื่อรีสอร์ทและโลโก้เท่านั้น และเมื่อขับเข้ามาด้านในของตัวรีสอร์ท ถนนจากที่เคยเป็นทรายก็กลายเป็นถนนลาดยางเล็กๆ เพื่อให้สะดวกต่อการขับขี่ กระทั่งเห็นอาคารส่วนต้อนรับของรีสอร์ท ผมก็เลี้ยวซ้ายไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่ตัวบ้าน จึงทำให้เริ่มมองเห็นสิ่งก่อสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ที่แฝงอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเป็นหย่อมๆ ฮาบีเขาจึงรีบหันมาทักท้วง
“อื้อ สิบกว่าหลังเอง”
“สิบกว่าหลังก็จริง แต่มองดูแล้วมันก็ออกจะเกินไปหน่อยถ้าจะเรียกว่าโฮมสเตย์ เพราะมันควรจะเรียกว่ารีสอร์ทสุดหรูมากกว่าครับ”
“ไม่รู้สิ พี่ก็เรียกตามคุณแม่โซเฟียน่ะ” ผมว่าพลางขับรถมุ่งตรงไปยังบ้านของตัวเองที่เริ่มจะมองเห็นชัดเจนขึ้นแล้ว เพราะบ้านของผมอยู่ห่างไกลจากส่วนของรีสอร์ทมากพอสมควร แต่ก็ยังมองเห็นกันได้ เพราะยังไงมันก็อยู่ในส่วนเดียวกับตัวรีสอร์ท อีกทั้งยังใช้ทางเข้าออกทางเดียวกัน ซึ่งบ้านของเราสามารถขับรถไปยังศูนย์วิจัยโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทำให้บริเวณรีสอร์ทของเรามักจะมีสัตว์ทะเลทรายพันธุ์ต่างๆ แอบแวะเวียนเข้ามาเดินเล่นเป็นประจำ แต่เราไม่ต้องห่วงในเรื่องความปลอดภัยมากนัก เพราะรถของนักท่องเที่ยวจะถูกจอดไว้ยังที่จอดรถบริเวณอาคารต้อนรับส่วนหน้า จากนั้นนักท่องเที่ยวก็จะต้องโดยสารอูฐหรือม้ามายังบ้านพัก เนื่องจากทางรีสอร์ทไม่ได้ทำถนนเข้ามาจนถึงบ้านแต่ละหลัง

“ฮาบีคุณอย่าลืมหยิบชุดชงชากับใบมินท์ตรงเบาะหลังลงมาด้วยล่ะ” ผมเตือนอีกฝ่าย เมื่อจอดรถเทียบท่าตรงหน้าโรงจอดรถเรียบร้อยดีแล้ว ซึ่งรถคันที่จอดอยู่ข้างในก็คือรถของพ่อ ส่วนรถอีกคันเป็นของพี่อารากับพี่เขยที่มาถึงก่อนแล้ว ผมก็เลยต้องมาจอดข้างๆกับรถของพี่เขย เพื่อไม่ให้แถวมันยาวเกินไป
“เอาชุดชงชามา เดี๋ยวพี่ถือเอง” หลังจากจัดการดูความเรียบร้อยของพาหนะที่นำพาเรามาจนถึงที่แล้ว ผมก็อาสาถือของที่หนักที่สุดแทนฮาบีที่กำลังยืนรออยู่ตรงท้ายรถ

“บ้านสวยดีนะครับ”
“อื้อ เป็นสไตล์เบดูอินแบบประยุกต์ให้ทันสมัยหน่อยน่ะ” ผมพยักหน้ารับ พร้อมกับมองไปยังตัวบ้านในรูปแบบกึ่งกระโจมกึ่งสิ่งก่อสร้างอันทันสมัยที่เห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นผมก็มักจะชอบหยุดมองมันนานๆอยู่เสมอ เพราะผมเองก็ชอบอะไรที่มันออกแนวประวัติศาสตร์อยู่แล้ว

พอขึ้นบันไดขั้นเล็กๆประมาณสามขั้น ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงรถ เพราะด้านหน้าคุณแม่โซเฟียเขาออกแบบให้เป็นสระว่ายน้ำแบบเอาท์ดอร์โดยมีต้นหญ้ารายล้อมเพื่อความเป็นธรรมชาติ ผมก็ตั้งท่าจะเข้าบ้านที่ประตูแรกสุด แต่พอได้ยินเสียงพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวพากันมุงดูอะไรสักอย่าง ผมก็เดินนำฮาบีไปยังประตูที่สองซึ่งอยู่ตรงกลางบ้านที่กำลังเปิดอ้าอยู่ จากนั้นผมก็หันมาส่งสัญญาณไม่ให้ฮาบีส่งเสียงดัง ก่อนจะถอดรองเท้าและไสไปวางไว้ตรงมุมปากประตูและยืนรอจนกระทั่งฮาบีเขาถอดรองเท้าของตัวเองเรียบร้อย ผมก็ก้าวเข้าไปในตัวบ้าน และหยุดอยู่ตรงโต๊ะน้ำหอมเล็กๆ ที่ทุกคนจะต้องฉีดก่อนเข้าบ้าน ซึ่งมันก็เป็นน้ำหอมชั้นดีของดูไบนี่แหละ แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยชอบน้ำหอมกลิ่นแรงๆแบบนี้สักเท่าไหร่ เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำหอมที่คอนโดของผม มีอยู่ปริมาณเท่าไหร่ก็อยู่เท่านั้น แต่ที่ยังคงตั้งเอาไว้มุมเดิมก็เพราะผมแค่ทำตามใจคุณแม่โซเฟียเฉยๆ
“เฮ้ย! เบด!” ผมที่ฉีดน้ำหอมให้ตัวเองเรียบร้อย ก็หันไปจะฉีดให้ฮาบีเขาบ้าง แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อจู่ๆอะไรบางอย่างก็กระโจนเข้ามารวบขาผมไว้ ซึ่งพอก้มลงดูก็เห็นเป็นเจ้าจิ้งจอกทะเลทรายตัวคุ้นเคย ที่พอมันได้กลิ่นของฮาบี อดีตซี้สุดโปรด มันก็รีบกอดรัดฟัดเหวี่ยงข้อเท้าของอีกฝ่ายยกใหญ่

“ทำไมเจ้าเบดถึงมาอยู่นี่ได้ล่ะครับ?” หลังจากเราทั้งสองคนทักทายทุกคนเรียบร้อยแล้ว ผมก็รับของขวัญจากมือของฮาบีมาถือไว้เอง เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เขาบ่นคิดถึงเจ้าเบดมานาน ได้มีโอกาสใช้เวลาร่วมกัน ส่วนผมก็เดินเลี่ยงเอาของขวัญทั้งหมดวางไว้บนโต๊ะกระจกของชุดโซฟารับแขก
“พ่อเขาเห็นอัสลานจะมาที่นี่ วันนี้ก็เลยพาเจ้าเบดมาด้วยน่ะ” คุณแม่โซเฟียยิ้มพลางเดินมานั่งที่โซฟาและตบที่ว่างข้างๆ เพื่อเป็นสัญญาณเรียกให้ผมเดินเข้าไปนั่งตรงนั้น

“ของขวัญของปีนี้ครับ ผมเลือกชาของโมร็อกโกมาให้ ส่วนนี่เป็นชุดชงชา ผมกับซองมินช่วยกันเลือกเมื่อวันหยุดคราวก่อน หวังว่าคุณแม่จะชอบนะครับ” ผมพยักหน้าพลางทิ้งตัวลงนั่งข้างๆหญิงวัยกลางคนที่สวมใส่อบายะห์สีดำที่มีลวดลายเป็นงานปักสีทองอร่ามตรงช่วงลำตัวและข้อมือ พร้อมด้วยฮิญาบเข้าชุดสีดำ ที่เวลานี้ไม่ได้ปกปิดใบหน้าจนเหลือเพียงแค่ดวงตาเหมือนกับตอนออกไปข้างนอก จากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหยิบของขวัญแต่ละอย่างมาให้ท่านดู พร้อมกับไม่ลืมจะอธิบายด้วยว่าผมไม่ได้เลือกของขวัญบางชิ้นแค่เพียงคนเดียว หากแต่คนสำคัญของผมก็มีส่วนในการตัดสินใจ

“ถ้าอย่างนั้นแม่ขอแกะเลยก็แล้วกันเนอะ เมื่อเช้าฮะนานีก็เพิ่งจะเอาชุดชงชามาให้แม่เหมือนกัน แต่ชุดนั้นแม่ว่าเหมาะจะใช้ชงชากุหลาบมากกว่า ส่วนของอัสลานถ้าให้เดาแม่ว่าเราต้องเลือกซื้อชุดชงชาที่เหมาะกับชาจากโมร็อกโกถูกไหม?
“ครับ ชุดชงชาอันนี้เหมาะกับชาโมโรแคนของโมร็อกโกมากทีเดียว” ผมพรีเซ็นต์พลางนั่งมองคุณแม่บรรจงแกะของขวัญที่ฮาบีเขาลงทุนห่อด้วยตัวเอง โดยใช้กระดาษสีน้ำตาล เพื่อแสดงถึงความเรียบง่ายและคลาสสิค ซึ่งทีแรกผมกะจะไม่ห่อหรอก เพราะทุกปีผมก็ไม่เคยคิดจะห่อ แต่ฮาบีเขาบอกว่าปีนี้ก็ทำให้มันพิเศษกว่าทุกปีด้วยการห่อของขวัญซะ ผมก็เลยตามใจอีกฝ่าย เพราะถึงยังไงสิ่งที่เป็นของขวัญและมันคุณค่าทางจิตใจจริงๆก็คือการที่วันนี้หัวหน้าครอบครัวจะต้องเป็นคนชงชาด้วยตัวเองต่างหาก

  “ทีแรกผมกะจะไม่เอาชุดชงชาแบบที่เหมือนกับต้นตำหรับแล้ว แต่ซองมินเขาไม่เห็นด้วยครับ เขาบอกว่ายังไงก็ต้องหาให้ได้ เพราะวันเกิดของแม่ก็มีแค่ปีละหน วันนั้นเราเลยเดินตะเวนหาจนทั่วซุกเก่าจนในที่สุดเราก็หาเจอจนได้” ผมเล่าให้คุณแม่โซเฟียฟังขณะที่สายตาก็มองไปที่ฮาบี ที่กำลังนั่งเล่นกับเจ้าเบดโดยมีพี่อารา พี่เขย และคุณพ่อนั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วย ซึ่งทุกครั้งที่พี่เขยพูดคุยอะไรด้วยภาษาอาราบิก พี่อาราหรือไม่ก็คุณพ่อจะเป็นคนแปลความหมายเป็นภาษาเกาหลี
“ลูกบอกเขาให้แม่ที ว่าแม่ชอบชุดชงชาและความพยายามของเขามาก ถ้าหากเขาว่างเมื่อไหร่แม่อยากจะชวนเขามาดื่มน้ำชาด้วยกันที่นี่” ผมหันไปมองคุณแม่โซเฟียด้วยความนึกไม่ถึง เพราะการชวนให้มาดื่มน้ำชาด้วยกัน มันไม่ใช่แค่การดื่มชาธรรมดาเพียงอย่างเดียว แต่ในทางวัฒนธรรมแล้วมันหมายถึงการต้อนรับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผู้เชิญ

 “แม่” ผมอุทานออกมาเบาๆ จากนั้นผมก็โน้มตัวลงไปกอดท่านเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีมานี้ อีกทั้งยังร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร เพราะว่าคุณแม่โซเฟียก็เหมือนกับคุณแม่แท้ๆของผม ยิ่งเวลาเห็นคุณแม่โซเฟียผมก็มักจะนึกถึงคุณแม่ฮันนาที่อยู่บนฟ้า ผมถึงไม่ค่อยเข้าหาท่านแบบใกล้ชิดนัก และไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าท่านด้วย แต่ครั้งนี้ผมห้ามไม่อยู่จริงๆ เพราะผมดีใจ ที่คุณแม่โซเฟียไม่ได้ยอมรับเพราะแค่รักผม แต่คุณแม่ท่านยอมรับด้วยจิตใจของท่านเอง ท่านจึงเปิดใจรับฮาบีของผมได้
“อ้าว สองคนนั้นอะไรกันน่ะ?” ผมหันไปมองพ่อ จากนั้นก็รีบเช็ดหน้าเช็ดตาและผละออกจากอ้อมกอดของคุณแม่โซเฟีย

“คุณแม่โซเฟียท่านบอกว่าท่านชอบชุดชงชากับพยายามของซองมินมาก และถ้าหากว่างเมื่อไหร่ ท่านก็อยากจะเชิญมาดื่มน้ำชาด้วยกันที่บ้าน” ผมหันไปบอกพ่อเป็นภาษาเกาหลี เพื่อให้ฮาบีเข้าใจความหมายที่คุณแม่โซเฟียต้องการจะส่งตรงถึงเขาโดยเฉพาะ
“ยินดีด้วยนะซองมิน” พี่อารายิ้มพลางกุมมือของฮาบีที่มีเจ้าเบดนอนเล่นอยู่บนตัก หากแต่คนที่ได้รับคำยินดีก็ได้แต่ทำหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจถึงความนัยแอบแฝงของคำเชิญนั้น

“ยินดีอะไรเหรอครับ?” ฮาบีเขาถามออกมาด้วยความไม่รู้ แต่มันกลับทำให้ทุกคนเอ็นดูได้ไม่ยาก เพราะเจ้าตัวเล่นทำหน้าเหวอซะขนาดนั้น
“การเชิญดื่มน้ำชาตามวัฒนธรรมของดูไบแล้ว เขาหมายถึงการต้อนรับที่ดีที่สุด” คุณพ่อเป็นคนเฉลย ส่วนฮาบีเขาก็ยิ้มจนแก้มปริก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคุณแม่ คงเพราะเจ้าตัวนึกคำตอบรับในภาษาอาราบิกไม่ออก ผมก็เลยยิ้มตามอีกฝ่ายไปด้วย

“เออ เห็นชะรีฟบอกว่า ชาที่แกซื้อมาต้องให้หัวหน้าครอบครัวเป็นคนชงเท่านั้นใช่มั้ย” คุณพ่อลุกขึ้นยืน พลางเดินมาหยิบกล่องชาโมโรแคนที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมาดู
“ครับ ตามวัฒนธรรมของโมร็อกโกแล้วต้องเป็นอย่างนั้น” ผมตอบเป็นภาษาอาราบิก เพราะคุณพ่อท่านพูดเป็นภาษาอาราบิก โดยไม่ต้องกังวลว่าฮาบีจะฟังไม่รู้เรื่อง เพราะพี่อาราคอยเป็นล่ามให้ฮาบีเขาอยู่แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ตามสบาย ส่วนชานี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง แต่อย่าหวังกันมากล่ะ ฉันไม่ค่อยชอบดื่มชาเท่าไหร่ แล้วก็เพิ่งจะได้โชว์ฝีมือเป็นครั้งแรกด้วย” คุณพ่อท่านว่าอย่างนั้นก็ถือกล่องชาและใบมินท์ติดมือไปยังครัวที่อยู่ด้านในของตัวบ้าน
“ฮายาดที่ เดี๋ยวฉันไปช่วยเป็นลูกมือให้เองค่ะ” คุณแม่โซเฟียตะโกนบอกคุณพ่อ จากนั้นก็หอบเอาชุดชงชาของผมกับฮาบีตามไปติดๆ ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือเพียงแค่หนุ่มสาวในวัยทำงานเพียงสี่คน พี่เขยจึงปลีกตัวเข้ามาคุยเล่นกับผมด้านนอกของตัวบ้าน ส่วนพี่อารากับฮาบีก็เล่นกับเจ้าเบดอยู่ในบ้าน

บรรยากาศด้านนอกตัวบ้าน ให้อารมณ์แบบชาวทะเลทรายโดยแท้ เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ผืนทรายทั้งนั้น ส่วนต้นไม้ทะเลทรายก็มีขึ้นแซมบ้างเล็กน้อย เพราะมันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ในส่วนที่ใกล้ๆกับตัวบ้านล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ บ้านพักแห่งนี้เลยให้อารมณ์คล้ายๆกับโอเอซิสกลางทะเลทราย ที่มีทั้งต้นไม้ ใบหญ้า บ่อน้ำ และสถานที่สำหรับตั้งกระโจมที่พัก
หากใครชื่นชอบธรรมชาติและความสงบ ผมคิดว่ารีสอร์ทของคุณแม่โซเฟียก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีพอควร

“รู้หรือยังว่าฮะนานีเขาลางานให้พรุ่งนี้น่ะ” ผมส่ายหน้าให้พี่เขย เพราะไม่คิดว่าตารางการบินของตัวเองจะมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
“ไม่เห็นพี่เขาบอกผมเลย”

“คงจะกลัวแกบ่นเอาน่ะสิ” พี่เขยหัวเราะพลางตบบ่าผมเบาๆ
“อยู่แล้วแหละ ถ้าผมรู้ก่อนผมจะบ่นฮะนานีของพี่จนหูชาแน่”

“เอาน่ะ นานๆทีจะได้หยุดงานเพื่อมาใช้เวลากับครอบครัวแบบพร้อมหน้าพร้อมตา มันก็ถือเป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือไง พวกพี่เองก็หยุดงานวันนึงเหมือนกัน พ่อก็หยุดด้วยนะ แล้วแกสองคนจะไม่หยุดได้ยังไงกัน” พี่เขยว่าอย่างนั้น ผมเองก็คร้านจะต่อต้าน เพราะถึงยังไงพี่อาราก็คงทำเรื่องจนสำเร็จไปแล้ว
“เรื่องแกกับนีสริน ฉันยินดีด้วยจริงๆนะ”
“ขอบคุณครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน” ผมยิ้มให้พี่เขย พลางทอดสายตาออกไปยังผืนทรายอันกว้างใหญ่ เหมือนกับความรู้สึกเก่าๆของผมที่มันว่างเปล่า มองไม่เห็นทางออกของปัญหา เพราะถึงยังไงความรักของเรามันก็หนีไม่พ้น การดึงดันที่จะรักกัน ซึ่งคนที่เหนื่อยก็คือตัวเราเอง

เพราะรักด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์พวกเราทั้งหมดถึงได้มีวันนี้” พี่ชะรีฟพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในตัวบ้าน เมื่อคุณพ่อกับคุณแม่โซเฟียกำลังร้องเรียกให้พวกเราไปรวมตัวกันที่โซฟารับแขก และเมื่อสมาชิกมารวมตัวกันครบแล้ว คุณพ่อก็เป็นฝ่ายรินน้ำชาลงในแก้วกระเบื้องแซมสีสันด้วยลวดลายคดโค้งไปมาอย่างสวยงาม ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเสียบใบมินท์ลงในแก้วเพื่อตกแต่งให้ดูสวยงามตามคำแนะนำของคุณแม่โซเฟีย
สำหรับความรู้สึกแรกของการดื่มน้ำชาที่เป็นของขวัญวันเกิดของคุณแม่โซเฟีย กลิ่นมินท์ก็ลอยคละคลุ้งจนเต็มปาก เพราะชาชนิดนี้จุดเด่นอยู่ที่ใบมินท์แห้งที่ผสมปนเปอยู่กับใบชา จากนั้นก็เทน้ำชาส่วนแรกลงในแก้วที่เตรียมไว้ ก่อนจะเติมน้ำต้มเดือดลงไปอีกครั้งแต่ไม่ต้องมาก โดยครั้งนี้จะต้องใส่ใบมินท์สดลงไปในกาน้ำชาประมาณหนึ่งกำมือ ตามด้วยน้ำตาลก้อนเพื่อเพิ่มรสหวาน และเมื่อทุกอย่างเริ่มเข้ากัน ก็นำชาที่เทใส่แก้วเมื่อครู่กลับลงไปในกาน้ำชาและเขย่าให้เข้าเนื้ออีกทีถึงจะสามารถนำมาเสิร์ฟได้

 “ยินดีต้อนรับกลับบ้านของเรานะ” หลังจากดื่มชาไปครู่หนึ่ง หัวหน้าครอบครัวก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น พวกเราทั้งหมดจึงมีสีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ดูเหมือนฮาบีเขาจะยิ้มกว้างกว่าใครเพื่อน เพราะเจ้าตัวเขาคงจะชอบความหมายของคำว่า บ้านของเราที่พ่อผมต้องการจะสื่อแน่ๆ
“เอ้อ แม่เกือบลืมบอกไปเลย เรื่องเบดน่ะ เมื่อครู่นี้พ่อกับแม่คุยกันแล้วว่าจะให้เบดมาอยู่ที่นี่ แม่จะคอยดูแลให้เอง ส่วนช่วงวันหยุดอัสลานกับนิสรีนต้องเข้ามารับช่วงต่อนะ” คุณแม่รีบวางแก้วชาทรงสูงหลังจากที่ตั้งท่าจะจิบ แต่กลับนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นก็รีบบอกข่าวดีกับเราสองคนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ชุก-กรัน” ผมกับฮาบีพูดขอบคุณและก้มหัวให้พวกท่านทั้งสองโดยไม่ได้นัดหมายด้วยความตื้นตันใจ เพราะลึกๆแล้วผมก็เป็นห่วงเจ้าเบดเหมือนกัน ยิ่งวันนั้นผมเห็นมันร้องครางหงิงๆจะตามผมกลับมาด้วย ผมเองก็รู้สึกไม่ดี ในเมื่อที่ผ่านมาผมเคยแต่เลี้ยงมันแบบสัตว์เลี้ยง แล้วจู่ๆก็มีความจำเป็นต้องปล่อยมันกลับไปใช้ชีวิตตามธรรมชาติ
ซึ่งฟังแล้วมันอาจจะดูดี แต่ในทางกลับกัน มันคือการทำร้ายเจ้าเบดทางอ้อม เพราะมันใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่เป็น และในตอนนั้นผมก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร โดยเฉพาะกับครอบครัวของตัวเอง นอกจากยอมปล่อยให้มันไปอยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทรายที่อยู่ภายใต้ความดูแลของท่านอามิน ที่ผมก็ยังมีความเกรงใจในส่วนลึก เรื่องของเบดถึงได้ลงเอยแบบนั้น พอมาวันนี้คุณแม่โซเฟียเป็นคนออกปากว่าท่านจะยอมเลี้ยงเบดด้วยตัวเอง ผมก็อดจะดีใจไม่ได้
เพราะผมรักเบดและเป็นห่วงมันมาก

หลังจากเพลิดเพลินไปกับการดื่มน้ำชาแล้ว งานเลี้ยงของจริงก็ถูกจัดขึ้นตรงหน้าบ้านบริเวณริมสระว่ายน้ำ ซึ่งก็เป็นแค่มื้อค่ำง่ายๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร เพราะเน้นจัดให้ครอบครัวได้มาพบปะกันเท่านั้น เลยทำให้ระหว่างที่ช่วยกันจัดโต๊ะขณะที่รอคุณแม่โซเฟียกับคุณพ่อลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง พวกเราที่พวกท่านมักจะเรียกว่าเด็กๆ ก็ถือโอกาสนี้ยืนมองดวงอาทิตย์ค่อยๆลาลับขอบฟ้าและจมลงสู่ผืนทรายจนมืดมิด กระทั่งดวงจันทร์สีเหลืองนวลโผล่ขึ้นมาอวดโฉมบนท้องนภา มื้อค่ำของเราก็ถึงคราวต้องเริ่มขึ้น
วันนี้คุณพ่อโชว์ฝีมือการทำสลัดฟาตุช ซึ่งเป็นตัวแทนของอาหารสไตล์อาหรับแบบดั้งเดิม ที่โรยหน้าด้วยแผ่นขนมปังอบกรอบแบบอาราบิก ส่วนคุณแม่โซเฟียก็โชว์ฝีมือการทำฮัมมูส มาซาร่ากุ้ง ชาวาร์มา นู้ดเดิ้ลกะบับอันเป็นสูตรลับที่แม้แต่คุณพ่อก็ยังไม่ทราบ แถมยังไม่สามารถหากินได้ตามท้องตลาดอีกด้วย
พอทานของคาวเสร็จ ก็ตามด้วยของหวานที่คุณแม่โซเฟียเตรียมไว้คือเค้กอินทผาลัม พี่อาราเลยเสนอให้ท่านเป่าเค้กก่อนถึงค่อยตักมาแจกจ่ายทีหลัง แต่คุณแม่โซเฟียท่านเป็นคนไม่ชอบเป่าเค้ก คะยั้นคะยอยังไงก็ไม่ยอม สุดท้ายคุณแม่ก็เลยชนะ พวกเราทั้งหมดจึงต้องทานเค้ก โดยที่เจ้าของวันเกิดยังไม่ได้เป่าเทียนอธิษฐาน มิหนำซ้ำเจ้าตัวยังลงมือทำเองเสียอีก
แต่ก็เพราะคุณแม่โซเฟียท่านมีความสุข ที่ไม่ต้องเป่าเทียน พวกเราก็เลยตามใจท่านกันหมด

“พ่อกับแม่ว่าจะไปนอนแล้วล่ะ ดื่มกันต่อให้สนุกนะ” หลังจากทานของหวานจนหมดเกลี้ยง คุณพ่อก็นำไวน์ราคาแพงมาให้พวกเราหนุ่มสาววัยทำงานได้ดื่มกันหนึ่งขวด ส่วนพวกท่านก็ขอตัวไปนอนพักผ่อน เพราะนี่มันก็ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว แต่พวกเราทั้งหมดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนง่ายๆ ยิ่งมีไวน์รสชาติดีตรงหน้า ท่าทางว่าความง่วงมันคงจะไม่เป็นปัญหาสักเท่าไหร่
“ฝันดีครับ” รอจนกระทั่งพี่อาราหอมแก้มซ้ายขวาของคุณแม่โซเฟียกับคุณพ่อจนเรียบร้อย พวกเราถึงได้โอกาสบอกพวกท่านบ้าง ซึ่งพวกท่านก็พยักหน้าพลางยิ้มรับ จากนั้นก็ปลีกตัวเข้าไปยังด้านในของตัวบ้าน ส่วนพวกเราก็นั่งดื่มไวน์กันต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน เพราะไหนๆพรุ่งนี้ก็ลางานกันไว้แล้ว โอกาสจะได้พักผ่อนแบบไม่ต้องห่วงอะไรแบบนี้มันก็ออกจะหายาก ดังนั้นต้องตักตวงให้มากเข้าไว้

“เบด ง่วงแล้วทำไมไม่ไปนอนดีๆล่ะฮึ?” ฮาบีเขาลุกเข้าไปหาเบดที่นอนแอบอยู่ตรงปากประตูบ้าน ฝ่ายเจ้าลูกชายตัวดีก็เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายพักนึง จากนั้นก็ฟุบหน้าลงไปนอนกับพื้นอีกรอบ ฮาบีเขาก็เลยอุ้มเจ้าตัวดีมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพาเดินออกไปบนผืนทราย โดยไม่สนใจไวน์รสเลิศเลยแม้แต่น้อย ผมก็เลยถือโอกาสดื่มไวน์แก้วนั้นแทนเสียเอง
“พี่ว่าจะไปนอนกันแล้วล่ะ ถ้าแกจะเข้านอนก็เก็บนี่ด้วย” พี่อาราว่าพลางลุกขึ้นยืน พี่เขยจึงลุกขึ้นบ้าง จากนั้นทั้งสองคนก็เดินคล้องแขนกันเข้าไปในบ้าน ที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงแค่ผมกับฮาบีและเบดที่อยู่ไกลออกไปจากตัวบ้านเพียงเล็กน้อย ผมจึงนั่งดื่มต่อให้หมด จากนั้นก็เริ่มทยอยเอาของเข้าไปเก็บไว้ในครัว จากนั้นก็เดินไปหาฮาบีที่กำลังพาเจ้าเบดเดินเล่นท่ามกลางหมู่ดาวในทะเลทราย

“นึกถึงครั้งแรกที่เรามาเดทกันที่ทะเลทรายเลยเนอะ” ผมพูดขึ้นพลางหันไปยิ้มให้กับฮาบี ที่อุ้มเจ้าเบดไว้ในอ้อมแขน ขณะที่เจ้าตัวกำลังแหงนหน้ามองดวงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า
“ครับ.. วันนั้นเป็นแรกที่ทำให้ผมได้รู้ว่า การดูดาวในแต่ละที่ มันจะให้ความรู้สึกที่สวยงามไม่เท่ากัน และการมองดาวจากทะเลทรายก็ทำให้ผมได้เห็นดาวที่สวยที่สุดอย่างที่พี่เคยบอกไว้” ฮาบีเขาพูดพลางยิ้มทั้งปากและตา จนผมอดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะเวลานี้ความสุขมันแทบจะล้นปรี่เสียให้ได้

“แต่การดูดาวคนเดียว ยังไงมันก็ไม่มีทางสวยได้เท่ากับตอนที่เราดูดาวด้วยกันหรอกครับ”
“นั่นสินะ” ผมยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเราก็พากันเดินเล่นไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้หวาดกลัวเลยว่าจะมีสัตว์มีพิษที่เป็นอันตรายแฝงตัวอยู่ภายใต้ผืนทรายหรือไม่

“วันนั้นผมจำได้ว่าพี่แอบเดินตามรอยเท้าของผม” ฮาบีเขาว่าพลางย้ายตัวเองมาเดินตามหลังผม พร้อมกับก้าวขาให้เหยียบย่ำไปตามรอยเท้าที่ผมก้าวเดิน ทำเอาผมอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มให้กับการกระทำอันแสนน่ารักนั่น เพราะการกระทำดังกล่าวมันเหมือนกับว่าฮาบีเขายังไม่ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเดทครั้งแรกของเราที่ทะเลทราย

“ตะฮอบบิค ฮายาดที่” ผมชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน เมื่อใครบางคนที่เดินตามอยู่ข้างหลัง จู่ๆเขาก็เอื้อนเอ่ยภาษาอาราบิกออกมา จนทำให้ใจผมสั่น อีกทั้งเจ้าตัวยังเรียกผมด้วยคำพูดชวนหวานหู
“คุณ..” ผมหันหลังกลับไปมองฮาบีที่กำลังยืนอุ้มเจ้าเบดและส่งยิ้มมาให้ด้วยสายตาสั่นระริก เพราะเราสองคนแทบจะไม่เคยเอ่ยคำนี้ต่อกันเลย ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม

“ตะฮอบบิค ฮาบีบี” ผมสูดลมหายใจให้ลึกจนเต็มปอด จากนั้นก็เอื้อนเอ่ยคำๆเดียวกันในภาษาอาราบิก ที่มันแปลตรงตัวได้ว่า..
ที่รัก ผมรักคุณ..   


Real end

               


 -----------------------------------------------------------------------

ในที่สุดฟิคเรื่องนี้ก็จบลงแล้ว ถือเป็นฟิคที่ใช้เวลาแต่งนานที่สุดเรื่องนึงเลย เพราะเป็นช่วงที่เราเจอมรสุมชีวิตแบบหนักมาก มาเป็นระลอกจนในที่สุดเราก็ผ่านมรสุมนั้นมาได้ และก็ปิดจบเรื่องนี้ได้สำเร็จ สำหรับฟิคเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องนึงที่เราชอบ เพราะมันเกี่ยวกับทะเลทรายค่ะ เป็นคนชอบอะไรแบบนี้ เลยเลือกเขียนโลเกชั่นแบบนี้ออกมา ซึ่งปมดราม่ามันก็คงไม่พ้นเรื่องที่ฮาบีกับคุณลูกเรือเขาเจอน่ะเนอะ 
เราขอสอบถามหน่อยค่ะว่ามีใครอยากจะได้รวมเล่มเรื่องนี้หรือเปล่า ถ้าหากมีเราจะทำการรีไรท์ใหม่ทั้งหมด เอาให้มันสมูทขึ้น เพราะเราเขียนไม่ประติดประต่อเท่าไหร่ ถ้าหากมีรูปเล่มเกิดขึ้นเราก็จะเพิ่มเลิฟซีนเข้าไปด้วย และจะเขียนให้เห็นถึงวิวัฒนาการด้านภาษาของฮาบี และความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างฮาบีกับครอบครัวของคุณลูกเรือน่ะค่ะ เพราะคุณแม่โซเฟียท่านเชิญดื่มน้ำชาแล้วนี่เนอะ ก็แสดงว่ากลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว และอาจจะมีเพื่อนๆมาร่วมสร้างสีสันด้วย

ฮาบีบี แปลว่าที่รัก ใช้พูดกับผู้ชาย ถ้าพูดกับผู้หญิงจะใช้ฮาบิบที่
ฮายาดที่ แปลว่า My life สามารถใช้ได้กับคนรักเพียงอย่างเดียว
ตะฮอบบิค แปลว่า ฉันรักคุณ ใช้พูดกับผู้ชาย ถ้าพูดกับผู้หญิงจะใช้ ตะฮอบบิช
ฮะนานี เป็นชื่ออาราบิกของพี่อารา แปลว่า ที่รัก

อันนี้คือบ้านสไตล์เบดูอิน
http://catalog.beachcombertours.fr/fiches_v3/beachcomber/ete_2014/produit/p_2014_05_15_5374d39f0a156/les_images_standard/

ภาพรวมของรีสอร์ท

https://www.thehealthyholidaycompany.co.uk/userfiles/trips/121/gallery/1000/

ชาโมโรแคนของโมร็อกโก

http://onionin.com/sites/default/files/recipes/

สลัดฟาตุช

Image result for Fattoush

มาซาร่ากุ้ง

Image result for มาซาร่ากุ้ง

เค้กอินทผลาลัม

Image result for date palm cake

วันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เพาะรัก

http://roomsbooking.com/wp-content/uploads/2016/11/


Special by Kyuhyun 13 / (1)


ช่วงนี้ผมกับฮาบีต้องกลับมาทำไฟล์ท turn around  หรือเรียกง่ายๆว่าไฟล์ทระยะสั้น เพราะว่าฮาบีเขาเริ่มมีเรียนปรับพื้นฐานทางด้านภาษาอาราบิกสัปดาห์ละหนึ่งวัน จึงทำให้ฮาบีเขาต้องยอมสละวันหยุดประจำสัปดาห์ของตัวเอง เลยทำให้เวลาพักแบบจริงๆจังๆของลูกเรือต่างชาติที่ทำไฟล์ทในระยะสั้นจากที่มีตั้งสองวันก็ลดเหลือเพียงแค่หนึ่งวัน
ขณะที่ผมผู้มีวันหยุดประจำสัปดาห์ถึงสองวัน ช่วงนี้ก็ออกไปพบปะกับเพื่อนฝูงเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แต่กับเพื่อนในวงการเดียวกัน ผมไม่ได้เจอพวกมันแบบครบองค์ประชุมหรอก เพราะวันหยุดของพวกเราไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่ จึงทำให้ผมไม่ค่อยได้ปาร์ตี้ของมึนเมาในระดับที่คนทั่วไปนิยม แต่กลับต้องมาปาร์ตี้น้ำชา ไวน์ แชมเปญ ระดับไฮคลาสกับมูนีร์และท่านอามินแทน

“เย็นนี้จะกินอะไรดีครับ ผมจะได้ซื้อมาเผื่อ” ฮาบีเขาถามผมก่อนที่เขาจะต้องออกไปเรียนภาษาอาราบิก ส่วนผมมีแพลนว่าจะไปหาเบดที่ศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย เพราะหลายอาทิตย์ก่อนที่ผมได้เจอกับท่านอามิน ท่านบอกผมว่า เบดไม่ได้ถูกดูแลตามธรรมชาติ เพราะมันไม่เคยล่าและเริ่มจะใช้ชีวิตอย่างสัตว์ป่าไม่เป็น ทางศูนย์วิจัยจึงต้องเลี้ยงมันเหมือนสุนัขบ้าน ซึ่งเป็นการเลี้ยงแบบปล่อยไว้ในส่วนของพื้นที่สำนักงานวิจัยแบบมีรั้วรอบขอบชิด ซึ่งผมต้องให้ท่านอามิน ช่วยทำเรื่องขอเข้าไปในส่วนสำนักงานตั้งแต่อาทิตย์ก่อน และกว่าจะได้รับอนุญาตก็ใช้เวลาหลายอาทิตย์พอสมควร
“แล้วแต่ฮาบีสะดวกเลย แต่จริงๆพี่แวะซื้อเข้ามาให้ก็ได้นะ ไม่เบื่ออาหารจากตลาดนัดบ้างเหรอ” ผมย้อนถามคุณลูกเรือมือใหม่ด้วยรอยยิ้ม

“ก็ได้ครับ ตอนเย็นเจอกันนะ” ฮาบีเขาตอบรับพลางกล่าวลา ก่อนจะเปิดประตูและเดินจากไป เพราะเวลานี้รถรับส่งภายในเขตสำนักงานใหญ่ของสายการบินได้มาจอดเทียบท่ารอผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่ต้องขับรถออกไปส่ง
แต่นึกๆแล้วการกลับมาอยู่ที่คอนโดของลูกเรือ มันอาจจะสะดวกต่อการทำงานก็จริง แต่ลึกๆแล้วผมเองก็อดยอมรับไม่ได้ว่าผมเสียดายพื้นที่ส่วนตัวของบ้านหลังนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ในเมื่อผมมีเป้าหมายแล้วว่าจะต้องทำไฟล์ทแบบ lay over หรือก็คือการทำไฟล์ทแบบระยะยาวที่จะต้องมีการค้างคืนตลอดชีวิตของการเป็นลูกเรือ ผมก็ตัดสินใจเปิดบ้านหลังนั้นให้เป็นบ้านเช่าสำหรับนักท่องเที่ยวเหมือนเดิม ซึ่งก็ได้คุณป้าแม่บ้านชาวเยอรมันที่เป็นคนเก่าคนแก่มารับหน้าที่ดูแลเหมือนเดิม

ผมนั่งดื่มกาแฟและทานขนมปังในยามเช้าอีกสักพัก ก็ตัดสินใจไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก โดยวันนี้ผมได้มีโอกาสขับรถ FWD ที่ใช้สำหรับการตะลุยเนินทรายอีกครั้ง ซึ่งระหว่างเดินทางผมก็ไม่ลืมที่จะเปิดเพลงบัลลาดช้าๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศในยามเช้าไปด้วย

ครืด ครืด

“ครับพี่อารา?” ผมตัดสินใจรับสายอย่างรวดเร็ว เพราะผมใช้โทรศัพท์เชื่อมต่อบูทูธกับตัวรถ เนื่องจากผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนขับรถเร็ว ตามประสาพลเมืองตีนผีของที่นี่ ดังนั้นทุกครั้งที่ได้ขับรถที่ดูไบ ผมก็มักจะใช้วิธีเสมอ
“เห็นชะรีฟบอกว่าแกจะไปศูนย์วิจัยเหรอ?” ทันทีที่รับสายพี่สาวของผมก็รีบรัวคำถามมาอย่างรวดเร็ว

“ก็ใช่ ว่าแต่พี่เขยรู้ได้ไง? อย่าบอกนะว่าบังเอิญไปเจอท่านอามินพอดี”
“ก็ประมาณนั้น เมื่อวานมีคุยธุรกิจเรื่องเงินทุนสนับสนุนการวิจัยเพื่อขยายพันธุ์สัตว์ทะเลทรายนี่แหละถึงได้รู้” พี่อาราว่าอย่างนั้น ซึ่งผมเองก็เข้าใจดี เพราะสายการบินของเราก็เป็นเงินทุนหลักของโครงการนี้ ยิ่งพ่อผมเป็นถึงนักวิจัยหลักด้วยแล้ว
ครอบครัวเรากับโครงการนี้ก็เลยดูเหมือนจะเกี่ยวดองกันไปด้วย

“แวะไปหาพ่อด้วยสิ”
“เอาดีๆพี่ พ่อเขาจะอยากเจอหน้าผมหรือเปล่า ขนาดโปสการ์ดผมก็เขียนไปตั้งหลายใบแล้วนะ แต่ก็ยังไร้วี่แววตอบกลับจากทั้งสองคนอยู่เลย ทั้งๆที่คุณแม่โซเฟียเองก็คืนดีกับพ่อแล้วด้วยซ้ำ ป่านนี้ก็น่าจะได้อ่านโปสการ์ดของผมกับซองมินครบแล้วสิ หรือว่าพวกผมยังเขียนไม่มากพอ? ถ้างั้นผมต้องทำไฟล์ท Lay over เพิ่มเหรอ ? แต่ดูเหมือนเดือนนี้จะไม่ได้นะ เพราะซองมินมีเรียนคลาสภาษาอาราบิก หรือไง ผมต้องบิน lay over คนเดียวใช่มั้ย ผมถึงจะรู้ว่าไอ้วิธีที่ทำไปเนี่ยมันไม่ได้เปล่าประโยชน์” ผมสาธยายความอัดอั้นใจให้พี่สาวของตัวเองฟังอย่างท้อแท้

“แกเพิ่งเริ่มทำเองนะ อย่าใจร้อนสิ ตอนนี้พวกท่านก็ถือว่ากำลังเปิดใจให้แกอยู่ จำไม่ได้หรือไงวันก่อนฉันเพิ่งบอกแกไปเองนะ ที่คุณแม่โซเฟียเคยบอกฉันว่า พ่ออ่านโปสการ์ดของพวกแกแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียวน่ะ”
“จำได้ แต่ที่ไม่ยอมเขียนโปสการ์ดกลับมานี่คืออะไร?

“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่คุณพ่อนี่ แต่ยังไงถ้าแกบังเอิญเจอคุณพ่อก็ลองหาคำตอบด้วยตัวเองไปเลยสิ บางทีท่านอาจจะรอให้แกง้ออยู่ก็ได้ แกก็รู้ว่าพ่อเราน่ะโกรธง่ายหายเร็ว แต่ก็ฟอร์มจัดสุดๆ ขนาดคุณแม่โซเฟียยังต้องไปง้อขอคืนดีเลย แล้วแกเป็นใครห๊ะ คยูฮยอน พ่อถึงต้องยอมง้อแกน่ะ”
“พี่ก็พูดได้ดิ พี่ไม่ได้เจอพ่อมองด้วยสายตาผิดหวังแล้วก็เจ็บปวดแบบผมนี่”

“แต่ถ้าแกไม่ลองง้อแบบตัวต่อตัวดู แกอาจต้องรอไปจนแก่เลยก็ได้นะ ไม่รู้แหละตัดสินใจเอาเอง แค่นี้นะ” พี่อาราวางสายไปแล้ว แต่ผมกลับเอาแต่ครุ่นคิดตามคำพูดของเธอไม่หยุด เพราะใจนึงผมก็กลัวว่าความคาดหวังทั้งหมดอาจจะพังทลายลง ส่วนอีกใจนึงก็เต็มไปด้วยความหวังที่ว่า พ่อจะต้องยอมยกโทษให้พร้อมกับตัดสินใจเดินคนละครึ่งทางกับผม ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้น ต่อให้ต้องทำไฟล์ทแบบ lay over ตลอดชีวิต ผมก็จะหมดห่วงได้อย่างแท้จริง เพราะทุกวันนี้ผมเองก็ยังห่วงคนทางนี้ ทำให้นอนไม่ค่อยจะหลับสักเท่าไหร่ ผมถึงได้หาเรื่องจะไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่อยู่บ่อยๆ ซึ่งการทำไฟล์ทแบบ lay over มันก็มีข้อดีตรงที่เรามีเวลาพักเพียงไม่นาน ทำให้ต้องรีบเก็บแต้มเที่ยวให้เยอะเข้าไว้ เราจึงไม่ค่อยมีเวลาไปกังวลเรื่องอื่น เพราะเมื่อถึงคราวต้องหยุดเที่ยว ก็กลายเป็นว่าเราต้องกลับมาทำงาน ดังนั้นวันหยุดที่ผมได้มา ผมจึงเลือกจะไปสังสรรค์กับเพื่อน ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่ หรือถ้าจะอยู่ก็เลือกเฉพาะวันที่ฮาบีเขาหยุด ซึ่งบางวันผมก็หาเรื่องพาฮาบีเขาไปทัวร์ดูไบอยู่ดี

หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองได้ บรรยากาศตลอดสองข้างทางก็แปรเปลี่ยนจากตึกสูงใหญ่ระฟ้า กลายเป็นเนินทรายที่ประดับด้วยพันธุ์ไม้ในเขตร้อน เช่นกระบองเพชร แบล็คบอย อาเคเชีย และเมื่อขับต่อไปอีกไม่ไกล ก็จะพบกับจุดพักรถอันเป็นที่นิยมของกรุ๊ปทัวร์ที่จะมุ่งหน้าไปยังซาฟารี เพื่อตะลุยเนินทราย

ผมใช้เวลาขับรถประมาณสี่สิบห้านาที จากปกติที่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มกว่าจะมาถึงเขตอุทยาน ครั้งนี้ผมเสียเวลาตรงจุดตรวจนานกว่าปกติ เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบข้อมูล และส่งข่าวไปถึงศูนย์วิจัยที่เป็นจุดหมายของผม จากนั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็บอกเส้นทางกับผมอยู่ครู่หนึ่ง เนื่องจากเส้นทางไปศูนย์วิจัยกับเส้นทางไปซาฟารีเป็นคนละเส้นทางกัน
แต่ถึงจะเป็นคนละเส้นทาง ก็คงหนีไม่พ้นต้องขับรถตะลุยเนินทรายเหมือนเคย เพราะศูนย์วิจัยที่ว่านี้ จะอยู่ท่ามกลางเนินทรายที่รายล้อมไปด้วยพืชพันธุ์ที่สามารถเติบโตได้ดีกลางทะเลทราย อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลทรายในความคุ้มครองอีกด้วย เพราะสัตว์ทะเลทรายหลายๆชนิด เท่าที่พ่อเคยบ่นให้ฟัง ผมก็ทราบมาว่าใกล้จะสูญพันธุ์จนเกือบจะหมดแล้ว ศูนย์วิจัยที่ว่านี้จึงได้ถือกำเนิดขึ้น อีกทั้งยังสามารถแปรเป็นรายได้เข้าสู่ประเทศ เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องการเที่ยวแพคเกจแบบซาฟารีที่มีกิจกรรมการส่องสัตว์อยู่ในโปรแกรม

สำหรับเขตอุทยานชั้นในแบบนี้ ผมไม่สามารถขับรถเร็วได้ เพราะบางทีก็มีสัตว์ทะเลทรายอยู่ใกล้ๆ จึงทำให้การเดินทางของผมล่าช้าลง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ในเมื่อวันนี้ก็เดย์ออฟอยู่แล้ว และกว่าฮาบีจะเลิกเรียนก็ประมาณห้าโมงเย็น ฉะนั้นเวลาของผมจึงมีถมเถจนมากเกินไปด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานสายตาของผมก็มองเห็นสถาปัตยกรรมรูปทรงตามแบบฉบับของชาวทะเลทราย ซึ่งโดยรอบก็ประดับประดาไปด้วยต้นปาล์มทะเลทราย และเมื่อผมขับรถเข้าไปด้านในก็ยังพบปาล์มทะเลทรายอีกหลายต้นประดับประดาอยู่ในนั้น ครั้นเมื่อหาที่จอดรถได้เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบเดินเข้าไปยังอาคารสีน้ำตาลอ่อนคล้ายคลึงกับสีของเม็ดทราย เพื่อไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ถึงสาเหตุที่ผมเดินทางมาที่นี่ จากนั้นเธอก็ให้ผมมานั่งคอยแถวๆบริเวณชุดเก้าอี้นั่งรับแขกตรงมุมในสุด ซึ่งผมเสียเวลานั่งรอเพียงไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็เข้ามาทักทาย เราสองคนจึงจับมือทักทายกันแบบพอเป็นพิธี ก่อนที่คุณฮาซันจะนำทางผมเข้าไปยังส่วนใน ผมถึงได้เข้าใจว่าทำไมต้องทำเรื่องติดต่อให้มันยุ่งยาก ในเมื่อที่อยู่ของเบดคือส่วนของตัวออฟฟิศที่มีเจ้าหน้าที่กำลังนั่งทำงานกันอยู่

“จริงๆ เลี้ยงเขาไว้ข้างนอกก็ได้นะครับ ผมเองก็พยายามเลี้ยงให้คล้ายคลึงกับสภาพเดิมให้มากที่สุดอยู่แล้ว” ผมพูดกับคุณฮาซัน ที่กำลังจะดันประตูกระจกเข้าไปข้างใน ที่เมื่อมองจากข้างนอกก็ไม่พบเจ้าหน้าที่ประจำการอยู่ในห้องนี้ ผมจึงค่อนข้างโล่งใจ เพราะไม่อยากจะมารบกวนเวลาในการทำงานของเขามากนัก
“แรกๆเราก็เลี้ยงไว้ข้างนอกครับ แต่ว่าเจ้าเบดมันติดคนมาก ช่วงเวลาทำงานคุณฟาฮัทก็เลยให้เจ้าเบดเข้ามานั่งเล่นนอนเล่นในนี้ ส่วนช่วงเลิกงานก็จะฝากไว้กับยามด้านนอกแทนน่ะครับ ยังดีที่เขาพอจะปรับตัวได้” คุณฮาซันอธิบายพลางยกยิ้มบางๆ ส่วนผมกลับพูดอะไรไม่ออก ส่วนหนึ่งเพราะสงสารเบด และส่วนหนึ่งก็คือคาดไม่ถึงว่าพ่อจะเป็นฝ่ายออกหน้าดูแลเบดแทนผม

ทันทีที่เสียงเปิดประตูดังขึ้น เจ้าเบดที่กำลังนอนหลบอยู่ตรงมุมห้อง ก็รีบผงกหัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระทั่งมันสัมผัสถึงกลิ่นประจำตัวของผมได้ จิ้งจอกทะเลทรายที่ไม่ได้เห็นเสียนานก็ถึงกับร้องครางหงิงๆ ก่อนจะกระโจนเข้าหาผมที่ย่อตัวลงไปรับมันไว้ในอ้อมแขน จากนั้นเจ้าตัวดีมันก็ดีดดิ้นยกใหญ่ คงจะดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง ผมจึงก้มลงไปหอมหัวมันเบาๆอยู่หลายที ขณะที่ในใจก็รู้สึกผิดต่อมันด้วย แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกมากนัก

“อยู่นี่สบายเลยสิท่า ฮึ เบด?” ผมอุ้มเจ้าจิ้งจอกตัวเล็กมาไว้ในอ้อมแขน พลางเขย่าตัวมันเบาๆและเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั้น เพราะกว่าที่จะรู้ตัว คุณฮาซันเขาก็เดินออกจากห้องไปแล้ว เวลานี้ผมจึงสามารถพูดคุยกับเจ้าลูกชายได้เต็มที่
“ส่วนพ่อก็ต้องเร่ร่อนเหมือนกัน ไม่ได้สบายเลย ขนาดได้ไปเที่ยวตั้งหลายที่ แต่ลึกๆก็ไม่ได้มีความสุขเท่าที่แสดงออกหรอก แต่ทำไงได้ ถ้าแสดงออกว่าคิดมาก พี่ซองมินของเราก็จะต้องคิดมากตาม ถูกไหมล่ะ” พอผมหยุดพูด เจ้าเบดมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง พลางคลางหงิงๆ คล้ายกับรับรู้และเข้าใจในความไม่สบายใจของผมเป็นอย่างดี

ก๊อก ก๊อก

ผมหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ เมื่อใครบางคนกำลังเคาะประตูเหมือนกับจะขออนุญาตเข้ามาด้านใน ซึ่งใครคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลที่ไหน

“ฉันจะเข้ามาเอาเอกสารสักหน่อยน่ะ” พ่อพูดพลางก้าวเข้ามาด้านใน และเดินตรงไปยังโต๊ะทำงาน
“คือผม.. มาเยี่ยมเบด แต่กำลังจะกลับแล้วครับ” ผมวางเจ้าเบดลงกับพื้น พลางออกปากในเชิงกล่าวลา ทั้งๆที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะกลับในตอนนี้ แต่ในเมื่อพ่อมาแล้ว ผมก็คงจะต้องกลับ เพราะผมไม่มีความกล้ามากพอที่จะทำตามที่พี่อาราแนะนำหรอก ในเมื่อแววตาของพ่อในวันนั้นมันยังติดตาตรึงใจผมอยู่

“แกมีวันหยุดอีกทีเมื่อไหร่ล่ะ?” ผมที่กำลังก้มตัวลงไปแงะเจ้าเบดออกจากข้อเท้า ถึงกับชะงักการกระทำทุกอย่างลง เมื่อจู่ๆพ่อก็ถามขึ้นมา
“วันพุธกับวันศุกร์หน้าครับ” พ่อพยักหน้าพลางเดินเข้ามาอุ้มเจ้าเบดที่ทำท่าไม่ยอมจะปล่อยให้ผมกลับ จากนั้นท่านก็เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานพร้อมด้วยเจ้าเบดที่ยังคงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดไม่หยุด เพราะเจ้านั่นคงอยากจะวิ่งมาหาผมใจจะขาด ซึ่งพอลงไม่ได้มันก็ร้องหงิงๆ เหมือนกับวันที่ผมตัดสินใจปล่อยมันกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผิด ผมจึงเบือนสายตาหนีภาพนั้น และตัดสินใจว่าตัวเองควรจะกลับได้แล้ว

“แล้วแฟนแกล่ะ หยุดตรงกันหรือเปล่า” ผมชะงักรอบที่สอง เมื่อพ่อเป็นฝ่ายพูดตัดหน้าเสียก่อน
“หยุดพร้อมกันครับ แต่ว่าเขามีเรียนภาษาอาราบิกทุกวันพุธ ก็เลยมีวันหยุดแค่วันเดียวครับ” ผมเลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองไปประสานกันด้านหลัง เพราะชักจะวางตัวไม่ถูกมากขึ้นทุกที

“อืม อย่าลืมเขียนโปสการ์ดมาอีกแล้วกัน”
“ครับ?

“โปสการ์ดน่ะ ถ้าว่างก็เขียนมาอีกแล้วกัน ฉันจะคอยอ่าน”
“อ้อ.. ได้ครับ”

“ฝากดูแลเบดด้วยนะครับ ส่วนพ่อเองก็รักษาสุขภาพด้วย แล้วก็ฝากความคิดถึง ถึงคุณแม่โซเฟียด้วยนะครับ” ผมยิ้มบางๆ พลางค้อมศีรษะและตั้งท่าจะเดินออกจากห้องทำงานของพ่อ ที่ผมเพิ่งจะเคยมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัสเป็นครั้งแรก

“วันศุกร์หน้าวันเกิดโซเฟียเขาแล้ว แกกับแฟนก็มาที่บ้านสิ”
“ครับ?” ผมชะงักรอบที่สามของวันแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะต้องมาอึ้งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่หลายรอบ จนทำให้เผลอตอบรับแบบโง่ๆออกไป

“ฉันหมายถึงให้แกกับแฟนมากินข้าวด้วยกันที่บ้าน”
“ค..ครับ.. ได้ครับ งั้นผมลาเลยนะครับ เจอกันอีกทีวันศุกร์” ผมค้อมตัวให้พ่ออีกรอบ จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องทำงานของพ่ออย่างรวดเร็ว ขณะที่ในใจมันกำลังโห่ร้องกึกก้องจนแทบจะระเบิด จนผมต้องเดินปิดปากและก้าวขายาวๆออกจากตัวอาคารของศูนย์วิจัยพันธุ์สัตว์ทะเลทราย

และเมื่อเปิดประตูเข้ามาซ่อนตัวในรถได้แล้ว ผมก็เอาหน้าผากเคาะกับพวงมาลัยรถอยู่หลายที ส่วนริมฝีปากก็คลี่เป็นรอยยิ้มและหลุดหัวเราะออกมาในลำคอเพียงเบาๆ ขณะที่หางตามันก็เริ่มเปียกปอนด้วยหยดน้ำตาแห่งความดีใจที่สุดในชีวิต

“รับสิๆๆ” ผมตัดสินใจโทรหาฮาบีด้วยความตื่นเต้นและดีใจมากๆ จนอยากจะบอกให้อีกฝ่ายรับรู้ให้ได้ในตอนนี้ กระทั่งฮาบีเขากดตัดสาย ผมถึงได้นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฮาบีเขามีเรียนภาษาอาราบิกจนถึงห้าโมงเย็น ผมก็เลยหลุดหัวเราะให้กับความบ้าบอของตัวเอง จากนั้นผมก็ตัดสินใจวางโทรศัพท์เอาไว้ตรงช่องใส่ของ
เพราะผมกะจะไปเซอร์ไพร์สฮาบีในตอนเย็นแทน
เชื่อเลยว่าฮาบีจะต้องตกใจมากแน่ๆ


 ----------------------------------------------------------

ตอนแรกว่าจะเขียนให้จบในตอนนี้เลยค่ะ แต่ว่ารายละเอียดหลังจากนี้มันจะเยอะ เพราะมันคือความหมายของคำว่า เพราะรัก ตามชื่อสเปเลยค่ะ ก็เลยแบ่งเป็น 13 (1 กับ 2) แทน เพราะอยากให้มันจบที่ 13 ตอน 55555 
คุณลูกเรือเค้ามีความสุขได้สักทีเนอะ ส่วนเบดก็น่าสงสาร แต่ยังดีที่ได้คุณพ่อมาช่วยดูนะคะ ถือว่าคุณพ่อทำใจได้สักพักแล้ว ถึงได้ยอมเอาเบดมาเลี้ยง แต่แค่มีฟอร์มเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้นก็เรื่องใหญ่น่ะนะ ทั้งทะเลาะกับคุณแม่โซเฟีย แล้วยังทะเลาะกับคุณลูกเรือด้วย ท่านเองก็รู้สึกผิดถึงได้ไถ่โทษด้วยการเลี้ยงเบดนั่นเอง 
ปล. ต้นนี้อาจจะสั้นหน่อย แต่เราอยากตัดพาร์ทเลย เพราะอารมณ์ของตอนมันจะไม่ต่อกัน ตอนหน้าจบของจริงค่ะ

แปะรูปให้ดู เผื่อใครอยากรู้จักต้นไม้ทะเลทราย

Image result for ต้นแบล็คบอย

ต้นแบล็คบอย 

Related image

              ต้นอาเคเชีย